

ที่พยายามอยู่คือวันละ 3 ฉบับครับ ถึงบ้างไม่ถึงบ้างครับแต่ถ้าไม่ถึงก็มาอ่านย้อนหลังวันที่มีเวลาครับwinzer เขียน:อยากทราบว่าพี่อ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ วันละกี่เล่มหรอครับ และพี่ใช้เวลาเท่าไหร่ในการศึกษาเพิ่มเติมในแต่ละวันครับ ขอบคุณครับ
ขอช่วยตอบ มีคนบอกว่ารายได้ของKTCไม่ได้มาจากการใช้ครับ แต่มาจากการดอกเบี้ยในการผ่อน เพราะฉะนั้นถึงมีผู้ใช้เยอะแต่ไม่ผ่อน(คือใช้แล้วจ่ายครบทุกเดือน)ก็ไม่มีประโยชน์ครับsoraroz เขียน:พี่ Sai ครับ
KTC - ผมสังเกตว่าหุ้นตกลงมาเยอะ และรายได้เป็นลบ แต่น่าแปลกที่ เพื่อนผมหลายๆคนก็ยังใช้ KTC เพราะว่าไม่มีเก็บค่ารายปีให้ปวดหัว
ทุกวันนี้ผมพยายามอ่านให้ครบ 1 ฉบับ ยังทำไม่ค่อยได้เลยsai เขียน:ที่พยายามอยู่คือวันละ 3 ฉบับครับ ถึงบ้างไม่ถึงบ้างครับแต่ถ้าไม่ถึงก็มาอ่านย้อนหลังวันที่มีเวลาครับ
ประมาณว่าให้ความสำคัญกับตัวผลประกอบการณ์ที่จะมาถึงเป็นหลักน่ะครับ หากเราดูแล้วไม่ได้มีปัจจัยอะไรที่จะมากระทบผลประกอบการณ์ ในท้ายที่สุดราคาหุ้นก็จะวิ่งตามมาเองครับ (ปกติพวกเรารวมผมด้วย หลายครั้งจะให้ความสำคัญกับราคาหุ้นค่อนข้างมาก มักจะหาสาเหตุของการขึ้นลงของราคา น่ะครับ) เหมือนบัฟเฟตเคยเปรียบเทียบการลงทุนกับการดูฟุตบอลว่า หากเราจะรู้ว่าทีมของเราเล่นดีหรือไม่ เราต้องดูที่สนาม ไม่ได้ดูที่ป้ายบอกคะแนน ครับsoraroz เขียน: ผมสงสัยอย่างนึงที่พี่บอกว่า
>> ขอให้เรามั่นใจในการคาดการณ์กำไรที่จะมาถึง
อัีนนี้หมายถึงยังไงเหรอครับพี่
ไม่เคยดูละเอียดทั้งสองตัวเลยครับ สองตัวเท่าที่ดูคนละแนวกันเลยนะครับ อย่าง tccc ก็น่าจะเป็นแนวหุ้นปันผลblueplanet เขียน:คุณ sai ครับ ขอถามความเห็นของหุ้น
TCCC และ STA
ดีไม่ดีอย่างไร
ตัวไหนดีหรือแย่กว่ากัน อย่างไร
ของคุณมากครับคุณ sai
รู้น้อยอีกแล้วครับกลุ่มนี้ ตอบเท่าที่รู้นะครับ เท่าที่มีข้อมูลบริษัท ssi เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ช่วงนี้มีหลายหลายปัจจัยที่เป็นบวกต่อผลประกอบการณ์ของ ssi ดังต่อไปนี้ครับLittle Boy เขียน:พี่ sai ครับ รบกวนถามความเห็นเกี่ยวกับหุ้น ssi หน่อยครับว่าพี่มีความคิดเห็นอย่างไรครับ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับความเห็นครับ
กรณีล่าสุดที่ผมพอทราบเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็คือ ตอนที่ OISHI ขายตึกให้เสร็จ แล้วต้องทำสัญญาเช่าต่อ ( รายละเอียดจริงๆ คงต้องไปตามอ่านจากกระทู้ OISHI ถ้าผมเข้าใจผิดคงขออภัยไว้ล่วงหน้า )Tiger เขียน:ถ้าไม่นับรวมไทยเบฟท์ที่อาจจะเข้าตลาด
อีกบริษัท เคยอยู่ในตลาดที่ปัจจุบัน คุณ เจริญ ถือ ก็คือ โรงแรมอิมพีเรียลครับ
น่าจะเป็นส่วนประกอบการพิจารณาเรื่องธรรมมาภิบาลได้บ้าง
ส่วนตัวผมเองไม่ทราบรายละเอียดมากนัก จึงเขียนถามไว้ ตาม link นี้ครับ
ใครทราบรายละเอียด ก็รบกวนช่วยเล่าให้ฟังด้วยครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10120
ส่วนนึงจากความรู้พี่ม้าเฉียวครับ อ่านใน link ข้างบนจะมีรายละเอียดมากกว่าครับ
เค้าได้มาตั้งแต่ 2539 นะครับ จากคุณอากร ฮุนตระกูล ซึ่งขอร้องให้คุณเจริญช่วยซื้อไปนะครับ โดยซื้อหุ้นในราคา 33 บาทต่อหุ้น
จากนั้นก็มีปัญหาเกี่ยวกับ การขายสินทรัพย์ของอิมพีเรียลตลอด จนกระทั่งเอาออกจากตลาดไปนะครับ
โดยมีการจัดตั้งบริษัทขึ้นมารับซื้อสินทรัพย์จากอิมพีเรียลไปในราคาที่ไม่ค่อยเป็นธรรมนักนะครับ บริษัทที่ว่า ก็เช่น บจ.ควีนส์ปาร์ค โฮเต็ล กรุ๊ป บจ.พลาซ่าแอทธินี โฮเต็ล (ประเทศไทย)
ถ้าจำไม่ผิดนะ สินทรัพย์ที่มีการขายในตอนที่ยังอยู่ในตลาด คือ
-ขายโรงแรมเดิมที่ถนนวิทยุพร้อมที่ดิน ประมาณ 4 ไร่ เข้าบริษัทที่ท่าน...และญาติมีส่วนเป็นผู้ถือหุ้น เพื่อนำเงินไปสร้างโรงแรมพลาซ่าแอทธินี ปัจจุบัน ที่ดินนั้นได้ทำโครงการ Athenee Residence และโรงแรมพลาซ่าแอทธินี ก็ถูกขายออกให้กับกลุ่มและบริษัทในเครือของท่าน...ในราคาที่ถูก
-ขายโรงแรม 2 โรงแรมในซอยสุขุมวิท 24 และ 26 แก่ใครก็ไม่รู้ แล้วเช่า 2 โรงแรมนั้น กลับโดยเสียค่าเช่าในอัตราที่สูง และสุดท้าย 2 โรงแรมนี้กลายเป็นของส่วนตัวของท่าน...
-ขาย บ.ลำปางธานี บริษัทย่อย ซึ่งเป็นเจ้าของ ที่ดินเชียงใหม่ 300 กว่าไร่ แก่ บริษัทในเครือของท่าน... ราคาประมาณ 60 ล้านบาท ทั้งที่ต้นทุนของที่ดินเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 140 ล้านบาท
-ท่าน... ญาติของท่าน... และบริษัทในเครือท่าน...มีการทำเทนเดอร์โยนหุ้นขายให้กันเอง เพื่อบันทึกการขาดทุนจากการขายเงินลงทุนเพื่อประหยัดภาษี ไม่รู้ว่าจะมีการกดราคาในตลาดเพื่อผลประโยชน์นี้หรือเปล่า แต่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเกือบทั้งหมดดับอนาจ
ปี 2546 หลังออกตลาดด้วยราคาทำเทนเดอร์หุ้นละ 16 บาท (ถูกจัง) 555 เรื่องยังไม่จบ
มีการขายทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัท เช่น โรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค โรงแรมพลาซ่า แอทธินี โรงแรมที่แม่ฮ่องสอน โรงแรมอิมพีเรียลที่สมุย 2 แห่ง และ โรงแรมที่เขมร เป็นต้น โดยไม่แจ้งรายละเอียด ของทรัพย์สินที่จะขาย ให้ผู้ถือหุ้นทราบล่วงหน้า โดยอ้างว่า บริษัทยังมีหนี้สินอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีความประสงค์ขายทรัพย์สินของบริษัท เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินดังกล่าวมาชำระหนี้เงินกู้ แต่ทำไมต้องขายทรัพย์สินเกือบทั้งหมด และ ถ้าดูงบการเงินจะเห็นว่าบริษัทฯมีผลการดำเนินงานดีขึ้นนะ และเป็นการขายทรัพย์สินในราคาที่ต่ำกว่าที่ควร และวิธีการขายก็ไม่น่าจะโปร่งใส
เฮ้อ นี่ก็แค่ส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้เท่านั้นนะท่าน
ทั้งสองตัวถือเป็นหุ้นที่ผมเข้าใจน้อยมากมากทั้งคู่เลยนะครับ แต่ยังไงจะลองตอบแบบตามความเข้าใจนะครับ ถ้าท่านใดเข้าใจมากกว่าเพิ่มเติมได้เลยนะครับ ผมจะได้มีความรู้เพิ่มขึ้นด้วยครับ ตัวแรกคือ ssf ถ้าดูจากตารางผลประกอบการณ์ย้อนหลัง 4 ปีที่ผ่านมา จะดูว่า ssf เป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นเรื่อยเรื่อยใน 4 ปีที่ผ่านมานะครับ แต่จุดที่น่าสังเกตุคือ การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ มาจากการเพิ่มในส่วนของอัตรากำไรสุทธิเป็นหลัก คือยอดขายก็เพิ่มบ้างแต่ไม่ได้เยอะมาก(ทั้งทั้งที่ผมดูแล้วเทรนด์อาหารแช่แข็ง แบบของ ssf น่าจะเติบโตได้ค่อนข้างดีนะครับ เพราะทั้งสินค้าและรสชาติของ ssf ผมว่าอร่อยดีครับ ) พอดูละเอียดแต่ละไตรมาสยิ่งคาดเดากำไรยากมาก บางครั้งก็ดีมาก บางครั้งก็ดีน้อยกว่าที่คาด โดย q4 ที่ผ่านมาทำได้ราว 0.20 บาทต่อหุ้น แต่กำไรทั้งปีของปี 2552 ทำได้ 1 บาทต่อหุ้นครับ ถ้าเราเอาแค่กำไร q4 คูณ 4 กำไรของปีนี้ก็ยังน้อยกว่าปีที่แล้ว ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นกว่าเมื่อปีที่ผ่านมาน่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิบ้างไม่มากก็น้อย ปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้อาจได้ประโยชน์จากการที่อินโดมีโรคระบาดเรื่องกุ้ง ทำให้ ssf ได้ประโยชน์ในระยะสั้น(ssf มีบริษัทลูกที่เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งเอง สามบริษัท ) ดังนั้นหากภาวะกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมเคยได้ยินมาว่าอินโดมีต้นทุนการเลี้ยงกุ้งที่ถูกกว่าเรา และ ราคากุ้งต่ำกว่าเราพอสมควร คู่แข่งจากต่างชาติ อาจกลับมาแข่งขันได้อีก (ทำให้คาดเดามาร์จิ้นไม่ได้อีก เพราะ Cycle ของพวกปศุสัตว์ สั้นๆมากการ จึงคาดเดาวงจรยาก ) สรุปคือการลงทุน ssf มีปัจจัยที่มีผลต่อผลประกอบการณ์เยอะพอสมควรเลยครับ pe นี่ดูยากมาก เพราะหากแค่อัตรากำไรสุทธิเปลีย่นเล็กน้อย pe อาจจะเพิ่มหรือลดได้ง่ายง่ายเลยครับ พี่ท่านหนึ่งเคยแนะนำว่าการลงทุนหุ้นที่เราคาดเดากำไรยากยาก ควรดู pbv ประกอบด้วย กรณี ssf ปัจจุบัน pbv อยู่ที่ระดับ 1.49 เท่า สูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาครับ (ดังนั้นถ้าเราไม่รู้รอบวงจรของธรุกิจ น่าจะถือว่าเป็นราคาที่มีความเสี่ยงพอสมควรครับ ) นโยบายจ่ายปันผลค่อนข้างดีคือที่ 60 % ของกำไรสุทธิ โอกาสที่กำไรปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้วผมมองว่ามีไม่มาก สำหรับผมเทียบราคาปัจจุบันของ ssf กับราคาหุ้นตัวอื่นอื่นในตลาด โผมยังพอหาหุ้นที่ผมเข้าใจ และ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้ครับ เลยมองเฉยเฉยครับ ด้านล่างผมเอาตัวเลขผลประกอบการณ์คร่าวคร่าว และ ตัวเลขภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมมาฝากครับ จะเห็นว่าตอนนี้โดยรวมใช้กำลังการผลิตเพียง 47.5 % เท่านั้นเอง ครับLaziale เขียน:รบกวนขอความเห็นของพี่ sai เกี่ยวกับ SSF กับ LVT หน่อยครับ
สำหรับ SSF แล้วผมคิดว่าถึงแม้ว่าปีที่แล้วกำไรทั้งปีจะระเบิดก็ตาม แต่ยังกังวลเหมือนกันในปีนี้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนหรือดีแค่ชั่วคราว เพราะใน Q4 ที่ผ่านมากำไรลดลงไปเยอะพอควร ส่วน LVT ไม่รู้ว่ากำไรจะเป็นยังไงเพราะใน Q3 ว่าผิดคาดแล้ว Q4 กลับน่าผิดหวังกว่าอีก ไม่รู้ว่า margin จะกลับมาดีเหมือนเดิมได้หรือป่าว แต่ติดตรงที่ปันผลเยอะแล้วราคาถือว่าถูกเเลยยังหวังอยู่ว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา รบกวนพี่ sai ช่วยวิจารณ์ด้วยครับ :D