หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ [email protected]
กรุงเทพธุรกิจ วันศุกร์ที่ 08 ธันวาคม พ.ศ. 2549
หลังจากที่รอคอยกันมานาน ผมได้คัดเลือกหนังสือดีที่ควรอ่านในชีวิตนี้ 9 เล่ม โดยเป็นหนังสือที่ผมได้เลือกจากหนังสือที่เคยอ่าน ในช่วงตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก และเป็นหนังสือที่ได้จากการแนะนำของศาสตราจารย์ ผู้รู้ นักคิด นักวิชาการในสมัยที่อยู่ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกาและเยอรมนี หากท่านอยากจะได้หนังสือดีมีคุณค่าและช่วยสร้างพลังความคิด นี่คือหนังสือ 9 เล่มที่ควรเก็บไว้อ่านในชีวิตนี้
1.หนังสือเรื่อง The Wealth of Nations โดย Adam Smith ผู้ซึ่งได้ทำให้เศรษฐศาสตร์กลายเป็นสาขาวิชาที่สำคัญที่สุดสาขาหนึ่ง เขาได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ หนังสือของเขาสอนให้เรารู้ว่าเศรษฐกิจของประเทศทำงานอย่างไรด้วยมือที่มองไม่เห็น Invisible Hand
2.หนังสือเรื่องLombard Street : A Description of the Money Market ผู้แต่งคือ Walter Bagehot เป็นหนังสือคลาสสิก ที่ให้หลักคิดด้านเศรษฐศาสตร์ ในเรื่องหลักของเงิน ธนาคารและระบบการเงิน หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้อ่านที่ต้องการเข้าใจพฤติกรรม และกลไกตลาดการเงิน ความสัมพันธ์กับการค้าและระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งวิกฤตการณ์ทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อเกิดวิกฤติศรัทธาในระบบธนาคาร หรือความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางหายไป ตลอดจนการบริหารจัดการกับความเสี่ยงและวิกฤติการเงินที่ถูกต้อง หนังสือเล่มนี้เขียนเมื่อปี ค.ศ.1873 หรือกว่า 133 ปีที่แล้ว แต่หลักคิดยังใช้ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธีสร้างความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน และหลักที่ธนาคารกลางควรใช้ ในการจัดการกับวิกฤตการณ์ทางการเงิน และยังเสนอให้ใช้ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นอิสระเป็นผู้บริหารธนาคารกลางของประเทศ (แทนบุคคลภายในธนาคารกลางเอง) Lombard Street เป็นชื่อของย่านธุรกิจการเงินในกรุงลอนดอน และเป็นที่เกิดของตลาดการเงินที่เก่าแก่ที่สุดของโลก
3.หนังสือเรื่อง The Competitive Advantage of Nations และ Competitive Strategy โดย Michael Porter ซึ่งอธิบายถึง ความได้เปรียบในเชิงแข่งขันได้มาจากองค์กรที่ต้องทำตัวให้พร้อมในการปรับตัวเข้ากับสภาวการณ์เฉพาะที่เกิดขึ้น และความตระหนักรู้ในตลาดที่ตนอยู่และปรับตัวกับตลาดนั้นได้มากเท่าไร Porter ได้คิดค้นพัฒนากลยุทธ์ทั่วไป (Generic Strategies) และกำหนดปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการแข่งขัน (Competitive Forces) 5 ประการ ซึ่งสามารถนำไปใช้ กับอุตสาหกรรมต่างประเภท 5 กลุ่ม ได้แก่ อุตสาหกรรมที่ยังเปราะบาง เพิ่งเกิดใหม่ เติบโตเต็มที่ ตกต่ำ และอุตสาหกรรมระดับโลก แนวคิดของ Porter มีความชัดเจน มีเหตุมีผลที่มิอาจปฏิเสธได้ เพื่อตรวจสอบ ขีดความสามารถเชิงแข่งขัน ภายในองค์กร Porter สนับสนุนให้ใช้เครือข่ายแห่งคุณค่า (Value Chain) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์กระบวนการและปฏิสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ขององค์กร เพื่อกำหนดออกมาให้ได้ว่า ตรงจุดไหนสามารถเพิ่มคุณค่าให้แก่สินค้าหรือบริการและเพิ่มอย่างไร ในหนังสือเรื่อง The Competitive Advantage of Nations Porter ศึกษาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจของโลก 8 แห่ง พบว่า บริษัทในประเทศใดก็ตาม