บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
-
Thai VI Article
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1593
- ผู้ติดตาม: 2
|0 คอมเมนต์
โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 กันยายน 2556
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นโรงงาน
ถ้าจะถามว่าหุ้นกลุ่มไหนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีผลงานหรือให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นน้อยกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญและ “น่าผิดหวัง” มากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ดัชนีตลาดได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่น ผมอยากจะตอบว่าคือ “หุ้นโรงงาน” นี่ไม่ใช่หุ้นที่แบ่งตามภาคอุตสาหกรรมและไม่น่าจะมีใครมาจัดหมวดหมู่แต่ผมคิดว่ามันเป็นกลุ่มหุ้นที่มีลักษณะในการ “ทำมาหากิน” ที่คล้ายคลึงกันในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ และมันแตกต่างจากหุ้นกลุ่มอื่นที่ไม่มีใครจัดเป็นหมวดหมู่เหมือนกันอย่างเช่น “หุ้นโรงเรือน” หรือ “หุ้นมียี่ห้อโดดเด่น”
คำนิยามของ “หุ้นโรงงาน” ของผมก็คือ “หุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ผลิตสินค้าเพื่อขายให้กับลูกค้าที่จะนำมันไปประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปหรือนำไปจัดจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคในชื่อยี่ห้อของเขา” ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็คือ บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็คโทรนิกส์ บริษัทที่ผลิตวัตถุดิบที่ผู้ซื้อนำไปใช้ในการผลิตสินค้าสำเร็จรูปเช่น ผ้าผืนหรือผลิตภัณฑ์บรรจุหีบห่อ เช่น กระดาษ ฟิล์มแบบต่าง ๆ และผู้ผลิตที่เป็น OEM ซึ่งก็คือผลิตสินค้าสำเร็จรูปภายใต้ยี่ห้อของลูกค้า เป็นต้น
หุ้นโรงงานนั้นเป็นกิจการที่มีจุดด้อยหลาย ๆ ประการมองในแง่ของธุรกิจ ประการแรกก็คือ สินค้าของบริษัทนั้น มักจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีลักษณะเหมือน ๆ กับสินค้าของคู่แข่งหรือผู้ผลิตอื่นนั่นคือมันมีคุณสมบัติและรูปสมบัติเหมือน ๆ กัน สินค้าของบริษัทแยกไม่ออกจากสินค้าของบริษัทอื่นยกเว้นเครื่องหมายการค้าที่อาจจะติดอยู่ที่หีบห่อ ว่าที่จริง เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าเองนั้นก็อาจจะซื้อมาจากบริษัทเดียวกัน วัตถุดิบก็เหมือนกัน ดังนั้น สินค้าที่ผลิตออกมาจึงเหมือนกัน ความแตกต่างถ้าจะมีก็อาจจะมาจากความสามารถหรือฝีมือในการผลิตของพนักงานและการควบคุมคุณภาพซึ่งผมเองคิดว่าเป็นความได้เปรียบที่ไม่ใคร่จะยั่งยืนเนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปคนก็ “เรียนทันกัน” ดังนั้น ราคาขายของสินค้าโรงงานจึงใกล้เคียงกันหมดและบริษัทกำหนดไม่ได้ ขึ้นอยู่กับราคาตลาด หรือราคาที่ทำให้บริษัทระดับกลาง ๆ พออยู่ได้ในภาวะปกติ
ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะช่วยให้บริษัทหนึ่งได้เปรียบคู่แข่งก็คือ ด้านของต้นทุนการผลิตที่อาจจะต่ำกว่าเนื่องจากเรื่องของค่าแรงและต้นทุนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะเนื่องจากขนาดของกำลังการผลิตที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ทำให้ Margin หรือกำไรต่อยอดขายของบริษัทดีนัก เหตุผลก็คือ ในธุรกิจการรับจ้างผลิตนั้น ผู้ซื้อมักจะเป็นรายใหญ่มีอำนาจในการต่อรองสูง โดยเฉพาะบริษัทของญี่ปุ่นนั้นมักจะมีนโยบาย “Cost Down” คือขอให้ Supplier ลดราคาชิ้นส่วนหรือสินค้าที่ขายลงทุกปีอาจจะปีละ 2-3% ซึ่งอาจจะทำให้กำไรของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนโตได้ยาก และในกรณีที่ต้นทุนการผลิตเช่นค่าแรงเพิ่มขึ้นมากอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ก็ทำให้กำไรของธุรกิจหุ้นโรงงานแทบจะไม่โตเลย
