
ผมไปละครับ ฟิ่ว ฟิ่ว...
การวิเคราะห์2ตัวนี้ไม่ยากครับ หลักๆต้องดูอย่างนี้ครับkindaiji เขียน:อยากให้พี่ๆช่วยบอกแนวทางการวิเคราะห์หุ้นพวก ttw eastw ครับ
ขอบคุณมากครับ
ลูกอิสาน เขียน:TTW มีรายได้หลักจาก 2 สัมปทานคือ
1.ประปานครปฐม สมุทรสาคร มีอายุสัมปทานประมาณ 30 ปีเหลืออีก 25 ปี เป็นสัมปทานที่เมื่อครบอายุ ไม่ต้องส่งระบบผลิตน้ำให้ กปภ.ยอดขายน้ำประมาณ 3 แสน ลบม./วัน ที่ราคาขาย 23 บ./ลบม.
2.ประปาปทุมธานี รังสิต อายุสัมปทาน 25 ปีเหลืออีก 14-15 ปี เป็นสัมปทานที่เมื่อครบอายุ ต้องส่งระบบผลิตน้ำให้กปภ. ยอดขายน้ำประมาณ 3 แสน ลบม./วัน ที่ราคาขาย 10 บ./ลบม.
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ สหภาพแรงงานของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้มีการยืนเรื่องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) พิจารณาสัญญาที่ทาง TTW ทำกับ กปภ.ว่าสัญญาที่ซื้อขายต้องเข้าข่ายที่ต้องทำสัญญาที่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และต้องใช้พรบ.ว่าด้วยเอกชนร่วมในกิจการของรัฐหรือไม่ หาก ป.ป.ช.เห็นว่าข้อกล่าวหา TTW มีมูล ป.ป.ช.จะต้องยื่นเรื่องไปยังศาลปกครองกลางเพื่อตัดสิน ซึ่งประเด็นข่าวนี้จะเป็นลบต่อ TTW มาก เนื่องจากปัจจุบัน TTW ขายน้ำให้กับการประปาในราคา 23.55 บาทต่อลูกบาศก์เมตร แต่การประปาขายให้กับผู้ใช้ที่เฉลี่ยประมาณ 10-15บาทต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากสัญญามีปัญหาจริง และต้องมีการตกลงราคากันใหม่ กำไรของ TTW จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหากราคาขายลดลงเหลือเพียง 11.49 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ประปาปทุมฯ ขายให้กับการประปา กำไรของ TTW จะลดลงเหลือเพียงประมาณ 400 ล้านบาทจากเดิม 1700 ล้านบาท และเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ได้ข้อสรุปในระยะสั้นแน่นอน
ส่วนความเห็นของผู้บริหารและจากการวิเคราะห์ของโบรคเกอร์
บทวิจัยของบล.เกียรตินาคิน ระบุ ระดับราคาหุ้น TTW ปรับลดอย่างผันผวน รับผลกระทบความกังวลจากกรณีที่สหภาพ กปภ.ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ตรวจสอบสัญญาที่ TTW ทำกับ กปภ.แต่จากการสอบถามผู้บริหารบริษัทยังไม่ได้ข้อสรุงและความชัดเจน โดยบริษัทยังไม่ได้รับการติดต่อจาก กปภ.แต่ผู้บริหารก็ยังคงยืนยันเรื่องสัญญาของบริษัท TTW และ กปภ.นั้นถูกต้อง และเห็นว่าขั้นตอนต่าง ๆ หากไปจนถึงขั้นศาลปกครองยังต้องใช้ระยะเวลาพอควร อย่างไรก็ตาม เรามองว่าประเด็นเสี่ยงจากการยกเลิกสัญญานั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตน้ำประปารายใหญ่ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.นครปฐม ในขณะที่การต่อรองขอลดราคาค่าน้ำยังคงต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการซึ่งยังไม่มีความชัดเจน
ขณะเดียวกัน บล.เอเชียพลัส ระบุว่า ผู้บริหาร TTW มั่นใจสัญญารัดกุม โดยชี้แจงว่าสาเหตุที่ราคาน้ำของ TTW สูงกว่าที่ กปภ.เรียกเก็บจากครัวเรือน เพราะ TTW มีต้นทุนก่อสร้างในช่วงแรกมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถูกนำไปรวมในการคำนวณราคาขายน้ำที่เรียกเก็บกับ กปภ.ขณะที่ กปภ.ไม่มีงบลงทุนเพียงพอ แต่จำเป็นต้องให้บริการน้ำอันเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานแก่ประชาชนใน 73 จังหวัดและต้องเก็บค่าน้ำจากครัวเรือนทั่วประเทศในอัตราเดียวกัน จึงส่งผลให้ กปภ.ต้องแบกภาระขาดทุน แต่อย่างไรก็ตาม ราคาขายน้ำในส่วนต่อขยาย(คาดจะแล้วเสร็จในงวดครึ่งหลังปี 53)จะอยู่ที่ 10.52 บาท/ลบ.ม.ต่ำว่าราคาขายน้ำในช่วงแรกมาก เพราะใช้เงินทุนเพียง 1.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้ กปภ.สามารถทำกำไรจากการซื้อน้ำในส่วนต่อขยายได้ ประกอบกับ สัญญาระหว่าง TTW และ กปภ.เป็นเพียงสัญญาซื้อขายน้ำเท่านั้น และ TTW เป็นผู้ลงทุนในการก่อสร้างทั้งระบบแต่เพียงผู้เดียว โดยรัฐไม่ได้เข้ามาร่วมทุนแต่อย่างใด ดังนั้นสัญญาดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเข้าข่าย พ.ร.บ. ร่วมทุนตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ดังนั้นผู้บริหารจึงมั่นใจและยืนยันว่าสัญญาดังกล่าวถูกต้อง ชัดเจน และยากต่อการยกเลิกสัญญา
บล.ธนชาต ระบุว่า ข่าวดังกล่าวเป็น political risk สำหรับ TTW และกรณีเลวร้ายที่สุด คือ ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีผลบังคับใช้ ซึ่งจะทำให้ TTW จำเป็นต้องทำการเจรจาต่อรองเพื่อทำข้อตกลงกับ PWA ใหม่ ถึงแม้ว่า political risk นี้จะสามารถทำให้ราคาหุ้นตกอยู่ภายใต้แรงกดดันในระยะอันใกล้นี้ แต่เรายังคงชอบ TTW สำหรับการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากธุรกิจน้ำประปามีความยืดหยุ่นต่อการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงอีกด้วย เนื่องจากภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯ มีสัดส่วนถึง 32% ของต้นทุนรวมของบริษัทฯ ขณะที่ผู้บริหาร TTW มีความมั่นใจอย่างมากว่า ข้อตกลงระหว่างบริษัทฯ กับ PWA ถูกกฎหมาย เนื่องจากการได้รับการยืนยันจากคณะกรรมการกฤษฎีกา เราจึงไม่คาดว่าข้อตลกลงในปัจจุบันจะกลายเป็นไม่มีผลใช้บังคับ
ถ้าส่วนตัวผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลครับ เพราะสัญญาเอื้อประโยชน์ให้กับ TTW มากๆ :twisted: ลองคิดดูขายน้ำราคา 23 บ. ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบแทบจะฟรี มีต้นทุนการผลิตประมาณ 5 บ./ลบม. รวมต้นทุนอื่นไม่น่าจะเกิน 7 บ./ลบม.นอกจากนั้นหมดอายุสัมปทานยังไม่ต้องโอนทรัพย์สินให้ กปภ.อีก สัญญาฉบับนี้ต้องมีคนโง่หรือแกล้งโง่แน่นอนเพราะสัญญาที่คล้ายๆกันของประปาปทุม ราคาขายน้ำแค่ 10 บ./ลบม. แถมยังต้องส่งมอบทรัพย์สินให้กปภ.อีกด้วย อายุสัมปทานก็น้อยกว่า ทำไมสัญญาที่คล้ายๆกัน 2 ฉบับ สาระต่างกันลิบลับ ในขณะที่คนที่เสียผลประโยชน์ก็คงเป็นประชาชนผู้เสียภาษี เพราะกปภ.รับซื้อ 23 บ.แต่กลับขายได้ 10 บ. แถมยังขายได้ไม่เต็มเท่าที่รับมา เพราะสูญหายรั่วไหลในขณะผ่านท่อ แต่ ttw รับรู้รายได้เพียงผ่านมิเตอร์ที่หน้าโรงผลิตน้ำครับ
มีโอกาสที่สัญญาจะเป็นโมฆะไหม ก็คงจะมีเพราะคำสั่งศาลปัจจุบันคาดเดาไม่ได้ แต่คิดว่าโอกาสน้อยครับ เพราะสัญญาต้องเป็นสัญญา ไม่อย่างนั้นต่างชาติญี่ปุ่นที่ถือหุ้นใหญ่ใน ttw คงไม่ยอมง่ายๆแน่ และแม้จะถูกยกเลิกสัมปทาน ก็แค่กำไรลดลงมาก เท่านั้น ไม่ถึงกับเจ็งครับ
ประเด็นอื่นที่น่าสนใจ..
1.TTW เป็นหุ้นเกือบสมบูรณ์แบบตามตำรา VI คือเป็นหุ้นเติบโต แถมมีแฟรนไชน์ป้องกันคู่แข่งเข้ามาแข่งขัน ที่ว่าเติบโตประเด็นแรกคือน้ำประปาที่ผลิตเป็นการทดแทนน้ำบาดาลที่ก่อให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด น้ำเค็มแทรก ทางรัฐได้เพิ่มค่าน้ำบาดาลให้สูงขึ้น ทำให้ประชาชน ภาคอุตสาหกรรม หันมาใช้น้ำประปามากขึ้น ในแง่ต้นทุนที่ไม่ต่างกันมาก แต่ได้คุณภาพน้ำที่ดีกว่า สะอาด สะดวก ไม่มีรสกร่อยครับ ประการที่สองคือการบริโภคน้ำประปาเติบโตตามภาวะเศรษกิจและจำนวนประชากร พื้นที่สมุทรสาครและนครปฐม เป็นแหล่งโรงงานและเมืองก็เติบโตตามไปด้วยครับ
2.ระเบิดเวลาลูกแรก คือภาษี เข้าใจว่าปัจจุบันไม่เสียภาษีเพราะได้ BOI หรือนำขาดทุนสะสมมาหัก อีกไม่นานน่าจะต้องเสียภาษีแล้วครับ ทำให้กำไรหายไป 30%
3.ระเบิดเวลาลูกที่ 2 ผมคิดเผื่อไว้คือต้นทุนค่าน้ำดิบ ปัจจุบันแทบจะฟรี คือสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา มีค่าใช้จ่ายแค่ค่าไฟ ค่าท่อ เท่านั้น ผมคิดว่าถ้าใช้น้ำสาธารณะเพื่อการค้า ควรมีต้นทุนบ้าง อย่าง eastw เค้ายังมีจ่ายค่าน้ำให้กรมชลเลยครับ ตอนนี้ eastw ขายน้ำดิบลบม.ละ 10 บ. ในขณะที่ TTW ค่าน้ำดิบเกือบๆ ไมีถึงบาท เป็นความไม่สมเหตุสมผล ถ้าภาครัฐเข้มงวดขึ้นมาก็คงเป็นเรื่อง
4.จุดเด่นของ TTW ก็มีคือมีการลงทุนหนักๆระยะแรกเท่านั้น หลังจากนั้นก็เหมือนเสือนอนกิน กระแสเงินสดจะดีเพราะค่าเสื่อมเป็นรายจ่ายที่ไม่ใช่เงินสด เมื่อมีคืนหนี้เงินกู้ เงินต้นจะค่อยๆลดลง ดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลงด้วย(ปัจจุบันดอกเบี้ยประมาณ 40%ของต้นทุนทั้งหมด) แต่ราคาขายน้ำปรับได้ทุกปี กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่จริงหนี้สินของ TTW ไม่ได้มากมาย แต่ไปซื้อหุ้นบริษัทลูกประปาปทุมที่ราคาไม่ถูกจากแม่ CK ทำให้หนี้เพิ่มมากครับ การออกหุ้นกู้ เร็วๆนี้คงลดดอกเบี้ยจ่ายได้บ้าง
5.การขายหุ้นของ CK ก็เป็นไปได้ครับ เพราะคุ้นๆว่า becl ก็ขายจนเหลือไม่มาก ที่ว่ามีโอกาสขายเพราะงบดุลของ CK ค่อนข้างอ่อนแอ สะท้อนที่เรทหุ้นกู้ค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้าร้อนเงินเมื่อไหร่ ก็จำใจขายครับ แต่ถ้าขายคงไม่มาก ไม่อย่างนั้นจะเสียอำนาจบริหารให้มิตซุย
ที่ P/E 11 เท่าถ้าสถานการณ์ปกติผมถือว่าไม่แพง แต่เจอตลาดอย่างนี้และมีเรื่องปัญหาสัญญาเข้ามาราคาหุ้นก็ขึ้นได้ไม่มากครับ..
ลูกอิสาน เขียน: 1.สัญญาหลักของ ttw เป็นสัญญาสัมปทานและ 1 ใน 2 สัญญาหลักก็เหลืออายุสัมปทานไม่นานมากแล้ว หมดอายุเมื่อไหร่กลายเป็นศูนย์ครับ หรือถ้าได้ต่อสัมปทานก็คงต้องตกลงเงื่อนไขใหม่ กำไรคงลดลงมาก ในขณะที่ eastw ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของสินทรัพย์เอง ไม่มีอายุสัมปทาน ยกเว้นส่วนผลิตน้ำประปาที่เป็นสัมปทาน แต่ส่วนใหญ่อยู่ในระยะเริ่มต้นทั้งนั้นครับ
2.ส่วนคดีความ ปัจจุบัน ttw โดนฟ้องร้องจากสหภาพกปน.ประเด็นสัมปทานเป็นสัญญาการร่วมทุนกับรัฐหรือไม่ ดังนั้นถือว่าเป็นความเสี่ยงครับ ในขณะที่ eastw มีการฟ้องร้องประเด็นคล้ายๆกันในส่วนสัมปทานประปาระยอง ซึ่งยังไม่เริ่มสร้างรายได้เลย ดังนั้นถือว่าแทบไม่มีผลต่อกิจการครับ
3.ปัจจุบัน eastw ซื้อน้ำดิบจากกรมชล ในขณะที่ ttw สูบน้ำดิบฟรีจากแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นน่าจะถือว่า eastw ปฎิบัติในทางที่สมเหตุสมผลกว่าครับ
4.eastw เสียภาษีนิติบุคคลแล้ว ในขณะที่ ttw เข้าใจว่ายังไม่เริ่มจ่าย
5.eastw มีงบการเงินที่แข็งแกร่งกว่า ttw ปันผลก็สูงกว่า
6.eastw มีการเติบโตเหมือนกับ ttw โดยเฉพาะส่วนน้ำประปา
7.eastw เป็นกึ่งกิจการของรัฐะ (กปน.และ egco ถือหุ้นใหญ่) ในขณะที่ ttw ถือหุ้นโดยมิตซุยและช.การช่าง
ส่วนประเด็นผู้บริหาร ผมไม่มีความเห็นเรื่องผู้บริหารสนิทกับนักการเมือง เราไม่ทราบข้อเท็จจริงครับ เท่าที่เคยติดตาม md คนปัจจุบันถือว่าสอบผ่านครับ..