เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Notelio
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1018
ผู้ติดตาม: 0

เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor         24 มิถุนายน 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เล่นบอล-เล่นหุ้น
 
​ผมเองไม่ใช่ “คอบอล” ที่จะยอมอดหลับอดนอนเพื่อดูการแข่งขันนัดสำคัญอย่างฟุตบอลยูโรที่กำลังเล่นอยู่ในระยะนี้  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่าเกมและกติกาเกี่ยวกับฟุตบอลนั้น  สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในตลาดหุ้นได้อย่างน้อยก็สองเรื่องดังต่อไปนี้
​ข้อแรกก็คือ  เรื่องของการพนันบอลหรือ “แทงบอล” กับเจ้ามือที่เป็นบริษัทรับพนันบอลชั้นนำที่อยู่ในต่างประเทศ  ผมเองไม่เคยเล่นพนันบอลเลยแต่ก็รู้มาว่าเราสามารถเล่นพนันว่าทีมไหนจะชนะเลิศได้ถ้วยรางวัลหลังจากจบการแข่งขัน  ในการพนันนี้  แน่นอน  “เซียน”  หรือคนที่ติดตามการแข่งขันฟุตบอลมาตลอดก็มักจะรู้ว่าทีมไหนที่เก่งหรือมีฝีเท้าดีและจะมีโอกาสที่จะได้แชมป์มากกว่าทีมอื่น  ดังนั้น  โอกาสที่เขาจะทายถูกก็จะสูงกว่าคนที่ไม่รู้อะไรมากนักอย่างผม  ดังนั้น  ถ้าเขาแทงทีมที่โดดเด่นซัก 3-4 ทีม  โอกาสที่เขาจะถูกก็คงจะมีสูงพอสมควรทีเดียวเมื่อเทียบกับการที่ผมจะแทง  อย่างไรก็ตาม  เซียนบอลที่ว่านั้น  ก็อาจจะไม่ได้กำไรจากการเล่นพนันบอล   เหตุผลก็เพราะในการแทงบอลนั้น  เขามี  “อัตราต่อรอง”  สำหรับแต่ละทีมที่เข้าแข่งขัน  อัตราต่อรองนี้ทำให้การแทงทีมที่เราคิดว่าเป็นทีมที่เก่งกาจเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มค่าก็ได้  
ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าทีม A เป็นทีม  “เต็งหนึ่ง”  ที่คนในวงการบอลมองว่ามีฝีเท้าดีเยี่ยมที่สุด  อัตราการต่อรองก็จะต่ำ  เช่น  ถ้าเราแทงว่าทีม A จะชนะด้วยเงิน 1 บาท  และทีม A  ชนะจริง  เราก็อาจจะได้เงินรางวัลเพียง 2 บาท  แต่ถ้าทีม B เป็นทีม  “รองบ่อน”  โอกาสชนะน้อย  อัตราการต่อรองก็จะสูง  เช่น  แทง 1 บาท  ถ้าทีม B ชนะจริง  เราอาจจะได้ถึง 10 บาท  ดังนี้เป็นต้น   ในการตั้งอัตราการต่อรองนั้น  ผมคิดว่าบริษัทรับพนันคงมี  “ผู้เชี่ยวชาญ”  ในการตั้งที่จะทำให้บริษัทได้กำไรเมื่อจบการแข่งขัน  แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ว่านั้น  นอกจากจะมี  “เซียนบอล”  แล้ว  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ  “นักคณิตศาสตร์”  ที่จะคอยคำนวณว่ามีใครแทงบอลทีมไหนเท่าไรและบริษัทจะต้องจ่ายเท่าไรถ้าทีมนั้นชนะ  และบริษัทจะได้เงินเท่าไรจากคนที่แทงผิด  ประเด็นสำคัญก็คือ  เขาจะต้องทำให้รายได้จากคนที่แทงผิดสูงกว่ารางวัลที่จะต้องจ่ายให้กับคนแทงถูก  แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น  เขาก็จะไปปรับอัตราการต่อรองใหม่จนสุดท้ายแล้วไม่ว่าทีมไหนจะได้ถ้วยรางวัล  บริษัทก็จะกำไรเสมอ
