VI กับความสุข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

VI กับความสุข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor      2 มีนาคม 2557 
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
VI กับความสุข

	เป้าหมายในชีวิตของ Value Investor นั้น  ดูเหมือนว่าจะเน้นไปที่ความมั่งคั่งและการมี “อิสรภาพทางการเงิน”  แต่ถ้าคิดให้ลึกขึ้นไปอีกนิดหนึ่งเราก็ต้องบอกว่าเป้าหมายสุดท้ายจริง ๆ นั้นก็คือ  การมีความสุขในชีวิต  ซึ่งเงินก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการทำให้เรามีความสุข   อย่างไรก็ตาม  ลำพังแต่เงินนั้น  มันอาจจะไม่สามารถสร้างความสุขได้จริง  เพราะความสุขนั้น  มักจะมาจากแหล่งอื่น ๆ  โดยที่เงินเป็นเพียงปัจจัยที่  “อำนวย”  ให้เกิดความสุข  มากกว่าที่มันจะก่อให้เกิดความสุขโดยตัวของมันเอง  เพราะจากการศึกษาของ Arthur Brooks ประธานของสถาบัน American Enterprise ที่มีการเผยแพร่เป็นหนังสือเมื่อเร็ว ๆ นี้  ได้พบว่าใครคือคนที่มีความสุขรวมถึงเหตุผลว่าเพราะอะไร   และในสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้  ผมก็จะพยายามอธิบายว่า  ในฐานะของ VI  เราจะเป็นคนที่มีความสุขไหม  และเราจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรที่จะทำให้เรามีความสุขมากที่สุด
	เรื่องแรกที่พบก็คือ  ยีนส์เป็นสิ่งที่มีบทบาทในการกำหนดความสุขของคนเรามาก  ข้อนี้ส่วนตัวผมเองคิดว่าเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง  คนบางคนนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีเงินทองอะไรมากนัก  แต่ชีวิตเขาก็ดูมีความสุขดีกว่าคนที่รวยกว่ามาก  ประเด็นก็คือ  เขามีอารมณ์ที่ดีอยู่เสมอ  เขาไม่เป็นคนที่  “ดิ้นรน”  หาเงินทองอะไรมากนักและพึงพอใจกับการใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ   เขาเป็นคนไม่เครียดและ “ปล่อยวาง”  ในเรื่องต่าง ๆ  ได้มาก  ซึ่งทั้งหมดนั้น  ผมคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะมาจากยีนส์ของเขาที่กำหนดให้เขาเป็นคนอย่างนั้นมากกว่าที่จะมาจากการอบรมสั่งสอนหรือจากสภาวะแวดล้อมรอบตัว  ในทางตรงกันข้าม  คนอีกคนหนึ่งอาจจะเกิดมาเป็นคนที่มีอารมณ์ “ร้าย”  หรืออารมณ์รุนแรง  มีเรื่องอะไรมากระทบก็จะตอบสนองมากกว่าปกติ  เขาอาจจะเป็นคน  “ขี้หงุดหงิด”  หรืออาจจะเป็นคน  “ขี้กังวล”  หรือมองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา  ดังนั้น  แม้ว่าเขาอาจจะมีเงินมากเหลือเฟือ  เขาก็มักจะมีความสุขน้อยกว่าคนแรก
นอกจากเรื่องของจิตใจแล้ว  ยีนส์ยังมีส่วนสำคัญในการกำหนดสุขภาพทางกายของแต่ละคนค่อนข้างมาก  คนที่เกิดมามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์  มีภูมิต้านทานโรคสูง  และไม่มีจุดอ่อนของยีนส์ที่จะทำให้ร่างกายเสื่อมถอยเป็นโรคที่ไม่มีเชื้อเช่น  เบาหวาน  มะเร็ง  และอื่น ๆ  อีกมาก นั้น  ผมคิดว่าเขาน่าจะมีความสุขมากกว่าคนที่เกิดมาด้วยยีนส์ที่อ่อนแอกว่า  มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือมีโอกาสที่จะเกิดโรคความเสื่อมของร่างกายที่จะทำให้เกิดโรคร้ายโดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น  ในกรณีแบบนี้  คนที่มียีนส์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านอารมณ์จิตใจและทางด้านร่างกายก็น่าที่จะมีความสุขมากกว่า   และดังนั้น  ผมเองคิดว่าเขาเป็นคนที่โชคดีไม่แพ้คนที่  “เกิดมารวย”
