แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 1
เคยเห็นเล่มนี้ฉบับภาษาอังกฤษมาได้พักนึงแล้ว แต่จนปัญญาจะอ่าน เมื่อวันเสาร์ไปเดินที่ร้านนายอินทร์ เห็นมีฉบับภาษาไทยออกมาขายแล้ว ดีใจจัดเลยรีบซื้อมาอ่าน อ่านจบแล้ว จึงอยากจะมาเล่าแบบเซิบ ๆ ให้เพื่อนที่ยังไม่อ่านฟัง
ในเล่มนี้ มัลคอล์ม แกลดเวลล์ ผู้เขียนหนังสือสองเล่มที่ดังเป็นพลุแตกมาแล้ว คือ The Tipping Point และ Blink บนเข็มไปจับประเด็นเรื่อง ความสำเร็จ โดยพยายามสำรวจและวิเคราะห์ว่า ปัจจัยอะไรกันแน่ที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จในระดับสูงสุด ทำไมคนเราถึงประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน แม้ว่าจะมีระดับสติปัญญาและความพยายามเท่า ๆ กันก็ตาม
สิ่งที่ผมได้รับอย่างเต็มเปี่ยมจากหนังสือเล่มนี้ คือ ความสนุก และความเซอร์ไพรส์
ในตอนที่ 1 เขาเข้าไปสำรวจในแง่ของ โอกาส ที่คนเราได้รับไม่เท่ากัน โดยเปรียบเทียบข้อมูลของนักกีฬาฮอกกี้ของแคนาดาและนักฟุตบอลเยาวชนทีมชาติเช็ค
คุณจะได้รู้ว่าทำไมนักฟุตบอลเยาวชนทีมชาติเช็กมากกว่าร้อยละ 70 ถึงเกิดในเดือนมกราคม-มีนาคนเท่านั้น
ทำไมบรรดานักกฎหมายระดับแนวหน้าในนิวยอร์กส่วนใหญ่ถึงมาจากครอบครัวที่ทำงานตัดเย็บเสื้อผ้า
คุณจะได้รู้ว่าบิล เกตส์ วงเดอะบีเทิลส์ สตีฟ จ็อบส์ เหมือนกันตรงไหน
ทำไมเด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงกว่าไอคิวถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว
แกลดเวลล์จะมีข้อมูลที่สร้างความประหลาดใจให้คนอ่านได้ตลอดเวลา
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 2
ในตอนที่ 2 จะเกี่ยวกับ มรดก ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเรา ผมคิดว่าแกลดเวลล์เขียนเนื้อหาในส่วนนี้ได้น่าอัศจรรย์และสนุกมาก ๆ ไม่แปลกเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นหนึ่งในนักเขียนมือทองที่มีคนเฝ้าติดตามผลงานมากที่สุด ผมว่ามีนักเขียน non-fiction ไม่กี่คนหรอกครับที่เขียนหนังสือแนวให้ความรู้ได้อย่างน่าติดตามขนาดนี้
คุณจะได้ฟังเทปบันทึกเสียงของสายการบินโคเรียน แอร์ ที่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนั้นมีเครื่องบินตกปีละ 2-3 ครั้ง แต่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลก สงสัยใช่ไหมครับว่าคนเกาหลีปฏิวัติตัวเองอย่างไร และอะไรทำให้เครื่องบินตกบ่อยขนาดนั้น รับประกันว่าไม่ใช่สาเหตุที่คุณกำลังคิดอยู่แน่ ๆ
นอกจากนี้แกลดเวลล์ยังพาไปประเทศจีน เพื่อค้นหาคำตอบว่าทำไมคนจีนถึงเรียนเลขเก่งกว่าคนอเมริกันมากนัก ผมว่านี่คือบทที่แกลดเวลล์เขียนได้สนุกที่สุด หนึ่งในสาเหตุก็คือ เพราะคนจีนทำนา ส่วนคนอเมริกันทำไร่ ถ้าอยากรู้ว่าทำไม ลองอ่านดูครับ
แล้วในบทนี้ ยังมีเรื่องของการจำตัวเลขด้วย ลองดูตัวเลขชุดนี้นะครับ 4, 8, 5, 3, 9, 7, 6
ให้อ่านออกเสียงดัง ๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ใช้เวลา 20 วินาทีเพื่อจดจำตัวเลขทั้งชุดนี้ แล้วพูดตัวเลขทั้งหมดออกมาอีกครั้ง ทายสิครับว่ามีโอกาสเท่าไหร่ที่คนอเมริกันจะพูดตัวเลขทั้งหมดออกมาได้ถูกต้อง
...ไม่มากอย่างที่คุณคิดแน่ ๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ฝรั่งเรียนเลขสู้คนจีน (รวมถึงคนไทย) ไม่ได้
แล้วก็มีบทที่เกี่ยวกับการเรียนที่โรงเรียน คุณคิดว่าเด็กที่มีฐานะยากจนกับเด็กที่มีฐานะยากจน ใครมีผลการเรียนที่โรงเรียนดีกว่ากัน นี่เป็นอีกบทที่แกลดเวลล์จะเซอร์ไพรส์คุณ
ในบทนี้ ถ้าผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายด้านการศึกษาของประเทศได้อ่าน ผมคิดว่าลูกหลานของเราคงได้ประโยชน์อย่างอเนกอนันต์เลยทีเดียว
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากอ่านหนังสือที่ทั้งให้ความรู้และอ่านสนุก อย่าพลาดเล่มนี้
เงิน 220 บาท 318 หน้า คุ้มค่าจริง ๆ ครับ
คุณจะได้ฟังเทปบันทึกเสียงของสายการบินโคเรียน แอร์ ที่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนั้นมีเครื่องบินตกปีละ 2-3 ครั้ง แต่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลก สงสัยใช่ไหมครับว่าคนเกาหลีปฏิวัติตัวเองอย่างไร และอะไรทำให้เครื่องบินตกบ่อยขนาดนั้น รับประกันว่าไม่ใช่สาเหตุที่คุณกำลังคิดอยู่แน่ ๆ
นอกจากนี้แกลดเวลล์ยังพาไปประเทศจีน เพื่อค้นหาคำตอบว่าทำไมคนจีนถึงเรียนเลขเก่งกว่าคนอเมริกันมากนัก ผมว่านี่คือบทที่แกลดเวลล์เขียนได้สนุกที่สุด หนึ่งในสาเหตุก็คือ เพราะคนจีนทำนา ส่วนคนอเมริกันทำไร่ ถ้าอยากรู้ว่าทำไม ลองอ่านดูครับ