หุ้นเองก็มีลักษณะคล้าย ๆ  กับการพนันบอลเหมือนกันในแง่ที่ว่า   “เซียนหุ้น”  อาจจะรู้ว่าบริษัทไหนดีเยี่ยมหรือจะมีกำไรที่เติบโตโดดเด่น   แต่หุ้นเองก็มี  “อัตราต่อรอง”  เช่นเดียวกันนั่นก็คือ  ถ้ากิจการดีเยี่ยม  ราคาหุ้นก็อาจจะ “แพง”  มาก   นั่นก็คือ  ค่า PE  อาจจะสูงกว่าปกติมากจนทำให้ไม่คุ้มที่จะลงทุน  ราคาหุ้นที่แพงหรือ  อัตราการต่อรองที่ต่ำนั้น   ในเรื่องหุ้นไม่มีใครมาเป็นผู้กำหนด   แต่เกิดจากคนในตลาดหุ้นเองมาซื้อ ๆ  ขาย  ๆ  ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา  ถ้าจะพูดอีกทางหนึ่งก็คือ  อัตราการต่อรองของหุ้นนั้น   กำหนดโดยคนที่เข้ามาเล่นหุ้นเองทุกคนในตลาด  และถ้าคนเหล่านี้สามารถกำหนดอัตราการต่อรองได้ถูกต้อง  นั่นก็คือ  ถ้าบริษัทดี ราคาหุ้นก็แพงหรือ PE สูง  บริษัทไม่โดดเด่น  ราคาหุ้นก็ถูกหรือ  PE ต่ำ  โดยนัยนี้  การซื้อหรือ  “แทง” หุ้นตัวที่มีผลประกอบการดีก็อาจจะไม่คุ้มค่าก็ได้
ข้อสรุปของทั้งเรื่องบอลและเรื่องหุ้นก็คือ  อย่าสักแต่ดูว่าทีมหรือหุ้นนั้นจะเป็นทีมหรือหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการโดดเด่นเท่านั้น  จะต้องคิดถึงอัตราต่อรองหรือราคาหุ้นด้วยว่ามันเป็นอย่างไร  ถ้ามันไม่เหมาะสม  เช่น  อัตราต่อรองต่ำหรือราคาหุ้นแพงเกินไป  มันก็ไม่คุ้มและเราอาจจะขาดทุนได้ถ้าเข้าไปเล่นมัน
ข้อที่สองก็คือกติกาการนับคะแนน  ที่ตอบแทนให้กับผลการเล่น  ในเรื่องของฟุตบอลนั้น  ทีมที่แพ้จะได้ 0 คะแนน  ทีมที่เสมอจะได้ 1 คะแนน  ขณะที่คนชนะจะได้ 3 คะแนน  นี่แปลว่าชนะ 1 ครั้งจะได้คะแนนเท่ากับเสมอ 3 ครั้ง  มันเป็นการบอกว่าการที่เสมอนั้น  มีประโยชน์น้อย  คุณจะต้องพยายามเอาชนะให้ได้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ  ในเรื่องของหุ้นเองนั้น  ผมคิดว่ามันก็มีลักษณะคล้าย ๆ  กันนั่นคือ  เราจะต้องพยายามเลือกบริษัทที่จะ “ชนะ” ซึ่งจะได้  “คะแนน”  สูงกว่าบริษัทที่  “เสมอ”  มาก  และแน่นอน  เราจะต้องหลีกเลี่ยงบริษัทที่จะ “แพ้”  ความหมายของการชนะก็คือ  บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นเรื่อย ๆ  บริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเทียบกับคู่แข่ง  และบริษัทมีส่วนแบ่งมากที่สุดและทิ้งห่างอันดับสองมากขึ้นเรื่อย ๆ  อนาคตของบริษัทสดใสขึ้นมากกว่าคู่แข่ง  ส่วนบริษัทที่แพ้นั้นก็เป็นอะไรที่อยู่ตรงกันข้าม   และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ๆ  บริษัทที่แพ้ก็อาจจะสูญหายไปหรือหมดศักยภาพในการแข่งขันและอยู่ ๆ  ไปอย่างนั้นเอง