ที่สภาวะการแข่งขันในตลาดภายในประเทศของตนเองมีความเข้มข้นมากที่สุด มักจะมีแนวโน้มปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เร็วที่สุด Porter ได้วางกรอบแนวคิดว่าด้วย National Diamond โดยระบุปัจจัย 4 ประเภท ที่มีอิทธิพลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศชาติอันได้แก่ ทรัพยากร อุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนกัน ลูกค้าที่มีอุปสงค์มาก (หรือตลาดภายในประเทศ ที่มีความต้องการมาก) และการแข่งขันภายในประเทศ หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ผมชอบมากที่สุดเล่มหนึ่ง
4.หนังสือเรื่อง The Fifth Discipline โดย Peter M. Senge ผู้ผลักดันศัพท์องค์กรแห่งการเรียนรู้ The Learning Organization โดยให้แนวคิดที่สำคัญที่องค์กรต้องตระหนักถึงภัยคุกคามและโอกาส วินัยต่างๆ ที่พนักงานและองค์กรต้องมี เพื่อเปลี่ยนองค์กรที่ด้อยประสิทธิภาพให้กลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วย 5 หลักแนวคิด System Theory, Personal Mastery, Mental Models, Shared Vision และ Team Learning
5.หนังสือเรื่อง Chasing Daylight : How My Forthcoming Death Transformed My Life โดย Eugene O Kelly หนังสือเล่มนี้แต่งโดยผู้เขียนซึ่งเป็นประธาน และเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดของบริษัทที่ปรึกษาการเงิน และบัญชี ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก บริษัท KPMG ผู้ซึ่งหมอบอกว่า เขามีมะเร็งในสมองและเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 100 วัน เขาจึงใช้เวลาในช่วงที่เหลืออยู่นั้น เขียนหนังสือเล่มนี้ สอนให้คนอ่านรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะอยู่อย่างมีความหมาย ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้นก็ตาม เขาเปรียบความตายที่กำลังจะมาเยือนเหมือนกับเกมของกอล์ฟที่กำลังจะจบลง ณ สิ้นวัน ในขณะที่การเล่นกอล์ฟกำลังดำเนินไป ตะวันเริ่มงวดลง เงาของแสงตะวันทอดยาวขึ้น ผู้เล่นไม่ต้องการให้เกมจบลง พวกเขาเล่นแข่งกับแสงตะวันที่กำลังงวดลง เหมือนกับการไล่ล่าแสงตะวัน ในขณะที่เกมกำลังจะจบลง ด้วยข้อคิดที่ยอดเยี่ยมที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หากท่านยังไม่เคยอ่านหนังสือที่คนเขียนได้เขียนในขณะที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ท่านควรลองอ่านหนังสือเล่มนี้ดู
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 1
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 2
แค่อ่านตรงนี้ก็มึนแล้วคร้าบ..6. หนังสือเรื่อง A Random Walk Down Wall Street โดย Burton G. Malkiel เป็นหนังสือที่ให้แนวคิดด้านการลงทุนที่ไม่ได้เขียนโดยนักขาย "Salesman" แต่เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์การเงิน "Financial Economist"เป็นหนังสือที่สอนด้านการลงทุนที่ดีที่สุด ตั้งแต่ยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์ จนถึงการล่มสลายของธุรกิจดอทคอม "Random Walk" หมายความว่า ราคาของหุ้นในระยะสั้นไม่สามารถทำนายได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ นักลงทุนที่ไม่พยายามทำกำไรจากการทำนายการเคลื่อนไหวของตลาด สามารถทำกำไรได้มากกว่านักเก็งกำไร ที่พยายามทำกำไรจากการทำนายระยะสั้น นักลงทุนควรอ่านหนังสือเล่มนี้ทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุน
7. หนังสือเรื่อง Blue Ocean Strategy โดย W. Chan Kim และ Renee Mauborgne หนังสือเล่มนี้ให้หลัก และแนวคิดที่เป็นระบบ แต่ไม่เหมือนใครในการกำหนดกลยุทธ์ ที่ทำให้การแข่งขันจากภายนอกลดลง และผลตอบแทนมากขึ้น โดยอิงกับงานวิจัยที่เชื่อถือได้ เป็นหนังสือที่ผู้ประกอบการทั้ง SME และรายใหญ่ควรอ่านเป็นอย่างยิ่งครับ
