โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 24 กุมภาพันธ์ 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้นล่าฝัน
ในยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดขีดนั้น ถ้าสังเกตดูคร่าวๆ ก็จะพบว่า หนึ่ง บริษัทขนาดใหญ่มีกำไรเพิ่มขึ้นบ้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่มากนัก คิดทั้งปีก็อาจจะโตซัก 10% -15% เรียกว่าไม่ได้โดดเด่นมากขนาดที่จะทำให้หุ้นขึ้นไปได้ถึง 30%-40% อย่างที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่ก็คือ พวกเขามักจะมีแผนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นมาก มีการกู้เงินหรือบางทีก็เพิ่มทุนกันขนานใหญ่เพื่อที่จะไปลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ สอง บริษัทเล็กๆ นั้นมักมีกำไรที่โตแบบ “ก้าวกระโดด” ซึ่งมีสาเหตุจากการที่ภาวะเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมที่ดีขึ้นและอื่นๆ อีกมากมายรวมถึงการที่บริษัทเหล่านั้นมีขนาดเล็ก กำไรที่เคยมีก็มักจะน้อยหรือมีฐานที่ต่ำ ดังนั้น เวลาที่กำไรดีขึ้น เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็จะสูง บางบริษัทจึงโตได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นไปนั้นกลับสูงลิ่วยิ่งกว่ามาก ผลก็คือ หุ้นตัวเล็กๆ มีค่า PE สูงมาก ค่า PE 30-40 เท่าจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ สาม หุ้นจำนวนไม่น้อยนั้น กำไรของบริษัทเองก็ไม่ได้โดดเด่นนัก บางบริษัทเองอยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่โตยากหรือแข่งขันหนัก การหวังให้กำไรเติบโตจึงทำได้ยาก ดังนั้น พวกเขาจะหาอะไรมาเป็นตัว “ขับเคลื่อนหุ้น” ที่มักจะพร้อมจะวิ่งอยู่แล้วถ้ามีอะไรมากระตุ้นในภาวะแบบนี้?
กลยุทธ์ที่จะใช้ในการขับเคลื่อนราคาหุ้นที่ “ทรงพลัง” มากอย่างหนึ่งในภาวะตลาดหุ้น “กระทิงดุ” ก็คือ การทำธุรกิจที่กำลังร้อนแรง เป็นธุรกิจแห่งอนาคต เป็นธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก และเป็นธุรกิจที่บริษัทเองนั้นก็อาจจะทำอยู่แล้ว หรือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่บริษัทอ้างว่าสามารถทำได้และมีความรู้ความสามารถเพียงพอ ถ้าจะให้เรียกแบบให้เห็นภาพผมอยากจะเรียกว่าเป็น “ธุรกิจในฝัน” ซึ่งความหมายอาจจะออกได้เป็นสองแนวทางนั่นคือ หนึ่ง มันเป็นธุรกิจ “ในฝัน” เพราะว่ามันเป็นธุรกิจที่คนทั่วไปรู้สึกว่ามันมีศักยภาพที่จะโตและทำกำไรได้มากมายซึ่งจะทำให้หุ้นมีมูลค่าสูงมาก เพราะนอกจากกำไรหรือค่า E ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ค่า PE ของหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ ผลก็คือ ราคาหุ้นก็จะวิ่งขึ้นไปได้หลายๆ เท่าอย่างง่ายดาย และในอีกความหมายหนึ่งก็คือ มันเป็นธุรกิจ “ในฝัน” เพราะว่ามันเป็นธุรกิจที่สามารถ “สร้างฝัน” ให้กับคนทำหรือนักลงทุนก่อนที่ “ผลลัพธ์” จะเกิดขึ้นจริงอีกนาน ซึ่งในระหว่างนี้ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไปได้มากมาย บางทีเป็นหลายเท่าตัว เพียงพอที่จะทำให้ใครต่อใครรวยไปได้มากมายอยู่แล้ว