ประเด็นก็คือ  บริษัทที่ “เสมอ”  นี่คือบริษัทที่ไม่ชนะและก็ไม่แพ้  บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างยอดเยี่ยมและ “ทรหด”  ผลัดกันแพ้และชนะแต่ก็ไม่มีใครทิ้งห่างใคร  ฝีมือและความสามารถในการแข่งขันพอ ๆ  กันตลอดเวลา  ขนาดของกิจการก็ไม่ทิ้งห่างจนทำให้แข่งขันกันไม่ได้  ตัวอย่างที่พอจะมองเห็นได้ก็เช่นในธุรกิจ  ธนาคารพาณิชย์ที่ธนาคารขนาดใหญ่ 3-4 แห่งสามารถแข่งขันกันได้และมีขนาดใกล้เคียงกันมานานหลายสิบปี  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทสร้างบ้านขายที่มีการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งทางการตลาดสลับไปมาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาและยังไม่รู้ว่าใครจะชนะจริง ๆ ในอนาคต  เป็นต้น
บริษัทที่ “ชนะ”  นั้น  ในทางธุรกิจจะได้ผลตอบแทนมหาศาล  จริง ๆ  ผมคิดว่าอาจจะมากกว่า  “3 คะแนน”  เมื่อเทียบกับบริษัทที่  “เสมอ”  ความหมายของผมก็คือ  ถ้าบริษัทชนะ  พวกเขาก็มักจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงกว่าอันดับสองมาก  อาจจะเป็นเท่าตัว  กำไรของบริษัทก็มักจะมากกว่าอันดับสองเกิน 2 เท่า  มูลค่าตลาดของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็มักจะสูงกว่าอันดับสองหลายเท่า  ส่วนผู้ “แพ้” นั้น  ก็มักจะแทบจะล้มหายตายจากหรือไม่มีกำไร  ประเด็นก็คือ  บริษัทที่ “เสมอ” ซึ่งมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมบางประเภทนั้น  ส่วนใหญ่ก็มักจะมีกำไรตามอัตภาพ    แต่ความเสี่ยงของการประกอบการก็มักจะสูงพอสมควรเนื่องจากการแข่งขันที่เข้มข้นที่เกิดตลอดเวลา  ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทนั้นแค่รักษาไว้ก็ยากแล้วและก็มักจะใกล้เคียงกับคู่แข่ง  มูลค่าตลาดของหุ้นในตลาดเองก็มักจะเพิ่มขึ้นช้า ๆ  และมีโอกาสที่จะปรับลงได้ตลอดเวลาขึ้นกับสถานการณ์ในขณะนั้น   การ “เสมอ”  ในทางธุรกิจนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่บริษัทที่ดีแต่ไม่ใช่ซุปเปอร์สต็อก
นักลงทุนที่จะทำกำไรได้งดงามได้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องยาวนานนั้น  จะต้องพยายามหาให้ได้ก่อนคนอื่นว่าหุ้นตัวใด  “กำลัง”  จะชนะ  เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่หุ้นกำลังจะเริ่มขึ้น  ในขณะเดียวกัน  จะต้องรู้ว่าหุ้นตัวใดชนะแล้วแต่ยัง  “ชนะเพิ่มขึ้น” ซึ่งสัญญาณที่สำคัญก็คือ  การที่ยอดขายและกำไรยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งพร้อม ๆ  กับความได้เปรียบของการแข่งขันที่ยังเพิ่มขึ้นโดยที่  “ภัยคุกคาม”  ที่จริงจังยังมองไม่เห็น    การลงทุนในหุ้นที่  “เสมอ”  นั้น   บางทีก็ไม่เลวนักถ้าราคาหุ้นค่อนข้างต่ำ  ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากสถานการณ์ชั่วคราวเช่นเรื่องของภาวะตลาดหรือเศรษฐกิจที่ไม่ดี  หุ้นที่พึงละเลี่ยงเลยแม้ว่าราคาจะต่ำมากก็คือ  หุ้นที่  “แพ้”  เพราะในระยะยาวแล้วก็ยากที่จะทำกำไรให้กับเราได้
[/size]
ภาพประจำตัวสมาชิก
kongkiti
Verified User
โพสต์: 5830
ผู้ติดตาม: 2

