หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
-
- Verified User
- โพสต์: 92
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 31
ไม่คิดจะซื้อเลยครับ ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะมีประสบการณ์ในการอ่านมาเยอะ เพราะเท่าที่ดูใน blog
เนื้อเรื่องแต่ละเรื่องถูกมั่งผิดมั่งและส่วนใหญ่จะดูเหมือนฟันธงแบบไม่กำหนดเวลา (เหมือนผมบอกว่า ptt จะขึ้นไปเหนือ 500 ในที่สุด) ผู้เขียนเคยฟันธงหุ้นขึ้นรอบใหญ่จากเรื่อง qe2 ตอนปลายปีที่แล้วและมองว่า setจะไปเหนือ 1700 จุดในที่สุด (เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนะ 555) ผมเคยตั้งคำถามตอนช่วงที่ set ปรับลงไป900 ต้นๆ ว่ามองว่ามันจะเป็นยังไงต่อ ผู้เขียนตอบแบบไม่มั่นใจว่า ท้ายที่สุดหุ้นมันก็ต้องขึ้นแหละและหุ้นมันก็ต้องมีลงมั่ง ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้เขียนไม่ได้มีความรู้ที่ลึกซึ้งรวมทั้งความหนักแน่นทางอารมณ์เลย สำหรับผมนั้นผู้เขียนหมดความน่าเชื่อถือลงไปมากทีเดียว แต่ถ้าใครมีเงินและเวลาเหลือใช้มากเกินไปก็สามารถซื้อหามาอ่านได้ครับ
ผมมีความรู้สึกว่า stock2morrow กำลังอยากได้เงินมากถึงขนาดเอาใครก็ไม่รู้ (ยังไม่ได้มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน) มาแต่งตัวให้ดูดีแล้วนำออกมาขาย ซึ่งต้องยอมรับว่าคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว พอแค่มีคนมารำดาบเท่ห์ๆให้ดูก็ถึงกับยอมรับว่า นี่แหละจอมยุทธ์ เราค้นพบแล้ว สุดยอดจริงๆ ซึ่งการขายก็มีทั้งเปิดคอร์สสัมนา มีแทบทุกเสาร์ อาทิตย์ (กลายเป็นแหล่งเงินได้หลักไปแล้ว) นอกเหนือจากการปั้นดินเป็นดาว โดยการทำหนังสือ
ส่วนเรื่อง bestseller มันมีที่มาที่ไปครับ ถ้าใครเคยทำงานที่ se-ed หรือมีเพื่อนทำงานด้านการตลาดของse-ed ก็จะรู้ครับ (ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์อย่างไงก็ต้องให้ทำให้คนเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นครับแล้วท้ายที่สุดมันก็จะเป็นอย่างนั้น ....งงมั๊ยครับ)
เนื้อเรื่องแต่ละเรื่องถูกมั่งผิดมั่งและส่วนใหญ่จะดูเหมือนฟันธงแบบไม่กำหนดเวลา (เหมือนผมบอกว่า ptt จะขึ้นไปเหนือ 500 ในที่สุด) ผู้เขียนเคยฟันธงหุ้นขึ้นรอบใหญ่จากเรื่อง qe2 ตอนปลายปีที่แล้วและมองว่า setจะไปเหนือ 1700 จุดในที่สุด (เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนะ 555) ผมเคยตั้งคำถามตอนช่วงที่ set ปรับลงไป900 ต้นๆ ว่ามองว่ามันจะเป็นยังไงต่อ ผู้เขียนตอบแบบไม่มั่นใจว่า ท้ายที่สุดหุ้นมันก็ต้องขึ้นแหละและหุ้นมันก็ต้องมีลงมั่ง ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้เขียนไม่ได้มีความรู้ที่ลึกซึ้งรวมทั้งความหนักแน่นทางอารมณ์เลย สำหรับผมนั้นผู้เขียนหมดความน่าเชื่อถือลงไปมากทีเดียว แต่ถ้าใครมีเงินและเวลาเหลือใช้มากเกินไปก็สามารถซื้อหามาอ่านได้ครับ
ผมมีความรู้สึกว่า stock2morrow กำลังอยากได้เงินมากถึงขนาดเอาใครก็ไม่รู้ (ยังไม่ได้มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน) มาแต่งตัวให้ดูดีแล้วนำออกมาขาย ซึ่งต้องยอมรับว่าคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว พอแค่มีคนมารำดาบเท่ห์ๆให้ดูก็ถึงกับยอมรับว่า นี่แหละจอมยุทธ์ เราค้นพบแล้ว สุดยอดจริงๆ ซึ่งการขายก็มีทั้งเปิดคอร์สสัมนา มีแทบทุกเสาร์ อาทิตย์ (กลายเป็นแหล่งเงินได้หลักไปแล้ว) นอกเหนือจากการปั้นดินเป็นดาว โดยการทำหนังสือ
ส่วนเรื่อง bestseller มันมีที่มาที่ไปครับ ถ้าใครเคยทำงานที่ se-ed หรือมีเพื่อนทำงานด้านการตลาดของse-ed ก็จะรู้ครับ (ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์อย่างไงก็ต้องให้ทำให้คนเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นครับแล้วท้ายที่สุดมันก็จะเป็นอย่างนั้น ....งงมั๊ยครับ)
-
- Verified User
- โพสต์: 9
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 32
อ่านค่ะ แล้วเก็บไว้เป็นข้อมูล-ความรู้ ทำให้เราคิดและสังเกตแง่มุมอื่น ๆ ด้วยไงคะ ^^
- birth_pianist
- Verified User
- โพสต์: 65
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 33
ผู้เขียนเขามีเงินถึงหมื่นล้านแล้วหรอครับ.....
ดูจากการสัมภาษณ์ตามรายการต่างๆออกแนวคุยโวซะมากกว่า
ผลงานยังไมเ่ป็นที่ประจักษ์ ต่างจาก ดร.นิเวศน์ ที่เขียนหนังสือให้คนศึกษาสอนถึงแก่นทางความคิดให้คนมี logic
ปล.ลองดูๆติดตามเค้าต่อไป เผื่ออนาคตอาจทำได้จริง
ดูจากการสัมภาษณ์ตามรายการต่างๆออกแนวคุยโวซะมากกว่า
ผลงานยังไมเ่ป็นที่ประจักษ์ ต่างจาก ดร.นิเวศน์ ที่เขียนหนังสือให้คนศึกษาสอนถึงแก่นทางความคิดให้คนมี logic
ปล.ลองดูๆติดตามเค้าต่อไป เผื่ออนาคตอาจทำได้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 164
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 34
ลองดูนี่อ่ะ ฮะ ก่อนซื้อ เค้าไปออกรายการ Voice TV
ส่วนตัวผมก็ชอบนะ ฟังเพลินๆ ดี
ถ้าชอบก็ไปซื้อหนังสือเค้า
http://shows.voicetv.co.th/intelligence/7632.html
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2
หลังจากตลาดหุ้นไทยสามารถฝ่าระดับ 1,050 จุดขึ้นมาได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ขณะนี้เข้าสู่ไตรมาส 2 ที่มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวพันกับการลงทุน ทั้งการประกาศผลประกอบการ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่สูง จะกระทบต่อการลงทุนมากอย่างไร
รายการ Intelligence ร่วมค้นหาคำตอบทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ กับคุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม นักลงทุนอิสระจากเวปไซต์ www.stock2morrow.com ที่ให้มุมมอง และแนวคิดการลงทุนที่น่าสนใจ
Produced by VoiceTV
7 เมษายน 2554 เวลา 13:09 น.
ส่วนตัวผมก็ชอบนะ ฟังเพลินๆ ดี
ถ้าชอบก็ไปซื้อหนังสือเค้า
http://shows.voicetv.co.th/intelligence/7632.html
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2
หลังจากตลาดหุ้นไทยสามารถฝ่าระดับ 1,050 จุดขึ้นมาได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ขณะนี้เข้าสู่ไตรมาส 2 ที่มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวพันกับการลงทุน ทั้งการประกาศผลประกอบการ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่สูง จะกระทบต่อการลงทุนมากอย่างไร
รายการ Intelligence ร่วมค้นหาคำตอบทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ กับคุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม นักลงทุนอิสระจากเวปไซต์ www.stock2morrow.com ที่ให้มุมมอง และแนวคิดการลงทุนที่น่าสนใจ
Produced by VoiceTV
7 เมษายน 2554 เวลา 13:09 น.