แล้วในบทนี้ ยังมีเรื่องของการจำตัวเลขด้วย ลองดูตัวเลขชุดนี้นะครับ 4, 8, 5, 3, 9, 7, 6
ให้อ่านออกเสียงดัง ๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ใช้เวลา 20 วินาทีเพื่อจดจำตัวเลขทั้งชุดนี้ แล้วพูดตัวเลขทั้งหมดออกมาอีกครั้ง ทายสิครับว่ามีโอกาสเท่าไหร่ที่คนอเมริกันจะพูดตัวเลขทั้งหมดออกมาได้ถูกต้อง
...ไม่มากอย่างที่คุณคิดแน่ ๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้ฝรั่งเรียนเลขสู้คนจีน (รวมถึงคนไทย) ไม่ได้
แล้วก็มีบทที่เกี่ยวกับการเรียนที่โรงเรียน คุณคิดว่าเด็กที่มีฐานะยากจนกับเด็กที่มีฐานะยากจน ใครมีผลการเรียนที่โรงเรียนดีกว่ากัน นี่เป็นอีกบทที่แกลดเวลล์จะเซอร์ไพรส์คุณ
ในบทนี้ ถ้าผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายด้านการศึกษาของประเทศได้อ่าน ผมคิดว่าลูกหลานของเราคงได้ประโยชน์อย่างอเนกอนันต์เลยทีเดียว
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากอ่านหนังสือที่ทั้งให้ความรู้และอ่านสนุก อย่าพลาดเล่มนี้
เงิน 220 บาท 318 หน้า คุ้มค่าจริง ๆ ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1139
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 3
ตอนหนังสือเล่มนี้ออกใหม่ๆในปีที่แล้ว ผมไม่ซื้อ
เพราะผมมีหนังสือค้างอ่านอยู่ที่บ้านเยอะมาก
ผมอาศัยไปยืนอ่านในร้าน ก็คิดว่าได้แนวคิดแล้ว
ไม่ต้องอ่านทั้งเล่มก็ได้ พอมาปีนี้ มีฉบับเล่มเล็กออกมา
ราคาไม่ถึง 300 บาท ผมก็เลยซื้อมา ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องอ่านทันที แต่พอได้อ่าน กลับอ่านต่อเนื่องจนจบ ต้องยอมรับว่า
เป็นหนังสือที่อ่านสนุกที่สุดในปีนี้ของผมเลยทีเดียว
เพราะผมมีหนังสือค้างอ่านอยู่ที่บ้านเยอะมาก
ผมอาศัยไปยืนอ่านในร้าน ก็คิดว่าได้แนวคิดแล้ว
ไม่ต้องอ่านทั้งเล่มก็ได้ พอมาปีนี้ มีฉบับเล่มเล็กออกมา
ราคาไม่ถึง 300 บาท ผมก็เลยซื้อมา ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องอ่านทันที แต่พอได้อ่าน กลับอ่านต่อเนื่องจนจบ ต้องยอมรับว่า
เป็นหนังสือที่อ่านสนุกที่สุดในปีนี้ของผมเลยทีเดียว
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 4
อ่านแบบย่อยจากพี่ aura แล้วอยากอ่านตัวเต็มจริงๆ ขอบคุณครับที่มาแนะนำหนังสือดีๆ
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 6
ปล.เข้ามาแก้คำพิมพ์ผิดครับ (สงสัยจะพิมพ์ตอนดึกไป เลยพิมพ์ผิดพิมพ์ถูก)
ใน #1 "ทำไมเด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงกว่าไอคิวถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว"
แก้เป็น
"ทำไมเด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว"
ใน #2 "คุณคิดว่าเด็กที่มีฐานะยากจนกับเด็กที่มีฐานะยากจน ใครมีผลการเรียนที่โรงเรียนดีกว่า"
แก้เป็น
"คุณคิดว่าเด็กที่มีฐานะยากจนกับเด็กที่มีฐานะร่ำรวย ใครมีผลการเรียนที่โรงเรียนดีกว่า"
ปล. เห็นด้วยกับคุณ WEB ว่านี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่สนุกที่สุดในปีนี้เลย สนุกกว่าเล่มนักสืบเศรษฐศาสตร์ของทิม ฮาร์ฟอร์ด เสียอีก (ผมว่าเล่มนั้นเยี่ยมแล้วนะเนี่ย)
ใน #1 "ทำไมเด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงกว่าไอคิวถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว"
แก้เป็น
"ทำไมเด็กอัจฉริยะที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว"
ใน #2 "คุณคิดว่าเด็กที่มีฐานะยากจนกับเด็กที่มีฐานะยากจน ใครมีผลการเรียนที่โรงเรียนดีกว่า"
แก้เป็น
"คุณคิดว่าเด็กที่มีฐานะยากจนกับเด็กที่มีฐานะร่ำรวย ใครมีผลการเรียนที่โรงเรียนดีกว่า"
ปล. เห็นด้วยกับคุณ WEB ว่านี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่สนุกที่สุดในปีนี้เลย สนุกกว่าเล่มนักสืบเศรษฐศาสตร์ของทิม ฮาร์ฟอร์ด เสียอีก (ผมว่าเล่มนั้นเยี่ยมแล้วนะเนี่ย)
- gradius173
- Verified User
- โพสต์: 198
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 8
เสียตังค์อีกแล้ว
ขอบคุณที่แนะนำ
จะพยายามอ่านให้จบมีหนังสืออ่านเหลือเป็นโหลเลยที่ต้องตามเก็บ
ขอบคุณที่แนะนำ
จะพยายามอ่านให้จบมีหนังสืออ่านเหลือเป็นโหลเลยที่ต้องตามเก็บ
-
- Verified User
- โพสต์: 21
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณครับสำหรับ audio book คัยช่วย mirror host .นไทยได้มั้ยครับ ผมโหลด rapidshare ไม่ได้
- nasesus
- Verified User
- โพสต์: 1276
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 17
ซื้อมาแล้วแต่ยังไม่ได้อ่านเลยครับ ตอนนี้อ่านกุญแจ 5 ดอกอยู่ครับ พึ่งอ่านฉลาดรู้ทางการเงินจบไป เล่มต่อไปคงถึงคิวเล่มนี้แหละครับ เอ๊ะแต่เห็นหนังสือ การเงินแบบบัพเฟตออกมาใหม่ เลือกไม่ถูกอ่านเล่มไหนก่อนดี วันนึงอ่านได้แค่ประมาณ 50 หน้า ที่เหลือหนังสืออ่านผมทั้งคืนเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 30
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 24
เอามาฝาก จาก Bangkokbiznews ครับ
Malcolm Gladwell สัมฤทธิ์พิศวงของนักเขียนช่างคิด
โดย : นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ [email protected]
เจ้าของผลงานขายดีของ The New Yorker ยาวนานถึง 28 สัปดาห์ และครองตำแหน่งหนังสือขายดีของ Business Week มากกว่าสองปี
จากความช่างคิด ช่างสงสัย ช่างสังเกต ช่างตั้งคำถาม จนพาไปสู่การค้นหาคำตอบตามตรรกะของความเป็นเหตุเป็นผล จากความน่าจะเป็นก็กลายเป็นคำตอบที่มีการพิสูจน์ออกมาจนกลายเป็นความน่า เชื่อ โดยอาศัยหลักการทำงานแบบงานวิชาการ ที่สามารถนำมาปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบได้จริง ด้วยตรรกะเหล่านี้และอีกหลายตรรกะที่ทำให้ มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell) พิสูจน์ออกมาได้ว่า เพียงเสี้ยววินาทีของบางสิ่งบางอย่าง ก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโลก
ความสำเร็จใน The Tipping Point (2000) งานเขียนประเภท non-fiction แนวพัฒนาตนเองเล่มแรกของมัลคอล์ม มีประเด็นหลักบอกเอาไว้ว่ามนุษย์มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ และไม่ใช่แต่ทฤษฎีทางการตลาดเท่านั้น แต่ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดการไม่หยุดนิ่งในสังคม เมื่องานเขียนเล่มแรกออกมา ชีวิตอันสุดแสนธรรมดาของนักเขียนมาดเซอร์แห่ง The New Yorker ก็ก้าวกระโดดดังเป็นพลุ ต้องทำงานทั้งการเป็นนักเขียนและนักพูดที่ได้รับเชิญให้ไปพูดตามที่ต่างๆ มากมาย หนังสือเล่มนี้ยืนหยัดในตำแหน่งหนังสือขายดีของ The New Yorker ยาวนานถึง 28 สัปดาห์ และครองตำแหน่งหนังสือขายดีของ Business Week มากกว่าสองปี
แม้ยอดจำหน่ายจะมากมายขึ้นหลักหลายล้านเล่ม แต่มัลคอล์มกับออกปากว่า ต่อให้ขายดีอย่างไร หนังสือเล่มนี้ชาวอเมริกันก็อ่านกันน้อยกว่า 1% ของประชากรทั้งหมด แต่นักเขียนผู้นี้ไม่ได้ยี่หระกับจำนวนผู้อ่านที่คิดเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ ออกมา สำหรับเขาแล้วใครได้อ่านไม่สำคัญเท่ากับใครเอาสิ่งที่เขาคิดไปใช้งานอย่างไร เช่น โรนัลด์ รัมสเฟลด์ ใช้ทฤษฎีหลายอย่างใน The Tipping Point เพื่ออธิบายถึงการทำสงครามในอิรัก เป็นต้น
จากนั้นปี 2005 The Blink งานเขียนประเภทเดียวกับเล่มแรกก็พิมพ์ออกจำหน่าย ประเด็นของ The Blink คือการวิเคราะห์จิตใต้สำนึกของมนุษย์ว่าทำไมประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตจึง ส่งผลต่อการตัดสินใจที่รวดเร็วฉับพลันกับเหตุการณ์ที่เกิดกับบุคคลนั้นใน ปัจจุบัน และในปีเดียวกับที่หนังสือวางตลาด มัลคอล์มได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Time ให้เป็นหนึ่งในร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และ Outliers : The Story of Success (2008-ผู้อ่านชาวไทยสามารถอ่านภาคภาษาไทยในชื่อ "สัมฤทธิ์พิศวง-ตีแผ่ 'ความสำเร็จ' ในมุมที่คุณคาดไม่ถึง" แปลโดย พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ, วิโรจน์ ภัทรทีปกร และวิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา พิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น)
Outliers : The Story of Success ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายจากนักอ่านทั่วโลก มีการแปลออกมาถึง 40 ภาษา เนื้อหาในงานเขียนเล่มนี้ครองใจนักอ่านทั่วโลก เป็นเพราะการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ อย่างชาญฉลาดของมัลคอล์ม โดยเขาพยายามค้นหาคำตอบในสิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จสูงสุด
อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน, ทำไมเด็กอัจฉริยะจำนวนมากที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ถึงเติบโตขึ้นมาเป็น ผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว, บิล เกตส์ เหมือนกับวงดนตรีเดอะ บีเทิลส์ ตรงไหน, ทำไมนักฟุตบอลเยาวชนทีมชาติเช็กมากกว่าร้อยละ 70 ถึงเกิดในเดือนมกราคมถึงมีนาคมเท่านั้น, เพราะอะไรบรรดานักกฎหมายชั้นนำในนิวยอร์กส่วนใหญ่ถึงมาจากครอบครัวที่ทำงาน ตัดเย็บเสื้อผ้า, การมาจากครอบครัวที่ทำนาปลูกข้าวทำให้นักเขียนจีนเรียนเลขเก่งกว่านักเรียน ตะวันตกได้อย่างไร, ทำไมอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ (รวบรวมข้อมูลตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณเมื่อหลายพันปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน) ร้อยละ 20 ถึงเป็นชาวอเมริกันที่เกิดห่างกันไม่เกิน 9 ปี ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้น
ซึ่งเป็นการตั้งคำถามที่ดูพิศวง แต่มัลคอล์มทำให้ทุกคำถามคลี่คลายได้อย่างสัมฤทธิผล ประเด็นที่เขาจุดประกายไว้ในหนังสือคือ สิ่งสำคัญอย่างที่สุดในการที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จสูงสุดได้คือการฝึกซ้อม
การตั้งข้อสังเกตมากมายกลายเป็นเสน่ห์ในงานเขียนแนวพัฒนาตัวเองทั้งสาม เล่มของมัลคอล์ม คือ การที่เขาเขียนถึงเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผู้คนคาดไม่ถึง แล้วใช้การทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์สังคมประกอบในการทำงาน และบ่อยครั้งที่เขาใช้หลักทฤษฎีของงานวิชาการด้านสังคมวิทยา, จิตวิทยา และจิตวิทยาสังคมมาช่วยในการวิเคราะห์ ทั้งที่มัลคอล์มไม่ชอบการเป็นนักวิชาการ
"พ่อของผมชื่อแกรแฮม แกลดเวลล์ เป็นนักวิชาการที่เกิดในเมืองเคนท์ พ่อสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ที่ University of Waterloo ในแคนาดา ผมรู้สึกสบายๆ กับโลกนี้นะ แต่ผมก็ตระหนักดีว่าโลกนี้มันยุ่งยากซับซ้อนเพียงไหน เมื่อก่อนผมอยากเป็นนักวิชาการมาก ผมฝันแบบนี้อยู่ตั้งหลายปี จนค้นพบตัวเองว่าคงไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นนักวิชาการ และผมไม่อยากพบกับโศกนาฏกรรมทางวิชาการ นั่นก็คือการติดกับดักกำแพงวิชาการ ที่ต้องอยู่กับทฤษฎีมากมาย ผมจึงเลิกคิดที่จะเป็นนักวิชาการ ผมโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นนักวิชาการเต็มขั้น ทำให้เห็นว่าเป็นงานที่หนักและน่าเบื่อ ส่วนแม่ของผมเป็นชาวจาไมกา เป็นนักจิตวิทยาบำบัดและเขียนหนังสือชื่อ Brown Face, Big Master หนังสือพิมพ์เมื่อปี 1972 และพิมพ์ซ้ำไปเมื่อปี 2002 ผมชอบงานเขียนเล่มนี้ของแม่มาก และเป็นหนังสือที่ผมชอบมากที่สุด แม่คือต้นแบบที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเขียน
ผมเกิดที่อังกฤษและมาโตที่แคนาดา เติบโตมาในฟาร์มปศุสัตว์ ไร่ข้าวโพด ผมไปโรงเรียน พอตกเย็นหลังเลิกเรียนผมต้องช่วยงานในฟาร์มของที่บ้าน ผมเชื่อเสมอว่าความสำเร็จของคนอยู่ที่การขวนขวายและใฝ่เรียนรู้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เกิดมามีฐานะร่ำรวย การหมั่นหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเป็นคนที่มานะบากบั่นมาตั้งแต่เด็ก ชอบการแข่งขัน เคยเป็นนักวิ่งของโรงเรียนและวิ่งได้อันดับสอง ผมมีเพื่อนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะและพวกเขาก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ดังๆ ส่วนผมเรียนด้านประวัติศาสตร์ที่ University of Toronto's Trinity College พอเรียนจบทำงาน ผมจึงได้โอกาสในการเรียนรู้เรื่องธุรกิจจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจ The Washington Post ที่ผมทำงานให้"
มัลคอล์มเริ่มต้นการทำงานที่ The American Spectator นิตยสารรายเดือนของกลุ่มอนุรักษนิยม และทำหน้าที่นักเขียนแนววิทยาศาสตร์ให้กับนิตยสารเล่มนี้ตั้งแต่ปี 1987-1996 จากนั้นมาทำงานให้กับ The Washington Post และปัจจุบันเขียนบทความให้กับ The New Yorker โดยงานเขียนเล่มแรกของเขาเป็นผลพวงมาจากบทความชื่อ The Tipping Point ที่ไปเตะตาเอเยนซีรายหนึ่งเข้า จึงเสนอให้เขาเขียนเพื่อจัดพิมพ์เป็นเล่ม จนมียอดจำหน่ายสูงกว่าที่คาดเอาไว้
"ผมตกหลุมรักการเล่าเรื่องแบบในงานเขียนทั้งสามเล่ม เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำให้คนอ่านรักในสิ่งที่ผมเล่า ผู้อ่านก็จะติดตามและอยากรู้ไปพร้อมๆ กับผมเช่นกัน งานเขียนแบบนี้มีเสน่ห์กว่านวนิยายตรงที่มันมีข้อมูลทางสถิติมารองรับให้ เกิดความน่าเชื่อถือ ประเด็นที่ผมต้องการนำเสนอใน Outliers อีกอย่างคือเรื่องชาวยิวที่อพยพเข้ามาอยู่ยังที่ต่างๆ และพวกเขาก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ดีเด่อะไร ผมจึงอยากไขความลับและทำให้คนอ่านเข้าใจชาวยิว ถ้าพวกเราเข้าใจความลับที่ผมพาคุณไปค้นพบด้วยกัน พวกเราก็จะสามารถเข้าใจและช่วยคนเชื้อสายอื่นๆ ได้อีก