	ข้อสรุปเรื่องที่สองก็คือ  ความยากจนนั้น  จะลดความสุขในชีวิตลง  แต่คนที่มีเงินถึงจุดหนึ่งแล้ว  เงินที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ช่วยให้ความสุขเพิ่มขึ้นมากนัก  ประเด็นก็คือ  เงินเท่าไรถึงจะเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขเกือบเต็มที่?  สำหรับเรื่องนี้  ผมคิดว่าคำตอบคงขึ้นอยู่กับแต่ละคน  แต่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ  เราจะต้องดูว่ารายจ่ายของเรานั้น  เริ่ม “นิ่ง” หรือยัง?  คนที่ยังไม่แต่งงานหรือยังไม่มีลูกครบจำนวนตามที่ต้องการนั้น  จะไม่สามารถบอกได้เลยว่ารายจ่ายจะเป็นอย่างไรในอนาคต  ดังนั้น  การคำนวณว่าเราจะต้องมีรายได้เท่าไรหรือพอร์ตลงทุนเท่าไรจึงจะทำให้เรามีความสุขค่อนข้างเต็มที่นั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย  คำแนะนำของผมก็คือ  เราควรจะมีเงินมากกว่าที่เราคิดว่าจำเป็นที่จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงินซักเท่าตัวเพื่อเป็นหลักประกันว่าเราจะมีความสุขค่อนข้างเต็มที่ตาม  “ศักยภาพ”  ของเรา
	เรื่องที่สามที่ผมคิดว่าสำคัญมากและคนทั่วไปอาจจะไม่ตระหนักก็คือข้อสรุปที่ว่า  เมื่อความต้องการทางด้านวัตถุและบริการพื้นฐานของเราได้รับการตอบสนองแล้ว  งานที่เราพึงพอใจนั้นมีความสำคัญมากกว่าเงิน  สิ่งที่คนเราต้องการนั้น  ไม่ใช่สักแต่ว่าเป็นความสำเร็จ  แต่จะต้องเป็นความสำเร็จที่เกิดจากความพยายามหรือความสามารถของเราไม่ใช่ความสำเร็จที่เกิดโดยโชคหรือความบังเอิญเช่น  การถูกหวยหรือลอตเตอรี่หรือจากการพนัน  เพราะจากการศึกษาพบว่า  คนที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลแจ็คพอตนั้น  หลังจาก 6 เดือนผ่านไป  ความสุขกลับลดลง  ผมเองคิดว่าคนที่เป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จและมีเงินมากนั้น  หลังจากเลิกเล่นแล้ว  แม้ว่าจะยังมีเงินแต่ความสุขน่าจะลดลงมาก  สำหรับ VI ที่ประสบความสำเร็จเองนั้น  ผมก็คิดว่า  ความสุขที่เกิดจากการได้เงินนั้นจะเกิดขึ้นมากในช่วงแรก ๆ  แต่ในระยะยาวต่อมาที่มีเงินมากขึ้นและมากขึ้น   ความสุขจากการได้เงินเพิ่มก็จะลดน้อยลงแต่จะกลายมาเป็นความสุขที่เกิดจากความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จจากการลงทุนมากกว่า  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนยังลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ  แม้ว่าจะมีเงินมากมายเหลือเฟือแล้ว
	เรื่องที่สี่ก็คือ  การศึกษาพบว่า  คนที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมนั้น  โดยทั่วไปมักจะมีความสุขมากกว่าพวกที่เป็นนักเสรีนิยม  เหตุผลนั้นผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะคนที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมนั้น  มักจะมีที่  “ยึดเหนี่ยว”  มากกว่า  พวกเขามีศรัทธาและความเชื่อต่อศาสนา  ครอบครัว  และขนบธรรมเนียมประเพณีโดยที่อาจจะไม่มีการ  “ตั้งคำถาม” อะไรที่จะทำให้จิตใจว้าวุ่น  ในขณะที่คนที่เป็นนักเสรีชนนั้น  มักจะคิดมากกว่าและตั้งคำถามกับสิ่งเป็นอยู่  ซึ่งบ่อยครั้ง  เขาอาจจะรู้สึกไม่เห็นด้วยและต่อต้าน - อย่างน้อยก็ในใจ  และนั่นก็อาจจะทำให้พวกเขารู้สึก  “แปลกแยก”  และทำให้มีความสุขน้อยลง