- simplelife
- Verified User
- โพสต์: 756
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 35
[quote="แมงเม่าสายลม"]ลองดูนี่อ่ะ ฮะ ก่อนซื้อ เค้าไปออกรายการ Voice TV ส่วนตัวผมก็ชอบนะ ฟังเพลินๆ ดี ถ้าชอบก็ไปซื้อหนังสือเค้า[/quote]
ขอบคุณครับ ยิ่งทำให้มั่นใจอะไรได้มากขึ้นอีก พูดได้คำเดียว ว่าไม่น่าเชื่อคุยกันได้นานขนาดนั้น
นอกจากนี้ ขออนุญาตไม่วิจารณ์แล้วกัน เดี๋ยวจะดราม่ากันอีก
ขอบคุณครับ ยิ่งทำให้มั่นใจอะไรได้มากขึ้นอีก พูดได้คำเดียว ว่าไม่น่าเชื่อคุยกันได้นานขนาดนั้น
นอกจากนี้ ขออนุญาตไม่วิจารณ์แล้วกัน เดี๋ยวจะดราม่ากันอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 2232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 36
ดราม่าขนาดกระทู้โดนลบหายไป(ฟรีด้อมเทรดเดอร์ไรนั่น) ล่าสุดเหนต้นสังกัดแกออกคอร์สสัมมนามามากมายทั้งfundamentalและtechnical ซึ่งน่าจะเตมหมด การตลาดสุดยอดซะขนาดนี้ ล่อปั้นคนให้เปนเทพได้ แถมไม่ใช่องค์เดียวซะด้วย แถมยังตั้งฉายาให้ดูเท่(wizard kidไรนั่น) แต่สนุกดีครับ คิดซะว่าศึกษาด้านการตลาด
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 39
(ให้สัมภาษณ์ในกรุงเทพธุรกิจ เมื่อ 18 เมษายน 2554)
ผ่ารอยหยักสมอง "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" คิดรวยเร็วถึง "ล้ม" เคยล้มถึง "รวย"
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
หลานปู่ "ทวิช กลิ่นประทุม" หลานตา "วิระ รมยะรูป" คิดรวยเร็วถึง "ล้ม" เพราะเคย "ล้ม" ที่ออสเตรเลียถึงกลับมา "รวย" ในตลาดหุ้น เขาเชื่อว่าอีก 20 ปีตัวเองจะรวยมหาศาล
ในสังคมโซเชียล มีเดีย "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เป็นที่รู้จักมักคุ้นของนักลงทุน จากบทความสั้นๆ ที่พูดถึงความจริงอีกด้าน ส่งให้หนังสือ "แกะรอยหยักสมอง" ติดอันดับ Best Sellers
ในสังคมโซเชียล มีเดียและไซเบอร์ สเปซ "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เป็นที่รู้จักมักคุ้นของนักลงทุนอย่างกว้างขวาง บทความสั้นๆ ของเขาพูดถึงความจริงอีกด้านของเหรียญที่ผู้คนมักนึกไม่ถึง วิธีคิดที่ค่อนข้างหักมุมใช้ภาษาเข้าใจง่าย ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า "โดน" ส่งให้หนังสือ "แกะรอยหยักสมอง" ติดอันดับ Best Sellers ทำยอดขายถล่มทลายทั้ง 2 ภาค
ที่สำคัญหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีดีเด่นแค่นามสกุล ประวัติคร่าวๆ ของเขาเป็น "หลานปู่" อดีตนักการเมืองใหญ่ ทวิช กลิ่นประทุม ผู้ก่อตั้งบริษัท เทรลเลอร์ทรานสปอร์ต เจ้าของกิจการชิพปิ้งและท่าเรือรายใหญ่ของไทยในยุคหนึ่ง และเป็น "หลานตา" วีระ รมยะรูป ผู้จัดการสาขาคนแรกของธนาคารกรุงเทพ และเป็นมือขวา เจ้าสัวซิน โสภณพนิช รุ่นที่สอง "แม่-ลุง-ป้า-น้า" ทำงานรับใช้ เจ้าสัวชาตรี โสภณพนิช ขณะที่ตัวภาววิทย์เองทำงานรับใช้ "เสี่ยโทนี่" ชาติศิริ โสภณพนิช ที่สำนักผู้จัดการใหญ่
เท่ากับว่าทายาทตระกูลรมยะรูป ทำงานรับใช้ธนาคารกรุงเทพและตระกูลโสภณพนิชมาแล้ว 3 ชั่วอายุคน
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดสนทนากับ นักคิดนักเขียนนักลงทุนรายนี้ที่สำนักงานเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 1 ข้างๆ ตัวเขามีผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ป้อม" ปิยพงษ์ วงศ์ยะรา ร่วมวงอยู่ด้วย
"ชีวิตผมเป็นมาหมดแล้วไม่ว่าเจ้าของกิจการ ลูกจ้างแต่ปัจจุบันผมเป็นนักลงทุน" หนุ่มวัย 30 ปี เอ่ยขึ้นเพื่อแนะนำตัวเอง
ภาววิทย์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบัญชีเอกการตลาดจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลีย แต่มีเหตุที่ทำให้ "เรียนไม่จบ"
"ตอนนั้นผมไฟแรงมากอยากทำธุรกิจร้านอาหารที่ออสเตรเลียเลยไปกู้เงินกับขอเงินที่บ้านมาลงทุน ตอนแรกมีสาขาเดียวต่อมารีบเปิดรวดเดียว 5 สาขา 5 คอนเซปต์ แถมยังเปิดโรงงานทำกระจกกับเพื่อนที่นั่นด้วย สุดท้ายเลยไม่ได้เรียน"
เขาเชื่อว่าเวลาไหนที่ชีวิตมันดูดีสุดๆ หลุดจาก Mean (ทางสายกลาง) ไปมากๆ ผมว่าคุณเตรียมพบกับ "ความโชคร้าย" ที่จะเข้ามาเยือนได้เลย สิ่งที่เขาเจอช่วงปี 2007 (ปี 2550) คนออสเตรเลียใช้จ่ายลดลงอย่างฮวบฮาบกิจการของเขาได้รับผลกระทบอย่างแรง เงินทางบ้านเกือบ 20 ล้านบาทบวกกับเงินกู้บริษัทไฟแนนซ์ที่ดอกเบี้ยสุดโหดรวมแล้วเจ๊งไป 30 กว่าล้านบาท
ความคิดที่จะสร้างเครื่องปั๊มเงินหรือ The Money Making Machine ที่ออสเตรเลีย จึงเป็นแค่ "วิมานเมฆ" ช่วงต้นปี 2551 จึงกลับมาทำงานให้ชาติศิริ โสภณพนิช ในส่วนของ Office of President ที่ธนาคารกรุงเทพสู่โลกของความเป็นจริง
เขาบอกว่านี่อหละชีวิตจริง การทำธุรกิจมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เรียนกันในตำรา จากที่เร่งเปิดร้านเร็วสุดท้ายต้องปิดหมดเหลือสาขาเดียว มันก็คือ "ร้านแรก" ที่เปิดนั้นแหละอยู่ในเมือง Coffs Harbour ในรัฐนิวเซาท์เวลส์โดยให้แฟนดูแล เขาวิเคราะห์สาเหตุแห่งความล้มเหลวน่าจะเกิดจากจังหวะการลงทุนที่ผิดพลาดและเน้นโตเร็วเกินไป
"ผมเซ็งที่เห็นคนมากกมายเอาเงินไปละลายแบบโง่ๆ อย่างผม...ใครสนใจจะเปิดร้านอาหารในออสเตรเลียผมแนะนำให้มาคุยกับผมก่อน"
ภาววิทย์เล่าว่า เหตุการณ์ช่วงปี 2550 เครียดมาก เมื่อล้มเหลวจากธุรกิจในออสเตรเลียจึงตัดสินใจกลับเมืองไทย ขณะนั้นในใจเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่า อีกไม่นานหุ้นต้องแย่ด้วยแน่นอน จึงรีบบอกให้คุณฉม่ ซึ่งปกติจะซื้อหุ้นไว้จำนวนมาก อยู๋ตลอดเวลาให้รีบขายหุ้นออกมาทั้งหมด จากนั้นแม่ก็มองหุ้นที่ขายไปหลายๆ ตัววิ่งขึ้นต่อด้วยอารมณ์ที่ "เซ็งสุดขีด"
"พอขายหุ้นออกไปทั้งหมด ตลาดยังไม่ตกแรงเหมือนที่คาดไว้แต่กลับวิ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เวลานั้นเริ่มคิดเหมือนว่าเราพลาด "ขายหมู" ไปรึเปล่า หลังจากตลาดเริ่งร่าไปจนถึงกลางปี 2551 ในที่สุดสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจริงตอนนั้น เลแมน บราเดอร์ส "เจ๊ง" ก่อให้เกิดตลาดหุ้น Crash (พัง) ทั่วโลก หุ้นที่ขายไปบางตัวราคาตกลงไปเกือบครึ่ง บางตัวตกเกินหว่าครึ่ง ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมบ้านเราล่มสลายในพริบตา"
เขารวบรวมความกล้าบอกกับแม่ว่าเราต้องเข้า (ซ้อน) ซื้อหุ้นช่วงนี้แหละในจังหวะที่ "แย่ที่สุด" อย่างหุ้น BBL ขายไปก่อนที่ราคา 133 บาท แล้วเข้าไปเก็บอีกครั้งที่ราคา 59 บาท จุดนั้นถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตการนักลงทุนครั้งแรกอย่างภาคภูมิ