8. หนังสือเรื่อง Prisoners Dilemma โดย William Poundstone เป็นหนังสือที่ให้มุมมองแบบ 3 มิติของทฤษฎี Game Theory โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณี Prisoners Dilemma ที่ทำให้ผู้อ่านได้คิดอย่างลึกซึ้ง และยังถ่ายทอดปรัชญาความคิด ของนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง John Von Neumann
9. หนังสือเรื่อง In Search of Excellence โดย Tom Peters และ Robert Waterman เป็นหนังสือด้านการจัดการที่ทรงอิทธิพล และปลุกเร้าความคิดที่มุ่งหาความเป็นเลิศ เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดกาล
หากท่านอ่าน 9 เล่มนี้จบแล้ว และยังมีเวลาพอสมควร ท่านน่าจะพิจารณาอ่านหนังสืออีก 11 เล่ม ดังต่อไปนี้
- The Singapore Story : Memoirs of Lee Kuan Yew โดย Lee Kuan Yew
- Development as Freedom โดย Amartya Sen ผู้ซึ่งได้รับรางวัล Nobel Prize สาขาเศรษฐศาสตร์ ในปี 2540 ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชีย
- The General Theory of Employment, Interest and Money โดย John Maynard Keynes
- Financial Shenanigans โดย Howard Schilit เป็นหนังสือที่สอนให้เราจับกลโกงทางการเงิน รวมทั้งงบการเงินและการบัญชี
- Capitalism and Freedom โดย Milton Friedman ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และเพิ่งเสียชีวิตเมื่อเร็วๆ นี้
- Input-Output Economics โดย Wassily Leontief ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1973 หนังสือที่อธิบายถึงผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงในภาคหนึ่งของเศรษฐกิจต่อภาคอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ
- Co-Opetition : A Revolution Mindset that Combines Competition and Cooperation : The Game Theory Strategy thats Changing the Game of Business โดย Adam M. Brandenburger และ Barry J. Nalebuff
- The Moral Consequences of Economic Growth โดย Benjamin M. Friedman ที่อธิบายถึงผลกระทบของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกระแสโลกาภิวัตน์
- Fisher Black and the Revolutionary Idea of Finance โดย Perry Mchrling ท่านที่ชอบหนังสือเล่มนี้ ควรอ่านหนังสือเรื่อง My Life as a Quant : Reflections on Physics and Finance โดย Emanuel Derman
- Small is Beautiful : Economics as if People Mattered โดย E.F. Schumacher เป็นหนังสือคลาสสิกเล่มหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจขนาดเล็กก็ยอดเยี่ยมได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่โตมากมาย และหลักเศรษฐศาสตร์ที่ดีต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 4
ที่ list มา ผมเชียร์ Competitive Strategy กับ Capitalism and Freedom ส่วน the Wealth of Nations ก็เป็นหนังสือที่ดีเยี่ยมแต่อ่านยากสุดๆ
นอกนั้นเล่มที่อ่านแล้วรู้สึกว่าก็ไม่ถึงกับ all-time best บางเล่มผมว่าเป็นแค่ fad
นอกนั้นเล่มที่อ่านแล้วรู้สึกว่าก็ไม่ถึงกับ all-time best บางเล่มผมว่าเป็นแค่ fad
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 62
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณมากๆ ครับ ไว้จะพยายามหาอ่านไปทีละเล่มครับ
"I Think ,Therefore I am"
-
- Verified User
- โพสต์: 107
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 9
สำหรับคนที่อยากอ่าน The general theory of employment...ของ Keynes.
