โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 27 กรกฎาคม 2556
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ฮอร์โมนกับการลงทุน
ซีรี่ละครทางเคเบิลทีวีเรื่อง “ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น” กำลังร้อนแรงเป็นที่กล่าวขวัญกันมากมาย ก่อนหน้านี้ก็ในหมู่วัยรุ่นที่เป็นเป้าหมายหลักของคนสร้าง แต่ในขณะนี้สังคมทั่วไปก็ดูเหมือนกับเริ่มเข้ามาสนใจมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ผู้แสดงนำวัยรุ่นคนหนึ่งมีข่าวเข้าไปเกี่ยวข้องกับการลองใช้ยาเสพติดในชีวิตจริงที่คล้ายกับละครด้วย เนื้อหาของละครเป็นเรื่องของชีวิตของเด็กวัยรุ่นที่กำลังเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเป็นผู้ใหญ่ และในกระบวนการนั้น พวกเขาจำนวนมากไม่รู้หรือไม่สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นที่รุนแรงที่สุดนั้น แน่นอน ก็คือเรื่องของเพศที่เด็กหญิงกับเด็กชายจะเริ่มมีความแตกต่างกันมากทั้งในด้านของร่างกายและจิตใจ ความแตกต่างนี้ในทางชีววิทยาเกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานของฮอร์โมนเพศซึ่งสำหรับผู้หญิงก็คือ Estrogen และสำหรับเพศชายก็คือ Testosterone แต่ว่าที่จริงฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้ ไม่ได้มีผลเฉพาะกับวัยรุ่นและความเป็นชายหรือหญิงเท่านั้น มันยังมีผลต่อความคิด พฤติกรรม และความสามารถของคนที่แตกต่างกันด้วย มาดูกันว่า ฮอร์โมนโดยเฉพาะ เทสทอสเทอโรนที่มีมากในคนเพศชายมีผลอะไรกับการลงทุนกันบ้าง
การศึกษาทางชีววิทยาสมัยใหม่นั้นพบว่าฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนหรือ “ฮอร์โมนเพศชาย” นั้น ทำให้ผู้ชายมักจะมีความสามารถและพฤติกรรมที่แตกต่างจากผู้หญิงที่มีฮอร์โมนเอสโทรเจนหรือ “ฮอร์โมนเพศหญิง” มากกว่า หลัก ๆ ก็คือ ผู้ชายนั้นร่างกายถูก “ออกแบบ” ผ่านระบบฮอร์โมนโดยเฉพาะเทสทอสเทอโรนให้มีความเหมาะสมกับการเป็น “นักล่า” ซึ่งจะต้องแข็งแรงกว่า กล้าเสี่ยงกว่า และมีความสามารถในการคิดที่เป็นมิติสัมพันธ์เช่น เรื่องของทิศทาง ความเร็ว แผนที่ การคำนวณต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถเดินทางไปล่าสัตว์และนำอาหารกลับมาเลี้ยงลูกเมียได้ ส่วนผู้หญิงนั้น ถูกออกแบบผ่านการมีฮอร์โมนเอสโทรเจนมากให้มีความเหมาะสมกับการเป็น “ผู้เก็บสะสมและดูแลลูก” ซึ่งจะต้องมีความอ่อนโยน ไม่ค่อยกล้าเสี่ยง เข้าใจและสามารถอ่านความรู้สึกของคนอื่นว่าต้องการอะไรมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถดูแลเลี้ยงดูลูกที่ยังเล็กให้อยู่รอดจากภยันตรายต่าง ๆ