มาดูกันว่าหุ้นบูมในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้มี “ธุรกิจในฝัน” อะไรที่บริษัทจดทะเบียนนำมาใช้ในการขับเคลื่อนหุ้นกันบ้าง เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นที่ราคาน้ำมันกำลังพุ่งขึ้นแรงก็คือ ถ่านหิน ซึ่งก็มีการพูดกันว่าเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่มีมากมายและจะมาแทนที่น้ำมันดิบที่กำลังหมดไป หุ้นที่ทำเกี่ยวกับถ่านหินอยู่แล้วหรือคนที่มีธุรกิจใกล้เคียงต่างก็เตรียมตัว “ลุย” ซึ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปไม่น้อย น่าเสียดายว่าความฝันเรื่องถ่านหินค่อนข้างสั้น นักเล่นหุ้นที่เข้าไปเก็งกำไรกับธุรกิจเกี่ยวกับถ่านหินบางคนที่ถอนตัวไม่ทันจึงน่าจะเจ็บตัวไป แต่เรื่องของพลังงานทดแทนนั้นไม่หมดลงไป ธุรกิจเกี่ยวกับเอทธานอลที่ทำจากผลิตผลการเกษตรก็เกิดขึ้น รวมถึงไบโอดีเซลเช่นน้ำมันที่ทำจากปาล์มน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ความฝันในเรื่องเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ไปไกลนัก ราคาหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวขึ้นไปมากนัก เหตุผลก็คงเป็นว่ามันได้รับการสนับสนุนจากรัฐค่อนข้างน้อยมากเนื่องจากไม่มีหน่วยงานรัฐที่จะมารับซื้อผลิตผลเป็นเรื่องเป็นราวในราคาที่ทำกำไรได้ ผลก็คือ มันกลายเป็น “ฝันร้าย” ในเวลาอันสั้น คนที่ทำกำไรจากฝันนี้น่าจะมีน้อยมาก
เรื่องของพลังงานทดแทนที่เป็นธุรกิจ “ในฝัน” จริงๆ น่าจะเป็นเรื่องของโซลาร์เซลหรือการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงแดด และพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลม ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจ “ในฝัน” ก็คือ การที่รัฐบาลมาช่วย “สร้างฝัน” ให้กับบริษัทและนักลงทุน นั่นก็คือ การไฟฟ้าจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับผู้ผลิตและขายไฟทุกหน่วยไฟฟ้าที่จ่ายเข้ามาในระบบของการไฟฟ้าซึ่งทำให้การทำธุรกิจนี้ไม่ขาดทุนและมีผลตอบแทนที่เหมาะสม นั่นก็คือ บริษัทที่ลงทุนได้ผลตอบแทนคุ้มค่าของเงินที่ลงทุนไปเช่น อาจจะปีละ 10% แต่นี่ก็คงจะไม่ใช่อะไรที่จะทำให้นักลงทุนจริงๆ ตื่นเต้น เพราะผลตอบแทนที่ 10% ต่อปีนั้น เป็นผลตอบแทนที่คนลงเงินจะต้องได้อยู่แล้ว ประเด็นอยู่ที่รัฐนั้น ยินดีที่จะจ่ายค่าชดเชยในช่วงประมาณซัก 8-9 ปีแรกมากผิดปกติที่จะทำให้บริษัทกำไรมากๆ และหลังจากนั้นบริษัทก็จะไม่ได้รับการชดเชยเลย พูดง่ายๆ บริษัทจะกำไรมากผิดปกติใน 8 ปีแรก และหลังจากนั้นจะ “ขาดทุน” และนี่ก็คือความฝันที่ “คนเล่นหุ้น” อยากได้ นั่นก็คือ กำไรของบริษัทในช่วงเวลาถึงแปดปีจะดูดีมาก บริษัทจะเป็นบริษัทที่ กำไรดีและ “โตเร็ว” รวมทั้งมีผลประกอบการที่ “สม่ำเสมอ” และถ้าจะแถมอีกก็คือ มีกระแสเงินสดที่ดีมากเนื่องจากการไฟฟ้าจะจ่ายเงินสดให้ตลอดเวลาโดยที่บริษัทไม่ต้องลงทุนเพิ่ม มองหยาบๆ อาจจะกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ดังนั้น ราคาหุ้นมีโอกาสที่จะ “พุ่งทะลุฟ้า” เพราะไม่มีคนสนใจว่าอีก 8-9 ปีที่กำไรอาจจะหายไปนั้นบริษัทจะทำอย่างไร คนเล่นหุ้นนั้น มีน้อยคนที่จะมองเกินปีสองปี แม้แต่นักลงทุนระยะยาวบางคนก็มองไม่เกิน 3-4 ปี ดังนั้น นี่คือฝันที่แท้จริงโดยเฉพาะในยามหุ้นบูม