อยากแนะนำให้อ่าน "เล่าเรื่องเศรษฐกิจภาพรวม" เขียนโดย ปรีชา ทิวะหุต ก่อนครับ รับรองว่า สนุกมาก ๆ และทำให้เราเข้าใจภาพรวมและสภาวะแวดล้อมที่ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นครับ
อยากแนะนำให้อ่าน "เล่าเรื่องเศรษฐกิจภาพรวม" เขียนโดย ปรีชา ทิวะหุต ก่อนครับ รับรองว่า สนุกมาก ๆ และทำให้เราเข้าใจภาพรวมและสภาวะแวดล้อมที่ทฤษฎีนี้เกิดขึ้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 107
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 10
มีหนังสือแนะนำ แต่ต้องขอโทษครับ ที่ไม่ได้เปิด topic ใหม่ เพราะไม่มี authority ที่จะทำได้
อยากให้ลองอ่าน Reminescence of stock operator ตั้งแต่หน้าประมาณ 180 เป็นต้นไป สามารถไปดาวน์โหลด PDF ได้จาก web ครับ (ผมไม่ได้บันทึกเก็บไว้ เลยระบุให้เลยไม่ได้)
อยากให้ลองอ่าน Reminescence of stock operator ตั้งแต่หน้าประมาณ 180 เป็นต้นไป สามารถไปดาวน์โหลด PDF ได้จาก web ครับ (ผมไม่ได้บันทึกเก็บไว้ เลยระบุให้เลยไม่ได้)
-
- Verified User
- โพสต์: 107
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 11
- sir.prince
- Verified User
- โพสต์: 263
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 12
พึ่งเข้ามาเห็น
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
SKY Line
FBเพจอ่านมาแชร์และลงทุน
FBเพจอ่านมาแชร์และลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 1120
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 14
Blue Ocean Strategy <<< มีคนแปลแล้วครับ ลองหาตาม SE-ED มีแน่นอนครับhagrid เขียน:เพิ่งเห็นเหมือนกันครับ
ขอบคุณที่มาแนะนำนะครับ
แต่มีเล่มไหนแปลเป็นไทยบ้างแล้วครับ
(พอดีภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง)
Financial Discipline + Value Investment + Time = Financial Independence
-
- Verified User
- โพสต์: 1487
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 15
Competitive Strategy มีฉบับแปลที่ซีเอ็ดครับ
http://www.se-ed.com/eShop/(A(rbh2NZQWywEkAAAAZjZlYTFkYWUtNDhjZS00NGM5LTlkY2QtZDBmODE3Mjk0YzhjyUexEj1K-eBLpbgakWFZJCtQQ0g1))/Products/Detail.aspx?No=9789745344846
http://www.se-ed.com/eShop/(A(rbh2NZQWywEkAAAAZjZlYTFkYWUtNDhjZS00NGM5LTlkY2QtZDBmODE3Mjk0YzhjyUexEj1K-eBLpbgakWFZJCtQQ0g1))/Products/Detail.aspx?No=9789745344846
ในการลงทุนระยะยาว ใครนิ่งได้มากกว่า คนนั้นชนะ
- killyz
- Verified User
- โพสต์: 409
- ผู้ติดตาม: 0
หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 16
ไม่มีหนังสือของ Malcom Gladwell ติดเลยหรือ
-Blink
-Tipping point
-Outliter
ผมแนะนำให้อ่าน สองเล่มนี้คู่กัน
สำหรับคนที่ชอบวิเคราะห์ธุรกิจและสนใจเรื่องกลยุทธ์
The Competitive Advantage กับ Blue Ocean Strategy
เล่มหนึ่งสอนการแข่งขันและอีกเล่มสอนการสร้างสรร
ทั้งสองเล่มนี้เหมือน หยินหยาง กัน
-Blink
-Tipping point
-Outliter
ผมแนะนำให้อ่าน สองเล่มนี้คู่กัน
สำหรับคนที่ชอบวิเคราะห์ธุรกิจและสนใจเรื่องกลยุทธ์
The Competitive Advantage กับ Blue Ocean Strategy
เล่มหนึ่งสอนการแข่งขันและอีกเล่มสอนการสร้างสรร
ทั้งสองเล่มนี้เหมือน หยินหยาง กัน
การลงทุนมีความเสียว โปรดใช้วิจารณญาณในการลอก
-
- Verified User
- โพสต์: 411
- ผู้ติดตาม: 0
Re:
โพสต์ที่ 19
[quote="choosak"]Competitive Strategy มีฉบับแปลที่ซีเอ็ดครับ
http://www.se-ed.com/eShop/(A(rbh2NZQWywEkAAAAZjZlYTFkYWUtNDhjZS00NGM5LTlkY2QtZDBmODE3Mjk0YzhjyUexEj1K-eBLpbgakWFZJCtQQ0g1))/Products/Detail.aspx?No=9789745344846[/quote]