"ช่วงนั้นผมตัดสินใจซื้อแต่เป็นลักษณะการ "เทรด" เพราะคิดว่าตลาดจะตกอีกนานมากๆ พอกำไรก็รีบขายออก ตลอดปี 2552 ตลอดเริ่มวิ่งไป 60% แต่ผมกำไรแค่ 30%..โง่!! (จริงๆ) แต่เผอิญมันเป็นฐานเงินที่ใหญ่กำไรที่ได้มันจึงทำให้แม่ผมแฮปปี้! ไม่น้อย แล้วรางวัลจากแม่สำหรับการเทรดที่ไม่ค่อยฉลาดนักก็คือ Mercedes Benz รุ่น E200 สีดำป้ายแดง..ผมซวยจากกิจการในออสเตรเลียแต่ก็มาโชคดีจากตลาดหุ้นซับไพร์ม"
เขาย้อนเล่าว่า เหตุการณ์ที่ "หุ้นพัง" ตัวเองเคยเจอมาคล้ายๆ กับในปี ค.ศ.2000 (ปี 2543) หลังวิกฤติเศรษฐกิจครั้งแรก ราคาหุ้น BBL ลงไปอยู่ที่ 20 บาท ทางบ้าน (ตา, แม่, ลุง, ป้า, น้า) ทำงานอยู่ธนาคารกรุงเทพมั่นใจว่าธุรกิจไม่เจ๊งแน่นอนจึงเข้าไปซื้อหุ้นไว้ ต่อมาราคาหุ้นก็กลับขึ้นมาได้ในที่สุด เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงปลูกฝังแนวคิดการเป็นนักลงทุนตั้งแต่นั้นมา
"จริงๆ แล้วผมเริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยโดยมีแบบอย่างมาจากคุณแม่ซึ่งเป็นนักลงทุนที่ชอบคิดสวนทางตลาด"
ถามว่าพอร์ตลงทุนตอนนี้ทั้งของส่วนตัวและของครอบครัวมีอยู่ประมาณเท่าไร เจ้าตัวขอไม่เปิดเผยบอกแต่เพียงว่า "ใหญ่พอสมควร" ส่วนเรื่องผลตอบแทนเขาบอกว่าในพอร์ตจะมีแต่ "หุ้นบลูชิพ" ถ้านับผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2551 ราคาหุ้นก็ขึ้นมาเท่ากับดัชนี (ดัชนีต่ำสุด 380 จุดขึ้นมา 1,078 จุด หรือประมาณ 180%)
"ผลตอบแทนผมคงไม่เท่าคนอื่นหรอก อย่างคุณป้อม (เจ้าของเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ) เขาทำได้ตั้ง 500% ถ้าใครเล่นหุ้น IVL น่าจะทำได้ 5-6 เท่า หรือ CPF ได้ 8 เท่าสบายๆ แต่ผมเลือกที่จะได้ผลตอบแทนตามความเสี่ยง เสี่ยงน้อยหน่อยก็ได้น้อยหน่อย"
สำหรับไอดอล (บุคคลต้นแบบ) ของนักลงทุนหนุ่มรายนี้คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถ้าเป็นคนไทยก็ต้อง ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร เพียงแต่แนวทางอาจแตกต่างไปจากแวลูอินเวสเตอร์ทั่วไป เพราะเขาจะเล่นเฉพาะ "หุ้นบิ๊กแคป" หรือ "หุ้นบลูชิพ" เท่านั้นปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 10 ตัว เช่น PTT, PTTEP, IRPC, BBL, KK และ ADVANC เป็นต้น
"มีคนสงสัยว่าผมไม่ใช่วีไอจริง (ของปลอม) เพราะถือแต่หุ้นตัวใหญ่ที่จริงแล้วหลักการของวีไอคือซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงโดยดูที่มูลค่าพื้นฐานของกิจการไม่เกี่ยวว่าต้องหุ้นเล็กหุ้นใหญ่ขึ้นอยู่กับใครนำแนวคิดมาดัดแปลงใช้มากกว่า"
นอกจากเข้าซื้อช่วงหลังวิกฤติแล้ว หุ้นบางตัวยังเลือกเข้า "เก็บ" ช่วงที่เกิด "ข่าวร้าย" แรงๆ อย่างหุ้น PTT เข้าเก็บในจังหวะที่มีข่าวมาบตาพุดจนมีกระแสข่าวว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนออกไปทั้งหมด
"ผมมองว่าสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรถ้า ปตท.เจ๊งประเทศก็เจ๊งไปด้วยเลยคิดว่าต้องลองสักตั้ง ว่าแล้วก็เลยตัดสินใจซื้อสวนตลาดไปเลย ถึงตอนนี้ (กำไรเยอะแล้ว) ก็ยังไม่ขายออกมา"
อีกตัวหนึ่งก็คือหุ้น ADVANC สาเหตุที่เลือกลงทุนเพราะเป็นผู้ประกอบการมือถืออันดับหนึ่งของประเทศ มีการบริหารจัดการที่ดี ธุรกิจมีความแข็งแกร่ง ที่สำคัญมีการแจก ESOP ให้ผู้บริหารทำให้มีแรงกระตุ้นที่จะสร้างผลงาน แม้ว่าจะไม่มีการประมูล 3จี แต่เชื่อว่าจะเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะจะไม่ต้องมีการลงทุนหนักรับธุรกิจที่ยังไม่รู้อนาคตส่วนตัวถือเพื่อรับปันผล 10% ต่อปีก็คุ้มค่าแล้ว
"แม้ตอนที่ไม่มีการประมูล 3จี มีประเด็นฟ้องร้องต่างๆ หุ้นตกลงมาผมก็เข้าไปรับไว้อีกเพราะเชื่อว่าอย่างไรก็ไม่กระทบต่อธุรกิจแน่"
ภาววิทย์สรุปให้ฟังว่า เขาเลือกลงทุนหุ้นตัวใหญ่เพราะมัน "ไม่มีทางเจ๊ง" และมีโอกาสเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ เรื่องผลตอบแทนมันเป็นไปตามกฎ High Risk High Return ถ้าคุณเสี่ยงมากก็จะได้ผลตอบแทนมาก แต่ผมเลือกที่จะรับความเสี่ยงแบบพอดี
"การถือหุ้นตัวใหญ่ทำให้เราเสี่ยงน้อยลง และถ้ามีจังหวะดีๆ ที่ราคาตกลงมาก็มีโอกาสเพิ่มจำนวนการถือหุ้นได้อีก มุมมองส่วนตัวคิดว่า "จำนวนหุ้นคือของจริง" ส่วนราคาเป็นเพียง "ภาพลวงตา" เป็นเพียงแค่ตัวเลข คุณมีโอกาสเห็นตัวเลขผลประกอบการที่ดีได้ถ้าบริษัทเติบโตขึ้น แต่ระวังราคาที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้คุณหลงทาง "ขายหมู" ออกมาได้ สำคัญคือดูที่ผลประกอบการแล้วจะรู้เองว่าหุ้นเราดีหรือไม่ดีไม่ใช่ดูแต่ราคาหุ้น"
ปัจจุบันภาววิทย์รับหน้าที่ดูแลพอร์ตลงทุนของครอบครุว แม้น้องสาวที่จบดอกเตอร์ด้านการเงินจากอังกฤษยังฝากให้ดูแลเงินให้ สิ่งที่กำลังทำอยู่เขายืนยันว่าไม่ได้ "เล่นหุ้น" เพราะนั่นเหมือนกับ "เล่นการพนัน" เพียงแต่นำเงินไป "ฝากไว้กับหุ้น" ตอนนี้ตัวเขานำเงินเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ไปใช้ชีวิตอยู่กับหุ้น โดยมองหุ้นเป็น "สินทรัพย์" อย่างหนึ่งและจะไม่ลงทุนอย่างอื่นเช่นทองคำ เพราะทองคำจ่ายปันผลไม่ได้
"หุ้นที่ดีก็เหมือนกับเงินฝากธนาคาร ผมจะถอนเงินออกจากหุ้นต่อเมื่อดอกเบี้ยเงินฝากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าซึ่งอาจจะเกิดนขึ้นได้อีกแต่ไม่รู้เมื่อไร"
เขายกตัวอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่นำผลกำไรและเงินปันผลไปลงทุนต่อ และสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นปีละ 25% สูงที่สุดในโลกส่วนตัวขอยึดแนวทางดังกล่าวเช่นกัน โดยตั้งเป้าส่วนตัวขอผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ 10% ทบต้น
"ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก หุ้นของผมจะยังไม่ขายตอนนี้และจะเอาเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนต่อด้วย ขณธที่แนวทางต่างๆ ได้พิสูจน์แล้วว่า เข้าๆ ออกๆ หุ้นบ่อยๆ ไม่ทำให้รวยได้"
สัปดาห์หน้า วิไอหนุ่มจะซื้ออนาคตตลาดหุ้นไทยทำไม! ภาววิทย์ถึงมั่นใจใน Asian Miracle ภายใน 20 ปี ข้างหน้า เขาคาดว่า "ตัวเองจะรวยมหาศาล"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-------------------------------------------------------------
เพาะบ่มความคิดที่ "สต๊อกทูมอร์โรว์"
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม กล่าวว่า ช่วงแรกของการลงทุนในตลาดหุ้น สนใจแต่แนวทางแวลูอินเวสเตอร์อย่างเดียว แต่พอได้มารู้จักเว็บไซต์สต๊อคทูมอร์โรว์ (ต้องมีค่าสมาชิก) ทำให้ได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนในหลากหลายมิติมากขึ้น ยกตัวอย่าง "พีร์" มือ Pro Trade โบรกเกอร์แห่งหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องการซื้อขายหุ้นในวันเดียวหรือ "เดย์เทรด" เป็น "เทรดเดอร์ลึกลับ" ที่ชอบเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศมาช่วยกันโพสต์บทความที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนลงในเว็บไซต์