ธุรกิจ “ในฝัน” ล่าสุดที่กำลังขับเคลื่อนราคาหุ้นหลายๆ ตัวในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับบันเทิง สิ่งพิมพ์ สื่อสาร และอื่นๆ ก็คือ ทีวีดาวเทียม ทีวีและทีวีดิจิตอล โทรศัพท์ระบบ 3G และอาจจะ 4G ซึ่งเป็นผลจากการที่ กสทช. จะเปิดให้มีการประมูลใบอนุญาตประกอบการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ธุรกิจที่กล่าวถึงทั้งหมดนั้นจะทำให้บริษัทที่เข้าไปประมูลสามารถที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณโดยที่รายจ่ายก็อาจจะไม่สูงนักเนื่องจากบริษัทอาจจะมีอุปกรณ์ และ/หรือมี Content หรือเนื้อหาอยู่แล้ว บริษัทเพียงแต่อาจจะต้องเพิ่มคนในการนำเสนอบ้างก็สามารถให้บริการหรือเข้าสู่ธุรกิจที่มี “กำไรสูงลิ่ว” เหล่านี้ได้ นักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างก็มองถึงอัตราค่าโฆษณาที่เป็นอยู่ว่าผู้ให้บริการรายใหม่คงจะได้ส่วนแบ่งไปไม่น้อย และนั่นจะทำให้กำไรของบริษัทก้าวกระโดด พวกเขาอาจจะลืมไปว่าตัวเลขที่ใช้นั้นคือตัวเลขอัตราค่าโฆษณาในภาวะ “ผูกขาด” ซึ่งอาจจะแตกต่างจากอัตราในภาวะที่มีการแข่งขันแบบ “เชือดคอ” ก็เป็นได้ แต่จะอย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ดูเหมือนว่าคนจะไม่สนใจเรื่องความจริง เขาสนใจเรื่องความฝัน ดังนั้น ราคาหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่ประกาศจะเข้ามาทำธุรกิจต่างก็วิ่งกันอุตลุต
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทที่ “ล่าฝัน” ทั้งหลายนั้น ในที่สุดก็จะพบกับความจริงที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ผมเชื่อว่าบริษัทจำนวนมากซึ่งน่าจะเป็นส่วนใหญ่จะล้มเหลวไม่ได้กำไรมากอย่างที่ฝันในธุรกิจใหม่ๆ ที่ร้อนแรงที่เข้าไปทำ ประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นที่พัฒนาทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม ก็จะมีบางบริษัทที่ทำธุรกิจ “ในฝัน” และประสบความสำเร็จสูงจนกลายเป็นบริษัทที่โดดเด่นและยิ่งใหญ่ และหุ้นของบริษัทที่ดีดตัวขึ้นไปมากในช่วงของ “ความฝัน” ก็จะยังเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้คนที่เข้าไปซื้อและถือไว้ยาวนานรวยไป ส่วนบริษัทที่ล้มเหลวไม่สามารถทำได้ตามที่ฝันไว้ หุ้นของบริษัทที่ปรับตัวขึ้นไปมากก็จะตกต่ำลงมามากจนกลายเป็น “ฝันร้าย” ของนักลงทุน สำหรับผมเองแล้ว ผมไม่ค่อยถนัดและก็ไม่อยากเสี่ยงในการทำนาย “ฝัน” ดังนั้น โดยส่วนใหญ่แล้วผมก็จะหลีกเลี่ยง “หุ้นล่าฝัน” ที่มักจะมีมากในช่วงตลาดกระทิงอย่างที่เป็นอยู่ในช่วงนี้