สินค้าหมด ใครสนใจลองอ่าน สรุปย่อ ในนี้ครับ : http://www.novabizz.com/NovaAce/Time/Co ... rategy.htm
บทที่ 1 กลยุทธ์ทางธรุกิจ
กลยุทธ์ (Strategy) ในทางเศรษฐกิจ หมายถึง วิถีทางหรือแนวทางที่ถุกกำหนดขึ้นเพื่อ การระดมและจัดสรรการใช้ทรัพยากร ของประเทศ ในอันที่จะช่วยให้บรรลุถึงซึ่งเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
ในทางธุรกิจปัจจุบัน หมายถึง กระบวนการในการกำหนดเป้าหมายที่แน่ชัดของธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การสร้างหรือพัฒนา วิถีทางในทางปฏิบัติ ตลอดจนการระดมแลจัดสรรทรัพยากรขององค์การธุรกิจ เพื่อให้สามารถบรรลุถึงซึ่งเป้าหมาย ที่ได้ถูกกำหนดไว้ อย่างมีประสิทธิผล
โดยทั่วไปความหมายของกลยุทธ์ประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ เป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ที่ต้องการจะบรรลุถึง และการกำหนดแนวทาง หรือวิธีการในทางปฎิบัติ
การพัฒนากลยุทธ์ในองค์กร ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ คือ การสร้างกลยุทธ์ (strategy formation) และการนำกลยุทธ์ไปใช้ในทางปฏิบัติ (strategy implementation)
การสร้างกลยุทธ์ (strategy formation) เป็นกระบวนการต่อเนื่องประกอบด้วย
(1) การประเมินจุดอ่อน-จุดแข็งขององค์กร (2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเพื่อกำหนดโอกาสธุรกิจ-ความเสี่ยง (3) การประเมินทัศนคติ ค่านิยมและความเชื่อมั่นของผู้นำในองค์กร และ(4) การตระหนักถึงข้อจำกัดทางสังคมและกฎหมาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการประเมินวิเคราะห์ในองค์ประกอบ (1) และ (3) เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์กร ในขณะที่ (2) และ (4) เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์กร
การนำกลยุทธ์ไปใช้ในทางปฏิบัติ (strategy implementation) จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการบริหารขององค์กร เช่น การจัดสรรและระดมทรัพยากรไปใช้ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่วางไว้ การแบ่งและจัดสรรงาน โครงสร้างองค์กรภายในการควบคุม และวัดประสิทธิผลของการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
การประเมินว่ากลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมต่อองค์กรหรือไม่มีหลักเกณฑ์กว้างๆ 10 ประการดังนี้
ความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้ง
แผนปฏิบัติการครอบคลุม สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้ง และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
กลยุทธ์เหมาะสมกับโอกาส (opportunity) ที่มี
กลยุทธ์เหมาะสมกับความเสี่ยง (threat) ที่มี หรือคุ้มกับโอกาสการทำกำไร
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน เหมาะสมกับกำลังและความสามารถ
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน สอดคล้องกับจุดเด่นขององค์กร
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน สอดคล้องกับทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อของผู้นำองค์กร
ผู้นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติมีความเข้าใจเป้าหมายและแผนปฏิบัติงานอย่างถ่องแท้
ความสามารถขององค์กรในการบริหารจัดการที่จะนำกลยุทธ์ไปใช้อย่าง มีประสิทธิภาพ
บทที่ 2 วิเคราะห์การแข่งขันในอุตสาหกรรมและพลังผลักดันการแข่งขัน