"เราไม่ได้คิดจะรวมตัวกันตั้งลัทธิหรือทำอะไรไม่ดี (ปั่นหุ้น) แต่เราต้องการให้ความรู้กับนักลงทุนผ่านกิจกรรมอย่างเช่น การเสวนางานเขียนหนังสือ อีกไม่นานเราจะมีรายการทีวีด้วย"
หลังจากอยู่ในสังเวียนสักพัก ภาววิทย์สามารถชี้ชัดได้ว่าแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้นมีเพียงแค่สองแบบเท่านั้นคือแนวทาง "หุ้นคุณค่า" (วีไอ) มุ่งเน้นที่มูลค่าของกิจการมากกกว่าราคาและต้องซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าความเป็นจริงในเวลาที่คนอื่นกำลังกลัว
อีกแนวทางหนึ่งคือการใช้ "กราฟเทคนิค" เข้าช่วยทำให้เราสามารถรู้ "เวลา" ที่จะเข้าออก สามารถนำมาผสมผสานเข้ากับแนวทางแบบวีไอที่จะวิเคราะห์ได้ว่าราคาหุ้นถูกหรือแพง
"แนวทางหนึ่งคือการเป็นเดย์เทรดแต่นั้นต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวอย่างมาก ผมคิดว่าเมืองไทยน่าจะมีเพียงแค่ 1% ที่ประสบความสำเร็จกับแนวทางนี้"
เขาเสริมว่าการอาศัยเทคนิคช่วยวิเคราะห์หุ้น คนที่ใช้แนวทางนี้ คือนักลงทุนตามกระแส (Trend Follower) ต้องเข้าใจว่าการใช้เทคนิคอย่างพวกกราฟไม่ได้ช่วยให้เราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำที่สุดและขายออกไปตอนแพงที่สุด แต่ทำให้เรารู้ว่าเทรนด์ของหุ้นจะเป็นอย่างไรจะขึ้นหรือลง ถ้าขึ้นก็ตามถ้าลงก็ถอย
"พูดง่ายๆ คือการใช้เทคนิคเราจะซื้อหุ้นตอนแพงแต่ไปขายตอนที่แพงกว่า กินส่วนต่างตรงกลาง แต่ถ้าเป็นวีไอคุณซื้อหุ้นตอนถูกแล้วไปขายตอนแพง"
ปัจจุบันเว็บไซต์แห่งนี้มีสมาชิกประมาณ 2,000 คน ภาววิทย์เชื่อว่า ถ้าเราเป็น "ผู้ให้" เราก็จะได้รับสิ่งนั้นกลับคืนมา เขาอยากจะเห็นนักลงทุนไทยเพิ่มจำนวนเป็นประมาณ 1 ล้านคน ตอนนี้แค่แสนกว่าคนยังเป็นแมลงเม่า ถ้าตลาดโตขึ้นนักลงทุนน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกันทุกคน
"ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ ถ้าไม่เข้าตั้งแต่ตอนนี้คุณอาจจะตกรถไฟก็ได้"
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ผ่ารอยหยักสมอง "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" คิดรวยเร็วถึง "ล้ม" เคยล้มถึง "รวย"
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
หลานปู่ "ทวิช กลิ่นประทุม" หลานตา "วิระ รมยะรูป" คิดรวยเร็วถึง "ล้ม" เพราะเคย "ล้ม" ที่ออสเตรเลียถึงกลับมา "รวย" ในตลาดหุ้น เขาเชื่อว่าอีก 20 ปีตัวเองจะรวยมหาศาล
ในสังคมโซเชียล มีเดีย "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เป็นที่รู้จักมักคุ้นของนักลงทุน จากบทความสั้นๆ ที่พูดถึงความจริงอีกด้าน ส่งให้หนังสือ "แกะรอยหยักสมอง" ติดอันดับ Best Sellers
ในสังคมโซเชียล มีเดียและไซเบอร์ สเปซ "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เป็นที่รู้จักมักคุ้นของนักลงทุนอย่างกว้างขวาง บทความสั้นๆ ของเขาพูดถึงความจริงอีกด้านของเหรียญที่ผู้คนมักนึกไม่ถึง วิธีคิดที่ค่อนข้างหักมุมใช้ภาษาเข้าใจง่าย ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า "โดน" ส่งให้หนังสือ "แกะรอยหยักสมอง" ติดอันดับ Best Sellers ทำยอดขายถล่มทลายทั้ง 2 ภาค
ที่สำคัญหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีดีเด่นแค่นามสกุล ประวัติคร่าวๆ ของเขาเป็น "หลานปู่" อดีตนักการเมืองใหญ่ ทวิช กลิ่นประทุม ผู้ก่อตั้งบริษัท เทรลเลอร์ทรานสปอร์ต เจ้าของกิจการชิพปิ้งและท่าเรือรายใหญ่ของไทยในยุคหนึ่ง และเป็น "หลานตา" วีระ รมยะรูป ผู้จัดการสาขาคนแรกของธนาคารกรุงเทพ และเป็นมือขวา เจ้าสัวซิน โสภณพนิช รุ่นที่สอง "แม่-ลุง-ป้า-น้า" ทำงานรับใช้ เจ้าสัวชาตรี โสภณพนิช ขณะที่ตัวภาววิทย์เองทำงานรับใช้ "เสี่ยโทนี่" ชาติศิริ โสภณพนิช ที่สำนักผู้จัดการใหญ่
เท่ากับว่าทายาทตระกูลรมยะรูป ทำงานรับใช้ธนาคารกรุงเทพและตระกูลโสภณพนิชมาแล้ว 3 ชั่วอายุคน
กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดสนทนากับ นักคิดนักเขียนนักลงทุนรายนี้ที่สำนักงานเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์อาคารชาญอิสสระทาวเวอร์ 1 ข้างๆ ตัวเขามีผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ป้อม" ปิยพงษ์ วงศ์ยะรา ร่วมวงอยู่ด้วย
"ชีวิตผมเป็นมาหมดแล้วไม่ว่าเจ้าของกิจการ ลูกจ้างแต่ปัจจุบันผมเป็นนักลงทุน" หนุ่มวัย 30 ปี เอ่ยขึ้นเพื่อแนะนำตัวเอง
ภาววิทย์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบัญชีเอกการตลาดจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลีย แต่มีเหตุที่ทำให้ "เรียนไม่จบ"
"ตอนนั้นผมไฟแรงมากอยากทำธุรกิจร้านอาหารที่ออสเตรเลียเลยไปกู้เงินกับขอเงินที่บ้านมาลงทุน ตอนแรกมีสาขาเดียวต่อมารีบเปิดรวดเดียว 5 สาขา 5 คอนเซปต์ แถมยังเปิดโรงงานทำกระจกกับเพื่อนที่นั่นด้วย สุดท้ายเลยไม่ได้เรียน"
เขาเชื่อว่าเวลาไหนที่ชีวิตมันดูดีสุดๆ หลุดจาก Mean (ทางสายกลาง) ไปมากๆ ผมว่าคุณเตรียมพบกับ "ความโชคร้าย" ที่จะเข้ามาเยือนได้เลย สิ่งที่เขาเจอช่วงปี 2007 (ปี 2550) คนออสเตรเลียใช้จ่ายลดลงอย่างฮวบฮาบกิจการของเขาได้รับผลกระทบอย่างแรง เงินทางบ้านเกือบ 20 ล้านบาทบวกกับเงินกู้บริษัทไฟแนนซ์ที่ดอกเบี้ยสุดโหดรวมแล้วเจ๊งไป 30 กว่าล้านบาท
ความคิดที่จะสร้างเครื่องปั๊มเงินหรือ The Money Making Machine ที่ออสเตรเลีย จึงเป็นแค่ "วิมานเมฆ" ช่วงต้นปี 2551 จึงกลับมาทำงานให้ชาติศิริ โสภณพนิช ในส่วนของ Office of President ที่ธนาคารกรุงเทพสู่โลกของความเป็นจริง
เขาบอกว่านี่อหละชีวิตจริง การทำธุรกิจมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เรียนกันในตำรา จากที่เร่งเปิดร้านเร็วสุดท้ายต้องปิดหมดเหลือสาขาเดียว มันก็คือ "ร้านแรก" ที่เปิดนั้นแหละอยู่ในเมือง Coffs Harbour ในรัฐนิวเซาท์เวลส์โดยให้แฟนดูแล เขาวิเคราะห์สาเหตุแห่งความล้มเหลวน่าจะเกิดจากจังหวะการลงทุนที่ผิดพลาดและเน้นโตเร็วเกินไป
"ผมเซ็งที่เห็นคนมากกมายเอาเงินไปละลายแบบโง่ๆ อย่างผม...ใครสนใจจะเปิดร้านอาหารในออสเตรเลียผมแนะนำให้มาคุยกับผมก่อน"
ภาววิทย์เล่าว่า เหตุการณ์ช่วงปี 2550 เครียดมาก เมื่อล้มเหลวจากธุรกิจในออสเตรเลียจึงตัดสินใจกลับเมืองไทย ขณะนั้นในใจเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่า อีกไม่นานหุ้นต้องแย่ด้วยแน่นอน จึงรีบบอกให้คุณฉม่ ซึ่งปกติจะซื้อหุ้นไว้จำนวนมาก อยู๋ตลอดเวลาให้รีบขายหุ้นออกมาทั้งหมด จากนั้นแม่ก็มองหุ้นที่ขายไปหลายๆ ตัววิ่งขึ้นต่อด้วยอารมณ์ที่ "เซ็งสุดขีด"