ตอนเป็นเด็กผมคิดเสมอว่าผมเหมือนอยู่ในเปลือกหอย ไม่มีใครนอกจากพ่อแม่และเพื่อนไม่กี่คน ตอนนั้นเทอร์รี่ซึ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม บอกกับผมว่าโลกเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบที่เราสามารถตักตวงผลประโยชน์เอาจาก โลกได้ในรูปแบบที่มันจะบังเกิดผลให้กับเรา จากนั้นผมก็รู้ว่าผลงานอันน่าทึ่งเกิดขึ้นจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นบารัก โอบามา ดอริส เลสซิ่ง กอร์ วิดัล แลร์รี่ เครเมอร์ เรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ทำให้ผู้รับสารจัดกลุ่มให้พวกเขาเป็นคนนอก และตัวผมเองก็จัดอยู่ในประเภทคนนอกเมื่อหลายปีมาแล้ว
ผมเป็นชาวอังกฤษซึ่งมาโตที่แคนาดา ไม่ใช่ทั้งคนขาวและคนดำ ผมเป็นคนสองเชื้อชาติที่ตกทอดมาจากพ่อและแม่ และผมก็เดินทางไปๆ มาๆ กับสิ่งที่ผมได้รับมาจากพ่อและแม่ ถ้าคุณคือส่วนผสมของขาวและดำ คุณไม่สามารถทำลายมันลงได้ บางทีคุณอาจสร้างกลุ่มของตัวเองขึ้นมาใหม่ เป็นกลุ่มที่สามซึ่งเรียกร้องต่อการมีตัวตนและการมีอยู่ของตัวเอง แม้หลายคนจะมองว่าคนผิวดำมีสถานภาพทางสังคมในระดับล่าง แต่ผมกลับมีทัศนคติเรื่องเชื้อชาติ สีผิวที่ต่างจากหลายคนเหล่านั้น" มัลคอล์ม กล่าว
งานเขียนแต่ละเล่มของมัลคอล์มมีวาระและนัยซ่อนเร้นเอาไว้ อย่างเล่มล่าสุด Outliers ที่พูดถึงพรสวรรค์อันพิศวงของบุคคล เพื่อชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่เขานำมาเขียนไม่ใช่บุคคลที่ถูกมองข้ามหรือไร้ตัว ตน แต่สิ่งใดที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้กลายเป็นบุคคลที่สำคัญ และเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าอะไรกันที่ทำให้บุคคลเหล่านี้ไม่ไร้ตัวตนและ เป็นบุคคลที่สำคัญในความรู้สึกและความคิดของเขา? มัลคอล์มนิ่งไปพักหนึ่งและตอบว่า...
"ก็เพราะการที่ผมมีแม่เป็นชาวจาไมกา ที่แม้จะอยู่ที่ไหนแม่ก็ยังเป็นชาวจาไมกา คุณเกิดที่ไหนคุณก็จะมีความรู้สึกเป็นคนของที่นั่น ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ครอบงำและมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ ดังนั้นงานเขียนเล่มล่าสุดของผมจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวผม เข้าข่ายเรื่องส่วนตัว ประเด็นของงานเขียนก็เอามาจากชีวิตของผมเอง ผมวิเคราะห์ชีวิตของแม่เพื่อลงในรายละเอียด ว่าอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของแม่"
สำหรับโลกธุรกิจ มัลคอล์ม แกลดเวลล์ เป็น อีกคนที่น่าจับตามองของศตวรรษที่ 21 ด้วยบทบาทของสื่อและการไปปรากฏตัวเพื่อพูดตามที่ต่างๆ ในฐานะผู้ให้คำแนะนำเส้นทางสู่ความสำเร็จ
ส่วนสำหรับโลกของการเป็นนักเขียน คงต้องบอกว่ามัลคอล์ม แกลดเวลล์ เริ่มต้นจากการเป็นนักคิดที่ตามความคิดไปให้สุด และสัมฤทธิ์ออกมาเป็นงานเขียนทั้งสามเล่ม ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพิศวง
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%94.html
Malcolm Gladwell สัมฤทธิ์พิศวงของนักเขียนช่างคิด
โดย : นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ [email protected]
เจ้าของผลงานขายดีของ The New Yorker ยาวนานถึง 28 สัปดาห์ และครองตำแหน่งหนังสือขายดีของ Business Week มากกว่าสองปี
จากความช่างคิด ช่างสงสัย ช่างสังเกต ช่างตั้งคำถาม จนพาไปสู่การค้นหาคำตอบตามตรรกะของความเป็นเหตุเป็นผล จากความน่าจะเป็นก็กลายเป็นคำตอบที่มีการพิสูจน์ออกมาจนกลายเป็นความน่า เชื่อ โดยอาศัยหลักการทำงานแบบงานวิชาการ ที่สามารถนำมาปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบได้จริง ด้วยตรรกะเหล่านี้และอีกหลายตรรกะที่ทำให้ มัลคอล์ม แกลดเวลล์ (Malcolm Gladwell) พิสูจน์ออกมาได้ว่า เพียงเสี้ยววินาทีของบางสิ่งบางอย่าง ก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อโลก
ความสำเร็จใน The Tipping Point (2000) งานเขียนประเภท non-fiction แนวพัฒนาตนเองเล่มแรกของมัลคอล์ม มีประเด็นหลักบอกเอาไว้ว่ามนุษย์มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ และไม่ใช่แต่ทฤษฎีทางการตลาดเท่านั้น แต่ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดการไม่หยุดนิ่งในสังคม เมื่องานเขียนเล่มแรกออกมา ชีวิตอันสุดแสนธรรมดาของนักเขียนมาดเซอร์แห่ง The New Yorker ก็ก้าวกระโดดดังเป็นพลุ ต้องทำงานทั้งการเป็นนักเขียนและนักพูดที่ได้รับเชิญให้ไปพูดตามที่ต่างๆ มากมาย หนังสือเล่มนี้ยืนหยัดในตำแหน่งหนังสือขายดีของ The New Yorker ยาวนานถึง 28 สัปดาห์ และครองตำแหน่งหนังสือขายดีของ Business Week มากกว่าสองปี