	การศึกษายังสรุปด้วยว่า  แหล่งของความสุขนั้น  อย่างน้อยมี 4 อย่างที่สำคัญและอยู่ในความควบคุมของเราเองและไม่เกี่ยวกับเรื่องของเงิน  นั่นก็คือ  ความศรัทธา  ครอบครัว  เพื่อน  และงาน  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  คนเราจะมีความสุขมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเรามีหรือเราสร้างสิ่งต่าง ๆ  เหล่านั้นในทางที่ดี ๆ  ไว้มากน้อยแค่ไหนด้วย   คร่าว ๆ  ก็คือ  ถ้าเรามีศรัทธาในคำสอนหรือศาสนา  มีครอบครัวที่อบอุ่น  มีเพื่อนสนิทที่สามารถปรึกษาหารือได้  และมีงานที่เราพอใจและมีความสุขที่จะทำ  เราก็จะมีความสุขในระดับหนึ่งแล้วเมื่อเทียบกับคนที่  “ขาดตกบกพร่อง”  ในประเด็นดังกล่าว  ว่าที่จริงมีการศึกษาที่พบว่าคนที่เข้าโบสถ์โดยเฉลี่ยมีความสุขกว่าคนที่ไม่ไป  คนที่แต่งงานมักมีความสุขมากกว่าคนโสด  เช่นเดียวกับคนที่มีเพื่อนมากและคนที่พึงพอใจในงานที่มักจะมีความสุขมากกว่าคนที่มีเพื่อนน้อยและไม่ชอบงานของตนเอง
	การเป็น VI นั้น  ผมคิดว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียในแง่ของความสุข  เรื่องของพื้นฐานสุขภาพใจและกายที่เป็นเรื่องของยีนส์นั้น  เราเลือกไม่ได้เป็นเรื่องของ  “ดวง”  แต่การเป็น VI โดยเฉพาะที่ประสบความสำเร็จพอสมควรนั้น  ผมคิดว่าจะช่วย “ปลดปล่อย”  ความเครียดและความกังวลจากงานประจำและน่าจะมีเวลาที่จะดูแลสุขภาพของตนเองได้ดีขึ้นซึ่งก็จะช่วยส่งเสริมให้มีความสุขมากขึ้น  นี่เป็นข้อดีที่ผมเห็นข้อแรก   เรื่องของเงินหรือความยากจนที่อาจจะทำให้ความสุขลดลงนั้น  ผมก็คิดว่าการเป็น VI น่าจะช่วยได้ไม่น้อย  โดยเฉพาะถ้าเราลงทุนทบต้นไปเรื่อย ๆ  ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินของเราเพิ่มพูนขึ้นตามอายุของเราซึ่งจะสอดคล้องกับรายจ่ายของเราที่มักจะเพิ่มขึ้นเมื่อเรามีลูกและต้องดูแลคนสูงอายุ  ดังนั้น  นี่ก็ส่งเสริมความสุข  ประเด็นต่อมาคือเรื่องของงานหรือความสำเร็จจากการกระทำนั้น  ผมเชื่อว่า  VI ส่วนใหญ่น่าจะชอบการลงทุนของตนเอง  พวกเขาอยากทำงานนี้  และจะมีความสุขเมื่อเห็นพอร์ตโตขึ้นอย่างมั่นคง  นี่ก็เป็นความสุขที่สำคัญ  สุดท้ายที่ผมคิดว่าการเป็น VI อาจจะไม่ได้ช่วยให้เกิดความสุขเพิ่มก็คือ  เรื่องของแนวทางของความคิดและสังคม  นั่นก็คือ  VI นั้น  อาจจะเป็นคนที่ “คิดมาก”  กว่าปกติ  หลายคนเป็น “ศิลปินเดี่ยว”  มีความคิดที่อิสระและอาจจะมีเพื่อนน้อย  ซึ่งไม่ส่งเสริมการมีความสุข   อย่างไรก็ตาม  โดยรวมแล้ว  ผมคิดว่า  การเป็น VI นั้น  น่าจะเป็นหนทางที่มีความสุขมากขึ้นและมากกว่าคนอีกหลายอาชีพ
[/size]
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI กับความสุข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
theenuch
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1735
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI กับความสุข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบพระคุณมากค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
kotaro
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1495
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI กับความสุข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณ อาจารย์ครับสำหรับบทความ

นึกถึงเคยมีคนบอกผมว่า อย่าตั้งเอา "ความสุข" เป็นเป้าหมาย ครับ

Happiness is a not a destination, It is a journey.

รูปภาพ
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
seksan999
Verified User
โพสต์: 101
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI กับความสุข/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบพระคุณครับอาจารย์
โพสต์โพสต์