ผมเป็นนักเรียนครับVIB007 เขียน:ถ้านักเกร็งกำไรได้ยินคง"หัวเราะ"ฟันหัก
เพราะจบจากคนละโรงเรียน
เหมือน VI จบ"โรงเรียนเพาะช่าง"
แต่เก็งกำไรจบ"โรงเรียนเทคนิค"
อะไรทำนองนั้น
เรียนไปทำแลปไปคับ.
ผมเป็นนักเรียนครับVIB007 เขียน:ถ้านักเกร็งกำไรได้ยินคง"หัวเราะ"ฟันหัก
เพราะจบจากคนละโรงเรียน
เหมือน VI จบ"โรงเรียนเพาะช่าง"
แต่เก็งกำไรจบ"โรงเรียนเทคนิค"
อะไรทำนองนั้น
น้อง harry เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าไปริอ่านสูบบุหรี่เลยผมว่า อันตรายต่อปอดน้อยๆ ของเราเปล่าๆ นิตอนนี้ผมยังเด็กครับ ไว้อีกสักสิบปี มีเงินมากกว่านี้ จะมองหาก้นบุหรี่ถูกๆ เก็บมาสูบบ้าง เผื่อไม่แน่ตอนนั้น ตลาดเกิดตกต่ำ แล้วผมมีเงินมากพอ คงเก็บได้หลายมวน หรือไม่ก็มวนใหญ่ๆสักมวน จากนั้นก็รอเวลาทำกำไรครับ
พี่ๆ ที่ทำกันอยู่ตอนนี้ ระวังจะเป็นมะเร็งปอดได้นะครับ ถ้าพลาดท่าไปคงได้เข้าไอซียูแหงๆ
น้องมน (เห็นบอกว่ารหัส 34 ยังงี้น้องผมตั้ง 4 ปีนะ แต่ไหงคุณวุฒิสูงกว่าเราเยอะจังหว่า) อย่าขู่เด่ะ ไม่พอใจผมแน่จริง ชกกับคุณวิบูลย์มั้ยอะ Kidding!!!คุณ aye ให้ผมอ่านปุบเข้าใจปั๊บได้ไง ต้องทำความเข้าใจกันหน่อยดิ แล้วเดี๋ยวเจอกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
คุณวิบูลย์ อย่าท้าทายอำนาจมืดเป็นอันขาด ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ว่าแต่ว่าตั้งร้านขายเต้าหวยนี่ใช้ทุนเท่าไรครับ คือว่าจะหุ้นด้วยน่ะ
สวัสดีครับ เฮียเต้งtanapong เขียน:มารายงานตัวในรอบ 3 เดือนครับ
สวัสดีครับ
คุณมน คุณวิบูลย์ คุณธันวา คุณJeng เพื่อนๆ พี่ ที่คิดถึงทุกคนครับ
ผมเข้ามาอ่านบ่อยๆ แต่ไม่ได้โพสต์ครับ
มาสารภาพครับ หนีไปสูบบุหรี่มวนสั้นมาครับ
ใช้เวลาสูบประมาณประมาณ 1 เดือนครับ
ปรากฎว่า 4 มวน ไฟไหม้มือ(ปาก+เงิน) ซะ 2 มวน อีก 2 มวนทิ้งทันครับ
เลยกลับมาสารภาพครับ
ช่วงนี้(ที่ผ่านมา) Mr.Market อารมณ์แปรปรวนมากครับแต่ผมว่าดีสำหรับการสะสมหุ้นครับ
รุ่นพี่ของสะดือทะเลคนนี้ ท่าทีไม่เลวtanapong เขียน:ทำให้ผมตัดสินใจถือหุ้นที่คิดว่าดีที่สุดในประเทศไทยครับ
เป็นบริษัท ที่ทำกำไรน้อยกว่า เจ้าสะดือทะเลสัก 4 บาทครับ
พอผ่านมาสักเดือนครึ่ง ราคาพี่เค้า ลดลงมาเรื่อยๆ จากราคา 168 บาท
ลงมาประมาณ 150+ เล็กๆ ตั้งใจจะเก็บไว้กินปันผลระยะยาวครับ
แต่เหตุผลเหนือสิ่งอื่นใดครับ อยากเป็นญาติ กับคุณวิบูลย์ครับ
แต่ผมไม่ขายครับเพราะตั้งใจถือจริงๆครับ เพื่อนผมบางคนหาว่าผมบ้า
ทำไมปีที่แล้ว ราคา 58 บาทไม่ซื้อ มาซื้อที่ราคา 168 บาท
ผมไม่ส่งออกครับ จะขายอยู่หน้าปากซอยบ้านเท่านั้นครับtanapong เขียน:แต่ผมไปเช็คตลาดส่งออกให้คุณวิบูลย์& Co.
ขาดทุนจากเจ้าก้นบุหรี่
แล้วมาเปิดขายเต้าฮวย เผื่อจะส่งออก
ระวังจะเจ๊ง 2ต่อครับ เพราะคนจีนไม่กิน เต้าฮวยครับ 55555555
haryy เขียน:ตอนนี้ผมยังเด็กครับ ไว้อีกสักสิบปี มีเงินมากกว่านี้ จะมองหาก้นบุหรี่ถูกๆ เก็บมาสูบบ้าง เผื่อไม่แน่ตอนนั้น ตลาดเกิดตกต่ำ แล้วผมมีเงินมากพอ คงเก็บได้หลายมวน หรือไม่ก็มวนใหญ่ๆสักมวน จากนั้นก็รอเวลาทำกำไรครับ
พี่ๆ ที่ทำกันอยู่ตอนนี้ ระวังจะเป็นมะเร็งปอดได้นะครับ ถ้าพลาดท่าไปคงได้เข้าไอซียูแหงๆ
Ayethebing เขียน:น้อง harry เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าไปริอ่านสูบบุหรี่เลยผมว่า อันตรายต่อปอดน้อยๆ ของเราเปล่าๆ นิ
คุณayethebingayethebing เขียน:น้องมน (เห็นบอกว่ารหัส 34 ยังงี้น้องผมตั้ง 4 ปีนะ แต่ไหงคุณวุฒิสูงกว่าเราเยอะจังหว่า) อย่าขู่เด่ะ ไม่พอใจผมแน่จริง ชกกับคุณวิบูลย์มั้ยอะ Kidding!!!
แล้วเมื่อไหร่คุณน้องมนจะเปิดร้านขายนมสดกับหนมปังละ อ้าวไม่แน่เค้านึกว่าเป็น friendchise นา รวยไม่รู้เรื่อง
วันนี้มาแซวเล่นอย่างเดียวคับ ไม่มีสาระ
มิน่าล่ะ ผมสงสัยมาตั้งนานแล้วว่า ทำไมบอร์ดนี้ถึงรอดพ้นจากพวกปากเหยี่ยวปากกามาได้ตลอด ที่แท้ก็เพราะว่า มีคุณ Mon คอยฟาดฟันอยู่เบื้องหลังนี่เองMon money เขียน: เมื่อคืนนี้ผมต้องมานั่งคอยลบกระทู้จากผู้ไม่หวังดีจนตีสอง น่าแตะมันจริงๆ
ผมแปลว่า เป็นการซื้ออนาคตของบริษัท จะได้มั้ยayethebing เขียน: Value of company = Invested Capital + NPV ของ economic profit ในอนาคต
Economic profit = (ROIC - WACC) X Invested Capital
ผลต่างของผลตอบแทนการลงทุนกับต้นทุนทางการเงินเป็นตัวขับมูลค่าตัวแรก เงินลงทุนที่เป็นฐานเป็นตัวขับมูลค่าตัวที่สองครับ
บริษัทต้องทำให้ spread ซึ่งเป็นตัวขับตัวแรกเป็นบวกก่อนที่จะคิดขยายการลงทุน
การซื้ออนาคต??? ผมว่ามูลค่าของกิจการคือ สินทรัพย์ที่กิจการมีในมาเป็นทุนเดิมจากในอดีต (Invested capital) กับผลตอบแทนที่เราจะได้ในอนาคตไม่ใช่เหรอครับ (NPV ของ economic profit)ayethebing พิมพ์ว่า: ผลต่างของผลตอบแทนการลงทุนกับต้นทุนทางการเงินเป็นตัวขับมูลค่าตัวแรก เงินลงทุนที่เป็นฐานเป็นตัวขับมูลค่าตัวที่สองครับ
บริษัทต้องทำให้ spread ซึ่งเป็นตัวขับตัวแรกเป็นบวกก่อนที่จะคิดขยายการลงทุน
ผมแปลว่า เป็นการซื้ออนาคตของบริษัท จะได้มั้ย
คนไหนฝันเฟื่อง มองโลกในแง่ดี ก็อาจตีมูลค่าสูง (จนอาจถูกคนอื่นหลอกขายของให้ในราคาที่แพงเกินจริง)
คนไหนเค็มหน่อย ก็อาจตีมูลค่าต่ำ (จนอาจถูกคนอื่นแย่งซื้อของคุณภาพดีไปจนหมด เลยอดเลย)
ท่าทางผมจะอดตอบ เพราะยังตอบไม่ครบสิบคนและมีส่วนได้ส่วนเสียกับรางวัลด้วยWvix เขียน: โจทย์
ถ้าบริษัทหนึ่งมีผลการดำเนินงานมีกำไรและสามารถจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดได้เพียงพอทั้งหมด
แต่บริษัทเล็งเห็นว่า Supply ในตัวสินค้าของบริษัทมีน้อยกว่า Demand ของตลาด
บริษัทจึงมีนโยบายในการขยายการลงทุนเพิ่ม บริษัทจึงเสนอทางเลือกให้แก่ผู้ถือหุ้น 2 ทาง
1 บริษัทจะจ่ายเงินปันผลทั้งหมดตามปกติ แต่บริษัทจะต้องกู้เงินมาลงทุนเพิ่ม โดยเสียอัตราดอกเบี้ย 5% Fix rate
2 บริษัทจะงดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นแต่จะนำเงินไปลงทุนเพิ่มแทน
ในฐานะที่เราเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท เราจะเลือกให้บริษัทใช้วิธีไหนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ถือหุ้นได้มากที่สุด
โดยคิดอัตราผลตอบแทนรวมตลอดอายุการใช้งานเครื่องจักรนั้น
ให้ตอบมาแบบแสดงเหตุผลด้วยครับ ตอบเฉยๆไม่นับนะครับ
กฎ ห้าม บรรดาพี่ชายเก๋าๆตอบจนกว่าจะมีบรรดาเพื่อนๆน้อง มาตอบกันจนครบ 10 คนก่อน เพราะว่าเดี๋ยวหมดหนุกซะก่อนครับ
ใครตอบถูกจะให้รางวัลเป็นรอยจูบจากเฮียมนกับเฮียวิบูลย์ คนละหนึ่งฟอตเป็นของขวัญทันที
เอาล่ะเคาะได้ครับ
ฮ่า ฮ่า สนุกดีครับสงสัยต้องเปลี่ยนชื้อกระทู้โดยด่วนครับ ไม่มีชื่อหุ้นนา กระทู้นี้
มาเสริมครับ สำนวนจีน เรียกว่า "เจียะป้าบ่อสื่อ" ครับayethebing เขียน:ถ้าทำแล้ว spread ตามสมการเป็นลบ แต่ยังไปลงทุนเพิ่ม ยังงี้เรียกว่า "กินข้าวอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ"
ก็เพราะว่า ผลตอบแทนในอนาคต มันเกิดจากการ "เดา" (จะอย่างมีเหตุผลหรือไม่ ก็สุดแล้วแต่ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของแต่ละคนล่ะครับ) ผมถึงเรียกว่าเป็นการ "ซื้ออนาคต" เพราะมันไม่แน่นอนงัยayethebing เขียน: การซื้ออนาคต??? ผมว่ามูลค่าของกิจการคือ สินทรัพย์ที่กิจการมีในมาเป็นทุนเดิมจากในอดีต (Invested capital) กับผลตอบแทนที่เราจะได้ในอนาคตไม่ใช่เหรอครับ (NPV ของ economic profit)
กำไรที่เกิดในอดีตเป็นแค่องค์ประกอบในการที่เราใช้ "เดา" อนาคตเท่านั้นครับ
วิธี FCF ก็เหมือนกันครับ
ส่วนจะเดาแบบฝันเฟื่องหรือเค็มอันนี้แล้วแต่บุคคลครับ
---------ทุกคนที่ตอบ เขียน: ผมขอประเดิมด้วยการเลือกข้อ 2 ครับ ไม่ปันผลแล้วเอาเงินสดที่มีไปลงทุนต่อย่อมดีกว่าครับ ไม่ต้องไปกู้ให้โดนดอกเบี้ยอีก แต่ถ้าจะปันผลนิดๆหน่อยๆ ก็ได้นะ
หรือไม่ก็กู้ไม่มากสัก 20-30% ของเงินลงทุนก็น่าจะรับได้ เพราะจะได้มีเงินสดสำรองไว้ด้วย
harry
อื่อ คุณ harry เสนอทางเลือกที่ดีนะครับ conservative ดี
ตอบคนที่1
--------
ตามความเห็นผมนะครับ
1. ต้องดูว่าปันผลเท่าไหร่ครับ ถ้าปันผล 10 % สม่ำเสมอทุกปี ผมเลือกข้อ1 ดีกว่าครับ เพราะการลงทุนต้องใช้เวลาสักพักนึง ถึงจะได้ผลตอบแทนที่ดีครับ และถือว่าต้นทุนเงินกู้ ต่ำกว่าต้นทุนเงินทุนครับ
2. แต่ถ้าปันผลต่ำ และดูว่าขยายไปแล้ว มีโอกาสโตสูงมาก ก็เลือกข้อ 2 ครับ อดเปรี้ยวไว้กินหวานครับ
kotaro
คุณหมอ kotaro ตอบอย่างนี้เค้าเรียกว่าเก๋านะครับ
-----------
ถามหน่อยครับ คณ Wvix
บริษัทที่ว่านี่ มีหนี้สินอย่แล้วเท่าไรครับ รวมทั้งส่วนทนด้วย
และโครงการใหม่นี่ต้องใช้เงินมากน้อยแค่ไหนครับ
ถามเผื่อคนอื่นนะครับ
พี่ ฉัตรชัย ละเอียดละออดีครับ
----------
"บริษัทที่ไม่มีหนี้ ไม่มีวันล้มละลาย"
-ปีเตอร์ ลินช์
เลือกข้อ 2 ครับ
คุณนักดูดาว อันนี้เหมือน harry เลย conservative มากเลย
-
ท่าทางผมจะอดตอบ เพราะยังตอบไม่ครบสิบคนและมีส่วนได้ส่วนเสียกับรางวัลด้วย
แต่อดไม่ได้
ขอแจมหน่อยแล้วกัน เผื่อจะได้จูบตัวเองสักฟอด
ถ้าผมเป็นผู้ถือหุ้น แล้วผู้บริหารถามว่า
จะรับปันผลและให้บริษัทไปกู้เงินมาลงทุน หรือ
งดปันผล นำเงินกำไรสะสมไปลงทุนโดยไม่ต้องกู้
ผมคงไม่ให้คำตอบทันทีครับ เพราะข้อมูลที่ให้ไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจ
ผมต้องมีคำถามต่อครับ
หนึ่ง การลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนเท่าไหร่ (IRR)
สอง อัตราผลตอบแทนของเงินลงทุนของบริษัทนี้ (ROE) เท่าไหร่
ถ้า IRR < ROE ก็ไม่ต้องพูดต่อ ลืมการลงทุนเรื่องนี้ได้เลย
เพราะเป็นการทำลาย Shareholder Value
เอาเงินคืนผู้ถือหุ้นหรือซื้อหุ้นคืนดีกว่าไปลงทุนในธุรกิจที่ทำให้อัตราผตอบแทนน้อยกว่าเดิม
ถ้า IRR > ROE ค่อยน่าสนใจหน่อย
มาถึงคำถามที่ว่า จะกู้เงินหรือจะเอากำไรสะสมไปใช้
อันนี้ก็แล้วแต่ Policy ของแต่ละบริษัทนะ
บางบริษัทยังต้องการเงินทุนหมุนเวียนและเงินสดสำรองไว้
ก็คงต้องกู้
แต่ถ้าบริษัทนั้นมีเงินสดเยอะแยะ นอนแช่ไว้เฉยๆ
ก็ไม่ต้องไปกู้ให้เมื่อยตุ้ม
บางคนชอบกู้เงินมาลงทุน บางคนไม่ชอบกู้
ส่วนผมจะขอดูผลตอบแทนการลงทุนเป็นหลักแล้วกันครับ
vib007
คำตอบของพี่วิบูลย์เป็นแก่ประโยชน์มากเลยครับ
สูตรเดียวกันแหละ อย่าลืมว่า debt + equity ก็จะเท่ากับ asset ในพื้นฐานบัญชีก็ยังใช้ได้ในการคำนวนแบบ economic profit ดังนั้นไม่ว่าคำนวนเงินลงทุนด้วยเงินที่ได้จัดหามา (ฝั่ง debt + equity) หรือ ฝั่งที่ลงทุนไป (operating working capital + fixed asset) ก็จะเท่ากันครับมีคำถามเก่าๆมาย้อนถามพี่ Thebing ครับ เพราะเพิ่งอ่านจริงๆ
สรุปแล้ว
ROIC = NOPAT / Invested Capital ใช่บ่
* NOPAT = EBIT( 1 - t )
Invested Capital = Op. Working Capital + Fixed Assets ใช่บ่
Economic Profit = (ROIC-WACC)*Invested Capital
ที่ผมอ่านมา EVA = NOPAT - Operating Capital * WACC
* Operating Capital = เงินกู้ระยะสั้นที่ต้องชำระดอกเบี้ย + เงินกู้ระยะยาว + Preferred Stock + Common Stock + Retained Earning
* Operating Capital = Debt + Equtiy
ถ้าข้างบนถูกต้องทั้งหมด
ดูยังไง Economic Profit ก็ไม่น่าเท่ากับ EVA นะครับ
แต่เจ้า Invested Captital = Operating Capital
EVA ก็จะเท่ากับ Economic Profit