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ที่ทันยุค ทันสมัย (อีกแล้ว) ครับ
ปล. คืนนี้ใครเชียร์อังกฤษ บ้างครับ :D
“Its like a finger pointing away to the moon. Don't concentrate on the finger
or you will miss all that heavenly glory.”- Bruce Lee

FAQs เกี่ยวกับแนวทางลงทุนแบบ VI
Blog ใหม่ >> https://www.blockdit.com/articles/5d733 ... 270d7b530
ภาพประจำตัวสมาชิก
ronnachai
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 167
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

บทความนี้โพสที่ไหนหรอครับ
ความรู้สำคัญ แต่ความเข้าใจสำคัญกว่า :8)
navapon
Verified User
โพสต์: 760
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

บางคนแย้งว่า การเล่นพนันบอล ก็ต้องดูปัจจัยพื้นฐานเหมือนกันว่า ทีมไหนเก่งทีมไหนน่าจะชนะ คนที่ศึกษาเรื่องบอลมาก ก็มีโอกาสทายถูกมาก (ไม่ใช่การเดาล้วนๆแบบแทงไฮโล ไม่สูงก็ตํ่า ซึ่งโอกาสมีแค่ 50/50) ดังนั้นดูแล้วไม่ต่างกับแนวทางวีไอ

แต่อาจารย์ตอบมาอย่างนี้ถูกใจมากครับ จะได้เห็นกันเลย ว่ามันต่างกันกับแนวทางวีไออย่างไร
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
xavi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 123
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมได้เคยรู้จักคนทำอาชีพ Actuary หรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ที่เป็นคนคำนวนเบี้ยประกันเพื่อให้บริษัทเอาไปใช้กัน เป็นอาชีพที่ต้องเก่งในการคำนวนมากเพราะทำอย่างไรก็ได้ให้บริษัทประกันภัย "ไม่เจ๊ง" และก็ต้องเป็นเบี้ยที่ลูกค้า "พร้อมจ่าย" ที่ผมได้ยินมานั้นใน USA อาชีพนี้ถือเป็นอาชีพต้นๆที่คนอยากเป็น และมีรายได้สูงมากเป็นลำดับต้นๆเช่นเดียวกัน ในประเทศไทยก็เพิ่งเริ่มมีอาชีพนี้ครับ แว่วๆมาว่ารายได้อยู่ในระดับ CEO บริษัทใหญ่ๆต้องอิจฉา :wall:

ผมคิดว่าบริษัทรับพนันก็น่าจะต้องมี Actuary หรือนักคณิตศาสตร์เก่งๆเช่นเดียวกัน อัตราต่อรองที่ออกมานั้นยากมากที่ท้ายที่สุดเราจะเป็นผู้ชนะ เพราะคนชนะนั้น "ไม่มีทางได้เงินจากบริษัทประกันแน่" แต่ต้องได้จากผู้แพ้ซึ่งจะต้องเป็น "คนส่วนใหญ่" ดังนั้นการพนันจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งอย่างที่ผมคิดว่านักลงทุนแนว VI ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งครับ :mrgreen:

แต่กับการซื้อหุ้นที่ PE สูง ผมมองว่ามันมีส่วนผสมของ "การลงทุน" มากกว่าการพนันเยอะมาก เพราะการคาดการณ์ Earning นั้น เป็นสิ่งที่ "พอจะ" คาดการณ์ได้ โดยเฉพาะหากเป็นธุรกิจที่เรามีความสนใจและใส่ใจ หรือ เข้าใจได้ง่ายเหมือนที่ ดร. ว่าไว้บ่อยๆ และที่สำคัญถ้าบริษัทที่ PE สูงนั้น มี "พื้นฐานที่ดี" อย่างน้อย "เงินต้น" ของเราก็จะยังอยู่ได้แม้ว่าอาจจะลดไปเล็กน้อย หาก Earning ไม่ได้ตามเป้า แต่หากเป็นการพนันนั้น "เมื่อเราแพ้เงินต้นไม่เหลือ" ครับ :wall:
ภาพประจำตัวสมาชิก
laohanant
Verified User
โพสต์: 372
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

