คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4562
hongvalue เขียน:ขอทบทวนหน่อยว่าผมเข้าใจถูกไหม
hdpe นี้มาจาก ethylene เอาไปผลิตรถยนต์
แต่ตัว hdpe นี้ถือเป็นกลางน้ำใช่หรือไม่เพราะไม่ได้เอาไปตั้งต้นผลิตอะไรต่อ
HDPE เป็นปลายน้ำแล้ว
เป็นเม็ดเอาไปขึ้นรูปได้เลย
เคยเห็นขวดน้ำพลาสติกขุ่นไหม
ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำ
นั่นคือ HDPE
หรือประเก็นฝาสูบที่เป็นยางเคยเห็นไหม
เอาไปทำถังน้ำมันรถยนต์ด้วย
พลาสติกที่หุ้มสายไฟก็ใช่
PVC เป็นปลายน้ำเพราะเป็นผงหรือเม็ดเอาไปทำผลิตภัณท์ได้เลยhongvalue เขียน:แต่ pvc นี้ก็ตั้งต้นมาจาก ethylene เหมือนกันแต่ว่าเป็นปลายน้ำแล้ว pvc จะมีต้องมี edc แล้วไป crack เป็น vcm แล้วค่อยมาแตกโมเลกุลเป็น pvc
(การแตกโมเลกุลเรียกว่า polymerization ใช่ไหมครับ)
แต่ VCM เป็นกลางน้ำเพราะต้องเอาไปทำเป็น PVC ก่อน
และ ethylene ถือว่าเป็นต้นน้ำเพราะทำมาจากวัตถุดิบตั้งต้นเช่น แก๊สหรือแนฟทา
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4564
555 เลี้ยงเหลานนี้เรื่องเล็กVIB007 เขียน:งวดนี้เอ็งต้องเลี้ยงแล้วhongvalue เขียน:มาช่วยปั่นกระทู้ครับ
เผื่อถึง 2 ล้านครั้งจะได้กินเหลาฟรีอีก
ก๊ากกกกก
เพราะปีที่แล้วฟันกำไรหลายพันเปอร์เซนต์
เมื่อไหร่ดีหละ..เสี่ยฮง
ผมเสนอ คริสตัลเจด พารากอน
อร่อยและบรรยากาศสไตล์ exclusive
ไว้หลังจากผมจัดงานสัมนาเสร็จก่อนแล้วนัดกัันอีกทีแล้วกันครับ
จริงๆแล้วพี่วิบูลย์เนี้ยถ้าจำได้สมัยก่อนผมยังขอไปขอลายเซ็นพี่เลย ไม่รู้ยังจำได้ไหม แล้วต่อมาเราก็คุยกันเรื่องต่างๆในกระทู้นี้เยอะมาก แล้วผมก็ไม่ได้เข้ามาคุยเกือบปี ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เล่าเลยว่าช่วงที่หายไปทำอะไรมาบ้าง ถือโอกาศนี้แลกเปลี่ยนและบอกเล่าให้ฟังแล้วกัน
ช่วงหลังๆมานี้ผมหัดทำ project และทำ present หุ้นครับ
ผมเริ่มรู้สึกว่าอิ่มตัวกับการหาหนังสือแนวพื้นฐานมาอ่านรู้สึกว่าเล่มใหม่ๆที่อ่านไม่ค่อยมีประเด็นอะไรใหม่ๆ ก็เลยเริ่มที่จะทำสรุปแนวคิดส่วนตัวโดยการไปเจาะหุ้นที่ขึ้นเยอะๆว่ามีประเด็นอะไรบ้าง ทำๆไปแล้วก็ได้ไอเดียเยอะดี
ครับ หุ้นที่ขึ้นเยอะมากๆส่วนใหญ่จะเป็นหุ้น cycle หุ้นแบบนี้ศึกษาไปทีเดียวใช้ได้อีกไม่รู้กี่รอบเพราะถ้าเราจำราคาสินค้า จำ spread จำการผลิต จำ cycle รอบก่อนๆได้นี้เราเล่นซ้ำได้อีกเมื่อ cycle รอบต่อไปมาถึงซึ่งแต่ละรอบขึ้นกันทีก็ไม่ใช่น้อยๆหลายเท่าตัวมากๆ ยิ่งถ้าได้ใช้ผสมกับวิชา money management ในการซื้อถัวเฉลี่ยขาขึ้นดีๆแล้วล่ะก็ การเล่นถูกเพียงครั้งเดียวพอร์ตสามารถโตได้ 7-8 เท่าตัวภายในเวลาไม่ีกี่เดือนเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไว้ตอนนัดกินข้าวกันผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังครับ อิอิ
กินข้าวรอบที่แล้วผมคงจำได้ว่าผมพูดน้ำไหลไฟดับได้ใจขนาดไหน อิอิ
ก่อนไปฝากสไลน่ารักๆที่ผมทำไว้ให้ดูครับ การฝึกทำสไล present พวกนี้ทำให้ผมเริ่มรู้เคล็ดลับว่าการที่เราพูดหรือสอนนักลงทุนมือใหม่ใช้รูปแบบไหนที่พวกเขาจะเข้าใจได้ง่าย สไลนี้ทำไว้เรื่องโครงสร้าง roe ว่ามีการตั้งต้นมาจากโครงสร้างของงบ ของอัตรากำไร ของการขาย อย่างไรและโครงสร้างต่างๆจะทำให้บริษัทมีรูปแบบ roe ที่แตกต่างกันอย่างไรได้บ้าง
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4565
hongvalue เขียน:
555 เลี้ยงเหลานนี้เรื่องเล็ก
ผมเสนอ คริสตัลเจด พารากอน
อร่อยและบรรยากาศสไตล์ exclusive
ไว้หลังจากผมจัดงานสัมนาเสร็จก่อนแล้วนัดกัันอีกทีแล้วกันครับ
โอเคอนุมัติ
อย่าลืมนัดมาหละ
จำไม่ได้แล้วหล่ะhongvalue เขียน:
จริงๆแล้วพี่วิบูลย์เนี้ยถ้าจำได้สมัยก่อนผมยังขอไปขอลายเซ็นพี่เลย ไม่รู้ยังจำได้ไหม แล้วต่อมาเราก็คุยกันเรื่องต่างๆในกระทู้นี้เยอะมาก แล้วผมก็ไม่ได้เข้ามาคุยเกือบปี ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เล่าเลยว่าช่วงที่หายไปทำอะไรมาบ้าง ถือโอกาศนี้แลกเปลี่ยนและบอกเล่าให้ฟังแล้วกัน
คนขอลายเซ็นเยอะ อิ อิ
ดีแล้วhongvalue เขียน: ช่วงหลังๆมานี้ผมหัดทำ project และทำ present หุ้นครับ
ผมเริ่มรู้สึกว่าอิ่มตัวกับการหาหนังสือแนวพื้นฐานมาอ่านรู้สึกว่าเล่มใหม่ๆที่อ่านไม่ค่อยมีประเด็นอะไรใหม่ๆ ก็เลยเริ่มที่จะทำสรุปแนวคิดส่วนตัวโดยการไปเจาะหุ้นที่ขึ้นเยอะๆว่ามีประเด็นอะไรบ้าง ทำๆไปแล้วก็ได้ไอเดียเยอะดี
ครับ หุ้นที่ขึ้นเยอะมากๆส่วนใหญ่จะเป็นหุ้น cycle หุ้นแบบนี้ศึกษาไปทีเดียวใช้ได้อีกไม่รู้กี่รอบเพราะถ้าเราจำราคาสินค้า จำ spread จำการผลิต จำ cycle รอบก่อนๆได้นี้เราเล่นซ้ำได้อีกเมื่อ cycle รอบต่อไปมาถึงซึ่งแต่ละรอบขึ้นกันทีก็ไม่ใช่น้อยๆหลายเท่าตัวมากๆ ยิ่งถ้าได้ใช้ผสมกับวิชา money management ในการซื้อถัวเฉลี่ยขาขึ้นดีๆแล้วล่ะก็ การเล่นถูกเพียงครั้งเดียวพอร์ตสามารถโตได้ 7-8 เท่าตัวภายในเวลาไม่ีกี่เดือนเลยด้วยซ้ำ เรื่องนี้ไว้ตอนนัดกินข้าวกันผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังครับ อิอิ
กินข้าวรอบที่แล้วผมคงจำได้ว่าผมพูดน้ำไหลไฟดับได้ใจขนาดไหน อิอิ
ก่อนไปฝากสไลน่ารักๆที่ผมทำไว้ให้ดูครับ การฝึกทำสไล present พวกนี้ทำให้ผมเริ่มรู้เคล็ดลับว่าการที่เราพูดหรือสอนนักลงทุนมือใหม่ใช้รูปแบบไหนที่พวกเขาจะเข้าใจได้ง่าย สไลนี้ทำไว้เรื่องโครงสร้าง roe ว่ามีการตั้งต้นมาจากโครงสร้างของงบ ของอัตรากำไร ของการขาย อย่างไรและโครงสร้างต่างๆจะทำให้บริษัทมีรูปแบบ roe ที่แตกต่างกันอย่างไรได้บ้าง
ลองดูเวปแมงเม่าดิ
ดูแล้วเพลินดีนะ
http://www.maoinvestor.com/
แต่ของเราน่าจะมีเนื้อหามากกว่า
ไม่ได้เอามันอย่างเดียว
เสร็จเมื่อไหร่บอกด้วย
จะเข้าไปเยี่ยม
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4566
อืม รอบนี้เดี่ยวพาสาวๆสวยๆVIB007 เขียน:
โอเคอนุมัติ
อย่าลืมนัดมาหละ
ไปนั่งด้วยนะ มีแต่หนุ่มๆเดี่ยวขาดรสชาติ
กั๊กกกกกVIB007 เขียน: จำไม่ได้แล้วหล่ะ
คนขอลายเซ็นเยอะ อิ อิ
ลืมไปคุยกับคนดังอยู่
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4567
VIB007 เขียน: ดีแล้ว
ลองดูเวปแมงเม่าดิ
ดูแล้วเพลินดีนะ
http://www.maoinvestor.com/
แต่ของเราน่าจะมีเนื้อหามากกว่า
ไม่ได้เอามันอย่างเดียว
เสร็จเมื่อไหร่บอกด้วย
จะเข้าไปเยี่ยม
โห ของผมทำขำๆไม่กี่สไลเอง
ไม่อาจเทียบกับเว็บแมงเม่าได้
ของเขามีอาชีพสุดๆ
ของผมถ้าทำก็ทำเกี่ยวกับเรื่องอัตราส่วนทางการเงิน
ผมว่าถ้าทำแล้วทำเป็นรูปแต่ละสไลมีตัวหนังสือไม่เยอะ
มีลำดับขั้นตอนอธิบายชัดเจนน่าจะทำให้เรื่องที่น่าเบื่อ
สำหรับคนทั่วไปอย่างงบการเงิน ดูน่าสนใจและดูง่ายขึ้นมาได้
น่ะครับ
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4568
มีคำถามเรื่องปิโตรเคมีครับ
ที่ผ่านมาเราคุยกันแต่เรื่องกลางน้ำ ปลายน้ำ
คราวนี้ขอเปลี่ยนมาคุยเรื่องต้นน้ำบ้ืางนะครับ
1.naphtha คือสารตั้งต้นของปิโตรเคมีทั้งในสาย
อโรเมติกและโอเรฟินถูกไหมครับ
2.pttep ถือเป็นต้นน้ำที่สุดซึ่งผลจากการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันจะได้ condensate ซึ่งเอาเข้าโรงแยกออกมาแล้วจะได้ naphtha ถูกไหม
3.ในขณะเดียวกันการขุดเจาะน้ำมันนอกจากจะได้ condensate แล้วก็จะได้ก๊าซธรรมชาติด้วยซึ่งพอเอาก๊าซธรรมชาติเข้าโรงแยกก๊าซก็จะได้ มีเทน กับ โพเพน ซึ่งเอาไปทำ อีเทนอีกที ถูกไหม
4.น้ำมันเป็นสารตั้งต้นเนื่องจากน้ำมันแพง naphtha ก็จะแพงแล้ววัตถุดิบก็จะแพงตาม ถูกไหม
5.ปิโตรเคมีนอกจากสาย aro, ole แล้วยังมีสายอัลเคนอีก ว่าแต่สาย อัลเคนในประเทศไทยมีหุ้นตัวไหนผลิตบ้าง
ที่ผ่านมาเราคุยกันแต่เรื่องกลางน้ำ ปลายน้ำ
คราวนี้ขอเปลี่ยนมาคุยเรื่องต้นน้ำบ้ืางนะครับ
1.naphtha คือสารตั้งต้นของปิโตรเคมีทั้งในสาย
อโรเมติกและโอเรฟินถูกไหมครับ
2.pttep ถือเป็นต้นน้ำที่สุดซึ่งผลจากการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันจะได้ condensate ซึ่งเอาเข้าโรงแยกออกมาแล้วจะได้ naphtha ถูกไหม
3.ในขณะเดียวกันการขุดเจาะน้ำมันนอกจากจะได้ condensate แล้วก็จะได้ก๊าซธรรมชาติด้วยซึ่งพอเอาก๊าซธรรมชาติเข้าโรงแยกก๊าซก็จะได้ มีเทน กับ โพเพน ซึ่งเอาไปทำ อีเทนอีกที ถูกไหม
4.น้ำมันเป็นสารตั้งต้นเนื่องจากน้ำมันแพง naphtha ก็จะแพงแล้ววัตถุดิบก็จะแพงตาม ถูกไหม
5.ปิโตรเคมีนอกจากสาย aro, ole แล้วยังมีสายอัลเคนอีก ว่าแต่สาย อัลเคนในประเทศไทยมีหุ้นตัวไหนผลิตบ้าง
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4569
ขออนุญาตินำบทความที่ผมเขียนไว้ในบล็อกล่าสุดมาแปะไว้นะครับ
เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการถกกันเพื่อต่อยอดมากขึ้น
สภาพคล่องกับการลงทุน
แนวคิดดั้งเดิมของคนเล่นหุ้นเลยก็คือว่า สภาพคล่องเยอะๆดีหุ้นตัวเล็กๆซื้อขายน้อยๆอย่าเข้าไปยุ่ง ให้ซื้อแต่ตัวที่สภาพคล่องเยอะๆก็พอเวลาจะซื้อขายจะได้ทำได้ง่ายๆ
ต่อมา value investor ก็บอกว่าสภาพคล่องไม่ใช่ปัญหา สภาพคล่องที่น้อยแต่ value ของหุ้นสูงกว่ามูลค่าในกระดานย้อมน่าซื้อ เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่เราจะเอา value ของหุ้นไปแลกกับสภาพคล่อง เช่น หุ้นที่มี value น้อยกว่าแต่สภาพคล่องเยอะกว่าย้อมไม่ได้ดีไปกว่าหุ้นที่ value สูงแต่สภาพคล่องน้อยกว่า สรุปก็คือ สภาพคล่องไม่ควรถูกมองว่าเป็น value อย่างนึงของหุ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเห็นคุณค่าของมันสภาพคล่องก็จะมาเอง
ต่อมาก็มีคนที่ชอบเล่นหุ้นตัวเล็กๆเช่นกลุ่ม mai แล้วก็อัดมาร์จิ้นเยอะๆโดยใช้แนวคิดว่าไม่เป็นไรเดี่ยวมีคนเห็น value หุ้นก็ขึ้นเองซึ่งในภาวะปกติก็ไม่เป็นไรแต่พอเกิดวิกฤติ subprime พอร์ตการลงทุนก็ติดลบหนักกว่าตลาด ที่ติดลบหนักไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหุ้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แต่เป็นเพราะว่าถึงรู้ก็ออกไม่ได้ จึงนำมาซึ่งข้อสรุปบางอย่างอีกว่า ถ้าคุณจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยๆแล้วคิดว่าสุดท้ายต้องมีสภาพคล่องนั้นเป็นการมองว่าคุณจะต้องคิดถูกแน่นอน สุดท้ายหุ้นตัวนั้นต้องขึ้นสภาพคล่องต้องมา ซึ่งบนโลกของความเป็นจริงไม่มีใครที่คิดถูกตลอดเวลา จริงๆแล้วการที่หุ้นมีสภาพคล่องเยอะๆเป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาดในกรณีที่คุณคิดผิดคุณจะได้ไม่ต้อง discount ราคาหุ้นลงไปจากราคาปัจจุบันเยอะมาก
นักลงทุนยิ่งเล่นหุ้นนานถ้าเล่นแล้วกำไรต่อเนื่องพอร์ตการลงทุนก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆซึ่งจากที่เล่นแล้วไม่เคยมีปัญหาด้านสภาพคล่องเพราะว่าซื้อขายหุ้นตัวเล็กๆก็ทำได้ง่ายก็จะเริ่มมีปัญหาขึ้นมา ซึ่งนักลงทุนสำหรับปรับตัวเป็นอย่างมากกับขนาดพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นไม่ใช่จะเล็กจะใหญ่กูก็อัดจิ้นกับหุ้นตัวเล็กๆตลอดเวลา แบบนี้ผมคิดว่าไม่ใช่วิธีการที่คำนึงถึงผลตอบแทนเปรียบเทียบความเสี่ยงแต่เป็นการคำนึงแต่ด้านของผลตอบแทน
ปัจจัยในการพิจรณาเรื่องสภาพคล่องเบื้องต้นของผมเป็นดังนี้
1.ความมั่นใจในการเล่นหุ้นตัวนั้น โดยพิจรณาจากการมีตัวเร่งทางพื้นฐานของหุ้นไหมเช่น หุ้นที่กำไรทำ new high ได้ปันผลค่อนข้างสูง ย่อมมีระยะเวลาในการหวังผลจากการลงทุนที่ชัดเจนกว่า หุ้นถูกโดยดูจาก pe pbv ถ้าซื้อหุ้นถูกเพื่อหวังว่าซักวันจะมีคนมาลากขึ้นไป แบบนี้ผมว่าคงต้องคิดเรื่องสภาพคล่องบ้างไม่งั้นถ้าไม่มีคนมาลากแล้วเราซื้อเยอะมากๆแล้วเกิดอยากออกคงไม่พ่นต้องเฉือนเนื้อตัวเอง
2.มีการกระจายการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนๆนึงเล่นหุ้น 10 ตัวในพอร์ตกับอีกคนนึงเล่น 3 ตัวในพอร์ตคนที่เล่น 10 ตัวอาจจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยกว่าได้เพราะว่าเม็ดเงินลงทุนต่อหุ้นจะไม่สูงเท่ากับคนที่โฟกัสไม่กี่ตัว
3.มีการใช้มาร์จิ้นไหม คนเล่นมาร์จิ้นจะต้องคำนึงถึงสภาพคล่องสุดๆเนื่องจากการใช้มาร์จิ้นเยอะๆจะมีการถูก force sell ได้และถ้าสภาพคล่องหุ้นไม่เยอะเกิดมีคนโยนจนหุ้นติดลบมากๆแล้วเราอยากจะขายแต่ bid ไม่เพียงพอ นั้นคงเป็นหายนะของการลงทุนเลยทีเดียว
เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการถกกันเพื่อต่อยอดมากขึ้น
สภาพคล่องกับการลงทุน
แนวคิดดั้งเดิมของคนเล่นหุ้นเลยก็คือว่า สภาพคล่องเยอะๆดีหุ้นตัวเล็กๆซื้อขายน้อยๆอย่าเข้าไปยุ่ง ให้ซื้อแต่ตัวที่สภาพคล่องเยอะๆก็พอเวลาจะซื้อขายจะได้ทำได้ง่ายๆ
ต่อมา value investor ก็บอกว่าสภาพคล่องไม่ใช่ปัญหา สภาพคล่องที่น้อยแต่ value ของหุ้นสูงกว่ามูลค่าในกระดานย้อมน่าซื้อ เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลที่เราจะเอา value ของหุ้นไปแลกกับสภาพคล่อง เช่น หุ้นที่มี value น้อยกว่าแต่สภาพคล่องเยอะกว่าย้อมไม่ได้ดีไปกว่าหุ้นที่ value สูงแต่สภาพคล่องน้อยกว่า สรุปก็คือ สภาพคล่องไม่ควรถูกมองว่าเป็น value อย่างนึงของหุ้น เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนเห็นคุณค่าของมันสภาพคล่องก็จะมาเอง
ต่อมาก็มีคนที่ชอบเล่นหุ้นตัวเล็กๆเช่นกลุ่ม mai แล้วก็อัดมาร์จิ้นเยอะๆโดยใช้แนวคิดว่าไม่เป็นไรเดี่ยวมีคนเห็น value หุ้นก็ขึ้นเองซึ่งในภาวะปกติก็ไม่เป็นไรแต่พอเกิดวิกฤติ subprime พอร์ตการลงทุนก็ติดลบหนักกว่าตลาด ที่ติดลบหนักไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหุ้นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด แต่เป็นเพราะว่าถึงรู้ก็ออกไม่ได้ จึงนำมาซึ่งข้อสรุปบางอย่างอีกว่า ถ้าคุณจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยๆแล้วคิดว่าสุดท้ายต้องมีสภาพคล่องนั้นเป็นการมองว่าคุณจะต้องคิดถูกแน่นอน สุดท้ายหุ้นตัวนั้นต้องขึ้นสภาพคล่องต้องมา ซึ่งบนโลกของความเป็นจริงไม่มีใครที่คิดถูกตลอดเวลา จริงๆแล้วการที่หุ้นมีสภาพคล่องเยอะๆเป็นการเผื่อเหลือเผื่อขาดในกรณีที่คุณคิดผิดคุณจะได้ไม่ต้อง discount ราคาหุ้นลงไปจากราคาปัจจุบันเยอะมาก
นักลงทุนยิ่งเล่นหุ้นนานถ้าเล่นแล้วกำไรต่อเนื่องพอร์ตการลงทุนก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆซึ่งจากที่เล่นแล้วไม่เคยมีปัญหาด้านสภาพคล่องเพราะว่าซื้อขายหุ้นตัวเล็กๆก็ทำได้ง่ายก็จะเริ่มมีปัญหาขึ้นมา ซึ่งนักลงทุนสำหรับปรับตัวเป็นอย่างมากกับขนาดพอร์ตที่ใหญ่ขึ้นไม่ใช่จะเล็กจะใหญ่กูก็อัดจิ้นกับหุ้นตัวเล็กๆตลอดเวลา แบบนี้ผมคิดว่าไม่ใช่วิธีการที่คำนึงถึงผลตอบแทนเปรียบเทียบความเสี่ยงแต่เป็นการคำนึงแต่ด้านของผลตอบแทน
ปัจจัยในการพิจรณาเรื่องสภาพคล่องเบื้องต้นของผมเป็นดังนี้
1.ความมั่นใจในการเล่นหุ้นตัวนั้น โดยพิจรณาจากการมีตัวเร่งทางพื้นฐานของหุ้นไหมเช่น หุ้นที่กำไรทำ new high ได้ปันผลค่อนข้างสูง ย่อมมีระยะเวลาในการหวังผลจากการลงทุนที่ชัดเจนกว่า หุ้นถูกโดยดูจาก pe pbv ถ้าซื้อหุ้นถูกเพื่อหวังว่าซักวันจะมีคนมาลากขึ้นไป แบบนี้ผมว่าคงต้องคิดเรื่องสภาพคล่องบ้างไม่งั้นถ้าไม่มีคนมาลากแล้วเราซื้อเยอะมากๆแล้วเกิดอยากออกคงไม่พ่นต้องเฉือนเนื้อตัวเอง
2.มีการกระจายการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ถ้าคนๆนึงเล่นหุ้น 10 ตัวในพอร์ตกับอีกคนนึงเล่น 3 ตัวในพอร์ตคนที่เล่น 10 ตัวอาจจะเล่นหุ้นสภาพคล่องน้อยกว่าได้เพราะว่าเม็ดเงินลงทุนต่อหุ้นจะไม่สูงเท่ากับคนที่โฟกัสไม่กี่ตัว
3.มีการใช้มาร์จิ้นไหม คนเล่นมาร์จิ้นจะต้องคำนึงถึงสภาพคล่องสุดๆเนื่องจากการใช้มาร์จิ้นเยอะๆจะมีการถูก force sell ได้และถ้าสภาพคล่องหุ้นไม่เยอะเกิดมีคนโยนจนหุ้นติดลบมากๆแล้วเราอยากจะขายแต่ bid ไม่เพียงพอ นั้นคงเป็นหายนะของการลงทุนเลยทีเดียว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4571
ใช่hongvalue เขียน:มีคำถามเรื่องปิโตรเคมีครับ
ที่ผ่านมาเราคุยกันแต่เรื่องกลางน้ำ ปลายน้ำ
คราวนี้ขอเปลี่ยนมาคุยเรื่องต้นน้ำบ้ืางนะครับ
1.naphtha คือสารตั้งต้นของปิโตรเคมีทั้งในสาย
อโรเมติกและโอเรฟินถูกไหมครับ
ใช่hongvalue เขียน:2.pttep ถือเป็นต้นน้ำที่สุดซึ่งผลจากการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันจะได้ condensate ซึ่งเอาเข้าโรงแยกออกมาแล้วจะได้ naphtha ถูกไหม
naphtha ทำมาจากน้ำมันดิบก็ได้เช่นกัน
ใช่hongvalue เขียน:3.ในขณะเดียวกันการขุดเจาะน้ำมันนอกจากจะได้ condensate แล้วก็จะได้ก๊าซธรรมชาติด้วยซึ่งพอเอาก๊าซธรรมชาติเข้าโรงแยกก๊าซก็จะได้ มีเทน กับ โพเพน ซึ่งเอาไปทำ อีเทนอีกที ถูกไหม
ใช่hongvalue เขียน:4.น้ำมันเป็นสารตั้งต้นเนื่องจากน้ำมันแพง naphtha ก็จะแพงแล้ววัตถุดิบก็จะแพงตาม ถูกไหม
อัลเคนคืออะไรhongvalue เขียน:5.ปิโตรเคมีนอกจากสาย aro, ole แล้วยังมีสายอัลเคนอีก ว่าแต่สาย อัลเคนในประเทศไทยมีหุ้นตัวไหนผลิตบ้าง
ช่วยบอกหน่อย
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4573
VIB007 เขียน:ได้เลย คนเก่าหรือเปล่าhongvalue เขียน:
อืม รอบนี้เดี่ยวพาสาวๆสวยๆ
ไปนั่งด้วยนะ มีแต่หนุ่มๆเดี่ยวขาดรสชาติ
คงไม่น่าใช่แล้วนะ
ระดับฮงแล้วน่าจะมีสำรองอีกหลาย
อีกคนนึงครับ ไม่ใช่คนเก่า
คนที่เคยพาไปนั้นเป็นเพื่อนที่สนใจเรื่องหุ้น
ครับวันนั้นเลยชวนไปเปิดหูเปิดตา
แต่คนที่จะพาไปรอบนี้ น่าร๊ากกก
แต่ผมไม่ได้มีสำรงสำรองอะไรหรอกนะครับ
มีคนเดียวแต่น่าร๊ากกกกกก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4574
หรือว่ารักเดียวแต่หลายใจhongvalue เขียน:
อีกคนนึงครับ ไม่ใช่คนเก่า
คนที่เคยพาไปนั้นเป็นเพื่อนที่สนใจเรื่องหุ้น
ครับวันนั้นเลยชวนไปเปิดหูเปิดตา
แต่คนที่จะพาไปรอบนี้ น่าร๊ากกก
แต่ผมไม่ได้มีสำรงสำรองอะไรหรอกนะครับ
มีคนเดียวแต่น่าร๊ากกกกกก
ไว้จะเลี้ยงเมื่อไหร่ก็บอกมาแล้วกัน
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4575
ถามหน่อยครับ
หุ้นโรงกลั่นเนี้ยในงบที่มีรายการ
กำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า
หรือพูดง่ายๆก็คือการกำไรจากการ hedging นั้นเอง
พอลองมานึกภาพว่ากระบวนการนี้เกิดจากอะไร
มันคือการที่โรงกลั่นแห่งนั้น lock ค่าการกลั่นเอาไว้ได้
ที่ระดับสูงนั้นเองถูกไหมครับเช่นถ้าค่าการกลั่นปัจจุบันอยู่ที่ 9 เหรียญ
แล้วบริษัทก็ lock เอาไว้
ถ้าค่าการกลั่นลงไปเหลือ 6 เหรียญกำไรส่วนต่าง 3 เหรียญก็จะเกิดขึ้น
มีรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ไหมครับว่าตัวเลขกำไรจากการ hedging คำนวนมาได้อย่างไร อย่างเช่นที่ bcp กำไรจากการเฮดในปี 2552
5631 ล้าน ผมงงว่าทำไมกำไรมันได้สูงขนาดนั้นสูงกว่ากำไรปกติประมาณ 2-3 เท่าตัว ผมว่าถ้าเป็นพวกหุ้นอิเล็กทรอนิกแล้วกำไรจากค่าเงินก็ไม่น่าจะสูงขนาดมากกว่ากำไรปกติหลายเท่าขนาดนี้
ถ้าให้ผมเดาน่าจะเป็นเพราะว่าปี 2009 ค่าการกลั่นต่ำมากการเฮดได้ก่อนวิกฤติพอดีทำให้รายการส่วนนึงสูงมาก ใช่ไหมครับ
หุ้นโรงกลั่นเนี้ยในงบที่มีรายการ
กำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า
หรือพูดง่ายๆก็คือการกำไรจากการ hedging นั้นเอง
พอลองมานึกภาพว่ากระบวนการนี้เกิดจากอะไร
มันคือการที่โรงกลั่นแห่งนั้น lock ค่าการกลั่นเอาไว้ได้
ที่ระดับสูงนั้นเองถูกไหมครับเช่นถ้าค่าการกลั่นปัจจุบันอยู่ที่ 9 เหรียญ
แล้วบริษัทก็ lock เอาไว้
ถ้าค่าการกลั่นลงไปเหลือ 6 เหรียญกำไรส่วนต่าง 3 เหรียญก็จะเกิดขึ้น
มีรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ไหมครับว่าตัวเลขกำไรจากการ hedging คำนวนมาได้อย่างไร อย่างเช่นที่ bcp กำไรจากการเฮดในปี 2552
5631 ล้าน ผมงงว่าทำไมกำไรมันได้สูงขนาดนั้นสูงกว่ากำไรปกติประมาณ 2-3 เท่าตัว ผมว่าถ้าเป็นพวกหุ้นอิเล็กทรอนิกแล้วกำไรจากค่าเงินก็ไม่น่าจะสูงขนาดมากกว่ากำไรปกติหลายเท่าขนาดนี้
ถ้าให้ผมเดาน่าจะเป็นเพราะว่าปี 2009 ค่าการกลั่นต่ำมากการเฮดได้ก่อนวิกฤติพอดีทำให้รายการส่วนนึงสูงมาก ใช่ไหมครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4576
โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้สนใจกำไรจำพวกนี้สักเท่าไหร่นักhongvalue เขียน:ถามหน่อยครับ
หุ้นโรงกลั่นเนี้ยในงบที่มีรายการ
กำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า
หรือพูดง่ายๆก็คือการกำไรจากการ hedging นั้นเอง
พอลองมานึกภาพว่ากระบวนการนี้เกิดจากอะไร
มันคือการที่โรงกลั่นแห่งนั้น lock ค่าการกลั่นเอาไว้ได้
ที่ระดับสูงนั้นเองถูกไหมครับเช่นถ้าค่าการกลั่นปัจจุบันอยู่ที่ 9 เหรียญ
แล้วบริษัทก็ lock เอาไว้
ถ้าค่าการกลั่นลงไปเหลือ 6 เหรียญกำไรส่วนต่าง 3 เหรียญก็จะเกิดขึ้น
มีรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ไหมครับว่าตัวเลขกำไรจากการ hedging คำนวนมาได้อย่างไร อย่างเช่นที่ bcp กำไรจากการเฮดในปี 2552
5631 ล้าน ผมงงว่าทำไมกำไรมันได้สูงขนาดนั้นสูงกว่ากำไรปกติประมาณ 2-3 เท่าตัว ผมว่าถ้าเป็นพวกหุ้นอิเล็กทรอนิกแล้วกำไรจากค่าเงินก็ไม่น่าจะสูงขนาดมากกว่ากำไรปกติหลายเท่าขนาดนี้
ถ้าให้ผมเดาน่าจะเป็นเพราะว่าปี 2009 ค่าการกลั่นต่ำมากการเฮดได้ก่อนวิกฤติพอดีทำให้รายการส่วนนึงสูงมาก ใช่ไหมครับ
เพราะมันไม่แน่นอน
ยกตัวอย่างการบินไทยช่วงที่น้ำมันขึ้นๆเป็นร้อยเหรียญปี 08 ก็ซื้อฟิวเจอร์น้ำมันไว้มาก
คนก็เลยบอกว่าเก่ง ทำกำไรได้มาก
แต่พอน้ำมันลงเหลือ 30 เหรียญเท่านั้นหละ
กลายเป็น"โง่"ไปเลย
โรงกลั่นก็เช่นเดียวกัน
แต่ส่วนใหญ๋จะเฮดที่ราคาน้ำมันดิบนะ
เพราะซื้อขายได้ทั่วโลก
ไม่ได้เฮดค่าการกลั่นเท่าไหร่หรอก
เพราะราคาหน้าโรงกลั่นบ้านเราจะอิงกับสิงคโปร์
และขายให้กับลูกค้าในประเทศเป็นหลัก
ไม่ได้ส่งออกมากเท่าไหร่
ลูกค้าในประเทศส่วนใหย่เป็นราคาสปอตมากกว่าฟิวเจอร์
ที่กำไรมาก
อาจเกิดจากเฮดราคาน้ำมันดิบไว้ต่ำ
เพราะคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้น
และพอช่วงราคาน้ำมันสูงขึ้นจริงๆตามคาด
จึงได้กำไรในส่วนต่างทั้งสต๊อคและราคาขายหน้าโรงกลั่นด้วย
แต่ถ้าคาดการณ์ผิดก็ขาดทุนบักโกรกเหมือนกัน
ส่วนเฮดค่าเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนใหญ่จะซื้อฟิวเจอร์ค่าเงินบาทดอลเอาไว้
เวลาได้เงินดอลกลับมาจะได้ตามราคาเงินบาทในวันนั้นๆ
ตามต้นทุนที่แท้จริง
ปกติการเงินไม่ค่อยได้เก็งกำไรหรือคาดการณ์ค่าเงินเหมือนน้ำมันดิบ
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4577
ขอทดสอบเรื่องการ quote หน่อยครับVIB007 เขียน:โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้สนใจกำไรจำพวกนี้สักเท่าไหร่นักhongvalue เขียน:ถามหน่อยครับ
หุ้นโรงกลั่นเนี้ยในงบที่มีรายการ
กำไรจากสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันล่วงหน้า
หรือพูดง่ายๆก็คือการกำไรจากการ hedging นั้นเอง
พอลองมานึกภาพว่ากระบวนการนี้เกิดจากอะไร
มันคือการที่โรงกลั่นแห่งนั้น lock ค่าการกลั่นเอาไว้ได้
ที่ระดับสูงนั้นเองถูกไหมครับเช่นถ้าค่าการกลั่นปัจจุบันอยู่ที่ 9 เหรียญ
แล้วบริษัทก็ lock เอาไว้
ถ้าค่าการกลั่นลงไปเหลือ 6 เหรียญกำไรส่วนต่าง 3 เหรียญก็จะเกิดขึ้น
มีรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ไหมครับว่าตัวเลขกำไรจากการ hedging คำนวนมาได้อย่างไร อย่างเช่นที่ bcp กำไรจากการเฮดในปี 2552
5631 ล้าน ผมงงว่าทำไมกำไรมันได้สูงขนาดนั้นสูงกว่ากำไรปกติประมาณ 2-3 เท่าตัว ผมว่าถ้าเป็นพวกหุ้นอิเล็กทรอนิกแล้วกำไรจากค่าเงินก็ไม่น่าจะสูงขนาดมากกว่ากำไรปกติหลายเท่าขนาดนี้
ถ้าให้ผมเดาน่าจะเป็นเพราะว่าปี 2009 ค่าการกลั่นต่ำมากการเฮดได้ก่อนวิกฤติพอดีทำให้รายการส่วนนึงสูงมาก ใช่ไหมครับ
เพราะมันไม่แน่นอน
ยกตัวอย่างการบินไทยช่วงที่น้ำมันขึ้นๆเป็นร้อยเหรียญปี 08 ก็ซื้อฟิวเจอร์น้ำมันไว้มาก
คนก็เลยบอกว่าเก่ง ทำกำไรได้มาก
แต่พอน้ำมันลงเหลือ 30 เหรียญเท่านั้นหละ
กลายเป็น"โง่"ไปเลย
โรงกลั่นก็เช่นเดียวกัน
แต่ส่วนใหญ๋จะเฮดที่ราคาน้ำมันดิบนะ
เพราะซื้อขายได้ทั่วโลก
ไม่ได้เฮดค่าการกลั่นเท่าไหร่หรอก
เพราะราคาหน้าโรงกลั่นบ้านเราจะอิงกับสิงคโปร์
และขายให้กับลูกค้าในประเทศเป็นหลัก
ไม่ได้ส่งออกมากเท่าไหร่
ลูกค้าในประเทศส่วนใหย่เป็นราคาสปอตมากกว่าฟิวเจอร์
ที่กำไรมาก
อาจเกิดจากเฮดราคาน้ำมันดิบไว้ต่ำ
เพราะคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้น
และพอช่วงราคาน้ำมันสูงขึ้นจริงๆตามคาด
จึงได้กำไรในส่วนต่างทั้งสต๊อคและราคาขายหน้าโรงกลั่นด้วย
แต่ถ้าคาดการณ์ผิดก็ขาดทุนบักโกรกเหมือนกัน
ส่วนเฮดค่าเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนใหญ่จะซื้อฟิวเจอร์ค่าเงินบาทดอลเอาไว้
เวลาได้เงินดอลกลับมาจะได้ตามราคาเงินบาทในวันนั้นๆ
ตามต้นทุนที่แท้จริง
ปกติการเงินไม่ค่อยได้เก็งกำไรหรือคาดการณ์ค่าเงินเหมือนน้ำมันดิบ
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4580
ผมจัดงานสัมนาเสร็จแล้วนะครับVIB007 เขียน:
โอเคอนุมัติ
อย่าลืมนัดมาหละ
จะมานัดไปเลี้ยงเหลาตามที่สัญญาเอาไว้
บรรยากาศในงานสัมนาก็เข้าไปดูในบล็อกผมได้ครับ
http://hongvalue.wordpress.com/
พี่สะดวกไปพารากอนช่วงเย็นหรือช่วงบ่ายดีครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4581
ฮา ฮาhongvalue เขียน:ผมจัดงานสัมนาเสร็จแล้วนะครับVIB007 เขียน:
โอเคอนุมัติ
อย่าลืมนัดมาหละ
จะมานัดไปเลี้ยงเหลาตามที่สัญญาเอาไว้
บรรยากาศในงานสัมนาก็เข้าไปดูในบล็อกผมได้ครับ
http://hongvalue.wordpress.com/
พี่สะดวกไปพารากอนช่วงเย็นหรือช่วงบ่ายดีครับ
เพิ่งเคยเห็นฮงใส่สูทก็วันนี้หละ
เห็นแล้วนึกถึงอะไรรู้ไหม
พี่นึกถึงวงดนตรีรอยัลสไปร์ทว่ะ
เด็กรุ่นใหม่คงไม่รู้จัก
ลองไปเสริ์ทหาดูในกูเกิ้ลนะ
....เหมือนจริงๆพับผ่าเถอะ
โดยเฉพาะนักร้องนำใส่แว่นใส่สูทขาวแบบนี้หละ......5 5 5 5 ..(10 ครั้ง)
คราวหน้าพี่แนะนำให้ใส่ชุดพี่แจ้นะ อิ อิ
จะเลี้ยงเหรอส่งมาทางอีเมล์แล้วกัน
เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหมั่นไส้ว่าไปออกเดทกันสองเอ๊ยสามคน
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4582
สูทสั้งตัดเลยนะครับพี่ 555VIB007 เขียน:
ฮา ฮา
เพิ่งเคยเห็นฮงใส่สูทก็วันนี้หละ
เห็นแล้วนึกถึงอะไรรู้ไหม
พี่นึกถึงวงดนตรีรอยัลสไปร์ทว่ะ
เด็กรุ่นใหม่คงไม่รู้จัก
ลองไปเสริ์ทหาดูในกูเกิ้ลนะ
....เหมือนจริงๆพับผ่าเถอะ
โดยเฉพาะนักร้องนำใส่แว่นใส่สูทขาวแบบนี้หละ......5 5 5 5 ..(10 ครั้ง)
คราวหน้าพี่แนะนำให้ใส่ชุดพี่แจ้นะ อิ อิ
จะเลี้ยงเหรอส่งมาทางอีเมล์แล้วกัน
เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหมั่นไส้ว่าไปออกเดทกันสองเอ๊ยสามคน
คนนึกว่ามาผิดงานมางานแต่งงานผมแล้วผมเป็นเจ้าบ่าวจะขอสตาฟแต่งงาน
กร๊ากกกกกกกกกกกกก
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4584
ตามไปดูมาแล้วครับน้องฮง..
เห็นไหมว่า ความรู้ยิ่งให้ ยิ่งแตกฉาน
เห็นไหมว่า ความรู้ยิ่งให้ ยิ่งแตกฉาน
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4585
oatty เขียน:ตามไปดูมาแล้วครับน้องฮง..
เห็นไหมว่า ความรู้ยิ่งให้ ยิ่งแตกฉาน
จริงครับพี่ ก่อนผมจะพูดจริงผมต้องซ้อมพูดก่อนถึง 4 รอบ
ทุกอาทิตย์แล้วค่อยๆแก้เอกสารที่จะพูดเพื่อให้คนฟังเข้าใจ
ง่ายที่สุด
จริงๆแล้วแต่เดิมเลยคือ ไอ้เรื่องหุ้นสิบเด้งนี้ผมทำขึ้นมาเอง
ไว้ดูเองแต่ทำแล้วคิดว่าน่าสนใจก็เลยอยากเล่าผมไปซ้อมพูด
ผมเลยได้รู้ว่าเนื้อหาของผมมันควรแก้ไขยังไงบ้าง ผมก็แก้ๆ
ทำให้เอกสารดั้งเดิมมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีกเรียกว่า
ถ้าผมทำเองไว้ดูคนเดียวผมก็คิดเอาเองว่าดีแล้ว แต่พอไปซ้อมพูด
อะไรต่างๆก็รู้ว่าต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหนบ้าง แถมซ้อมพูด 4 รอบ
พูดจริง 1 รอบ แต่นี้แค่หลับตาผมก็สาธยายเรื่องหุ้นสิบเด้งได้ไม่ต่ำกว่า
3 ชั่วโมงเพราะพูดจนเอียนแล้ว 5555
สรุปว่าดีครับรู้สึกว่าคิดถูกที่ทำแล้วเอามาแชร์ให้นักลงทุนคนอื่นได้รู้ด้วย
มีคนชอบเยอะแล้วเราก็แม่นยำมากขึ้นด้วยครับ
ว่าแต่ทำไมพี่ oatty ไม่ไปฟังบ้างล่ะครับ หุหุ
- hongvalue
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2703
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4587
เดี่ยวเขาว่ากระทู้นี้ผมมาโพสแล้วไม่โพสสาระ
เลยเอาบทความล่าสุดมาแปะให้แล้วกัน
http://hongvalue.wordpress.com/
บทเรียนจากวิกฤติ subprime
1.การเล่นมาร์จิ้นเป็นอันตรายมากเพราะมีหุ้นหลายตัวที่สามารถลงจากจูดสูงสุดของปีลงไปถึง bottom ได้70-80% ทีเดียว หุ้นเหล่านั้นหลายตัวเป็นหุ้นยอดฮิตสำหรับ vi ในช่วงปี 2549-2550 ด้วยดังนั้นการที่คุณเล่น margin เยอะๆแล้วเจอวิกฤติพอร์ตคุณอาจเสียหายได้ตั้งแต่ 70-90% เลยทีเดียว ข้อแนะนำของผมถ้าคุณจะใช้มาร์จิ้นไม่ควรใช้เกิน 20-30% และคุณจำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพคล่องด้วยเพราะเวลาที่ตลาดเลวร้ายมากๆ bid จะแทบหายไปเลยถ้าคุณมีหุ้นบางตัวหลายล้านหุ้นแต่บิดช่องละไม่กี่หมื่นและยังเจอความกดดันจากสภาวะอาจโดน force sell คงเสียสุขภาพจิตมากเกินไป
2.เลือกหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความถูกในแง่ของสินทรัพย์จะเป็นทั้งโล่และดาบที่ดีให้กับเรา เช่น หุ้น ps เป็นหุ้นที่เข้าตลาดในช่วงปลายปี 2005 ซึ่งเป็นบริษัทที่สามารถทำยอดจองได้เติบโตสูงมากต่อเนื่องแทบจะ all time high รายไตรมาสก่อนที่จะเจอภาวะ subprime แต่ในภาวะ subprime บริษัทกลับลงมาจนต่ำกว่าราคาสมัย ipo ในจุดนี้ถ้าไม่เกิดวิกฤติเราคงจะไม่ได้ซื้อหุ้น ps ที่มีการเติบโตมี roe สูงกว่า 20% ต่อเนื่องในราคาต่ำขนาดนั้นแต่ประเด็นก็คือภาวะวิกฤติจะทำให้เราไม่แน่ใจว่าบริษัทจะมีกำไรถดถอยไปจนเหลือเท่าไหร่กันแน่ ดังนั้นเราจึงอาจจะหาเบาะป้องกัน downside risk เพิ่มจากธรรมดาทั่วไปอีกก็คือ การใช้อัตราส่วนอย่าง nav ,liquidation value เป็นต้น ในกรณีของ ps เราทราบแล้วว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสูงแต่เรายังสามารถดูมูลค่าเลิกกิจการของ ps ได้จากการนำเอา current asset –total liability แล้วเอาตัวเลขที่ว่าเทียบกับ market cap ซึ่งถือว่าเป็นการวัดคร่าวๆว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทสูงขนาดไหน โดยนับเฉพาะสินทรัพย์ที่หมุนเร็วมาลบกับหนี้สินทั้งหมดเลย แนวคิดลักษณะนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้นก้นบุหรี่ในนิยามของ graham ในตอนนั้นถ้าเรานำงบในช่วง q3-2008 ของ ps มาคำนวณมูลค่าเลิกกิจการจะได้ตัวเลขที่สูงเทียบเท่ากับ market cap ของหุ้นตอนที่เจอขายลงมาหนักๆแถวๆ(เรื่องหุ้นที่ขึ้นเกือบ 10 เท่าจากกลุ่ม property จะมีรายละเอียดในภาค 2 ของหุ้นสิบเด้ง)3 บาทเศษ ผมว่าถ้าเราไม่แน่ใจว่าวิกฤติจะฟื้นตัวเมื่อไหร่การหาหุ้นโตเร็วและมีความสามารถทางการทำกำไรสูงๆโดยวัดจาก presale growth(อสังหาริมทรัพย์ใช้ presale แทน sale)และ roe สูง และยังมีสภาพคล่องสูงเมื่อเทียบกับหนี้สินแล้วเรียกว่าต่อให้เลิกกิจการไปเลยผู้ถือหุ้นก็ไม่ขาดทุน ต่อให้วิกฤติไม่ฟื้นตัวเร็วเราคงเจ็บตัวน้อย ความเห็นของผมคือในวิกฤติครั้งหน้าเราควรเลือกหุ้นที่ความสามารถในการทำกำไรสูงและเป็นก้นบุหรี่ไปด้วยเพราะมันน่าจะช่วยเพิ่ม risk / reward ในการลงทุนหุ้นกับเราได้มากกว่าหุ้นที่ทำกำไรสูงแต่ราคาลงเพียงอย่างเดียว
3.หาหุ้นที่บริษัทมีรายการ one time loss หนักๆและตลาดเหมือนจะให้น้ำหนักกับ one time loss ราวกับว่าเป็นการขาดทุนจากการดำเนินงาน เช่นในกรณีที่หุ้นโรงกลั่นหลายตัวมี stock loss มากมายจากการที่ราคาน้ำมันลงเร็วมาก หรือ thai ที่ไปทำสัญญาซื้อราคาน้ำมันเอาไว้สูงๆก่อนน้ำมันลงแรง tvo ที่มีการขาดทุน stock ถั่วเหลือง kce ที่มีการ hedge ทองแดงผิดพลาด scsmg ที่มีรายการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นมโหฬารบานตะไท และอื่นๆอีกมากมายเหลือที่จะกล่าวได้หมด การเล่นหุ้นแนวนี้อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเกิดการฟื้นตัวเพราะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อวิกฤติกลับตัวคือหุ้นที่ยอดขายและกำไรทำนิวไฮได้เร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ เช่น cpf เป็นต้น เพียงแต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าวิกฤติจะนานแค่ไหนถ้าเราเลือกหุ้นที่ถูก bomd down ลงมาจาก one time loss มากที่สุดนั้นหมายความว่าไตรมาสต่อๆไปทั้ง qoq และ yoy คงจะยากที่จะเลวร้ายมากกว่าไตรมาสที่มี one time loss มากๆ ถ้าราคาหุ้นลงมาแรงมากแล้วและไตรมาสต่อๆไปมีแต่จะดีขึ้น และบริษัทที่เราเลือกเป็นผู้นำใน อุตสาหกรรมนั้น นั้นจะเป็นการลงทุนที่ downside ต่ำมากๆเช่นกัน ในกรณีนี้ถ้าเราเห็นว่าอุตสาหกรรมไหนฟื้นตัวเราค่อยขายหุ้นพวกนี้ออกไปซื้อพวกที่เห็นการฟื้นตัวแล้วก็ได้ (ตัวอย่างในข้อ 4)หุ้นพวกนี้ถือเป็นหุ้นที่ risk ค่อนข้างน้อย ทำให้ risk /reward ของนักลงทุนถือว่าสูง
4.เมื่อภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัวเริ่มมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากคือหุ้นที่ทำกำไรนิวไฮกำไรของช่วง subprime ได้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น cpf กำไรในไตรมาสที่สองของ cpf ที่ระดับ 3193 ล้านในไตรมาส 2 /2552 นั้นถือว่าสูงสุโค่ยยยยเมื่อดูย้อนหลัง cpf เป็นที่ให้ผลตอบแทนในปี 2009 สูงมากๆเพราะการที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวยอดขายและกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะยังต่ำเมื่อดูย้อนหลังไปซัก 7-8 ไตรมาส นั้นหมายความว่าบริษัทไหนทำกำไรนิวไฮได้ก่อน นั้นคือ the star ที่คุณควรโหวตให้ได้ออกอัลบั้มนะจ๊ะ(รายละเอียดเรื่องนี้พูดไปแล้วในงานสัมนาที่ผ่านมา) โฆษณาจบแล้วก็ต่อเนื้อหากัน หลายตัวที่กำไรนิวไฮเกิดจากอะไรก็มีเหตุผลมากมาย ส่วนนึงจะเป็นเรื่องต้นทุนอย่าง cpf ราคาหมูไก่ เฉลี่ยของปี 2009 แถบจะไม่น้อยกว่าปี 2008 แต่ต้นทุนอย่างกากถั่วเหลืองกับข้าวโพดลงเพราะว่าเป็นพลังงานทางเลือกแบบนึง พอราคาน้ำมันตกต่ำพวกนี้ demand หดหาย cpf ก็รู้งานมีข้าวโพด กากถั่วเหลืองตอนราคาต่ำๆตุนเอาไว้ใช้ได้นานหลายเดือนแล้วจะกำไรไม่ดีได้อย่างไร จริงไหมมมมพี่น้องงงงงงงง อีกหลายตัวที่กำไรนิวไฮในช่วงนั้นก็ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่เป็น commo ราคาล่วงลงเยอะเมื่อเทียบกับปี 2008 ตัวอย่างเหล่านี้ก็เคยพูดไปแล้วในงานสัมนาที่ผ่านมา
5.จังหวะในการลงทุนซื้อหุ้นที่ดีถ้ามองจากภาพใหญ่คือตอนที่ดอกเบี้ยของ usa ถึงจุดต่ำสุดหรือ last cut of fed fund rate สถิติเรื่องการ last cut of fed ย้อนหลังนั้นนักลงทุนจะเป็นต่อในการลงทุนสูงมากเพราะหลังจาก last cut แล้ว set มักจะบวกได้มากกว่า 10-15% เป็นอย่างน้อยในระยะเวลา 3-6 เดือนเหตุผลก็คือว่าเมื่อดอกเบี้ยต่ำมากๆสุดท้ายการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำติดดินหุ้นอย่าง ps ในช่วงปี 2009 ให้ปันผลมากกว่า 10% หุ้นอย่าง lpn spali ในตอนนั้นก็ให้ปันผลมากถึง 17-20% จริงๆแล้วนับเป็นสิ่งที่สวนทางกันอย่างมากเพราะราคาหุ้นลงเพราะคนมองเศรษฐกิจไม่ดีราคาก็เลยลงจนถึงจุดที่ dps เทียบกับ price สูงมากๆ แต่เพราะเศรษฐกิจไม่ดีนั้นแหละที่ทำให้เกิดการลดดอกเบี้ยจนต่ำมากๆซึ่งเมื่อฝุ่นหายตลบคนก็เริ่มเห็นว่าอะไรกันเฉพาะปันผลของหุ้นก็สูงกว่าภาวะปกติมากๆแต่ดอกเบี้ยกลับต่ำกว่าภาวะปกติมากๆ ทางเลือกในการเอาเงินมาลงทุนจึงดูน่าสนใจมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในแบบอื่นในภาวะแบบนั้น
เลยเอาบทความล่าสุดมาแปะให้แล้วกัน
http://hongvalue.wordpress.com/
บทเรียนจากวิกฤติ subprime
1.การเล่นมาร์จิ้นเป็นอันตรายมากเพราะมีหุ้นหลายตัวที่สามารถลงจากจูดสูงสุดของปีลงไปถึง bottom ได้70-80% ทีเดียว หุ้นเหล่านั้นหลายตัวเป็นหุ้นยอดฮิตสำหรับ vi ในช่วงปี 2549-2550 ด้วยดังนั้นการที่คุณเล่น margin เยอะๆแล้วเจอวิกฤติพอร์ตคุณอาจเสียหายได้ตั้งแต่ 70-90% เลยทีเดียว ข้อแนะนำของผมถ้าคุณจะใช้มาร์จิ้นไม่ควรใช้เกิน 20-30% และคุณจำเป็นต้องคำนึงถึงสภาพคล่องด้วยเพราะเวลาที่ตลาดเลวร้ายมากๆ bid จะแทบหายไปเลยถ้าคุณมีหุ้นบางตัวหลายล้านหุ้นแต่บิดช่องละไม่กี่หมื่นและยังเจอความกดดันจากสภาวะอาจโดน force sell คงเสียสุขภาพจิตมากเกินไป
2.เลือกหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรและมีความถูกในแง่ของสินทรัพย์จะเป็นทั้งโล่และดาบที่ดีให้กับเรา เช่น หุ้น ps เป็นหุ้นที่เข้าตลาดในช่วงปลายปี 2005 ซึ่งเป็นบริษัทที่สามารถทำยอดจองได้เติบโตสูงมากต่อเนื่องแทบจะ all time high รายไตรมาสก่อนที่จะเจอภาวะ subprime แต่ในภาวะ subprime บริษัทกลับลงมาจนต่ำกว่าราคาสมัย ipo ในจุดนี้ถ้าไม่เกิดวิกฤติเราคงจะไม่ได้ซื้อหุ้น ps ที่มีการเติบโตมี roe สูงกว่า 20% ต่อเนื่องในราคาต่ำขนาดนั้นแต่ประเด็นก็คือภาวะวิกฤติจะทำให้เราไม่แน่ใจว่าบริษัทจะมีกำไรถดถอยไปจนเหลือเท่าไหร่กันแน่ ดังนั้นเราจึงอาจจะหาเบาะป้องกัน downside risk เพิ่มจากธรรมดาทั่วไปอีกก็คือ การใช้อัตราส่วนอย่าง nav ,liquidation value เป็นต้น ในกรณีของ ps เราทราบแล้วว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรสูงแต่เรายังสามารถดูมูลค่าเลิกกิจการของ ps ได้จากการนำเอา current asset –total liability แล้วเอาตัวเลขที่ว่าเทียบกับ market cap ซึ่งถือว่าเป็นการวัดคร่าวๆว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทสูงขนาดไหน โดยนับเฉพาะสินทรัพย์ที่หมุนเร็วมาลบกับหนี้สินทั้งหมดเลย แนวคิดลักษณะนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นหุ้นก้นบุหรี่ในนิยามของ graham ในตอนนั้นถ้าเรานำงบในช่วง q3-2008 ของ ps มาคำนวณมูลค่าเลิกกิจการจะได้ตัวเลขที่สูงเทียบเท่ากับ market cap ของหุ้นตอนที่เจอขายลงมาหนักๆแถวๆ(เรื่องหุ้นที่ขึ้นเกือบ 10 เท่าจากกลุ่ม property จะมีรายละเอียดในภาค 2 ของหุ้นสิบเด้ง)3 บาทเศษ ผมว่าถ้าเราไม่แน่ใจว่าวิกฤติจะฟื้นตัวเมื่อไหร่การหาหุ้นโตเร็วและมีความสามารถทางการทำกำไรสูงๆโดยวัดจาก presale growth(อสังหาริมทรัพย์ใช้ presale แทน sale)และ roe สูง และยังมีสภาพคล่องสูงเมื่อเทียบกับหนี้สินแล้วเรียกว่าต่อให้เลิกกิจการไปเลยผู้ถือหุ้นก็ไม่ขาดทุน ต่อให้วิกฤติไม่ฟื้นตัวเร็วเราคงเจ็บตัวน้อย ความเห็นของผมคือในวิกฤติครั้งหน้าเราควรเลือกหุ้นที่ความสามารถในการทำกำไรสูงและเป็นก้นบุหรี่ไปด้วยเพราะมันน่าจะช่วยเพิ่ม risk / reward ในการลงทุนหุ้นกับเราได้มากกว่าหุ้นที่ทำกำไรสูงแต่ราคาลงเพียงอย่างเดียว
3.หาหุ้นที่บริษัทมีรายการ one time loss หนักๆและตลาดเหมือนจะให้น้ำหนักกับ one time loss ราวกับว่าเป็นการขาดทุนจากการดำเนินงาน เช่นในกรณีที่หุ้นโรงกลั่นหลายตัวมี stock loss มากมายจากการที่ราคาน้ำมันลงเร็วมาก หรือ thai ที่ไปทำสัญญาซื้อราคาน้ำมันเอาไว้สูงๆก่อนน้ำมันลงแรง tvo ที่มีการขาดทุน stock ถั่วเหลือง kce ที่มีการ hedge ทองแดงผิดพลาด scsmg ที่มีรายการขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นมโหฬารบานตะไท และอื่นๆอีกมากมายเหลือที่จะกล่าวได้หมด การเล่นหุ้นแนวนี้อาจจะไม่ได้ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเกิดการฟื้นตัวเพราะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อวิกฤติกลับตัวคือหุ้นที่ยอดขายและกำไรทำนิวไฮได้เร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ เช่น cpf เป็นต้น เพียงแต่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าวิกฤติจะนานแค่ไหนถ้าเราเลือกหุ้นที่ถูก bomd down ลงมาจาก one time loss มากที่สุดนั้นหมายความว่าไตรมาสต่อๆไปทั้ง qoq และ yoy คงจะยากที่จะเลวร้ายมากกว่าไตรมาสที่มี one time loss มากๆ ถ้าราคาหุ้นลงมาแรงมากแล้วและไตรมาสต่อๆไปมีแต่จะดีขึ้น และบริษัทที่เราเลือกเป็นผู้นำใน อุตสาหกรรมนั้น นั้นจะเป็นการลงทุนที่ downside ต่ำมากๆเช่นกัน ในกรณีนี้ถ้าเราเห็นว่าอุตสาหกรรมไหนฟื้นตัวเราค่อยขายหุ้นพวกนี้ออกไปซื้อพวกที่เห็นการฟื้นตัวแล้วก็ได้ (ตัวอย่างในข้อ 4)หุ้นพวกนี้ถือเป็นหุ้นที่ risk ค่อนข้างน้อย ทำให้ risk /reward ของนักลงทุนถือว่าสูง
4.เมื่อภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัวเริ่มมีการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงมากคือหุ้นที่ทำกำไรนิวไฮกำไรของช่วง subprime ได้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น cpf กำไรในไตรมาสที่สองของ cpf ที่ระดับ 3193 ล้านในไตรมาส 2 /2552 นั้นถือว่าสูงสุโค่ยยยยเมื่อดูย้อนหลัง cpf เป็นที่ให้ผลตอบแทนในปี 2009 สูงมากๆเพราะการที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวยอดขายและกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะยังต่ำเมื่อดูย้อนหลังไปซัก 7-8 ไตรมาส นั้นหมายความว่าบริษัทไหนทำกำไรนิวไฮได้ก่อน นั้นคือ the star ที่คุณควรโหวตให้ได้ออกอัลบั้มนะจ๊ะ(รายละเอียดเรื่องนี้พูดไปแล้วในงานสัมนาที่ผ่านมา) โฆษณาจบแล้วก็ต่อเนื้อหากัน หลายตัวที่กำไรนิวไฮเกิดจากอะไรก็มีเหตุผลมากมาย ส่วนนึงจะเป็นเรื่องต้นทุนอย่าง cpf ราคาหมูไก่ เฉลี่ยของปี 2009 แถบจะไม่น้อยกว่าปี 2008 แต่ต้นทุนอย่างกากถั่วเหลืองกับข้าวโพดลงเพราะว่าเป็นพลังงานทางเลือกแบบนึง พอราคาน้ำมันตกต่ำพวกนี้ demand หดหาย cpf ก็รู้งานมีข้าวโพด กากถั่วเหลืองตอนราคาต่ำๆตุนเอาไว้ใช้ได้นานหลายเดือนแล้วจะกำไรไม่ดีได้อย่างไร จริงไหมมมมพี่น้องงงงงงงง อีกหลายตัวที่กำไรนิวไฮในช่วงนั้นก็ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่เป็น commo ราคาล่วงลงเยอะเมื่อเทียบกับปี 2008 ตัวอย่างเหล่านี้ก็เคยพูดไปแล้วในงานสัมนาที่ผ่านมา
5.จังหวะในการลงทุนซื้อหุ้นที่ดีถ้ามองจากภาพใหญ่คือตอนที่ดอกเบี้ยของ usa ถึงจุดต่ำสุดหรือ last cut of fed fund rate สถิติเรื่องการ last cut of fed ย้อนหลังนั้นนักลงทุนจะเป็นต่อในการลงทุนสูงมากเพราะหลังจาก last cut แล้ว set มักจะบวกได้มากกว่า 10-15% เป็นอย่างน้อยในระยะเวลา 3-6 เดือนเหตุผลก็คือว่าเมื่อดอกเบี้ยต่ำมากๆสุดท้ายการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำติดดินหุ้นอย่าง ps ในช่วงปี 2009 ให้ปันผลมากกว่า 10% หุ้นอย่าง lpn spali ในตอนนั้นก็ให้ปันผลมากถึง 17-20% จริงๆแล้วนับเป็นสิ่งที่สวนทางกันอย่างมากเพราะราคาหุ้นลงเพราะคนมองเศรษฐกิจไม่ดีราคาก็เลยลงจนถึงจุดที่ dps เทียบกับ price สูงมากๆ แต่เพราะเศรษฐกิจไม่ดีนั้นแหละที่ทำให้เกิดการลดดอกเบี้ยจนต่ำมากๆซึ่งเมื่อฝุ่นหายตลบคนก็เริ่มเห็นว่าอะไรกันเฉพาะปันผลของหุ้นก็สูงกว่าภาวะปกติมากๆแต่ดอกเบี้ยกลับต่ำกว่าภาวะปกติมากๆ ทางเลือกในการเอาเงินมาลงทุนจึงดูน่าสนใจมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในแบบอื่นในภาวะแบบนั้น
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4588
ผมก็อยากจะไปทุกครั้งแหละครับ จะไปลอกหุ้นซะหน่อย แต่ภาระด้านครอบครัวมันดึงไว้ ชาตินี้ก็เลยขออ่านเอาความรู้จากเวบไปก่อน ไว้มีโอกาสเจอหน้า จะขอพูดคุยแสดงความยินดีด้วยกับน้ำใจของน้องฮง หมอเค หมอแป๊ะ ที่เสียสละจัดงานแบบนี้ขึ้นมาhongvalue เขียน: ว่าแต่ทำไมพี่ oatty ไม่ไปฟังบ้างล่ะครับ หุหุ
ขอโทษพี่วิบูลย์ด้วยที่ทำให้รกกระทู้
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 22
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4589
สวัสดีครับ ผมเป็นน้องใหม่ของเว็ปนี้ครับ
สนใจในแนว VI มานานแล้ว พึ่งมีเวลาศึกษาเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง
ขณะนี้กำลังพยายามทำความเข้าใจกับคำว่า ROE และ EPS
โดยการอ่านจากเว็ปต่างๆและกะทู้นี้ พึ่งอ่านได้ถึงหน้าสิบครับ
อยากจะเรียนถามพี่ๆในห้องนี้หน่อยครับ
จากหนังสือที่ผมอ่านชื่อว่า the new buffetology เล่มเขียว แปลโดย คุณพรชัย
หน้า 273 โดยสรุป ผมเข้าใจว่า บริษัทที่ดีควรมีผลกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นทุกๆปี
ผมจึงได้ลองมาศึกษาหุ้นที่ผมชอบ
นั่นคือ หุ้น HMPRO ได้ลองมาดูค่า EPS ย้อนหลัง 10 ปี
และค่า ROE ย้อนหลัง 5 ปี ( ชณะนี้ผมยังหาค่า ROE เองไม่เป็นครับ ดูเอาจากบทวิเคราะห์ )
ที่สงสัยก็คือว่า ทำไมค่า EPS มันไม่ค่อยจะต่างกันเลยครับในแต่ละปี ซึ่งตามหลักแล้ว
มันควรจะขึ้นไป 15-20 % ทุกปีไม่ใช่หรือครับ
ถ้าผมวิเคราะห์แค่ EPS และ ROE แล้ว ตามหลักในหนังสือ ผมก็ไม่ควรสนหุ้นตัวนี้
แต่ถ้ามองย้อนหลังไป คนที่ถือมานานๆ 6-7ปี น่าจะได้กำไรพอสมควร
แปลว่าผมพลาดอะไรไปแน่ๆ
อยากให้พึ่ๆช่วยแนะนำหน่อยครับว่า
ผมควรต้องไปดูในตัวเลข หรืออัตราส่วนอื่นๆ อันไหนอีก
เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์หุ้นตัวนี้ครับ
ปล ผมพยายามฝึุกวิเคราะห์ตัวเลขทางบัญชีอยู่ครับ โดยการใช้หุ้นตัวนี้เป็นโจทย์
ต้องขอโทษที่พูดชื่อหุ้นนี้ออกไป
ในส่วนของแนวคิด ผมคิดว่า ผมชอบแนวคิดทาง VI มาก แต่ทางตัวเลขบัญชีซึ่ง
บอกว่าเป็นแค่ 10 % ผมกำลังพยายามอย่างหนักเลยครับ แบบว่า basic เป็น 0 ครับ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป อยากให้คุณวิบูลย์ช่วยกรุณาอธิบายให้ฟังหน่อยครับ
แต่ถ้าพึ่ๆท่านอื่นกรุณาก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
ขอบคุณครับ
สนใจในแนว VI มานานแล้ว พึ่งมีเวลาศึกษาเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง
ขณะนี้กำลังพยายามทำความเข้าใจกับคำว่า ROE และ EPS
โดยการอ่านจากเว็ปต่างๆและกะทู้นี้ พึ่งอ่านได้ถึงหน้าสิบครับ
อยากจะเรียนถามพี่ๆในห้องนี้หน่อยครับ
จากหนังสือที่ผมอ่านชื่อว่า the new buffetology เล่มเขียว แปลโดย คุณพรชัย
หน้า 273 โดยสรุป ผมเข้าใจว่า บริษัทที่ดีควรมีผลกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นทุกๆปี
ผมจึงได้ลองมาศึกษาหุ้นที่ผมชอบ
นั่นคือ หุ้น HMPRO ได้ลองมาดูค่า EPS ย้อนหลัง 10 ปี
และค่า ROE ย้อนหลัง 5 ปี ( ชณะนี้ผมยังหาค่า ROE เองไม่เป็นครับ ดูเอาจากบทวิเคราะห์ )
ที่สงสัยก็คือว่า ทำไมค่า EPS มันไม่ค่อยจะต่างกันเลยครับในแต่ละปี ซึ่งตามหลักแล้ว
มันควรจะขึ้นไป 15-20 % ทุกปีไม่ใช่หรือครับ
ถ้าผมวิเคราะห์แค่ EPS และ ROE แล้ว ตามหลักในหนังสือ ผมก็ไม่ควรสนหุ้นตัวนี้
แต่ถ้ามองย้อนหลังไป คนที่ถือมานานๆ 6-7ปี น่าจะได้กำไรพอสมควร
แปลว่าผมพลาดอะไรไปแน่ๆ
อยากให้พึ่ๆช่วยแนะนำหน่อยครับว่า
ผมควรต้องไปดูในตัวเลข หรืออัตราส่วนอื่นๆ อันไหนอีก
เพื่อนำมาใช้ในการวิเคราะห์หุ้นตัวนี้ครับ
ปล ผมพยายามฝึุกวิเคราะห์ตัวเลขทางบัญชีอยู่ครับ โดยการใช้หุ้นตัวนี้เป็นโจทย์
ต้องขอโทษที่พูดชื่อหุ้นนี้ออกไป
ในส่วนของแนวคิด ผมคิดว่า ผมชอบแนวคิดทาง VI มาก แต่ทางตัวเลขบัญชีซึ่ง
บอกว่าเป็นแค่ 10 % ผมกำลังพยายามอย่างหนักเลยครับ แบบว่า basic เป็น 0 ครับ
ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป อยากให้คุณวิบูลย์ช่วยกรุณาอธิบายให้ฟังหน่อยครับ
แต่ถ้าพึ่ๆท่านอื่นกรุณาก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
ขอบคุณครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
Re: คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4590
ไม่ได้รกหรอกครับoatty เขียน:ผมก็อยากจะไปทุกครั้งแหละครับ จะไปลอกหุ้นซะหน่อย แต่ภาระด้านครอบครัวมันดึงไว้ ชาตินี้ก็เลยขออ่านเอาความรู้จากเวบไปก่อน ไว้มีโอกาสเจอหน้า จะขอพูดคุยแสดงความยินดีด้วยกับน้ำใจของน้องฮง หมอเค หมอแป๊ะ ที่เสียสละจัดงานแบบนี้ขึ้นมาhongvalue เขียน: ว่าแต่ทำไมพี่ oatty ไม่ไปฟังบ้างล่ะครับ หุหุ
ขอโทษพี่วิบูลย์ด้วยที่ทำให้รกกระทู้
ยินดีให้ทุกคนเข้ามาโพสได้ทั้งนั้นหละ
นี่เป็นกระทู้สาธารณะ ใครเข้ามาก็ได้
อ้อ.....รู้สึกว่ายังทำ quote ไม่ได้นะ ลองดูให้หน่อยดิ