หุ้นโรงงานที่ผลิตสินค้าโดยเฉพาะที่เป็นชิ้นส่วนอีเล็กโทรนิกส์นั้น ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดก็จะเป็นการส่งออกซึ่งมักจะถูกกระทบจากปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เรื่องของค่าเงินที่ผันผวนทำให้ผลประกอบการของบริษัทไม่ใคร่แน่นอน ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งบริษัทมักขายสินค้าได้น้อยลง เช่นเดียวกับในยามที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าลดลง นอกจากนี้ ราคาของชิ้นส่วนอีเล็กโทรนิกส์เองก็ผันผวนคล้าย ๆ กับสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ เหมือนกัน ดูเหมือนว่าปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจในกลุ่มนี้อย่างชัดเจนจะเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่อ่อนลงอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในช่วงนี้ที่ทำให้หุ้นโรงงานในกลุ่มนี้ดูดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มันจะดำรงอยู่นานเท่าไรก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก และนี่ก็ทำให้หุ้นเหล่านี้ไม่สามารถที่จะมีคุณค่าหรือมีค่า PE ที่สูงได้
จุดอ่อนของหุ้นโรงงานยังอยู่ที่ด้านของการผลิตที่มักจะต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์จำนวนมากที่ต้องมีการลงทุนสูงเมื่อเทียบกับยอดขาย ดังนั้น เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง บริษัทก็มักจะต้องลงทุนเพิ่มในอัตราที่ค่อนข้างสูง นอกจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่เป็นโรงงานและเครื่องจักรแล้ว บริษัทก็มักจะต้องลงทุนสต็อกวัตถุดิบ สินค้า และการให้เครดิตทางการค้าแก่ลูกค้าค่อนข้างยาว ทำให้เม็ดเงินต้องไปจมอยู่ค่อนข้างมากแม้ว่าบางส่วนจะได้รับการชดเชยจากผู้ขายวัตถุดิบให้แก่ตนเองก็ตาม ดังนั้น กำไรของบริษัทจึงมักจะไม่สามารถนำมาจ่ายเป็นปันผลได้มากเหมือนกับธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่มักจะมีกระแสเงินสดดีกว่า ผลจากการนี้ทำให้ “คุณค่า” ของบริษัทโรงงานลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับกิจการอื่นที่มีกระแสเงินสดสูงกว่าและทำให้ค่า PE รวมถึงค่า PB หรือราคาต่อมูลค่าทางบัญชีของหุ้นโรงงานมักจะไม่สูง
ความเสี่ยงที่ “รุนแรง” ของหุ้นโรงงานนั้นก็มีไม่น้อยอยู่เหมือนกัน เรื่องแรกก็คือ โรงงานอาจจะ“ล้าสมัย” ได้เร็วกว่าที่กำหนดไว้ตามหลักการทางบัญชีที่ส่วนมากกำหนดไว้ประมาณ 10 ปี นี่ทำให้บริษัทต้องลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ใหม่เร็วกว่ากำหนดเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ และนี่ก็เป็นต้นทุนที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดรายได้และกำไรมากนัก ความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะรุนแรงยิ่งกว่าก็คือ การสูญเสียผู้ซื้อรายใหญ่ที่อาจจะมีมูลค่าการซื้อหลายสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัท และนี่อาจจะทำให้ผลประกอบการของบริษัททรุดได้อย่างไม่คาดฝัน การสูญเสียลูกค้ารายใหญ่นั้นอาจจะมีสาเหตุได้หลากหลายมาก เช่น ลูกค้ารายใหญ่อาจจะหันไปซื้อจากคู่แข่งที่ทำได้ดีกว่าหรือต้นทุนต่ำกว่าและบริษัทไม่สามารถแข่งขันได้ หรือลูกค้าอาจจะไปซื้อบริษัทหรือขยายงานเพื่อทำชิ้นส่วนเอง หรืออุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีอาจจะเปลี่ยนไปทำให้ชิ้นส่วนเดิมไม่ถูกใช้อีกต่อไป สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจทำให้ “พื้นฐาน”ของบริษัทเปลี่ยนไปและอาจกลายเป็น “หายนะ” ของการลงทุนในหุ้นโรงงานได้