แม้ยอดจำหน่ายจะมากมายขึ้นหลักหลายล้านเล่ม แต่มัลคอล์มกับออกปากว่า ต่อให้ขายดีอย่างไร หนังสือเล่มนี้ชาวอเมริกันก็อ่านกันน้อยกว่า 1% ของประชากรทั้งหมด แต่นักเขียนผู้นี้ไม่ได้ยี่หระกับจำนวนผู้อ่านที่คิดเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ ออกมา สำหรับเขาแล้วใครได้อ่านไม่สำคัญเท่ากับใครเอาสิ่งที่เขาคิดไปใช้งานอย่างไร เช่น โรนัลด์ รัมสเฟลด์ ใช้ทฤษฎีหลายอย่างใน The Tipping Point เพื่ออธิบายถึงการทำสงครามในอิรัก เป็นต้น
จากนั้นปี 2005 The Blink งานเขียนประเภทเดียวกับเล่มแรกก็พิมพ์ออกจำหน่าย ประเด็นของ The Blink คือการวิเคราะห์จิตใต้สำนึกของมนุษย์ว่าทำไมประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตจึง ส่งผลต่อการตัดสินใจที่รวดเร็วฉับพลันกับเหตุการณ์ที่เกิดกับบุคคลนั้นใน ปัจจุบัน และในปีเดียวกับที่หนังสือวางตลาด มัลคอล์มได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Time ให้เป็นหนึ่งในร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และ Outliers : The Story of Success (2008-ผู้อ่านชาวไทยสามารถอ่านภาคภาษาไทยในชื่อ "สัมฤทธิ์พิศวง-ตีแผ่ 'ความสำเร็จ' ในมุมที่คุณคาดไม่ถึง" แปลโดย พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ, วิโรจน์ ภัทรทีปกร และวิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา พิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น)
Outliers : The Story of Success ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายจากนักอ่านทั่วโลก มีการแปลออกมาถึง 40 ภาษา เนื้อหาในงานเขียนเล่มนี้ครองใจนักอ่านทั่วโลก เป็นเพราะการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ อย่างชาญฉลาดของมัลคอล์ม โดยเขาพยายามค้นหาคำตอบในสิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จสูงสุด
อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเราประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน, ทำไมเด็กอัจฉริยะจำนวนมากที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ถึงเติบโตขึ้นมาเป็น ผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว, บิล เกตส์ เหมือนกับวงดนตรีเดอะ บีเทิลส์ ตรงไหน, ทำไมนักฟุตบอลเยาวชนทีมชาติเช็กมากกว่าร้อยละ 70 ถึงเกิดในเดือนมกราคมถึงมีนาคมเท่านั้น, เพราะอะไรบรรดานักกฎหมายชั้นนำในนิวยอร์กส่วนใหญ่ถึงมาจากครอบครัวที่ทำงาน ตัดเย็บเสื้อผ้า, การมาจากครอบครัวที่ทำนาปลูกข้าวทำให้นักเขียนจีนเรียนเลขเก่งกว่านักเรียน ตะวันตกได้อย่างไร, ทำไมอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ (รวบรวมข้อมูลตั้งแต่สมัยอียิปต์โบราณเมื่อหลายพันปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน) ร้อยละ 20 ถึงเป็นชาวอเมริกันที่เกิดห่างกันไม่เกิน 9 ปี ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้น
ซึ่งเป็นการตั้งคำถามที่ดูพิศวง แต่มัลคอล์มทำให้ทุกคำถามคลี่คลายได้อย่างสัมฤทธิผล ประเด็นที่เขาจุดประกายไว้ในหนังสือคือ สิ่งสำคัญอย่างที่สุดในการที่ทุกคนจะประสบความสำเร็จสูงสุดได้คือการฝึกซ้อม
การตั้งข้อสังเกตมากมายกลายเป็นเสน่ห์ในงานเขียนแนวพัฒนาตัวเองทั้งสาม เล่มของมัลคอล์ม คือ การที่เขาเขียนถึงเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผู้คนคาดไม่ถึง แล้วใช้การทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์สังคมประกอบในการทำงาน และบ่อยครั้งที่เขาใช้หลักทฤษฎีของงานวิชาการด้านสังคมวิทยา, จิตวิทยา และจิตวิทยาสังคมมาช่วยในการวิเคราะห์ ทั้งที่มัลคอล์มไม่ชอบการเป็นนักวิชาการ
"พ่อของผมชื่อแกรแฮม แกลดเวลล์ เป็นนักวิชาการที่เกิดในเมืองเคนท์ พ่อสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ที่ University of Waterloo ในแคนาดา ผมรู้สึกสบายๆ กับโลกนี้นะ แต่ผมก็ตระหนักดีว่าโลกนี้มันยุ่งยากซับซ้อนเพียงไหน เมื่อก่อนผมอยากเป็นนักวิชาการมาก ผมฝันแบบนี้อยู่ตั้งหลายปี จนค้นพบตัวเองว่าคงไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นนักวิชาการ และผมไม่อยากพบกับโศกนาฏกรรมทางวิชาการ นั่นก็คือการติดกับดักกำแพงวิชาการ ที่ต้องอยู่กับทฤษฎีมากมาย ผมจึงเลิกคิดที่จะเป็นนักวิชาการ ผมโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นนักวิชาการเต็มขั้น ทำให้เห็นว่าเป็นงานที่หนักและน่าเบื่อ ส่วนแม่ของผมเป็นชาวจาไมกา เป็นนักจิตวิทยาบำบัดและเขียนหนังสือชื่อ Brown Face, Big Master หนังสือพิมพ์เมื่อปี 1972 และพิมพ์ซ้ำไปเมื่อปี 2002 ผมชอบงานเขียนเล่มนี้ของแม่มาก และเป็นหนังสือที่ผมชอบมากที่สุด แม่คือต้นแบบที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเขียน
ผมเกิดที่อังกฤษและมาโตที่แคนาดา เติบโตมาในฟาร์มปศุสัตว์ ไร่ข้าวโพด ผมไปโรงเรียน พอตกเย็นหลังเลิกเรียนผมต้องช่วยงานในฟาร์มของที่บ้าน ผมเชื่อเสมอว่าความสำเร็จของคนอยู่ที่การขวนขวายและใฝ่เรียนรู้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เกิดมามีฐานะร่ำรวย การหมั่นหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเป็นคนที่มานะบากบั่นมาตั้งแต่เด็ก ชอบการแข่งขัน เคยเป็นนักวิ่งของโรงเรียนและวิ่งได้อันดับสอง ผมมีเพื่อนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะและพวกเขาก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ดังๆ ส่วนผมเรียนด้านประวัติศาสตร์ที่ University of Toronto's Trinity College พอเรียนจบทำงาน ผมจึงได้โอกาสในการเรียนรู้เรื่องธุรกิจจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจ The Washington Post ที่ผมทำงานให้"
มัลคอล์มเริ่มต้นการทำงานที่ The American Spectator นิตยสารรายเดือนของกลุ่มอนุรักษนิยม และทำหน้าที่นักเขียนแนววิทยาศาสตร์ให้กับนิตยสารเล่มนี้ตั้งแต่ปี 1987-1996 จากนั้นมาทำงานให้กับ The Washington Post และปัจจุบันเขียนบทความให้กับ The New Yorker โดยงานเขียนเล่มแรกของเขาเป็นผลพวงมาจากบทความชื่อ The Tipping Point ที่ไปเตะตาเอเยนซีรายหนึ่งเข้า จึงเสนอให้เขาเขียนเพื่อจัดพิมพ์เป็นเล่ม จนมียอดจำหน่ายสูงกว่าที่คาดเอาไว้
"ผมตกหลุมรักการเล่าเรื่องแบบในงานเขียนทั้งสามเล่ม เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมทำให้คนอ่านรักในสิ่งที่ผมเล่า ผู้อ่านก็จะติดตามและอยากรู้ไปพร้อมๆ กับผมเช่นกัน งานเขียนแบบนี้มีเสน่ห์กว่านวนิยายตรงที่มันมีข้อมูลทางสถิติมารองรับให้ เกิดความน่าเชื่อถือ ประเด็นที่ผมต้องการนำเสนอใน Outliers อีกอย่างคือเรื่องชาวยิวที่อพยพเข้ามาอยู่ยังที่ต่างๆ และพวกเขาก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ดีเด่อะไร ผมจึงอยากไขความลับและทำให้คนอ่านเข้าใจชาวยิว ถ้าพวกเราเข้าใจความลับที่ผมพาคุณไปค้นพบด้วยกัน พวกเราก็จะสามารถเข้าใจและช่วยคนเชื้อสายอื่นๆ ได้อีก
ตอนเป็นเด็กผมคิดเสมอว่าผมเหมือนอยู่ในเปลือกหอย ไม่มีใครนอกจากพ่อแม่และเพื่อนไม่กี่คน ตอนนั้นเทอร์รี่ซึ่งเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผม บอกกับผมว่าโลกเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบที่เราสามารถตักตวงผลประโยชน์เอาจาก โลกได้ในรูปแบบที่มันจะบังเกิดผลให้กับเรา จากนั้นผมก็รู้ว่าผลงานอันน่าทึ่งเกิดขึ้นจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นบารัก โอบามา ดอริส เลสซิ่ง กอร์ วิดัล แลร์รี่ เครเมอร์ เรื่องราวของบุคคลเหล่านี้ทำให้ผู้รับสารจัดกลุ่มให้พวกเขาเป็นคนนอก และตัวผมเองก็จัดอยู่ในประเภทคนนอกเมื่อหลายปีมาแล้ว
ผมเป็นชาวอังกฤษซึ่งมาโตที่แคนาดา ไม่ใช่ทั้งคนขาวและคนดำ ผมเป็นคนสองเชื้อชาติที่ตกทอดมาจากพ่อและแม่ และผมก็เดินทางไปๆ มาๆ กับสิ่งที่ผมได้รับมาจากพ่อและแม่ ถ้าคุณคือส่วนผสมของขาวและดำ คุณไม่สามารถทำลายมันลงได้ บางทีคุณอาจสร้างกลุ่มของตัวเองขึ้นมาใหม่ เป็นกลุ่มที่สามซึ่งเรียกร้องต่อการมีตัวตนและการมีอยู่ของตัวเอง แม้หลายคนจะมองว่าคนผิวดำมีสถานภาพทางสังคมในระดับล่าง แต่ผมกลับมีทัศนคติเรื่องเชื้อชาติ สีผิวที่ต่างจากหลายคนเหล่านั้น" มัลคอล์ม กล่าว
งานเขียนแต่ละเล่มของมัลคอล์มมีวาระและนัยซ่อนเร้นเอาไว้ อย่างเล่มล่าสุด Outliers ที่พูดถึงพรสวรรค์อันพิศวงของบุคคล เพื่อชี้ให้เห็นว่าบุคคลที่เขานำมาเขียนไม่ใช่บุคคลที่ถูกมองข้ามหรือไร้ตัว ตน แต่สิ่งใดที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้กลายเป็นบุคคลที่สำคัญ และเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามว่าอะไรกันที่ทำให้บุคคลเหล่านี้ไม่ไร้ตัวตนและ เป็นบุคคลที่สำคัญในความรู้สึกและความคิดของเขา? มัลคอล์มนิ่งไปพักหนึ่งและตอบว่า...