อาจารย์เขียนเปรียบเทียบเรื่องอัตราต่อรอง กับ PE ได้ดีมากๆ เลยครับ :bow:

แต่ผมมีมุมมองแตกต่างเล็กน้อยในเรื่อง บริษัทที่ชนะ กับ บริษัทที่เสมอ

บางครั้งบริษัทที่ เสมอ นั้นก็อาจจะผลตอบแทนที่มาก กว่า 3 คะแนนได้ โดยที่ไม่ต้องมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงกว่าอันดับสองมากเป็นเท่าตัวหรือไม่ต้องรอซื้อในสถานการณ์ชั่วคราวเช่นเรื่องของภาวะตลาดหรือเศรษฐกิจที่ไม่ดี

หากบริษัทนั้นอยู่ในตลาดที่ ที่ market life cycle นั้นอยู่ในช่วง early growth stage และช่วงระยะเวลาของ growth stage นั้นยาวนานพอ ถึงแม้จะไม่ผู้ชนะขาด แต่มีผู้ชนะที่ เสมอ กันอยู่ 2-3 บริษัทที่เด่นชัด ผมว่าการเลือกลงทุนใน 1 ใน 2-3 บริษัทนี้ ก็อาจจะมีผลตอบแทบดีไม่แพ้ super stock เช่นกัน เพราะถึงแม้จะไม่สามารถ gain share จากคู่แข่งที่เสมอกันได้ แต่ตลาดรวมนั้นขยายตัวมากพอ รวมถึงสามารถ gain share จากคู่แข่งรายที่เล็กกว่าลงไปได้ ทำให้การเติบโตทั้งรายได้และกำไรอาจจะไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันนัก

เท่าที่ผมอ่านดู เข้าใจว่าตัวอย่างที่อาจารย์ยกมาน่าจะมีนัยหมายถึง บริษัทที่ market life cycle นั้นอยู่ในช่วง late growth ถึง maturity มากกว่า ซึ่งที่การเติบโตโดยส่วนใหญ่จะต้องมาจากการ gain share ของคู่แข่งเป็นหลัก โดยการเติบโตที่มาจากการขยายตัวของตลาดรวมจะมีไม่มากนัก การเลือกหุ้นที่ เสมอ ในกรณีนี้ ผมก็เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ :B
Detect and Act on the market 's error.
ภาพประจำตัวสมาชิก
chukieat30
Verified User
โพสต์: 3531
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณท่านอาจารย์ครับ สำหรับบทความ

ช่วยชี้ทางสว่างให้กับมุมมองได้เยอะมากๆครับ

ขออนุญาติ นำบทความนี้ เผยแพร่ต่อสาธารณะชนเพื่อประโยชน์แห่งการลงทุนนะครับ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ

หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
blackninja
Verified User
โพสต์: 176
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมเป็นคนนึงที่ลงทุนในหุ้นและก็แทงบอลไปด้วย และได้มีการประยุคการเล่นหุ้นไปแทงบอล โดยจะดูว่ารายย่อยแทงฝั่งไหนเยอะ ผมก็จะแทงฝั่งเดียวกับเจ้ามือ ไม่ได้เป็นทฤษฎีอะไรหรอกครับ แทงขำๆเพราะคิดว่าเจ้ามักจะชนะแค่นั้นเอง
seawater
Verified User
โพสต์: 9
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ผมติดตามงานเขียนของอาจารย์จากหลายๆ แหล่ง
ไม่ทราบว่า official website จริงๆ ของอาจารย์คืออันไหนครับ
พอมีใครทราบมั้ยครับ

อันนี้หรือเปล่า http://portal.settrade.com/blog/nivate/
แต่ทำไมอัพเดตช้ากว่าที่นี่อีกนะครับ
LA-Z-BOY
Verified User
โพสต์: 571
ผู้ติดตาม: 0

Re: เล่นบอล-เล่นหุ้น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 10

โพสต์

บทความเก่าของอาจารย์นิเวศน์อีกแหล่งนึงคือที่หน้า Home ของเวบนี้ ตรง column ขวามือจะมีรวมบทความเก่าของนักเขียนหลายท่าน เรียงลำดับตามเวลาครับ
โพสต์โพสต์