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมโดยละเอียดดังที่กล่าวเบื้องต้น เป็นเรื่องที่ทำได้โดยยาก องค์กรธุรกิจจึงหันมาวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด และมีผลกระทบต่อองค์กรมาก คือ การวิเคราะห์การแข่งขันในระดับอุตสาหกรรมที่องค์กร ทำการแข่งขันอยู่ ซึ่งจะระกอบด้วยพลังผลักดันการแข่งขัน (competitive forces) 5 ประการ ประกอบด้วย
ภัยคุกคามจากผู้ลงทุน(ผู้บุกรุก)หน้าใหม่
อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ
อำนาจต่อรองของผู้ขายปัจจัยการผลิต
ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
ความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตที่มีอยู่ในอุตสาหกรรม
ปัจจัยทั้ง 5 จะเป็นตัวกำหนดความรุนแรงในการแข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ จะเป็นตัวกำหนดความสามารถ หรือศักยภาพในการทำกำไร (profit potential) ขององค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมซีเมนต์ พลังผลักดันทั้ง 5 ค่อนข้างอ่อนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด มีค่อนข้างสูง การเข้าใจในกระแสผลักดันทั้ง 5 จะเป็นกุญแจในการพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิผล
http://www.se-ed.com/eShop/(A(rbh2NZQWywEkAAAAZjZlYTFkYWUtNDhjZS00NGM5LTlkY2QtZDBmODE3Mjk0YzhjyUexEj1K-eBLpbgakWFZJCtQQ0g1))/Products/Detail.aspx?No=9789745344846[/quote]
สินค้าหมด ใครสนใจลองอ่าน สรุปย่อ ในนี้ครับ : http://www.novabizz.com/NovaAce/Time/Co ... rategy.htm
บทที่ 1 กลยุทธ์ทางธรุกิจ
กลยุทธ์ (Strategy) ในทางเศรษฐกิจ หมายถึง วิถีทางหรือแนวทางที่ถุกกำหนดขึ้นเพื่อ การระดมและจัดสรรการใช้ทรัพยากร ของประเทศ ในอันที่จะช่วยให้บรรลุถึงซึ่งเป้าหมายทางเศรษฐกิจ
ในทางธุรกิจปัจจุบัน หมายถึง กระบวนการในการกำหนดเป้าหมายที่แน่ชัดของธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การสร้างหรือพัฒนา วิถีทางในทางปฏิบัติ ตลอดจนการระดมแลจัดสรรทรัพยากรขององค์การธุรกิจ เพื่อให้สามารถบรรลุถึงซึ่งเป้าหมาย ที่ได้ถูกกำหนดไว้ อย่างมีประสิทธิผล
โดยทั่วไปความหมายของกลยุทธ์ประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ เป้าหมายหรือ วัตถุประสงค์ที่ต้องการจะบรรลุถึง และการกำหนดแนวทาง หรือวิธีการในทางปฎิบัติ
การพัฒนากลยุทธ์ในองค์กร ประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ คือ การสร้างกลยุทธ์ (strategy formation) และการนำกลยุทธ์ไปใช้ในทางปฏิบัติ (strategy implementation)
การสร้างกลยุทธ์ (strategy formation) เป็นกระบวนการต่อเนื่องประกอบด้วย
(1) การประเมินจุดอ่อน-จุดแข็งขององค์กร (2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมเพื่อกำหนดโอกาสธุรกิจ-ความเสี่ยง (3) การประเมินทัศนคติ ค่านิยมและความเชื่อมั่นของผู้นำในองค์กร และ(4) การตระหนักถึงข้อจำกัดทางสังคมและกฎหมาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าการประเมินวิเคราะห์ในองค์ประกอบ (1) และ (3) เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์กร ในขณะที่ (2) และ (4) เป็นการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์กร
การนำกลยุทธ์ไปใช้ในทางปฏิบัติ (strategy implementation) จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการบริหารขององค์กร เช่น การจัดสรรและระดมทรัพยากรไปใช้ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่วางไว้ การแบ่งและจัดสรรงาน โครงสร้างองค์กรภายในการควบคุม และวัดประสิทธิผลของการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
การประเมินว่ากลยุทธ์ที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมต่อองค์กรหรือไม่มีหลักเกณฑ์กว้างๆ 10 ประการดังนี้
ความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้ง
แผนปฏิบัติการครอบคลุม สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้ง และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
กลยุทธ์เหมาะสมกับโอกาส (opportunity) ที่มี
กลยุทธ์เหมาะสมกับความเสี่ยง (threat) ที่มี หรือคุ้มกับโอกาสการทำกำไร
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในขณะนั้น
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน เหมาะสมกับกำลังและความสามารถ
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน สอดคล้องกับจุดเด่นขององค์กร
เป้าหมายและแผนปฏิบัติงาน สอดคล้องกับทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อของผู้นำองค์กร
ผู้นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติมีความเข้าใจเป้าหมายและแผนปฏิบัติงานอย่างถ่องแท้
ความสามารถขององค์กรในการบริหารจัดการที่จะนำกลยุทธ์ไปใช้อย่าง มีประสิทธิภาพ
บทที่ 2 วิเคราะห์การแข่งขันในอุตสาหกรรมและพลังผลักดันการแข่งขัน
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมโดยละเอียดดังที่กล่าวเบื้องต้น เป็นเรื่องที่ทำได้โดยยาก องค์กรธุรกิจจึงหันมาวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด และมีผลกระทบต่อองค์กรมาก คือ การวิเคราะห์การแข่งขันในระดับอุตสาหกรรมที่องค์กร ทำการแข่งขันอยู่ ซึ่งจะระกอบด้วยพลังผลักดันการแข่งขัน (competitive forces) 5 ประการ ประกอบด้วย
ภัยคุกคามจากผู้ลงทุน(ผู้บุกรุก)หน้าใหม่
อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ
อำนาจต่อรองของผู้ขายปัจจัยการผลิต
ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน
ความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตที่มีอยู่ในอุตสาหกรรม
ปัจจัยทั้ง 5 จะเป็นตัวกำหนดความรุนแรงในการแข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ จะเป็นตัวกำหนดความสามารถ หรือศักยภาพในการทำกำไร (profit potential) ขององค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมซีเมนต์ พลังผลักดันทั้ง 5 ค่อนข้างอ่อนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด มีค่อนข้างสูง การเข้าใจในกระแสผลักดันทั้ง 5 จะเป็นกุญแจในการพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิผล
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 456
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 21
Competitive strategy และcompetitive advantage มีเขียนย่อๆไว้โดยตัวเองm.e. porterเอง
รวมทั้งblue oceans ในหนังสือ"กลยุทธ"(on strategy )ฉบับแปล
เป็นหนังสือHarvard business review1ใน10เล่มที่เค้าแนะนำ
วางขายในซีเอ็ดราคา295บาท
ปกด.กูรูหลายคนของHarvard มาเขียนเรื่องกลยุทธคนละบท
แค่อ่านของporter2บทแรกก็คุ้มแล้ว
รวมทั้งblue oceans ในหนังสือ"กลยุทธ"(on strategy )ฉบับแปล
เป็นหนังสือHarvard business review1ใน10เล่มที่เค้าแนะนำ
วางขายในซีเอ็ดราคา295บาท
ปกด.กูรูหลายคนของHarvard มาเขียนเรื่องกลยุทธคนละบท
แค่อ่านของporter2บทแรกก็คุ้มแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 456
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 23
คนที่เขียนในแต่ละบทเป็นเจ้าของideaทั้งนั้นมาเขียนย่อๆให้อ่านง่ายๆ
เช่น
1.competitive strategy และcompetitive advantageโดยm.e.porter
2.built to lastโดยJim Collin
3.blue ocean strategyโดยw.chan Kim
4.balanced scorecardโดยRobert Kaplan
........
อีกหลายคนผมไม่รู้จักแต่น่าจะเป็นกูรูเจ้าของความคิด
เช่น
1.competitive strategy และcompetitive advantageโดยm.e.porter
2.built to lastโดยJim Collin
3.blue ocean strategyโดยw.chan Kim
4.balanced scorecardโดยRobert Kaplan
........
อีกหลายคนผมไม่รู้จักแต่น่าจะเป็นกูรูเจ้าของความคิด
-
- Verified User
- โพสต์: 5011
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 25
ขอบคุณมากๆครับ จะพยายามอ่านให้ครบ
------------------------
เป้าหมายชีวิต ภารกิจครอบครัว
http://www.thorfun.com/story/view/UP9sI67rWUsDAAj_
------------------------
เป้าหมายชีวิต ภารกิจครอบครัว
http://www.thorfun.com/story/view/UP9sI67rWUsDAAj_
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 26
ไปเจอ Competitive Strategy กับ Competitive Advantage ของ Porter มาครับ
ที่ Kino พารากอน
แต่ไม่ได้ซื้อ เห็นแล้วเครียดมาก หนังสือหนาเตอะไม่ว่า (ประมาณ 6 cm.)
ประเด็นคือลองยืนๆ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนหนังสือเรียนมากๆ
บางอย่างลงรายละเอียดซะจนผมรู้สึกว่ามันยิบย่อยมากเกินไป
อยากได้หลักแนวคิดมากกว่า ไม่งั้นพอมันยิบย่อยพอสถานการณ์เปลี่ยนผมมักจะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน
(หรือใครที่อ่านละเอียดๆ แล้วพบว่ามันไม่ยิบย่อยแบบที่ผมว่าก็รบกวนบอกด้วยนะครับ)
มีใครเคยอ่าน Fooled by randomness มั้ยครับ ดีรึเปล่า ?
ที่ Kino พารากอน
แต่ไม่ได้ซื้อ เห็นแล้วเครียดมาก หนังสือหนาเตอะไม่ว่า (ประมาณ 6 cm.)
ประเด็นคือลองยืนๆ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนหนังสือเรียนมากๆ
บางอย่างลงรายละเอียดซะจนผมรู้สึกว่ามันยิบย่อยมากเกินไป
อยากได้หลักแนวคิดมากกว่า ไม่งั้นพอมันยิบย่อยพอสถานการณ์เปลี่ยนผมมักจะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน
(หรือใครที่อ่านละเอียดๆ แล้วพบว่ามันไม่ยิบย่อยแบบที่ผมว่าก็รบกวนบอกด้วยนะครับ)
มีใครเคยอ่าน Fooled by randomness มั้ยครับ ดีรึเปล่า ?
-
- Verified User
- โพสต์: 950
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือ 9 เล่มที่ต้องอ่านในชีวิตนี้
โพสต์ที่ 30
เอามั่ง 9 เล่มสำหรับผมคือ
1. สามก๊ก
2. ตำราพิชัยสงครามซุนวู
3. 36 กลยุทธ์
4. Buffetology
5. How to Pick Stock like Warren Buffett
6. One up on Wall Street
7. Marketing Management Philip Kotler
8. Competitive Strategy Micheal E. Porter
9. Lateral Thinking Edward De Bono
1. สามก๊ก
2. ตำราพิชัยสงครามซุนวู
3. 36 กลยุทธ์
4. Buffetology
5. How to Pick Stock like Warren Buffett
6. One up on Wall Street
7. Marketing Management Philip Kotler
8. Competitive Strategy Micheal E. Porter
9. Lateral Thinking Edward De Bono