
ขอแสดงความยินดีด้วยนะน้องโจ
เด็กผู้หญิงน่ะน่ารักดี ขี้อ้อน ขี้ประจบ

ทั้ง 4 ตัวข้างต้นเป็นหุ้น defensive แทบทั้งนั้นเลยครับ และส่วนใหญ่ก็มีการเจริญเติบโตด้วย ผมคิดว่าเป็นหุ้นที่ดีทั้งนั้น ถ้าจะถือยาวก็ซื้อได้ตลอด อาจจะซื้อทุกเดือนแบบ DCA ก็ได้ หุ้นแบบนี้หวังผลตอบแทน 10-15% ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าต้องการผลตอบแทนมากกว่านี้ คงต้องไปหาตัวอื่น หุ้นพวกนี้ตลาดรับรู้คุณภาพไปแล้ว ดังนั้นโอกาสที่จะได้ซื้อราคาถูกๆมีน้อยครับ ถ้าให้มองแต่ละตัวแบบคร่าวๆnensan เขียน:ผมมือใหม่ ติดตามกระทู้พี่มาตลอด อยากถาม ttw(มีปัญหาเรื่องสัญญา),bigc(มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ),kh ในpeที่พอกัน ว่าตัวไหนน่าลงทุนกว่ากัน.เเละtfund จะมีปัญหาเรื่องค่าเช่าที่รุนเเรงในระยะยาวไหม(ช่วยวิเคราะห์ให้ด้วย) ด้วยความนับถือ ขอบคุณครับ
เพื่อนที่อยู่ประปาเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเหมือนกัน ผมว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ เลยไม่ได้อ่านรายละเอียดต่อเอง พวกน้ำๆนี่ไม่รู้ว่าเสือนอนกินหรือเสือมากินกันแน่นะครับ :lol:ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ สหภาพแรงงานของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ได้มีการยืนเรื่องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) พิจารณาสัญญาที่ทาง TTW ทำกับ กปภ.ว่าสัญญาที่ซื้อขายต้องเข้าข่ายที่ต้องทำสัญญาที่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และต้องใช้พรบ.ว่าด้วยเอกชนร่วมในกิจการของรัฐหรือไม่ หาก ป.ป.ช.เห็นว่าข้อกล่าวหา TTW มีมูล ป.ป.ช.จะต้องยื่นเรื่องไปยังศาลปกครองกลางเพื่อตัดสิน ซึ่งประเด็นข่าวนี้จะเป็นลบต่อ TTW มาก เนื่องจากปัจจุบัน TTW ขายน้ำให้กับการประปาในราคา 23.55 บาทต่อลูกบาศก์เมตร แต่การประปาขายให้กับผู้ใช้ที่เฉลี่ยประมาณ 10-15บาทต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งหากสัญญามีปัญหาจริง และต้องมีการตกลงราคากันใหม่ กำไรของ TTW จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยหากราคาขายลดลงเหลือเพียง 11.49 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ประปาปทุมฯ ขายให้กับการประปา กำไรของ TTW จะลดลงเหลือเพียงประมาณ 400 ล้านบาทจากเดิม 1700 ล้านบาท และเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ได้ข้อสรุปในระยะสั้นแน่นอน
ขอบคุณพี่ๆ ป้าๆ ครับกูรูขอบสนาม เขียน:
ขอแสดงความยินดีด้วยนะน้องโจ
เด็กผู้หญิงน่ะน่ารักดี ขี้อ้อน ขี้ประจบ
นักลงทุนที่ดีไม่จำเป็นต้องศึกษา MBAหรือจบบัญชีครับ แต่จะเป็นนักลงทุนที่ดีต้องมีความรู้ความเข้าใจภาษาของธุรกิจซึ่งก็คือการบัญชี วิธีที่ง่ายที่สุดถ้าไม่รู้ก็ต้องเรียนครับ ถ้าจบบัญชีมาก็สบาย ถ้าไม่จบก็ต้องเรียน จะเรียนนอกห้องเรียนหรือลงคลาสเรียนจริงๆจังๆก็ได้ เท่าที่ทราบพี่ๆที่เก่งๆในเวป แทบไม่มีคนจบบัญชีโดยตรงเลย ส่วนใหญ่จบแพทย์ วิศวะ เภสัช เกษตรก็มี แต่ฝีมือวิเคราะห์หุ้น วิธีดูบัญชีเก่งๆหลายท่าน ส่วนผมจบวิทยาศาสตร์อาหาร อุตสาหกรรมเกษตร แต่ผมจริงจังกับหุ้น มองว่าถ้าพื้นฐานความรู้แน่น คงไปได้ไกลกว่า พอจบผมก็เข้ามากรุงเทพ ทำงานที่ไม่ตรงสาขา เงินเดือนน้อยมาก เพื่ออย่างเดียวคือต้องการเรียนวิชาการเงิน (ปริญาตรีรามคำแหง) การเรียนที่นี่ทำให้ผมเข้าใจความแตกต่างระหว่างเรียนเพื่อใบปริญญา กับเรียนเพื่อจะเอาความรู้ ข้อดีที่เรียนรามคือ ใช้เงินน้อยมากๆ ไม่ต้องเข้าห้องเรียน(ซื้อชีทมาอ่านก่อนสอบ)เสียอย่างเดียวคือเวลา ที่ต้องอ่านหนังสือ อ่านชีท และทำข้อสอบเก่าๆครับ เมื่ออาทิตย์ก่อนเพื่อนรุ่นน้องในเวปท่านนึงโทรมาปรึกษาเรื่องวิธีการเรียนที่นี่(การเงินราม) เค้าไปลงเรียนเพราะสนใจการลงทุนเหมือนกัน และได้อ่านที่ผมเคยโพสต์เรื่องการเรียนที่ราม ก็เป็นอะไรที่ดีใจครับ ถ้าเรื่องราวของผมจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆบ้าง แม้ผมเป็นเพียงคนชี้ทาง แต่จะสำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นเองครับbaby-investor เขียน:ขอสอบถามมุมมองของคุณโจหน่อยนะครับ ว่าการเป็นนักลงทุนที่ดีควรจะต้องศึกษา MBA หรือจบบัญชีหรือไม่ (ผมจบวิศวะครับ) เพราะผมอ่านหนังสือหลายๆเล่มแล้วรู้ตัวว่ายังวิเคราะห์งบไม่ค่อยเก่ง โดยเฉพาะงบกระแสเงินสด บางทีดูค่าเสื่อม แล้วลองไปดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ปรากฏว่าไม่สามารถหาตัวเลขค่าเสื่อมในหมายเหตุประกอบงบการเงินให้ตรงกับที่อยู่ในงบกระแสเงินสดได้ หรือค่าอื่นๆที่หลายครั้งก็คำนวณได้ไม่ตรง นอกจากนี้การนำข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบการเงินมาเชื่อมเพื่อดูความสัมพันธ์ ผมยังดูไม่ค่อยออกครับ เราจะมีวิธีดูได้อย่างไรว่าตัวเลขต่างๆเป็นจริง ไม่ได้ถูกแต่งเติมขึ้นมา ทั้งนี้ถ้าคุณโจคิดว่าควรจะต้องเรียน MBA หรือบัญชี น่าจะเรียนที่สถาบันไหนครับ หรือผมควรอ่านหนังสือเล่มไหนที่จะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ปกติถ้าเราสนใจหุ้นตัวไหน จะต้องมีเหตุผล ดังนั้นหลักง่ายๆคือ ถ้ามีโอกาสเราก็ควรสอบถามผู้บริหารในเหตุผลที่เราเชื่อ ว่าเป็นจริงหรือเปล่า เช่นเราสนใจหุ้นตัวนึงที่คิดว่ารูปแบบธุรกิจเปลี่ยนไป กำไรน่าจะเพิ่มขึ้น หากได้เจอผู้บริหารก็ต้องสอบถามว่าสิ่งที่เราเชื่อจะเป็นจริงหรือเปล่า รวมถึงควรสอบถามความเสี่ยงด้านต่างๆของบริษัท ผู้บริหารที่ดีเค้าจะเต็มใจตอบครับ ถ้าตอบแบบคลุมเคลือหรือแบบเลี่ยงๆ นั่นต้องระวัง ส่วนคำถามพื้นๆที่ควรถามคือ จุดเด่นของบริษัทคืออะไร จุดด้อยเป็นอย่างไร อะไรที่เป็นความสามารถในการแข่งขัน ผู้บริหารส่วนใหญ่จะตอบแบบผ่านๆไป เช่นบริษัทมีการจัดการที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เหตุผลเหล่านี้ไม่น่าสนใจ ถ้าไปเจอบริษัทที่ผู้บริหารให้เหตุผลต่างออกไป แบบมีเหตุมีผล อย่างนี้จะน่าสนใจกว่าครับromee เขียน:พี่โจครับครับ ถ้าพี่ไปงาน company visit หรือไปฟังงาน Opp day ได้นะครับ
พี่ว่า เราควรเตรียมคำถาม หรือฟังประเด็นเน้นเรื่องใหนเป็นพิเศษมั้ยครับ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์กับเรา ได้ดีสุด
คอมมูนิสต์พ่ายทุนนิยมสวนหย่อม เขียน: มารอฟังพี่วิเคราะห์กรณีนี้ครับ เห็นความเห็นหลายๆ ท่านแล้วอยากเห็นความเห็นพี่บ้าง
สถานการณ์บังคับให้ major ต้องแข่งขันกับกลุ่มเซนทรัลครับ เพราะคงทนเป็นเบี้ยล่างให้กับแลนลอร์ดไม่ไหว และแลนลอร์ดยังมาทำธุรกิจแข่งกับลูกค้าด้วย(sf cinema) ถ้าสังเกตหากผู้เช่ารายใดทำธุรกิจได้ดี มีศักยภาพที่จะเติบโต กลุ่มเซนทรัลจะเข้ามาแข่งขันและค่อยๆกดดันผู้เช่ารายนั้นโดยอาศัยอำนาจต่อรองที่เป็นเจ้าของพื้นที่ เมื่อเป็นอย่างนี้ถ้าผู้เช่ารายใดที่มีเงินทุน ก็คงไม่พอใจ และบังคับให้ต้องสู้โดยทำธุรกิจแข่งกับเซนทรัลซะเลย อย่าง major ถ้าสังเกตช่วงหลังจะสร้างโรงหนังเป็นแบบ stand alone มีพื้นที่ให้เช่าค่อนข้างเยอะ เป็นแลนลอร์ดซะเอง นอกจากนั้นยังถือหุ้นใน sf ซึ่งเป็นผู้พัฒนาพื้นที่ คู่แข่งทางอ้อมของ cpnอีกรายครับmoomoo เขียน:เห็นพี่ลูกอิสานกำลังพูดคุยตัวที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวพอดี งั้นรบกวนพี่ลูกอิสานวิเคราะห์ตัว major ให้ด้วยนะครับ พอดีผมเห็นว่ารอบนี้เป็นตัวที่ราคาเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างช้ามาก ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ไม่ดีซ่อนอยู่มั๊ยครับ อนาคตเป็นไปได้มั๊ยครับที่เค้าจะมาทำในลักษณะ cpn ขอบคุณครับ