ความสำเร็จใน The Tipping Point (2000) งานเขียนประเภท non-fiction แนวพัฒนาตนเองเล่มแรกของมัลคอล์ม มีประเด็นหลักบอกเอาไว้ว่ามนุษย์มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ และไม่ใช่แต่ทฤษฎีทางการตลาดเท่านั้น แต่ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดการไม่หยุดนิ่งในสังคม เมื่องานเขียนเล่มแรกออกมา ชีวิตอันสุดแสนธรรมดาของนักเขียนมาดเซอร์แห่ง The New Yorker ก็ก้าวกระโดดดังเป็นพลุ ต้องทำงานทั้งการเป็นนักเขียนและนักพูดที่ได้รับเชิญให้ไปพูดตามที่ต่างๆ มากมาย หนังสือเล่มนี้ยืนหยัดในตำแหน่งหนังสือขายดีของ The New Yorker ยาวนานถึง 28 สัปดาห์ และครองตำแหน่งหนังสือขายดีของ Business Week มากกว่าสองปี
แม้ยอดจำหน่ายจะมากมายขึ้นหลักหลายล้านเล่ม แต่มัลคอล์มกับออกปากว่า ต่อให้ขายดีอย่างไร หนังสือเล่มนี้ชาวอเมริกันก็อ่านกันน้อยกว่า 1% ของประชากรทั้งหมด แต่นักเขียนผู้นี้ไม่ได้ยี่หระกับจำนวนผู้อ่านที่คิดเป็นอัตราเปอร์เซ็นต์ ออกมา สำหรับเขาแล้วใครได้อ่านไม่สำคัญเท่ากับใครเอาสิ่งที่เขาคิดไปใช้งานอย่างไร เช่น โรนัลด์ รัมสเฟลด์ ใช้ทฤษฎีหลายอย่างใน The Tipping Point เพื่ออธิบายถึงการทำสงครามในอิรัก เป็นต้น
จากนั้นปี 2005 The Blink งานเขียนประเภทเดียวกับเล่มแรกก็พิมพ์ออกจำหน่าย ประเด็นของ The Blink คือการวิเคราะห์จิตใต้สำนึกของมนุษย์ว่าทำไมประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตจึง ส่งผลต่อการตัดสินใจที่รวดเร็วฉับพลันกับเหตุการณ์ที่เกิดกับบุคคลนั้นใน ปัจจุบัน และในปีเดียวกับที่หนังสือวางตลาด มัลคอล์มได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Time ให้เป็นหนึ่งในร้อยบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และ Outliers : The Story of Success (2008-ผู้อ่านชาวไทยสามารถอ่านภาคภาษาไทยในชื่อ "สัมฤทธิ์พิศวง-ตีแผ่ 'ความสำเร็จ' ในมุมที่คุณคาดไม่ถึง" แปลโดย พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ, วิโรจน์ ภัทรทีปกร และวิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา พิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น)
Outliers : The Story of Success ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายจากนักอ่านทั่วโลก มีการแปลออกมาถึง 40 ภาษา เนื้อหาในงานเขียนเล่มนี้ครองใจนักอ่านทั่วโลก เป็นเพราะการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ อย่างชาญฉลาดของมัลคอล์ม โดยเขาพยายามค้นหาคำตอบในสิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จสูงสุด
"พ่อของผมชื่อแกรแฮม แกลดเวลล์ เป็นนักวิชาการที่เกิดในเมืองเคนท์ พ่อสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ที่ University of Waterloo ในแคนาดา ผมรู้สึกสบายๆ กับโลกนี้นะ แต่ผมก็ตระหนักดีว่าโลกนี้มันยุ่งยากซับซ้อนเพียงไหน เมื่อก่อนผมอยากเป็นนักวิชาการมาก ผมฝันแบบนี้อยู่ตั้งหลายปี จนค้นพบตัวเองว่าคงไม่มีความสามารถพอที่จะเป็นนักวิชาการ และผมไม่อยากพบกับโศกนาฏกรรมทางวิชาการ นั่นก็คือการติดกับดักกำแพงวิชาการ ที่ต้องอยู่กับทฤษฎีมากมาย ผมจึงเลิกคิดที่จะเป็นนักวิชาการ ผมโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นนักวิชาการเต็มขั้น ทำให้เห็นว่าเป็นงานที่หนักและน่าเบื่อ ส่วนแม่ของผมเป็นชาวจาไมกา เป็นนักจิตวิทยาบำบัดและเขียนหนังสือชื่อ Brown Face, Big Master หนังสือพิมพ์เมื่อปี 1972 และพิมพ์ซ้ำไปเมื่อปี 2002 ผมชอบงานเขียนเล่มนี้ของแม่มาก และเป็นหนังสือที่ผมชอบมากที่สุด แม่คือต้นแบบที่ทำให้ผมอยากเป็นนักเขียน
ผมเกิดที่อังกฤษและมาโตที่แคนาดา เติบโตมาในฟาร์มปศุสัตว์ ไร่ข้าวโพด ผมไปโรงเรียน พอตกเย็นหลังเลิกเรียนผมต้องช่วยงานในฟาร์มของที่บ้าน ผมเชื่อเสมอว่าความสำเร็จของคนอยู่ที่การขวนขวายและใฝ่เรียนรู้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เกิดมามีฐานะร่ำรวย การหมั่นหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเป็นคนที่มานะบากบั่นมาตั้งแต่เด็ก ชอบการแข่งขัน เคยเป็นนักวิ่งของโรงเรียนและวิ่งได้อันดับสอง ผมมีเพื่อนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะและพวกเขาก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ดังๆ ส่วนผมเรียนด้านประวัติศาสตร์ที่ University of Toronto's Trinity College พอเรียนจบทำงาน ผมจึงได้โอกาสในการเรียนรู้เรื่องธุรกิจจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจ The Washington Post ที่ผมทำงานให้"
มัลคอล์มเริ่มต้นการทำงานที่ The American Spectator นิตยสารรายเดือนของกลุ่มอนุรักษนิยม และทำหน้าที่นักเขียนแนววิทยาศาสตร์ให้กับนิตยสารเล่มนี้ตั้งแต่ปี 1987-1996 จากนั้นมาทำงานให้กับ The Washington Post และปัจจุบันเขียนบทความให้กับ The New Yorker โดยงานเขียนเล่มแรกของเขาเป็นผลพวงมาจากบทความชื่อ The Tipping Point ที่ไปเตะตาเอเยนซีรายหนึ่งเข้า จึงเสนอให้เขาเขียนเพื่อจัดพิมพ์เป็นเล่ม จนมียอดจำหน่ายสูงกว่าที่คาดเอาไว้