หลักฐานที่แสดงว่าความแตกต่างที่กล่าวข้างต้นเป็นจริงนั้นมีให้เห็นเต็มไปหมด ดูกันง่าย ๆ ก็อย่างเรื่องของการขับรถหรือการทำงานทางด้านของช่างหรือการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยความแม่นยำนั้น ผู้ชายจะมีความสามารถสูงกว่าผู้หญิงมาก แต่ที่จะเกี่ยวข้องกับการลงทุนนั้นผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการคำนวณซึ่งผู้ชายมักจะทำได้ดีกว่าผู้หญิงโดยเฉพาะที่ขยันเรียนเท่ากัน สถิติของการแข่งขันคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์โอลิมปิกนั้นผมเชื่อว่าเด็กนักเรียนชายนั้นน่าจะได้เหรียญทองมากกว่านักเรียนหญิงมาก และนี่นำมาสู่ประเด็นว่าผู้ชายมีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นโดยเฉพาะทางด้านเชิงปริมาณสูงกว่าผู้หญิง และนี่ก็ทำให้ Value Investment ซึ่งต้องอาศัยการวิเคราะห์ตัวเลขค่อนข้างมากนั้น เป็นสิ่งที่อยู่ในแวดวงของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมาก
การ “กล้าเสี่ยง” ของผู้ชายที่มีฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนมากนั้น ทำให้ผู้ชายกล้าที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงในขณะที่ผู้หญิงมักจะ Conservative หรืออนุรักษ์นิยมกว่าจึงมักจะไม่กล้าที่จะลงทุนซื้อขายหุ้นมากนัก หรือถ้าเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วก็มักจะไม่กล้าเสี่ยงซื้อหุ้นในปริมาณที่มากเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งทั้งหมด ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายบางคนที่มีเทสทอสเทอโรนสูงกว่าปกติก็อาจจะกล้ารับความเสี่ยงอย่างมากโดยการซื้อขายหุ้นน้อยตัวและอาจจะใช้มาร์จินมาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างเต็มที่ และนี่อาจจะทำให้ผู้ชายในกลุ่มนี้บางคนสามารถสร้างผลตอบแทนมหาศาลสุดยอดแต่บางคนก็อาจจะขาดทุนจนล้มละลายได้เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือสถานการณ์ตลาดไม่เอื้ออำนวย ความเชื่อของผมก็คือ โดยเฉลี่ยแล้ว ความกล้าเสี่ยงมากกว่าไม่ได้ทำให้ผู้ชายชนะในการลงทุนเมื่อเทียบกับผู้หญิง
สัญชาติญาณของ “นักล่า” ของคนที่มีฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนมากนั้น ทำให้ผู้ชายน่าจะชอบเทรดหรือซื้อขายหุ้นมากกว่า ในขณะที่การเป็นนักเก็บรวบรวมสะสมของผู้หญิงนั้น น่าจะทำให้ผู้หญิงมีปฏิกริยาหรือซื้อขายหุ้นน้อยกว่าผู้ชาย พูดง่าย ๆ ผู้หญิงน่าจะเป็นนักลงทุนระยะยาวที่สร้างผลตอบแทนจากการถือหุ้นหรือธุรกิจที่โตไปเรื่อย ๆ มากกว่าผู้ชายที่พร้อมที่จะ “กิน” นักลงทุนคนอื่นโดยการซื้อหรือขายหุ้นเปลี่ยนตัวหุ้นไปมากกว่าผู้หญิง
การถูกออกแบบตามธรรมชาติให้เป็น “ผู้หาอาหาร” ของผู้ชาย ในขณะที่เป็น “คนดูแลบ้านและลูก” ของผู้หญิงนั้น ทำให้การ “ลงทุนในหุ้น” ซึ่งเป็นลักษณะของ “การหาอาหารยุคใหม่” เป็นเรื่องของผู้ชายมากกว่าผู้หญิงโดยเฉพาะที่เป็นการลงทุนแบบ “เพื่อชีวิต” ที่นักลงทุนทุ่มเททั้งเรื่องของเงิน เวลา และชีวิตจิตใจให้กับการลงทุน จากการสังเกตของผมแล้ว VI ผู้มุ่งมั่นในเมืองไทยนั้น ร้อยละ 90 ยังเป็นผู้ชาย พูดถึงนักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่กำลังสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ยังเป็นหนุ่มมากกว่าสาวค่อนข้างมาก ผมเองคิดว่าหน้าที่ “ผู้หาอาหาร”กับ “คนดูแลบ้านและลูก” ในสมัยนี้อาจจะอิงอยู่กับเรื่องเพศน้อยลงไปมากแล้ว แต่เรื่องของการลงทุนในหุ้นเองนั้น มันคงอิงอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างที่ไม่ใช่เรื่องของการ “หาอาหาร” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ “ความเสี่ยง” และ “ความเข้าใจในด้านของตัวเลข” ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องของความถนัดของผู้ชายและเป็นจุดอ่อนของผู้หญิง ดังนั้น ผู้หญิงในยุคนี้จึงคงยังไม่สบายใจนักที่จะทำในขณะที่พวกหล่อนต่างก็พร้อมกันออกไป “หาอาหาร” โดยการทำงานประจำในธุรกิจต่าง ๆ ไม่น้อยกว่าผู้ชายไปแล้ว
ฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนนั้น นิยามของมันอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ฮอร์โมนของผู้ชนะ” นั่นคือ ถ้าคุณอยากชนะหรือคนที่จะชนะนั้นคุณจะต้องมีฮอร์โมนตัวนี้ให้มาก เพราะมันเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้คนอยากแข่งขันชิงดีชิงเด่น ธรรมชาติสร้างผลกระทบนี้ขึ้นมาเพื่อดึงดูดเพศหญิงให้ชอบหรือมองหาผู้ชายที่จะเป็นผู้ชนะซึ่งจะเป็นพ่อที่ดีของลูกและเป็นผู้นำครอบครัว ดังนั้น นักลงทุนผู้ชายจึงมักจะเป็นนักลงทุนที่ Aggressive หรือกล้าได้กล้าเสียกว่าผู้หญิง สิ่งนี้ผมไม่ได้คิดว่าดีหรือไม่ดี เพราะการกล้ามากเกินไปก็อาจจะทำให้ผิดพลาดร้ายแรงได้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ระมัดระวังมากนั้น แม้ว่าโอกาสเสียหายร้ายแรงจะน้อย แต่โอกาสที่จะโดดเด่นก็ยากเช่นเดียวกัน ดังนั้น เราจึงแทบไม่เคยได้ยินเซียนหุ้นระดับโลกที่เป็นผู้หญิงเลย ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวว่ามีชมรมนักลงทุนในสหรัฐที่เป็นผู้หญิงล้วนกลุ่มหนึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมได้และมีการเขียนหนังสือการลงทุนที่มีชื่อเสียงออกมาชื่อ The Beardstown Ladies Common-Sense Investment Guide แต่หลังจากนั้นก็พบว่าข้อมูลผลตอบแทนที่ใช้อ้างนั้นผิดพลาดและการลงทุนไม่ได้ดีอย่างที่อ้าง นอกจากนั้น ถ้าเราดูกันที่ประวัติหรือสถิติของเซียนหุ้นระดับโลกอย่างเช่นที่มีการเขียนเป็นหนังสือออกมาอยู่เรื่อย ๆ ก็จะพบว่ามีเซียนหุ้นที่เป็นผู้หญิงน้อยมาก ๆ หรือแทบไม่มีเลย
“ฮอร์โมนของการลงทุน” นั้น หรือที่จริงก็คือฮอร์โมนที่มีผลต่อความคิด ความสามารถ หรือพฤติกรรมของคน ยังมีอยู่มากมาย ตัวอย่างเช่น ฮอร์โมน Adrenaline ที่ทำให้คน “ตอบสนองต่ออันตราย” อย่างทันท่วงทีเพื่อให้มนุษย์เอาตัวรอดได้ในยามคับขัน ก็เป็นสิ่งที่น่าจะมีผลต่อการลงทุนไม่น้อย เพราะนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนขายหุ้นเวลามีข่าวที่ “น่าสะพรึงกลัว” ทั้งที่มันอาจจะไม่เกี่ยวกับพื้นฐานของกิจการ ซึ่งทำให้เราเสียประโยชน์ไปมาก ดังนั้น เพื่อที่จะทำให้ฮอร์โมนเป็นมิตรกับเรา สิ่งที่ต้องทำก็คือ เราต้องรู้และเข้าใจมันและต้องควบคุมมันด้วยเหตุผลที่มีการไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุน