ผมไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนในต่างประเทศเลยครับ
ขอรบกวนถามดังนี้
1. การลงทุนในหุ้น ในตปท มีกี่รูปแบบครับ
(ผมเข้าใจว่า มีแบบ BBL-F , หรือว่า ให้ไปซื้อผ่าน NVDR ของประเทศนั้นๆเอา ไม่ทราบว่า เข้าใจถูกหรือเปล่าครับ)
- ขณะนี้ สามารถ ลง channel ไหนได้บ้าง คือ ลงทุนเอง , กองทุน
- แล้วเปิดพอร์ตอย่างไร
- ใช้เงินสกุลอะไรในการเทรด
2. จากที่เคยลงทุนในหุ้นตปท. ความผันผวน ของราคาหุ้น แตกต่างกับบ้านเราไหม ต้องดูจอ realtime ไหม
3. ค่า marketting เท่าไหร่ครับ
4. ถามตรงๆกับ ตปท. มี เจ้า เหมือนบ้านเราไหม
5. จากประสบการณ์การลงทุนของท่าน การลงทุนในตปท. สามารถสร้างผลกำไรให้กับเราได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับในประเทศ
6. นอกจากข้อดีว่า ตลาดต่างประเทศ มี จำนวนหุ้นใน MSCI ที่มากกว่า
และมี ความหลากหลายของแแต่ละ sector ที่มากกว่าแล้ว
มีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้างครับ
ถามเยอะไปนิดไหมครับ
แต่ถ้า มีคนมาตอบกันเยอะๆ
ผมคิดว่า คำถามเหล่านี้ น่าจะเป็น F.A.Q. ของการลงทุนในตปท.เลยครับ
ช่วยกันตอบหน่อยนะครับ
ช่วยเล่าประสบการณ์ที่เคยลงทุนหุ้นเมืองนอกหน่อยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 393
- ผู้ติดตาม: 0
ช่วยเล่าประสบการณ์ที่เคยลงทุนหุ้นเมืองนอกหน่อยครับ
โพสต์ที่ 2
เพิ่งเห็นว่ามีกระดาน ตปท ครับ ดีใจมาก
เด๊วผมมาแชร์เพิ่มน่ะครับ พอดีต้องรีบออกไปข้างนอกครับ ตอนนี้ขอแชร์ของตัวเองน่ะครับ
1. ผมว่าโดยมากที่ผ่านมาคนเค้าเปิด off-shore กันน่ะครับหมอ, เพราะอย่าลืมว่ายิ่งสมัยก่อน การไปลงทุนต่างประเทศโดยมี private wealth fund manager มาคอยดูแลให้ ส่วนใหญ่ port คงต้องพอสมควรครับ ผมเลยว่าคนที่เล่นโดยมากเป็น off-shore น่ะครับ ไม่ใช่ on-shore เหมือนผ่าน Phillips
-ถ้า Off-shore นี่คือลงทุนเองเลยครับ ซื้อตัวไหนก็เชิญ ตั้งเองได้เลย แต่ถ้าจะผ่านกองทุนก็ได้ครับ มีให้เลือกได้ทุกแบบ
- ผมทราบแต่การเปิดแบบ off-shore ครับ, อย่างของ Phillips ผมเห็นว่าค่อนข้างยุ่งยากครับ
- ถ้าตลาด US ใน NYSE เป็น USD ครับ, ตามแต่ตลาดครับ โดยสามารถฝากเป็นสกุลเงินหลักได้ประมาณ 10 สกุลเงิน yield ต่างกันตามตลาดครับ (carry trade)
2. ของผมลงใน NYSE เป็นหลักครับ ก็ดูใน google.finance ซึ่งก็ real time พอสมควร, เริ่มสองทุ่มครึ่งตอนหน้าร้อน ส่วนหน้าหนาวเค้าปรับเวลา ก็เป็นสามครึ่งครับ ผมมักจะดูตอนเปิดตลาด แล้วก็เข้านอน เพราะไม่ใช่ไสตล์เฝ้าจออยู่แล้วครับ ส่วนเรื่องผันผวนมั๊ย ขอบอกว่าผันผวนมากๆๆๆกว่าบ้านเราเยอะครับ (AIG, C บางวันบวก ลบ กันเป็น 100%, เมื่อวาน AIG บวกไป 20 กว่า % ข่าวเรื่องจ่ายเงิน bail out คือ Fed)
3. ของผมมี บช อยู่กับ Merrill Lynch, ตก 0.5% ครับ โดยประมาณน่ะครับ มากน้อย แล้วแต่ครับ คุยกับ FA ส่วนตัวได้
4. เท่าที่สังเกตุ ไม่น่ามีใคร manipulate หุ้นได้น่ะครับ เพราะใช้เงินเยอะครับ โดยมาก mkt cap ของหุ้นบลูชิบก็เกิน 100bn กันทั้งนั้น ไม่แน่ใจว่าใครจะเงินเยอะขนาด manipulate หุ้นตัวนั้นๆได้ แต่ถ้าพวก mkt cap เล็กๆ เช่นต่ำ 1 bn, ก็คงจะมีน่ะครับ อันนี้ผมไม่ทราบ เพราะไม่มีประสบการณ์ในตามหุ้นพวกนั้นครับ
5. อืม ผมลงทุนในเมืองไทยมานานเหมือนกัน แต่ชุ่ยครับ แล้วก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะเท่าที่ทำใน ตปท ช่วงเวลาก็ต่างกัน, ผมโชคดีที่ซื้อหุ้น ตปท ไปตอนต้นปีบ้าง มันก็ได้ผลตอบแทนเยอะเป็นธรรมดา จะว่าไปซื้อที่ตลาดไหนก็คงจะเหมือนกัน เพราะ equities มันดีทั่วโลกตั้งแต่ เมษามาแล้ว
6. อืม ส่วนตังผมมองว่า
6.1 F/X น่ะครับ แต่ถ้าเรามั่นใจและชอบในบริษัทนั้นๆ F/X ก็เกี่ยวน้อยครับ เพราะสมมติอย่าง Coke, เค้าก็ขาย Coke ในเกือบทุกสกุลเงิน ขายใน JPY ก็มี, EU, AUD คนจีนก็ดื่มโค้ก ก็ขายเป็นหยวน, พอ conso - revenues กลับมา มันก็ reflects ในราคาหุ้น แม้ว่ามันเป็นในสกุล USD น่ะครับ
6.2 ค่าคอมครับ
6.3 feeling ของตลาดครับ อย่าง Buffett นี่ pro หุ้นแบงค์อย่าง Wells Fargo มากๆ, ผมเองยังไม่เคยเข้าแบงค์ Wells จริงๆเลยครับ จะซื้อตามเค้า โดยไม่รู้จักเลยนี่ก็ไม่ไหวเหมือนกันอ่ะครับ จะว่าอย่าง P&G , Coke พวกนี้ก็ว่าไปอย่าง
อย่างอื่นผมว่าไม่ต่างน่ะ ภาษาก็อาจจะเกี่ยว แต่อาศัยอ่านบ่อยๆก็พอไหวครับ, ส่วนเรื่องว่าไกลตัว ผมว่าลองลงทุนในหุ้นแล้วมันก็ไกลตัวทั้งนั้นแหละครับ ไม่ได้บริหารเงินเองหนิครับ เด๊วนี้โลกก็ไร้พรหมแดนแล้ว ผมว่าเรื่องความฉับไวหรือ infomation นี่ไม่มีประเด็นน่ะครับ
ชอบห้องนี้จังเลย
เด๊วผมมาแชร์เพิ่มน่ะครับ พอดีต้องรีบออกไปข้างนอกครับ ตอนนี้ขอแชร์ของตัวเองน่ะครับ
1. ผมว่าโดยมากที่ผ่านมาคนเค้าเปิด off-shore กันน่ะครับหมอ, เพราะอย่าลืมว่ายิ่งสมัยก่อน การไปลงทุนต่างประเทศโดยมี private wealth fund manager มาคอยดูแลให้ ส่วนใหญ่ port คงต้องพอสมควรครับ ผมเลยว่าคนที่เล่นโดยมากเป็น off-shore น่ะครับ ไม่ใช่ on-shore เหมือนผ่าน Phillips
-ถ้า Off-shore นี่คือลงทุนเองเลยครับ ซื้อตัวไหนก็เชิญ ตั้งเองได้เลย แต่ถ้าจะผ่านกองทุนก็ได้ครับ มีให้เลือกได้ทุกแบบ
- ผมทราบแต่การเปิดแบบ off-shore ครับ, อย่างของ Phillips ผมเห็นว่าค่อนข้างยุ่งยากครับ
- ถ้าตลาด US ใน NYSE เป็น USD ครับ, ตามแต่ตลาดครับ โดยสามารถฝากเป็นสกุลเงินหลักได้ประมาณ 10 สกุลเงิน yield ต่างกันตามตลาดครับ (carry trade)
2. ของผมลงใน NYSE เป็นหลักครับ ก็ดูใน google.finance ซึ่งก็ real time พอสมควร, เริ่มสองทุ่มครึ่งตอนหน้าร้อน ส่วนหน้าหนาวเค้าปรับเวลา ก็เป็นสามครึ่งครับ ผมมักจะดูตอนเปิดตลาด แล้วก็เข้านอน เพราะไม่ใช่ไสตล์เฝ้าจออยู่แล้วครับ ส่วนเรื่องผันผวนมั๊ย ขอบอกว่าผันผวนมากๆๆๆกว่าบ้านเราเยอะครับ (AIG, C บางวันบวก ลบ กันเป็น 100%, เมื่อวาน AIG บวกไป 20 กว่า % ข่าวเรื่องจ่ายเงิน bail out คือ Fed)
3. ของผมมี บช อยู่กับ Merrill Lynch, ตก 0.5% ครับ โดยประมาณน่ะครับ มากน้อย แล้วแต่ครับ คุยกับ FA ส่วนตัวได้
4. เท่าที่สังเกตุ ไม่น่ามีใคร manipulate หุ้นได้น่ะครับ เพราะใช้เงินเยอะครับ โดยมาก mkt cap ของหุ้นบลูชิบก็เกิน 100bn กันทั้งนั้น ไม่แน่ใจว่าใครจะเงินเยอะขนาด manipulate หุ้นตัวนั้นๆได้ แต่ถ้าพวก mkt cap เล็กๆ เช่นต่ำ 1 bn, ก็คงจะมีน่ะครับ อันนี้ผมไม่ทราบ เพราะไม่มีประสบการณ์ในตามหุ้นพวกนั้นครับ
5. อืม ผมลงทุนในเมืองไทยมานานเหมือนกัน แต่ชุ่ยครับ แล้วก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะเท่าที่ทำใน ตปท ช่วงเวลาก็ต่างกัน, ผมโชคดีที่ซื้อหุ้น ตปท ไปตอนต้นปีบ้าง มันก็ได้ผลตอบแทนเยอะเป็นธรรมดา จะว่าไปซื้อที่ตลาดไหนก็คงจะเหมือนกัน เพราะ equities มันดีทั่วโลกตั้งแต่ เมษามาแล้ว
6. อืม ส่วนตังผมมองว่า
6.1 F/X น่ะครับ แต่ถ้าเรามั่นใจและชอบในบริษัทนั้นๆ F/X ก็เกี่ยวน้อยครับ เพราะสมมติอย่าง Coke, เค้าก็ขาย Coke ในเกือบทุกสกุลเงิน ขายใน JPY ก็มี, EU, AUD คนจีนก็ดื่มโค้ก ก็ขายเป็นหยวน, พอ conso - revenues กลับมา มันก็ reflects ในราคาหุ้น แม้ว่ามันเป็นในสกุล USD น่ะครับ
6.2 ค่าคอมครับ
6.3 feeling ของตลาดครับ อย่าง Buffett นี่ pro หุ้นแบงค์อย่าง Wells Fargo มากๆ, ผมเองยังไม่เคยเข้าแบงค์ Wells จริงๆเลยครับ จะซื้อตามเค้า โดยไม่รู้จักเลยนี่ก็ไม่ไหวเหมือนกันอ่ะครับ จะว่าอย่าง P&G , Coke พวกนี้ก็ว่าไปอย่าง
อย่างอื่นผมว่าไม่ต่างน่ะ ภาษาก็อาจจะเกี่ยว แต่อาศัยอ่านบ่อยๆก็พอไหวครับ, ส่วนเรื่องว่าไกลตัว ผมว่าลองลงทุนในหุ้นแล้วมันก็ไกลตัวทั้งนั้นแหละครับ ไม่ได้บริหารเงินเองหนิครับ เด๊วนี้โลกก็ไร้พรหมแดนแล้ว ผมว่าเรื่องความฉับไวหรือ infomation นี่ไม่มีประเด็นน่ะครับ
ชอบห้องนี้จังเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 14
- ผู้ติดตาม: 0
ช่วยเล่าประสบการณ์ที่เคยลงทุนหุ้นเมืองนอกหน่อยครับ
โพสต์ที่ 3
phillip ค่าคอมของอเมริกาอยู่ที่ 0.2675% + 10USD/order ค่ะ
เปิดบัญชีไม่ยากค่ะ เหมือนเปิดบัญชีหุ้นไทย เพียงแต่ต้องขออนุญาตจากแบงค์ชาติก่อน ใช้เวลาก็ประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากแบงค์ชาติอนุญาตแล้วก็เริ่มซื้อขายได้เลยค่ะ
การโอนเงินก็ฝากเงินไทยบาทเข้ามาที่ phillip จากนั้นทางฟิลลิปก็จะจัดการโอนเงินเพือชำระค่าหุ้นให้ค่ะ แต่สำหรบโบรคเกอร์ที่ไปเปิดกันเองที่ต่างประเทศ ลูกค้าก็จะต้องหาทางโอนเงินไปต่างประเทศกันเองค่ะ จะมีความเสี่ยงด้วยเพราะที่เค้ารับโอนเงินกันเค้าก็ไม่รับประกันเรื่องเงินของลูกค้า แต่ทาง phillip แล้วเรามีกลต.คอยตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยในทรัยพ์สินของลูกค้าค่ะ
นอกจากนั้นข้อมูลในระบบของทาง phillip ยังมีข้อมูลงบการเงินย้อนหลัง 7 ปี และมีระบบ screen หุ้นด้วยค่ะ
หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 02 63 53 055 ค่ะ
เปิดบัญชีไม่ยากค่ะ เหมือนเปิดบัญชีหุ้นไทย เพียงแต่ต้องขออนุญาตจากแบงค์ชาติก่อน ใช้เวลาก็ประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากแบงค์ชาติอนุญาตแล้วก็เริ่มซื้อขายได้เลยค่ะ
การโอนเงินก็ฝากเงินไทยบาทเข้ามาที่ phillip จากนั้นทางฟิลลิปก็จะจัดการโอนเงินเพือชำระค่าหุ้นให้ค่ะ แต่สำหรบโบรคเกอร์ที่ไปเปิดกันเองที่ต่างประเทศ ลูกค้าก็จะต้องหาทางโอนเงินไปต่างประเทศกันเองค่ะ จะมีความเสี่ยงด้วยเพราะที่เค้ารับโอนเงินกันเค้าก็ไม่รับประกันเรื่องเงินของลูกค้า แต่ทาง phillip แล้วเรามีกลต.คอยตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยในทรัยพ์สินของลูกค้าค่ะ
นอกจากนั้นข้อมูลในระบบของทาง phillip ยังมีข้อมูลงบการเงินย้อนหลัง 7 ปี และมีระบบ screen หุ้นด้วยค่ะ
หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 02 63 53 055 ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 108
- ผู้ติดตาม: 0
ช่วยเล่าประสบการณ์ที่เคยลงทุนหุ้นเมืองนอกหน่อยครับ
โพสต์ที่ 4
ผมลงทุนในหุ้นของสหรัฐอยู่ครับ เปิดบัญชีมาตั้งแต่ 1997 ซื้อขายด้วยตัวเองทางอินเตอร์เน็ต www.tradingdirect.com ค่าคอมครั้งละ 9.95 USD ตอนนี้ถือหุ้นอยู่ตัวเดียวคือ Google (GOOG) ไม่ดูตัวอื่นเลย เพราะดูหลายตัวไม่ไหว คนไทย หรือคนทั่วโลกต่างรู้จัก Google ทั้งนั้น ดังนั้นจึงสามารถถือไว้ได้ระยะยาวมาก ๆ ได้ ไม่ทราบว่าเข้าตามหลักการ VI หรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมปักหลักอยู่กับ GOOG แล้วสบายใจ สองสามวันดูราคาทีนึงก็ไม่เดือดร้อนครับ ผมอยู่กับโบรกเกอร์เจ้านี้มาหลายปี ตอนนี้แปลงบัญชีเป็นแบบ Margin แล้วที่ถือ GOOG อยู่ตอนนี้ เป็นเงินตัวเอง และเงินกู้ margin loan ประมาณครึ่งต่อครึ่งครับ ดอก 3.75 % คุ้มกว่าใช้เงินตัวเองทั้งหมด เนื่องจากมีบางส่วนเป็นเงินกู้ ผมเลยใช้ technical analysis เข้ามาช่วยหาจังหวะการเข้าซื้อ และขายหุ้นตัวนี้เป็นบางส่วนเพื่อจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยตามรายทางที่หุ้นไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ใจเย็น ๆ ครับ
จริงๆ แล้วจิตวิทยาลงทุนไม่ว่าในตลาดไทย หรือในตลาดสหรัฐ ก็มีลักษณะคล้ายกัน ผมแนะนำให้ศึกษาจากหุ้นในตลาดสหรัฐ เพราะมีจำนวนหุ้นให้เรียนรู้เยอะมาก คุณสามารถเปิดดูวีดีโอสอนการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคพร้อมตัวอย่างจริง ได้ที่
Free technical analysis tutorial
http://sites.google.com/site/freetechni ... istutorial
สำหรับหุ้นสหรัฐ ผมใช้ดูกราฟหุ้นใน finance.yahoo.com โดยตั้งค่าโปรแกรมดังนี้
2 yr 3-day chart, Candle stick, Overlay volume, Slow stochastic, Relative strength (RSI), Bollinger band และ MACD
วินัยการลงทุน:
- ซื้อเฉพาะเมื่อ RSI มีค่าต่ำ (ประมาณ 30) และกำลังเริ่มเพิ่มขึ้น อย่าฝืนซื้อตอน RSI มีค่าสูงมากแล้ว (ประมาณ 70)
- ซื้อเมื่อมีการสร้างฐาน (consolidate) มาแล้วระยะหนึ่ง โดยดูจาก Bollinger band คอดและพร้อมจะบานออก
นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นในวินัยการลงทุนดังกล่าว เมื่อได้เห็นตัวอย่างความเป็นไปของกราฟหุ้นจำนวนมากจนเคยชินทำให้เข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในหุ้นตัวนั้น ๆ ได้อย่างไม่ยากนัก เอาไว้ผมสะสมกราฟที่ได้บันทึกไว้ได้มากกว่านี้หน่อย จะเอามาแชร์ให้ดูว่า จังหวะการเข้าซื้อและขายของ GOOG เป็นอย่างไร
นอกจากนี้ผมยังเคยเปิดบัญชีกับ KGI Hongkong กะว่าจะเข้าลงทุนในหุ้นจีน แต่เงินที่โอนไปเปิดบัญชีน้อยไปไม่พอซื้อขายได้เต็มล็อต เลยยังไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดจีน แต่ KGI Hongkong มีพนักงานการตลาดที่ดีมาก โทรจากฮ่องกงเข้ามือถือเราเลย เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับบัญชีของเราไม่กลัวเปลืองเงินค่าโทรศัพท์เลย นี่ขนาดว่าเงินในบัญชีของเราน้อยมาก (640 HKD) ยังไม่ทิ้งเราเลย ประทับใจมาก
จริงๆ แล้วจิตวิทยาลงทุนไม่ว่าในตลาดไทย หรือในตลาดสหรัฐ ก็มีลักษณะคล้ายกัน ผมแนะนำให้ศึกษาจากหุ้นในตลาดสหรัฐ เพราะมีจำนวนหุ้นให้เรียนรู้เยอะมาก คุณสามารถเปิดดูวีดีโอสอนการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคพร้อมตัวอย่างจริง ได้ที่
Free technical analysis tutorial
http://sites.google.com/site/freetechni ... istutorial
สำหรับหุ้นสหรัฐ ผมใช้ดูกราฟหุ้นใน finance.yahoo.com โดยตั้งค่าโปรแกรมดังนี้
2 yr 3-day chart, Candle stick, Overlay volume, Slow stochastic, Relative strength (RSI), Bollinger band และ MACD
วินัยการลงทุน:
- ซื้อเฉพาะเมื่อ RSI มีค่าต่ำ (ประมาณ 30) และกำลังเริ่มเพิ่มขึ้น อย่าฝืนซื้อตอน RSI มีค่าสูงมากแล้ว (ประมาณ 70)
- ซื้อเมื่อมีการสร้างฐาน (consolidate) มาแล้วระยะหนึ่ง โดยดูจาก Bollinger band คอดและพร้อมจะบานออก
นักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นในวินัยการลงทุนดังกล่าว เมื่อได้เห็นตัวอย่างความเป็นไปของกราฟหุ้นจำนวนมากจนเคยชินทำให้เข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในหุ้นตัวนั้น ๆ ได้อย่างไม่ยากนัก เอาไว้ผมสะสมกราฟที่ได้บันทึกไว้ได้มากกว่านี้หน่อย จะเอามาแชร์ให้ดูว่า จังหวะการเข้าซื้อและขายของ GOOG เป็นอย่างไร
นอกจากนี้ผมยังเคยเปิดบัญชีกับ KGI Hongkong กะว่าจะเข้าลงทุนในหุ้นจีน แต่เงินที่โอนไปเปิดบัญชีน้อยไปไม่พอซื้อขายได้เต็มล็อต เลยยังไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดจีน แต่ KGI Hongkong มีพนักงานการตลาดที่ดีมาก โทรจากฮ่องกงเข้ามือถือเราเลย เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับบัญชีของเราไม่กลัวเปลืองเงินค่าโทรศัพท์เลย นี่ขนาดว่าเงินในบัญชีของเราน้อยมาก (640 HKD) ยังไม่ทิ้งเราเลย ประทับใจมาก