"พอขายหุ้นออกไปทั้งหมด ตลาดยังไม่ตกแรงเหมือนที่คาดไว้แต่กลับวิ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เวลานั้นเริ่มคิดเหมือนว่าเราพลาด "ขายหมู" ไปรึเปล่า หลังจากตลาดเริ่งร่าไปจนถึงกลางปี 2551 ในที่สุดสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจริงตอนนั้น เลแมน บราเดอร์ส "เจ๊ง" ก่อให้เกิดตลาดหุ้น Crash (พัง) ทั่วโลก หุ้นที่ขายไปบางตัวราคาตกลงไปเกือบครึ่ง บางตัวตกเกินหว่าครึ่ง ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมบ้านเราล่มสลายในพริบตา"
เขารวบรวมความกล้าบอกกับแม่ว่าเราต้องเข้า (ซ้อน) ซื้อหุ้นช่วงนี้แหละในจังหวะที่ "แย่ที่สุด" อย่างหุ้น BBL ขายไปก่อนที่ราคา 133 บาท แล้วเข้าไปเก็บอีกครั้งที่ราคา 59 บาท จุดนั้นถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตการนักลงทุนครั้งแรกอย่างภาคภูมิ
"ช่วงนั้นผมตัดสินใจซื้อแต่เป็นลักษณะการ "เทรด" เพราะคิดว่าตลาดจะตกอีกนานมากๆ พอกำไรก็รีบขายออก ตลอดปี 2552 ตลอดเริ่มวิ่งไป 60% แต่ผมกำไรแค่ 30%..โง่!! (จริงๆ) แต่เผอิญมันเป็นฐานเงินที่ใหญ่กำไรที่ได้มันจึงทำให้แม่ผมแฮปปี้! ไม่น้อย แล้วรางวัลจากแม่สำหรับการเทรดที่ไม่ค่อยฉลาดนักก็คือ Mercedes Benz รุ่น E200 สีดำป้ายแดง..ผมซวยจากกิจการในออสเตรเลียแต่ก็มาโชคดีจากตลาดหุ้นซับไพร์ม"
เขาย้อนเล่าว่า เหตุการณ์ที่ "หุ้นพัง" ตัวเองเคยเจอมาคล้ายๆ กับในปี ค.ศ.2000 (ปี 2543) หลังวิกฤติเศรษฐกิจครั้งแรก ราคาหุ้น BBL ลงไปอยู่ที่ 20 บาท ทางบ้าน (ตา, แม่, ลุง, ป้า, น้า) ทำงานอยู่ธนาคารกรุงเทพมั่นใจว่าธุรกิจไม่เจ๊งแน่นอนจึงเข้าไปซื้อหุ้นไว้ ต่อมาราคาหุ้นก็กลับขึ้นมาได้ในที่สุด เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงปลูกฝังแนวคิดการเป็นนักลงทุนตั้งแต่นั้นมา
"จริงๆ แล้วผมเริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยโดยมีแบบอย่างมาจากคุณแม่ซึ่งเป็นนักลงทุนที่ชอบคิดสวนทางตลาด"
ถามว่าพอร์ตลงทุนตอนนี้ทั้งของส่วนตัวและของครอบครัวมีอยู่ประมาณเท่าไร เจ้าตัวขอไม่เปิดเผยบอกแต่เพียงว่า "ใหญ่พอสมควร" ส่วนเรื่องผลตอบแทนเขาบอกว่าในพอร์ตจะมีแต่ "หุ้นบลูชิพ" ถ้านับผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2551 ราคาหุ้นก็ขึ้นมาเท่ากับดัชนี (ดัชนีต่ำสุด 380 จุดขึ้นมา 1,078 จุด หรือประมาณ 180%)
"ผลตอบแทนผมคงไม่เท่าคนอื่นหรอก อย่างคุณป้อม (เจ้าของเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ) เขาทำได้ตั้ง 500% ถ้าใครเล่นหุ้น IVL น่าจะทำได้ 5-6 เท่า หรือ CPF ได้ 8 เท่าสบายๆ แต่ผมเลือกที่จะได้ผลตอบแทนตามความเสี่ยง เสี่ยงน้อยหน่อยก็ได้น้อยหน่อย"
สำหรับไอดอล (บุคคลต้นแบบ) ของนักลงทุนหนุ่มรายนี้คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถ้าเป็นคนไทยก็ต้อง ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร เพียงแต่แนวทางอาจแตกต่างไปจากแวลูอินเวสเตอร์ทั่วไป เพราะเขาจะเล่นเฉพาะ "หุ้นบิ๊กแคป" หรือ "หุ้นบลูชิพ" เท่านั้นปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 10 ตัว เช่น PTT, PTTEP, IRPC, BBL, KK และ ADVANC เป็นต้น
"มีคนสงสัยว่าผมไม่ใช่วีไอจริง (ของปลอม) เพราะถือแต่หุ้นตัวใหญ่ที่จริงแล้วหลักการของวีไอคือซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงโดยดูที่มูลค่าพื้นฐานของกิจการไม่เกี่ยวว่าต้องหุ้นเล็กหุ้นใหญ่ขึ้นอยู่กับใครนำแนวคิดมาดัดแปลงใช้มากกว่า"
นอกจากเข้าซื้อช่วงหลังวิกฤติแล้ว หุ้นบางตัวยังเลือกเข้า "เก็บ" ช่วงที่เกิด "ข่าวร้าย" แรงๆ อย่างหุ้น PTT เข้าเก็บในจังหวะที่มีข่าวมาบตาพุดจนมีกระแสข่าวว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนออกไปทั้งหมด
"ผมมองว่าสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรถ้า ปตท.เจ๊งประเทศก็เจ๊งไปด้วยเลยคิดว่าต้องลองสักตั้ง ว่าแล้วก็เลยตัดสินใจซื้อสวนตลาดไปเลย ถึงตอนนี้ (กำไรเยอะแล้ว) ก็ยังไม่ขายออกมา"
อีกตัวหนึ่งก็คือหุ้น ADVANC สาเหตุที่เลือกลงทุนเพราะเป็นผู้ประกอบการมือถืออันดับหนึ่งของประเทศ มีการบริหารจัดการที่ดี ธุรกิจมีความแข็งแกร่ง ที่สำคัญมีการแจก ESOP ให้ผู้บริหารทำให้มีแรงกระตุ้นที่จะสร้างผลงาน แม้ว่าจะไม่มีการประมูล 3จี แต่เชื่อว่าจะเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะจะไม่ต้องมีการลงทุนหนักรับธุรกิจที่ยังไม่รู้อนาคตส่วนตัวถือเพื่อรับปันผล 10% ต่อปีก็คุ้มค่าแล้ว
"แม้ตอนที่ไม่มีการประมูล 3จี มีประเด็นฟ้องร้องต่างๆ หุ้นตกลงมาผมก็เข้าไปรับไว้อีกเพราะเชื่อว่าอย่างไรก็ไม่กระทบต่อธุรกิจแน่"
ภาววิทย์สรุปให้ฟังว่า เขาเลือกลงทุนหุ้นตัวใหญ่เพราะมัน "ไม่มีทางเจ๊ง" และมีโอกาสเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ เรื่องผลตอบแทนมันเป็นไปตามกฎ High Risk High Return ถ้าคุณเสี่ยงมากก็จะได้ผลตอบแทนมาก แต่ผมเลือกที่จะรับความเสี่ยงแบบพอดี
"การถือหุ้นตัวใหญ่ทำให้เราเสี่ยงน้อยลง และถ้ามีจังหวะดีๆ ที่ราคาตกลงมาก็มีโอกาสเพิ่มจำนวนการถือหุ้นได้อีก มุมมองส่วนตัวคิดว่า "จำนวนหุ้นคือของจริง" ส่วนราคาเป็นเพียง "ภาพลวงตา" เป็นเพียงแค่ตัวเลข คุณมีโอกาสเห็นตัวเลขผลประกอบการที่ดีได้ถ้าบริษัทเติบโตขึ้น แต่ระวังราคาที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้คุณหลงทาง "ขายหมู" ออกมาได้ สำคัญคือดูที่ผลประกอบการแล้วจะรู้เองว่าหุ้นเราดีหรือไม่ดีไม่ใช่ดูแต่ราคาหุ้น"
ปัจจุบันภาววิทย์รับหน้าที่ดูแลพอร์ตลงทุนของครอบครุว แม้น้องสาวที่จบดอกเตอร์ด้านการเงินจากอังกฤษยังฝากให้ดูแลเงินให้ สิ่งที่กำลังทำอยู่เขายืนยันว่าไม่ได้ "เล่นหุ้น" เพราะนั่นเหมือนกับ "เล่นการพนัน" เพียงแต่นำเงินไป "ฝากไว้กับหุ้น" ตอนนี้ตัวเขานำเงินเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ไปใช้ชีวิตอยู่กับหุ้น โดยมองหุ้นเป็น "สินทรัพย์" อย่างหนึ่งและจะไม่ลงทุนอย่างอื่นเช่นทองคำ เพราะทองคำจ่ายปันผลไม่ได้
"หุ้นที่ดีก็เหมือนกับเงินฝากธนาคาร ผมจะถอนเงินออกจากหุ้นต่อเมื่อดอกเบี้ยเงินฝากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าซึ่งอาจจะเกิดนขึ้นได้อีกแต่ไม่รู้เมื่อไร"
เขายกตัวอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่นำผลกำไรและเงินปันผลไปลงทุนต่อ และสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นปีละ 25% สูงที่สุดในโลกส่วนตัวขอยึดแนวทางดังกล่าวเช่นกัน โดยตั้งเป้าส่วนตัวขอผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ 10% ทบต้น
"ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก หุ้นของผมจะยังไม่ขายตอนนี้และจะเอาเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนต่อด้วย ขณธที่แนวทางต่างๆ ได้พิสูจน์แล้วว่า เข้าๆ ออกๆ หุ้นบ่อยๆ ไม่ทำให้รวยได้"