"ก็เพราะการที่ผมมีแม่เป็นชาวจาไมกา ที่แม้จะอยู่ที่ไหนแม่ก็ยังเป็นชาวจาไมกา คุณเกิดที่ไหนคุณก็จะมีความรู้สึกเป็นคนของที่นั่น ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ครอบงำและมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ ดังนั้นงานเขียนเล่มล่าสุดของผมจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวผม เข้าข่ายเรื่องส่วนตัว ประเด็นของงานเขียนก็เอามาจากชีวิตของผมเอง ผมวิเคราะห์ชีวิตของแม่เพื่อลงในรายละเอียด ว่าอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของแม่"
สำหรับโลกธุรกิจ มัลคอล์ม แกลดเวลล์ เป็น อีกคนที่น่าจับตามองของศตวรรษที่ 21 ด้วยบทบาทของสื่อและการไปปรากฏตัวเพื่อพูดตามที่ต่างๆ ในฐานะผู้ให้คำแนะนำเส้นทางสู่ความสำเร็จ
ส่วนสำหรับโลกของการเป็นนักเขียน คงต้องบอกว่ามัลคอล์ม แกลดเวลล์ เริ่มต้นจากการเป็นนักคิดที่ตามความคิดไปให้สุด และสัมฤทธิ์ออกมาเป็นงานเขียนทั้งสามเล่ม ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพิศวง
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%94.html
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 25
มาช่วยปั่นด้วยอีกคน :lol:
สนุกดีครับ อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ
เริ่มรู้สึกว่าซื้อหนังสือตามที่แนะนำจากเวปเรานี่ คุ้มจริงๆ ซื้อตามมายังไม่เคยผิดหวังเลย
ต่อไปไม่ต้องหาเองแล้ว ลอกมันจากในเวปนี่แหละ :lovl:
ไม่ทราบว่าหนังสือสองเล่มก่อนหน้าของ Malcolm Gladwell (The Tipping Point กับ The Blink)
มีแปลเป็นไทยรึเปล่าครับ จะตามไปอ่านต่อ
สนุกดีครับ อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ
เริ่มรู้สึกว่าซื้อหนังสือตามที่แนะนำจากเวปเรานี่ คุ้มจริงๆ ซื้อตามมายังไม่เคยผิดหวังเลย
ต่อไปไม่ต้องหาเองแล้ว ลอกมันจากในเวปนี่แหละ :lovl:
ไม่ทราบว่าหนังสือสองเล่มก่อนหน้าของ Malcolm Gladwell (The Tipping Point กับ The Blink)
มีแปลเป็นไทยรึเปล่าครับ จะตามไปอ่านต่อ
-
- Verified User
- โพสต์: 355
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 29
เก็บไว้เป็น wishlist ละกันครับ
จ่อคิวกองเรียงเป็นตั้งเลยหนังสือตอนนี้
เวลาอ่านก็ไม่มาก
จ่อคิวกองเรียงเป็นตั้งเลยหนังสือตอนนี้
เวลาอ่านก็ไม่มาก
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำหนังสือ Outliers สัมฤทธิ์พิศวง
โพสต์ที่ 30
อ่านเจอมาใน post today ครับ
จะมีการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ตามรายละเอียดข้างล่าง ใครสนใจเชิญได้ครับ
ขอเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ Outliers : The Story of Success หนังสือขายดีในต่างประเทศ โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น เปิดมุมมองทางความคิดที่จะทำให้คุณต้องประหลาดใจว่าทำไมคนฉลาดบางคนจึงประสบความสำเร็จ แต่บางคนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น รวมทั้งการเสวนาโต๊ะกลม เปิดปมคิด สัมฤทธิ์พิศวง : ไขปริศนาความสำเร็จ ในมุมที่คุณคาดไม่ถึง กับ 3 คนดัง นักวิชาการ นักคิด นักเขียน ศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย อาทิ
- ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและอดีต รมช.ศึกษาธิการ
- ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้แต่งหนังสือยอดนิยม เข็มทิศชีวิต
- วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเขียนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง
พบกันวันพุธที่ 30 ก.ย. 2552 เวลา 14.0016.00 น. ณ ร้านบีทูเอส เซ็นทรัลเวิลด์ ...พลาดแล้วจะเสียใจ เพราะนั่นหมายถึงคุณอาจพลาดช่วงเวลาสำคัญที่เปิดมุมมองสู่ความสำเร็จในอนาคตก็เป็นได้ รับรองงานนี้คุณจะได้แง่คิดดีๆ กลับไปแน่นอน
http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=68289
จะมีการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ตามรายละเอียดข้างล่าง ใครสนใจเชิญได้ครับ
ขอเชิญร่วมงานเปิดตัวหนังสือ Outliers : The Story of Success หนังสือขายดีในต่างประเทศ โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น เปิดมุมมองทางความคิดที่จะทำให้คุณต้องประหลาดใจว่าทำไมคนฉลาดบางคนจึงประสบความสำเร็จ แต่บางคนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น รวมทั้งการเสวนาโต๊ะกลม เปิดปมคิด สัมฤทธิ์พิศวง : ไขปริศนาความสำเร็จ ในมุมที่คุณคาดไม่ถึง กับ 3 คนดัง นักวิชาการ นักคิด นักเขียน ศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย อาทิ
- ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังและอดีต รมช.ศึกษาธิการ
- ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้แต่งหนังสือยอดนิยม เข็มทิศชีวิต
- วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักเขียนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง
พบกันวันพุธที่ 30 ก.ย. 2552 เวลา 14.0016.00 น. ณ ร้านบีทูเอส เซ็นทรัลเวิลด์ ...พลาดแล้วจะเสียใจ เพราะนั่นหมายถึงคุณอาจพลาดช่วงเวลาสำคัญที่เปิดมุมมองสู่ความสำเร็จในอนาคตก็เป็นได้ รับรองงานนี้คุณจะได้แง่คิดดีๆ กลับไปแน่นอน
http://www.posttoday.com/lifestyle.php?id=68289