โค้ด: เลือกทั้งหมด
สองสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้บริหารสูงสุดบริษัทชั้นนำของโลกมักรายงานผลประกอบการของบริษัท ตลอดจนให้ข้อมูล แนวโน้มและทิศทางของธุรกิจในอนาคตแก่ผู้ถือหุ้น นักวิเคราะห์ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบทั่วกัน
เป็นที่น่าสังเกตว่า การรายงานผลประกอบการไตรมาสสามของปีนี้นั้น บริษัทชั้นนำของโลกได้แก่ บริษัทไอบีเอ็ม (IBM) เจนเนอรัล อิเลคทริค (GE) แมคโดนัลด์ (MCD) แคทเตอร์พิลลาร์ (CAT) ดูปองด์ (DD) ไมโครซอฟท์ (MSFT) อินเทล (INTC) แอบเปิล กูเกิล (GOOG) และแอปเปิล (AAPL) เป็นต้น ล้วนมีผลประกอบการต่ำกว่าคาดการณ์ บริษัทบางแห่งยังแสดงความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจที่อาจกระทบต่อผลประกอบการในอนาคต ทำให้ราคาหุ้นของแต่และบริษัท ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และดัชนีตลาดแนสแด็กปรับตัวลดลง นอกจากนี้บริษัทฟอร์ด มอเตอร์(F) ดาวเคมิคอล (DOW) คอลเกต ปาล์มโอลีฟ (CL) เอเอ็มดี (AMD) ยังมีแผนลดพนักงานในประเทศยุโรปลงด้วย
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2012 วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนเอกของโลก ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีเป็นเวลาร่วมสองชั่วโมง โดยกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญภาวะเติบโตลดลงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ตามเขายังคิดเสมอว่า ตลาดหุ้นคือที่ที่ดีที่สุดในการลงทุน บริษัทเบิร์กไซร์ ฮาธะเวย์ของเขามีเงินสดในมือถึงสี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐและพร้อมเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังให้ “Timeless Advice” คือ คำแนะนำหรือข้อคิดที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา มาดูว่า Timeless Advice จากการสัมภาษณ์ครั้งนี้มีประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจอะไรบ้าง
คุณทำอะไรเมื่อหุ้นปรับตัวลงโดยมูลค่าตลาดลดลงถึงห้าแสนล้านเหรียญในสามวันที่ผ่านมา เขาตอบคำถามดังกล่าวว่า โดยปกติ เขาเป็นคนชอบซื้อกิจการ เขาจึงเป็นผู้ซื้อที่มีความสุขมากขึ้นหากตลาดปรับตัวลงมาก เขาชอบซื้อเสื้อหรือซื้อของในซุปเปอร์มาร์เกตเมื่อมีการลดราคามากฉันใด เขาก็ยิ่งรู้สึกดีและมีความสุขในช่วงที่ตลาดหุ้นกำลังลดราคาฉันนั้น
บัฟเฟตต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวสารและอารมณ์ที่เกิดขึ้นว่า เราไม่ควรจำกัดการรับรู้ข่าวสารจากการอ่าน เห็น หรือได้ยิน แต่หากคุณเป็นเจ้าของกิจการที่ยอดเยี่ยม มีผู้บริหารที่เก่ง และยังมีผลประกอบการที่ดีอีก 5-10 ปีข้างหน้าแล้ว การซื้อหรือขายหุ้นจากกระแสข่าวแต่ละวันคือการกระทำที่บ้าและเหลวไหล และหากคิดว่าการซื้อขายหุ้นเป็นเกมที่สนุกและตื่นเต้นก็เป็นความคิดที่ผิดอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
จากคำถามเกี่ยวกับการเลือกลงทุนซื้อหุ้นตัวใหม่ คำตอบคือ เขามักเปรียบเทียบกับบริษัทที่เขามีอยู่และจะซื้อก็ต่อเมื่อบริษัทใหม่นั้นยอดเยี่ยมกว่า บ่อยครั้งเขาต้องกลับมาซื้อบริษัทเดิมเพิ่มขึ้นเพราะเขารู้จักบริษัทยอดเยี่ยมเหล่านั้นเป็นอย่างดี และยังยินดีที่จะเพิ่มสัดส่วนให้มากขึ้นอีกด้วย
ข้อคิดและมุมมองเกี่ยวกับหุ้น IBM และ COKE ที่เขาเลือกลงทุนอย่างมีนัยสำคัญคือ แม้เขาจะไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีเลย แต่ก่อนเข้าลงทุน คนรอบข้างทำให้เขารู้สึกได้ว่า ลูกค้าที่ใช้เทคโนโลยีนั้นจำเป็นต้องยึดติดกับเจ้าของผลิตภัณฑ์และบริการอีกนาน เขายังคิดว่า IBM จะยังเติบโตได้ดีนอกตลาดสหรัฐ ส่วน COKE นั้นหากพิจารณาปริมาณเครื่องดื่มที่จำหน่ายในเก้าเดือนแรกที่เพิ่มขึ้น 4% เทียบกับการเติบโตของโลกเพียง 1% ต้องถือว่ายอดเยี่ยมมาก บริษัท COKE นั้น ผลิตเครื่องดื่มที่ดื่มได้ทุกเพศ ทุกวัย ทั่วโลก มีระบบกระจายสินค้าที่ยิ่งใหญ่ และยังมีผู้บริหารที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
คำถามที่ว่า หากมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก อธิบายธุรกิจให้ฟังอย่างละเอียด จะลงทุน Fackbook ในปริมาณมากหรือไม่ คำตอบก็คือ เขาอาจไม่ลงทุน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะธุรกิจไม่ดี แต่เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจธุรกิจอย่างดี ในตลาดหุ้น ยังมีบริษัทอีกมากที่เข้าใจได้ดีกว่าและน่าจะมีผลประกอบการที่ดีตลอด 5-10 ปีหรือยาวนานกว่า ดังนั้น เขาจึงเลือกที่เป็นเจ้าของกิจการยอดเยี่ยมของโลกเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และก็อยู่กับมันตลอดไป
ที่กล่าวมาเป็นเพียงแนวคิดบางส่วนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งแฟนพันธุ์ของเขาต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี การเป็น Value Investor ที่ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องมี “ดี” ทั้งด้าน “ทฤษฏี” และ “ปฏิบัติ” ข้อดีก็คือ มีข้อคิด แนวคิด แนวทาง และวิธีการในทางทฤษฎีการลงทุนเผยแพร่อย่างมากมาย ส่วนทางปฏิบัตินั้น คงต้องขึ้นอยู่กับความขยัน ความมุ่งมั่น การเรียนรู้และการนำมาให้เกิดผลจริงด้วยตนเอง คำพูดอมตะที่ว่า “ตน เป็นที่พึ่งแห่งตน” จึงใช้ได้ดีกับการลงทุนเช่นกัน จริงไหมครับ