การวิเคราะห์เพื่อที่จะกำหนดว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นโรงงานนั้น บางบริษัทก็ชัดเจนตรงตามคุณสมบัติดังที่กล่าว อย่างไรก็ตาม บางบริษัทก็อาจจะไม่ชัดนัก เหตุผลก็อาจจะมีหลากหลาย ถ้าบริษัทมีโรงงานเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตแต่สิ่งที่โรงงานผลิตนั้น ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียี่ห้อโดดเด่นที่ผู้บริโภคเรียกหาและบริษัทเป็นเจ้าของ แบบนี้ต้องถือว่ามันไม่ใช่หุ้นโรงงาน ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าผลิตภัณฑ์ของบริษัทดังกล่าวนั้น ส่วนใหญ่แล้วผลิตเป็น OEM ในขณะที่ส่วนน้อยหรือบางส่วนบริษัทติดยี่ห้อของตนเอง แบบนี้ แม้ว่ายี่ห้อจะโดดเด่นเราก็อาจจะบอกว่ามันเป็นหุ้นโรงงานอยู่ดี เป็นต้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ผมไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรลงทุนในหุ้นโรงงานเลย เพียงแต่จะบอกว่าการลงทุนในหุ้นโรงงานนั้น เราจะต้องรู้ว่าบ่อยครั้งมันมีข้อจำกัดและเป็นเรื่องยากที่มันจะเป็นหุ้นที่ดีระดับซุปเปอร์สต็อกได้ ในบางช่วงบางตอนนั้น อุตสาหกรรมบางอย่างอยู่ในภาวะที่สดใสมากและมีการเชียร์จากนักวิเคราะห์และเซียนหุ้นมากมาย ตัวอย่างเช่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอีเล็กโทรนิกส์ และอื่น ๆ จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงมากมองจากค่า PE และ/หรือ PB แต่แล้วหลังจากนั้น เมื่อภาพอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป กลับพบว่าหุ้นตกลงมามากมายและทำให้นักลงทุนเจ็บหนักจนคนเลิกสนใจไปเลย และนี่ก็อาจจะเป็นโอกาสลงทุนได้เหมือนกัน เพียงแต่เราต้องรู้ว่า หุ้นโรงงานตัวนั้นคุ้มค่าหรือไม่มองจากข้อจำกัดต่าง ๆ
[/size]
-
nighthawks
- Verified User
- โพสต์: 223
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ละเอียด ครบถ้วน ครอบคลุม และมีประโยชน์มากๆ อย่างทุกครั้งเลยครับ
ขอบคุณ ดร. มากครับ
-
ลูกหิน
- Verified User
- โพสต์: 1217
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบคุณมากนะครับ
-
kongkiti
- Verified User
- โพสต์: 5830
- ผู้ติดตาม: 2
|0 คอมเมนต์
รอฟัง “หุ้นโรงเรือน” กับ “หุ้นมียี่ห้อโดดเด่น” ต่อครับ ;p
-
Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบคุณมากครับ ดร.ครับ
-
Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
จุดนึงที่ผมตกหลุมหุ้นโรงงานคือ งบการเงินวิเคราะห์และเข้าใจง่ายครับ
มันก็เลยเหมือนกับที่เค้าว่ากันว่า ให้ลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจง่าย
ความหมายมันเลยไม่เหมือนกัน งบการเงินเข้าใจง่ายไม่ใช่ธุรกิจที่เข้าใจง่าย ครับ กับดักมันอยู่ตรงนี้
ตอนนี้ผมหนีจากกับดักนั้นแล้วครับ ดร.
-
kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบคุณ อาจารย์มากครับ
สิ่งหนึ่งที่อาจารย์วิเคราะห์นั้น ไม่ใช่วิเคราะห์แค่หุ้น แต่อาจารย์วิเคราะห์ถึง nature of business เลยครับ
ลองว่าแชร์กันดูนะครับ ว่าถ้าดูตาม Supply Chain ง่ายๆแบบนี้คือ
Manufacturer --> Wholesaler --> Retailer --> customer
3 กลุ่มนี้ คือ Manufacturer หรือ กลุ่มโรงงาน
Wholesaler หรือกลุ่มค้าส่ง
Retailer หรือกลุ่มค้าปลีก
เพื่อนๆคิดว่าสินค้าที่ผลิตจาก โรงงาน จนไปถึงมือ customer นั้น
GPM % ที่ manufacture , wholesaler และ retailer จะได้ส่วนแบ่งกันเท่าไหร่
เห็นตัวเลขแล้วจะไม่อยากเป็น manufacturer และ wholesaler เลยครับ
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company
-
pakhakorn
- Verified User
- โพสต์: 957
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
กลุ่มคนที่ประท้วงอยู่มากมาย ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่ ก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ในหน่วยของผู้ผลิต
ขอบคุณ อาจารย์มาก ครับ
-
paoz
- Verified User
- โพสต์: 91
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
อธิบายได้เข้าใจดีมากๆเลยครับ
-
nut776
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอแถม
developer vs contractor ด้วยคับ
หรือจะเป็น apple vs fox con ก็ได้
เสริมจากพี่ kotaro
บ. ที่ดี ไม่ใช่แค่มีอำนาจต่อรอง หรือ ใกล้ชิด ผบภ จนปรับราคาได้ง่าย
แต่มันรวมถึงการผลักความเสี่ยงต่างๆ ออกจาก บ.