สัปดาห์หน้า วิไอหนุ่มจะซื้ออนาคตตลาดหุ้นไทยทำไม! ภาววิทย์ถึงมั่นใจใน Asian Miracle ภายใน 20 ปี ข้างหน้า เขาคาดว่า "ตัวเองจะรวยมหาศาล"--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-------------------------------------------------------------
เพาะบ่มความคิดที่ "สต๊อกทูมอร์โรว์"
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม กล่าวว่า ช่วงแรกของการลงทุนในตลาดหุ้น สนใจแต่แนวทางแวลูอินเวสเตอร์อย่างเดียว แต่พอได้มารู้จักเว็บไซต์สต๊อคทูมอร์โรว์ (ต้องมีค่าสมาชิก) ทำให้ได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนในหลากหลายมิติมากขึ้น ยกตัวอย่าง "พีร์" มือ Pro Trade โบรกเกอร์แห่งหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องการซื้อขายหุ้นในวันเดียวหรือ "เดย์เทรด" เป็น "เทรดเดอร์ลึกลับ" ที่ชอบเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศมาช่วยกันโพสต์บทความที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนลงในเว็บไซต์
"เราไม่ได้คิดจะรวมตัวกันตั้งลัทธิหรือทำอะไรไม่ดี (ปั่นหุ้น) แต่เราต้องการให้ความรู้กับนักลงทุนผ่านกิจกรรมอย่างเช่น การเสวนางานเขียนหนังสือ อีกไม่นานเราจะมีรายการทีวีด้วย"
หลังจากอยู่ในสังเวียนสักพัก ภาววิทย์สามารถชี้ชัดได้ว่าแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้นมีเพียงแค่สองแบบเท่านั้นคือแนวทาง "หุ้นคุณค่า" (วีไอ) มุ่งเน้นที่มูลค่าของกิจการมากกกว่าราคาและต้องซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าความเป็นจริงในเวลาที่คนอื่นกำลังกลัว
อีกแนวทางหนึ่งคือการใช้ "กราฟเทคนิค" เข้าช่วยทำให้เราสามารถรู้ "เวลา" ที่จะเข้าออก สามารถนำมาผสมผสานเข้ากับแนวทางแบบวีไอที่จะวิเคราะห์ได้ว่าราคาหุ้นถูกหรือแพง
"แนวทางหนึ่งคือการเป็นเดย์เทรดแต่นั้นต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวอย่างมาก ผมคิดว่าเมืองไทยน่าจะมีเพียงแค่ 1% ที่ประสบความสำเร็จกับแนวทางนี้"
เขาเสริมว่าการอาศัยเทคนิคช่วยวิเคราะห์หุ้น คนที่ใช้แนวทางนี้ คือนักลงทุนตามกระแส (Trend Follower) ต้องเข้าใจว่าการใช้เทคนิคอย่างพวกกราฟไม่ได้ช่วยให้เราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำที่สุดและขายออกไปตอนแพงที่สุด แต่ทำให้เรารู้ว่าเทรนด์ของหุ้นจะเป็นอย่างไรจะขึ้นหรือลง ถ้าขึ้นก็ตามถ้าลงก็ถอย
"พูดง่ายๆ คือการใช้เทคนิคเราจะซื้อหุ้นตอนแพงแต่ไปขายตอนที่แพงกว่า กินส่วนต่างตรงกลาง แต่ถ้าเป็นวีไอคุณซื้อหุ้นตอนถูกแล้วไปขายตอนแพง"
ปัจจุบันเว็บไซต์แห่งนี้มีสมาชิกประมาณ 2,000 คน ภาววิทย์เชื่อว่า ถ้าเราเป็น "ผู้ให้" เราก็จะได้รับสิ่งนั้นกลับคืนมา เขาอยากจะเห็นนักลงทุนไทยเพิ่มจำนวนเป็นประมาณ 1 ล้านคน ตอนนี้แค่แสนกว่าคนยังเป็นแมลงเม่า ถ้าตลาดโตขึ้นนักลงทุนน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกันทุกคน
"ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ ถ้าไม่เข้าตั้งแต่ตอนนี้คุณอาจจะตกรถไฟก็ได้"
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 40
จากหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น คอลัมน์เจาะกระดานหุ้น : พิมพ์เดียวกัน ของโมนิก้า วันท่ี 20 เมษายน 2554
*ล่าสุดบรรดาขาเม้าท์แถวย่านพัฒนพงษ์ (คนละจุดกับสาวเปลือยอกเล่นสงกรานต์) ลือกันให้แซดว่า การปรากฏตัวเด็กหนุ่มที่อ้างตัวเป็นญาติห่างๆ กับตระกูลนายแบงก์ตราดอกบัว และยังมีญาติผู้ใหญ่เป็นนักการเมืองระดับบิ๊กๆ ของประเทศ แท้ที่จริงก็ต้องการโปรโมทเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งเว็บไซต์ดังกล่าวก็ชอบเอาข่าวชาวบ้านไปหาแ_ก และทุกครั้งก็ชอบอ้างว่าเป็นนักลงทุนแบบ VI แต่ความหมายแท้จริงที่ออกจากปากขาเม้าท์ก็คือ “เข้าไว ออกไว” นะจ๊ะ
*ส่วนนิทานหลอกเด็กปัญญาอ่อนที่พร่ำพรรณนาเป็นวรรคเป็นเวร “ล้มแล้วถึงลุก ลุกแล้วถึงรวย” เอาเข้าจริงก็เป็นการปูเรื่องเพื่อทำให้ทุกคนหันมาสนใจ และอยากจะรวยตามเหมือนตนเอง (แท้ที่จริงคือ การหลอกคนไปตาย) “โมนิก้า” ถึงค่อนข้างสะอิดสะเอียนกับพฤติกรรมเหลือบไรตลาดหุ้นที่พากันออกมาเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ เพราะยุทธวิธีที่ใช้จูงใจคนทั่วไปให้หันมาสนใจธุรกิจของตนเองก็คือ “กระตุ้นความโลภ” ของคนทั่วไปพะยะค่ะ
*ทั้งที่แนวทางปั้นตลาดหุ้นไทยให้แข็งแกร่งยั่งยืนพุ่งเป้าไปที่เรื่อง แหล่งออมเงิน และแหล่งระดมทุน จู่ๆ พวกเวรตะไลที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดันมาสร้างเรื่องโกหกหน้าด้านๆ ทั้งที่คนรอบด้านต่างรู้กันอยู่เต็มอกว่า พรรคพวกของคุณเป็นเทรดเดอร์ คุณจะไม่เป็นเทรดเดอร์ได้อย่างไร??..”โมนิก้า” ถึงอยากเฉาะปากพวกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินที่พยายามปั้นแต่งเรื่องประสบความสำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้!!..
*เนื่องจากบทสรุปของเรื่องดังกล่าวก็คือ ชอบเอาข่าวของคนอื่นไปสร้างเครดิตให้กับตัวเอง...ถุย..ถุย.ถุย.ที่แท้มันก็แค่ “เว็บจับฉ่าย” แถมขาเม้าท์แถวพัฒนพงษ์ยังกระแหนะกระแหนให้คนที่ชอบไถ่เงินโบรกเกอร์เข้ากระเป๋าบ่อยๆ (ตลท.+ก.ล.ต.) เข้าไปตรวจสอบเนื้อหาสาระเหมาะสมต่อเยาวชน คนทำงาน และผู้สูงวัยขนาดไหน เพราะเชื่อว่าบรรดาพ่อมดหมอผีจะออกมาโชว์พาวอย่างคับคั่งเจ้าค่ะ
*ล่าสุดบรรดาขาเม้าท์แถวย่านพัฒนพงษ์ (คนละจุดกับสาวเปลือยอกเล่นสงกรานต์) ลือกันให้แซดว่า การปรากฏตัวเด็กหนุ่มที่อ้างตัวเป็นญาติห่างๆ กับตระกูลนายแบงก์ตราดอกบัว และยังมีญาติผู้ใหญ่เป็นนักการเมืองระดับบิ๊กๆ ของประเทศ แท้ที่จริงก็ต้องการโปรโมทเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งเว็บไซต์ดังกล่าวก็ชอบเอาข่าวชาวบ้านไปหาแ_ก และทุกครั้งก็ชอบอ้างว่าเป็นนักลงทุนแบบ VI แต่ความหมายแท้จริงที่ออกจากปากขาเม้าท์ก็คือ “เข้าไว ออกไว” นะจ๊ะ
*ส่วนนิทานหลอกเด็กปัญญาอ่อนที่พร่ำพรรณนาเป็นวรรคเป็นเวร “ล้มแล้วถึงลุก ลุกแล้วถึงรวย” เอาเข้าจริงก็เป็นการปูเรื่องเพื่อทำให้ทุกคนหันมาสนใจ และอยากจะรวยตามเหมือนตนเอง (แท้ที่จริงคือ การหลอกคนไปตาย) “โมนิก้า” ถึงค่อนข้างสะอิดสะเอียนกับพฤติกรรมเหลือบไรตลาดหุ้นที่พากันออกมาเป็นจำนวนมากในช่วงนี้ เพราะยุทธวิธีที่ใช้จูงใจคนทั่วไปให้หันมาสนใจธุรกิจของตนเองก็คือ “กระตุ้นความโลภ” ของคนทั่วไปพะยะค่ะ
*ทั้งที่แนวทางปั้นตลาดหุ้นไทยให้แข็งแกร่งยั่งยืนพุ่งเป้าไปที่เรื่อง แหล่งออมเงิน และแหล่งระดมทุน จู่ๆ พวกเวรตะไลที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดันมาสร้างเรื่องโกหกหน้าด้านๆ ทั้งที่คนรอบด้านต่างรู้กันอยู่เต็มอกว่า พรรคพวกของคุณเป็นเทรดเดอร์ คุณจะไม่เป็นเทรดเดอร์ได้อย่างไร??..”โมนิก้า” ถึงอยากเฉาะปากพวกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินที่พยายามปั้นแต่งเรื่องประสบความสำเร็จอย่างนั้นอย่างนี้!!..
*เนื่องจากบทสรุปของเรื่องดังกล่าวก็คือ ชอบเอาข่าวของคนอื่นไปสร้างเครดิตให้กับตัวเอง...ถุย..ถุย.ถุย.ที่แท้มันก็แค่ “เว็บจับฉ่าย” แถมขาเม้าท์แถวพัฒนพงษ์ยังกระแหนะกระแหนให้คนที่ชอบไถ่เงินโบรกเกอร์เข้ากระเป๋าบ่อยๆ (ตลท.+ก.ล.ต.) เข้าไปตรวจสอบเนื้อหาสาระเหมาะสมต่อเยาวชน คนทำงาน และผู้สูงวัยขนาดไหน เพราะเชื่อว่าบรรดาพ่อมดหมอผีจะออกมาโชว์พาวอย่างคับคั่งเจ้าค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 41
กำลังอ่านอยู่พอดี อ่านไปครึ่งเล่มแล้ว
คนเขียนด้านพื้นฐานเฉยๆนะ น่าจะชำนาญด้าน fundflow
ลีลาการเขียนดูเชียร์ๆ ไปหน่อย ออกมั่นใจ เวอร์ๆ เช่น หุ้นไทยไป 1700
อ่านแล้วหมั่นไส้เล็กๆ แต่ยอมรับว่าข้อมูลเยอะ อาจจับแพะชนแกะบ้าง
แต่คงอ่านให้จบ เนื้อหาความรู้มุมมองบางส่วนไม่สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ VI ทั่วไป
เพราะคนเขียนมองมุมต่างพอสมควร และไม่ได้เป็น pure fundamental
แต่คงไม่สรุปว่าดีหรือไม่ดีนะครับ แต่ส่วนตัวแล้ว อ่านแล้วโอเคนะ
คนเขียนด้านพื้นฐานเฉยๆนะ น่าจะชำนาญด้าน fundflow
ลีลาการเขียนดูเชียร์ๆ ไปหน่อย ออกมั่นใจ เวอร์ๆ เช่น หุ้นไทยไป 1700
อ่านแล้วหมั่นไส้เล็กๆ แต่ยอมรับว่าข้อมูลเยอะ อาจจับแพะชนแกะบ้าง
แต่คงอ่านให้จบ เนื้อหาความรู้มุมมองบางส่วนไม่สามารถหาอ่านได้จากหนังสือ VI ทั่วไป
เพราะคนเขียนมองมุมต่างพอสมควร และไม่ได้เป็น pure fundamental
แต่คงไม่สรุปว่าดีหรือไม่ดีนะครับ แต่ส่วนตัวแล้ว อ่านแล้วโอเคนะ
- dsupaporn72
- Verified User
- โพสต์: 8
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 42
ซื้อมาค่ะ เสียดายตังค์ รู้สึกเสียรู้ที่ถูกหลอกให้ซื้อหนังสือ ใน S2M เคยเข้าดูก็แบบว่าต้องเสียตังค์ค่าสมาชิกปีละ 1,000 บาท เลยไม่คิดจะเข้าไปอีก หากตั้งในออก webblog เพื่อเป็นวิทยาทาน ทำไมต้องเก็บตังค์ อ่านได้ไม่ถึงครึ่งเล่ม อาจจะคนละแนวค่ะ ออกแนวร๊วย รวย มาแต่ต้นตะกูล แต่เม่าอย่างเราเก็บเล็กผสมน้อยมาลงทุนน่ะค่ะ รายชื่อหุ้นแนะนำก็หุ้นพื้นฐานทั้งนั้น แช่แป้งอยู่แล้วโดยไม่ต้องวิเราะห์พื้นฐานเองด้วยซ้ำ หาเล่มอื่นอ่านดีกว่าค่ะ อย่างหนังสือแปลขอ ปีเตอร์ลีน หรือนักลงทุนดันโด น่าจะดีกว่า ความเห็นส่วนตัวนะคะ
- Croyoty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3617
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 43
[quote="pooklook"]ไม่คิดจะซื้อเลยครับ ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะมีประสบการณ์ในการอ่านมาเยอะ เพราะเท่าที่ดูใน blog
เนื้อเรื่องแต่ละเรื่องถูกมั่งผิดมั่งและส่วนใหญ่จะดูเหมือนฟันธงแบบไม่กำหนดเวลา (เหมือนผมบอกว่า ptt จะขึ้นไปเหนือ 500 ในที่สุด) ผู้เขียนเคยฟันธงหุ้นขึ้นรอบใหญ่จากเรื่อง qe2 ตอนปลายปีที่แล้วและมองว่า setจะไปเหนือ 1700 จุดในที่สุด (เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนะ 555) ผมเคยตั้งคำถามตอนช่วงที่ set ปรับลงไป900 ต้นๆ ว่ามองว่ามันจะเป็นยังไงต่อ ผู้เขียนตอบแบบไม่มั่นใจว่า ท้ายที่สุดหุ้นมันก็ต้องขึ้นแหละและหุ้นมันก็ต้องมีลงมั่ง ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้เขียนไม่ได้มีความรู้ที่ลึกซึ้งรวมทั้งความหนักแน่นทางอารมณ์เลย สำหรับผมนั้นผู้เขียนหมดความน่าเชื่อถือลงไปมากทีเดียว แต่ถ้าใครมีเงินและเวลาเหลือใช้มากเกินไปก็สามารถซื้อหามาอ่านได้ครับ
ผมมีความรู้สึกว่า stock2morrow กำลังอยากได้เงินมากถึงขนาดเอาใครก็ไม่รู้ (ยังไม่ได้มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน) มาแต่งตัวให้ดูดีแล้วนำออกมาขาย ซึ่งต้องยอมรับว่าคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว พอแค่มีคนมารำดาบเท่ห์ๆให้ดูก็ถึงกับยอมรับว่า นี่แหละจอมยุทธ์ เราค้นพบแล้ว สุดยอดจริงๆ ซึ่งการขายก็มีทั้งเปิดคอร์สสัมนา มีแทบทุกเสาร์ อาทิตย์ (กลายเป็นแหล่งเงินได้หลักไปแล้ว) นอกเหนือจากการปั้นดินเป็นดาว โดยการทำหนังสือ
ส่วนเรื่อง bestseller มันมีที่มาที่ไปครับ ถ้าใครเคยทำงานที่ se-ed หรือมีเพื่อนทำงานด้านการตลาดของse-ed ก็จะรู้ครับ (ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์อย่างไงก็ต้องให้ทำให้คนเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นครับแล้วท้ายที่สุดมันก็จะเป็นอย่างนั้น ....งงมั๊ยครับ)[/quote]
เห็นด้วยเลยครับ เคยเปิดๆลองอ่านดู มันดูขัดๆกับการลงทุนคุณค่ากิจการยังไงไม่รู้ เลยไม่ชอบ ไม่น่าสนใจ ไม่เอาเลย ไม่ซื้อ แล้วยังมีพวกหนังสือจากคนเขียนคนเดียวกันนี้ออกมาในแนวพวก เก็งกำไร เล่นเดย์เทรดไปวันๆด้วยนะครับ ถ้าจำไม่ผิด วันนั้นหยิบลองอ่านหลายเล่ม ในร้านหนังสือคับ
เนื้อเรื่องแต่ละเรื่องถูกมั่งผิดมั่งและส่วนใหญ่จะดูเหมือนฟันธงแบบไม่กำหนดเวลา (เหมือนผมบอกว่า ptt จะขึ้นไปเหนือ 500 ในที่สุด) ผู้เขียนเคยฟันธงหุ้นขึ้นรอบใหญ่จากเรื่อง qe2 ตอนปลายปีที่แล้วและมองว่า setจะไปเหนือ 1700 จุดในที่สุด (เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นนะ 555) ผมเคยตั้งคำถามตอนช่วงที่ set ปรับลงไป900 ต้นๆ ว่ามองว่ามันจะเป็นยังไงต่อ ผู้เขียนตอบแบบไม่มั่นใจว่า ท้ายที่สุดหุ้นมันก็ต้องขึ้นแหละและหุ้นมันก็ต้องมีลงมั่ง ทำให้ผมรู้สึกว่าผู้เขียนไม่ได้มีความรู้ที่ลึกซึ้งรวมทั้งความหนักแน่นทางอารมณ์เลย สำหรับผมนั้นผู้เขียนหมดความน่าเชื่อถือลงไปมากทีเดียว แต่ถ้าใครมีเงินและเวลาเหลือใช้มากเกินไปก็สามารถซื้อหามาอ่านได้ครับ
ผมมีความรู้สึกว่า stock2morrow กำลังอยากได้เงินมากถึงขนาดเอาใครก็ไม่รู้ (ยังไม่ได้มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน) มาแต่งตัวให้ดูดีแล้วนำออกมาขาย ซึ่งต้องยอมรับว่าคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว พอแค่มีคนมารำดาบเท่ห์ๆให้ดูก็ถึงกับยอมรับว่า นี่แหละจอมยุทธ์ เราค้นพบแล้ว สุดยอดจริงๆ ซึ่งการขายก็มีทั้งเปิดคอร์สสัมนา มีแทบทุกเสาร์ อาทิตย์ (กลายเป็นแหล่งเงินได้หลักไปแล้ว) นอกเหนือจากการปั้นดินเป็นดาว โดยการทำหนังสือ
ส่วนเรื่อง bestseller มันมีที่มาที่ไปครับ ถ้าใครเคยทำงานที่ se-ed หรือมีเพื่อนทำงานด้านการตลาดของse-ed ก็จะรู้ครับ (ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์อย่างไงก็ต้องให้ทำให้คนเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นครับแล้วท้ายที่สุดมันก็จะเป็นอย่างนั้น ....งงมั๊ยครับ)[/quote]
เห็นด้วยเลยครับ เคยเปิดๆลองอ่านดู มันดูขัดๆกับการลงทุนคุณค่ากิจการยังไงไม่รู้ เลยไม่ชอบ ไม่น่าสนใจ ไม่เอาเลย ไม่ซื้อ แล้วยังมีพวกหนังสือจากคนเขียนคนเดียวกันนี้ออกมาในแนวพวก เก็งกำไร เล่นเดย์เทรดไปวันๆด้วยนะครับ ถ้าจำไม่ผิด วันนั้นหยิบลองอ่านหลายเล่ม ในร้านหนังสือคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 45
[quote="นพพร"]ว่าจะไปลองหยิบอ่านดูฟรีๆที่ร้านซีเอ็ดสักหน่อย[/quote]
ผมว่าอุดหนุนหน่อยก็ดีนะครับ ไม่แพง ช่วยชาติ ช่วย se-ed ปันผลทีก็ได้หนังสือแล้วครับ
ผมว่าอุดหนุนหน่อยก็ดีนะครับ ไม่แพง ช่วยชาติ ช่วย se-ed ปันผลทีก็ได้หนังสือแล้วครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1601
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 47
เหมือนกันครับพี่นพพร ไม่ค่อยชอบสไตล์นี้เหมือนกัน รอหนังสือเล่มใหม่พี่เวบดีกว่าครับ value investing made easyกับจิตวิทยาการลงทุน version ใหม่ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 49
ผมว่าความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับหนังสือว่าดีหรือไม่ดีอันนี้ถือว่าไม่ผิด แต่การลามปามวิจารณ์ถึงพฤติกรรมหรืออุปนิสัยหรือชีวิตส่วนตัวของตัวบุคคล หรือคนที่เกียวข้องกับบุคคลนั้นหรือเว็ปไซต์อื่นผมว่าเป็นการไม่เหมาะมนะ
ปล.ผมไม่ได้เกียวข้องกับ คนเขียนนะ ไม่เคยรู้จักกันด้วย แต่อ่านแล้วรู้สึกว่าเนื้อหาในการวิพากษ์วิจารณ์มันเลยเถิดไปถึงตัวบุคลลหรือเรื่องส่วนตัวเขาหรือเว็ปไซต์อื่น และอาจจะทำให้ thaivi โดนเพ่งเล็งก็ได้
ปล.ผมไม่ได้เกียวข้องกับ คนเขียนนะ ไม่เคยรู้จักกันด้วย แต่อ่านแล้วรู้สึกว่าเนื้อหาในการวิพากษ์วิจารณ์มันเลยเถิดไปถึงตัวบุคลลหรือเรื่องส่วนตัวเขาหรือเว็ปไซต์อื่น และอาจจะทำให้ thaivi โดนเพ่งเล็งก็ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 50
เพิ่งมาเห็นกระทู้นี้ ผมลองอ่านหนังสือพี่เค้า แล้วตามไปดูเว็บเค้า ก็รู้สึกผิดวิสัย ไม่ธรรมดา ไปเหมือนกัน
เพิ่งรู้ว่ามีคนคิดเหมือนกันด้วย
ผมซื้อหนังสือมาสองเล่มเลยล่ะ เพราะรู้สึกว่ากระดาษ ตัวอักษร ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับราคา แต่ดูในเว็บเค้าแล้ว เค้าคงคิดเอากำไรจากคอร์สอบรม + ค่าสมาชิก รู้สึกว่าค่าอบรมคงไม่คุ้มกับความรู้ที่จะได้ยังไงไม่รู้ ออกแนวการตลาด
แต่อย่างไรก็ดี ผมก็เก็บสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์มาจากหนังสือเค้า และอะไรที่รู้สึกว่าไม่เหมาะกับเรา ก็ไม่ได้เอามาใช้ ไม่ได้ตามเค้าไปซะหมดครับ
เพิ่งรู้ว่ามีคนคิดเหมือนกันด้วย
ผมซื้อหนังสือมาสองเล่มเลยล่ะ เพราะรู้สึกว่ากระดาษ ตัวอักษร ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับราคา แต่ดูในเว็บเค้าแล้ว เค้าคงคิดเอากำไรจากคอร์สอบรม + ค่าสมาชิก รู้สึกว่าค่าอบรมคงไม่คุ้มกับความรู้ที่จะได้ยังไงไม่รู้ ออกแนวการตลาด
แต่อย่างไรก็ดี ผมก็เก็บสิ่งที่คิดว่ามีประโยชน์มาจากหนังสือเค้า และอะไรที่รู้สึกว่าไม่เหมาะกับเรา ก็ไม่ได้เอามาใช้ ไม่ได้ตามเค้าไปซะหมดครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2232
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 52
[quote="halogen"][quote="harikung"]ลองเข้าไปโพสแย้งหรือขัดกับความเหนแกในfacebookดูสิครับ แล้วจะเหนตัวตนที่แท้จริงของคนๆนี้[/quote]
; )
ไปพิมพ์แย้ง เดี๋ยวแกลบออกหรือเปล่า 555[/quote]
ตามนั้นเลยครับ ไม่เชื่อลองไปลองของดูได้ครับ
; )
ไปพิมพ์แย้ง เดี๋ยวแกลบออกหรือเปล่า 555[/quote]
ตามนั้นเลยครับ ไม่เชื่อลองไปลองของดูได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 53
ผมว่าความคิดเค้าก็โอเคนะครับ ได้มุมมองอีกมุมดี แต่ว่าถ้าจะเอาแบบ VI แท้ๆ หาความรู้ในเว็บนี้ดีกว่านะครับ เซียนกว่าคนเขียนอีก ^^
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือเเกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหม่ืนล้าน ภาค2
โพสต์ที่ 54
ครั้งแรกที่หนังสือตีพิมพ์และวางขาย ผมไปหยิบมาอ่าน พบว่าบนปก พิมพ์คำว่า best seller ทั้งที่
เพิ่งตีพิมพ์เป็นครั้งแรก (อ่านเอาจากปกใน) ผมเข้าใจว่าการที่เราตั้งใจพิมพ์คำว่า best seller
เอาเองบนหนังสือเรา มันไม่ได้ผิดอะไรใช่มั้ยครับ เพราะสุดท้าย คนก็หยิบและซื้อกันไปจนติดอันดับ
จากการที่เค้าเคยทำร้านอาหารมา คงเข้าใจหลักการตลาดมาอย่างดี เลยลองเอามาใช้และก็จริงที่คนที่สนใจ
อ่านหนังสือ มักจะหยิบหนังสือที่ติด best seller ก่อนเสมอ สุดท้ายก็เลยวางหนังสือกลับที่เดิม เพราะรู้สึกเหมือน
โดนหลอกตั้งแต่ปกหน้าแล้ว
เพิ่งตีพิมพ์เป็นครั้งแรก (อ่านเอาจากปกใน) ผมเข้าใจว่าการที่เราตั้งใจพิมพ์คำว่า best seller
เอาเองบนหนังสือเรา มันไม่ได้ผิดอะไรใช่มั้ยครับ เพราะสุดท้าย คนก็หยิบและซื้อกันไปจนติดอันดับ
จากการที่เค้าเคยทำร้านอาหารมา คงเข้าใจหลักการตลาดมาอย่างดี เลยลองเอามาใช้และก็จริงที่คนที่สนใจ
อ่านหนังสือ มักจะหยิบหนังสือที่ติด best seller ก่อนเสมอ สุดท้ายก็เลยวางหนังสือกลับที่เดิม เพราะรู้สึกเหมือน
โดนหลอกตั้งแต่ปกหน้าแล้ว