โจยอดม้วน เขียน:2.ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้อ่านหนังสือทั่วๆไปเลยครับ เอาตัวรอดเลี้ยงลูกไปวันๆก็ค่อนข้างเหนื่อยแล้วครับ ก่อนหน้านี้ในวัยแสวงหา ชอบอ่านหนังสือของ ศ.ระวี ภาวิไล เช่น ปรัชญาชีวิต คุณค่าชีวิต บุผชาติแห่งชีวิต ผมชอบอ่านงานเขียนที่เป็นเชิงบวก ให้กำลังใจจะชอบ ของคุณบัณฑิต อึ้งภาษีก็ดีครับ..
แฮะ...บัณฑิต อึ้งรังษีครับ
ใน one up on wall street ปีเตอร์ลินซ์บอกว่าในประเทศสหรัฐมีนักเศรษศาสตร์ประมาณ 6 หมื่นคน ถูกจ้างเต็มเวลาเพื่อคากการณ์อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ถ้าเพียงเค้าทายถูกติดกันเพียงสองครั้ง เค้าก็จะกลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว แต่เท่าที่รู้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นลูกจ้าง นี่น่าจะบอกอะไรบางอย่างneo_potato_Th เขียน:งั้นขอถามพี่โจต่อเลยละกัน:D ฉวยโอกาส
-อย่างงี้พี่โจก็ไม่ได้สนใจindicator จากเศรษฐศาสตร์ระดับมหภาคเลยใช่มั้ยคับ
-IHL พี่โจมีความเห็นยังไงมั่งคับ:D
บางคนพูดว่าถ้าไม่มีนักเศรษศาสตร์ในโลกนี้ มันก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายมากนัก <<นั่นเป็นความเห็นของเซียนระดับโลกนะครับ ถ้าเป็นวอร์เรนก็คงคิดคล้ายๆกัน สำหรับผมก็ติดตามบ้าง แต่ไม่ค่อยให้ความสำคัญเพราะมันไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ทำให้เราวิตกแต่ผลกระทบต่อกิจการจริงๆ ยังห่างไกลมาก จริงๆผมคิดว่าถ้ารอให้ตัวเลขทางเศรษกิจมหภาคดีทุกตัวแล้วลงทุน คนๆนั้นคงไม่ได้ซื้อหุ้นเป็นแน่ แต่ถ้าตัวเลขภาพรวมมันชัดเจนมากๆว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น เช่นตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงมากๆเมื่อเปรียบเทียบกับ GDP เหมือนปี 40 และไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง อย่างนั้นเราต้องระวังหรือต้องมองแล้วว่ากิจการใดจะได้รับผลดี ผลเสีย เหมือนที่อาจารย์ของเราเคยทำและให้ผลตอบแทนเป็นบวกแม้ตลาดจะลดลงอย่างหนัก โดยรวมอย่าไปให้ความใส่ใจกับตัวเลขเศรษศาสตร์มากครับ เพราะนานๆถึงจะมีเหตุการณ์ที่มีนัยยะจริงๆ ถ้าเจอที่แน่นอน แน่ใจ ก็ต้องเผ่นหรือมองกิจการที่จะได้รับประโยชน์..
บริษัทให้เหตุผลว่าตุนวัถตุดิบหนังราคาถูกเอาไว้ และผลิตเยอะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง ดังนั้นการนำตัวเลขไตรมาสเดียวที่กำไรโตกว่าปกติมาคิดเป็นกำไรทั้งปีอาจจะทำให้เรามองโลกในแง่ดีเกินไป แม้ว่าไตรมาส 2 ตัวเลขอาจจะยังดีเพราะยังมีวัตถุดิบราคาต่ำตุนไว้ครับ เข้าไปดูที่งบดุลมีรายการพิเศษคือมีเงินปันผลค้างจ่าย 210 ล้านและเพิ่งประกาศซื้อที่ดิน 92 ล้าน รวมเป็น 300 ล้าน น่าจะทำให้สภาพคล่องของกิจการตึงๆหน่อยครับเพราะปัจจุบันก็ยังมีหนี้สินเงินกู้พอสมควร ประเด็นความสามารถในการแข่งขัน น่าจะดีพอสมควรเพราะมีแส่นแบ่งการตลาดค่อนข้างมาก คู่แข่งอย่าง cwt ก็อ่อนแอกว่า ดังนั้นมาร์จินที่เฉลี่ยระยะยาวประมาณ 7-8% ของยอดขายน่าจะคาดหวังได้ ยอดขายของบริษัทขึ้นอยู่กับการผลิตรถยนต์ของประเทศ แต่โครงการอีโคคาร์ไม่แน่ใจว่าส่งผลดีหรือเปล่า เพราะรถราคาต่ำไม่น่าจะต้องใช้หนังแท้ครับ.. 
ก่อนอื่นเราควรเข้าใจก่อนว่า ROE ROA มีที่ไปที่มาอย่างไรลูกอิสาน เขียน:
:D :D
ขอบคุณพี่จรัญที่มีน้ำใจขับรถมาส่งนะครับSkyforever เขียน:มาถึงบ้านแล้วครับ รถไฟมาถึงตอน 11 โมง
ขอบคุณ พี่โจ พี่กาน พี่ตี้ และพี่ๆเพื่อนๆท่านอื่นๆที่มาแบ่งปันนะครับ
และขอบคุณสำหรับหุ้นเด็ดๆๆๆ แต่ขอไปทำการบ้านมาก่อนนะครับ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะลอกการบ้านดีมั้ย อิอิ
บันทึกไม่สำเร็จ