แล้ว transfer ไป ให้ บ. อื่นได้ด้วย
-
seksan999
- Verified User
- โพสต์: 101
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบพระคุณครับอาจารย์
-
mooakiko
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบคุณครับ สำหรับหุ้นโรงงาน
-
bestberry
- Verified User
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบคุณมากครับ
-
theenuch
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1735
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบพระคุณค่ะ
-
sipoonya
- Verified User
- โพสต์: 469
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
หุ้นโรงเรือน Contributed by ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ระยะนี้มีหุ้นกลุ่มหนึ่งที่มีราคาปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น หุ้นกลุ่มนี้กระจายอยู่ในหลายหมวดอุตสาหกรรมและทำธุรกิจแตกต่างกันออกไปค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มนี้มีคุณลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่มีทรัพย์สินที่ใช้ทำมาหากินหลักที่เป็นอาคารหรือเป็นโรงเรือนหรือเป็นร้านค้า
เหตุผลที่ทำให้หุ้นโรงเรือนมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงนี้ผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งอาจจะมาจากการที่ราคาของอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคาร ที่ดิน หรือสิทธิการเช่าต่าง ๆ มีราคาปรับตัวขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นจากภาวะวิกฤติ ดังนั้น กิจการที่มีทรัพย์สินที่เป็นอาคาร ที่ดิน มาก ก็จะได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาทรัพย์สินนั้น และนักลงทุนเริ่มเห็น
เหตุผลข้อสองก็คือ การที่ธุรกิจต้องอาศัยอาคารโรงเรือนในการประกอบธุรกิจ นั่นหมายความว่าลูกค้าต้องเดินทางมาใช้บริการ และนั่นหมายความว่า ลูกค้าอาจจะไม่อยากเดินทางไกลเพื่อไปหาซื้อของหรือบริการจากคู่แข่งหรือร้านอื่นถ้าผลประโยชน์ที่จะได้รับไม่คุ้มที่จะทำ นี่อาจจะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Local Monopoly หรือการผูกขาดในท้องถิ่นเนื่องจากทำเลของสถานที่ให้บริการ
เหตุผลข้อสุดท้ายอาจจะเป็นเรื่องของทำเลที่กิจการมีอยู่อาจจะโดดเด่นมากและเป็นทำเลที่หาไม่ได้อีกหรือหาได้ยากมาก หรือเรียกว่าเป็น Strategic Location ดังนั้น กิจการจึงมีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน และความได้เปรียบนี้กำลังแสดงให้เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสามารถทำเงินได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอน มีเหตุผลอื่น ๆ ด้วยที่เข้ามาประกอบที่ทำให้บริษัทมีความโดดเด่นและทำกำไรได้ดีนอกจากเรื่องของโรงเรือน ทั้งในด้านของแนวโน้มอุตสาหกรรม ผู้บริหาร และอื่น ๆ แต่การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่โดดเด่นในช่วงนี้ผมคิดว่าหนีไม่พ้นว่าส่วนสำคัญอย่างหนึ่งน่าจะเกิดจากปัจจัยทางด้านของโรงเรือนจนน่าจะพูดได้ว่าเป็น คลื่นของหุ้นกลุ่มโรงเรือน เพราะหุ้นจำนวนมากในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นกันเป็นระลอก มาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นค้าปลีกสมัยใหม่หรือ Modern Trade ที่ผมเคยพูดไว้ในหลายโอกาสหุ้นกลุ่มนี้เป็นสุดยอดของหุ้นโรงเรือน เพราะมีร้านค้ากระจายกันไปมากมายทั่วประเทศ การแข่งขันกับคู่แข่งมักจะมีจำกัดด้วยเงื่อนไขของระยะห่างของแต่ละร้านซึ่งก่อให้เกิด Local Monopoly อ่อน ๆ และนี่ทำให้หุ้นในกลุ่มนี้มีราคาปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นมาเป็นเวลาพอสมควรและน่าจะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์กลุ่มหนึ่งในช่วงนี้
หุ้นของกิจการที่ขึ้นชื่อด้วยคำว่าโรงดูเหมือนว่าจะมีความโดดเด่นและดีขึ้นต่อเนื่อง เริ่มจากหุ้นของโรงพยาบาลบางแห่งที่มีชื่อเสียงโดดเด่น ตามมาด้วยโรงพยาบาลที่ขยายตัวเร็ว และสุดท้ายถึงโรงพยาบาลทั่ว ๆ ไป ทั้ง ๆ ที่ในอดีตโรงพยาบาลเป็นหุ้นที่เงียบเหงาไม่ไปไหน โรงพยาบาลนั้น ชัดเจนว่ามีอำนาจในการผูกขาดในระดับท้องถิ่นไม่น้อย และโรงพยาบาลนั้นมักจะไม่ต้องแข่งขันกันทางด้านราคามากนัก ทำให้กำไรของโรงพยาบาลค่อนข้างจะสม่ำเสมอและเพิ่มขึ้นอย่างมีเหตุผลโดยที่อำนาจต่อรองของลูกค้าแทบไม่มี
หุ้นที่ขึ้นต้นด้วยคำว่าโรงกลุ่มต่อไปก็คือหุ้นโรงแรม หุ้นกลุ่มนี้ที่โดดเด่นน่าจะเริ่มจากโรงแรมที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีธุรกิจอื่นประกอบเฉพาะอย่างยิ่งก็คือร้านอาหาร ตามมาด้วยโรงแรมที่ดูเหมือนว่าจะมีทรัพย์สินคือตัวโรงแรมที่มีค่าสูงถ้าจะสร้างใหม่ และในที่สุดก็คงตามมาด้วยโรงแรมทั่ว ๆ ไป
หุ้นโรงต่อไปก็คือหุ้นโรงงานหรือหุ้นที่ทำโรงงานขายและ/หรือให้เช่า ซึ่งก็น่าจะเกิดจากการที่ทรัพย์สินมีค่ามากขึ้นเมื่อมีการขายทรัพย์สินออกไปเฉพาะอย่างยิ่งโดยผ่านทางกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็ทำให้เกิดกำไรอย่างมีนัยสำคัญและมีผลทำให้หุ้นมีผลงานที่โดดเด่นน่าประทับใจ
หุ้นโรงเรือนที่สร้างผลงานได้ดีพอสมควรยังประกอบไปด้วยหุ้นของกิจการภัตตาคาร หุ้นโรงภาพยนต์ หุ้นที่ทำช็อปปิงมอล และอาจจะมีหุ้นอื่น ๆ ที่ผมคิดไม่ถึงและไม่มีพื้นที่พอที่จะบรรยายได้หมด แต่ก็เป็นจุดที่นักลงทุนสามารถที่จะไปค้นหาและอาจจะพบหุ้นที่เข้าข่ายนี้ซึ่งอาจจะมีศักยภาพที่จะทำกำไรที่โดดเด่นได้ ข้อที่น่าสังเกตก็คือ หุ้นของบริษัททำบ้านจัดสรรขายนั้นในความเห็นของผม ไม่ใช่หุ้นโรงเรือน เพราะในภาวะปัจจุบันนั้น บริษัทส่วนใหญ่ไม่สะสมที่ดินเพื่อพัฒนาอย่างในสมัยก่อน
[b]อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่ทุกบริษัทหรือทุกหุ้นที่เป็นหุ้นโรงเรือนแล้วจะต้องเป็นหุ้นที่ดีน่าลงทุนไปหมด เพราะหุ้นโรงเรือนบางตัวอาจจะไม่ดีจริง หรือหุ้นโรงเรือนบางตัวอาจจะมีราคาขึ้นไปสูงมากเกินไปแล้ว การลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นหนีไม่พ้นที่จะต้องวิเคราะห์ตามมาตรฐานของ Value Investment ทุกประการ การเป็นหุ้นโรงเรือนนั้น อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์ เพราะนี่เป็น คลื่น ที่น่าจะก่อตัวขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว