อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผลยั่
โพสต์ที่ 1
คือ ผมมือใหม่มากครับเริ่มเป็น vi มา 3 เดือนเอง
คือผมได้อ่านหนังสือของคุณกวีแล้ว ผมชอบกับการคัดหุ้นของเค้านะครับ
อ่านเข้าใจง่ายดี แต่ติดอย่างเดียวกับการหาจังหวะเข้าซื้อของเค้าครับ เลยอยากถามความคิดเห็นของพี่ๆใน TVI
คือผมได้อ่านหนังสือของคุณกวีแล้ว ผมชอบกับการคัดหุ้นของเค้านะครับ
อ่านเข้าใจง่ายดี แต่ติดอย่างเดียวกับการหาจังหวะเข้าซื้อของเค้าครับ เลยอยากถามความคิดเห็นของพี่ๆใน TVI
- vim
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2748
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 2
โดยอาชีพของการจัดการการลงทุนนั้น ผู้จัดการกองทุนนั้นจะต้องพยายามสร้างทำไรที่ดีให้กับเจ้าของเงินผ่านการซื้อขาย ซึ่งกำไรตรงนี้จะได้มาจากส่วนต่างของราคาหุ้นเป็นหลัก อีกทั้งระยะเวลาในการถือหุ้นนั้นจะไม่นานมาก มีการขายทำกำไรเป็นพักๆตามการคาดการผลประกอบการ ทำให้ต้องมีการกะจังหวะการซื้อขาย
ในแนวคิดของเบ็นเกรแฮม เขาใช้วิธีพิจารณาหามูลค่าพื้นฐานของหุ้น ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานเขาก็จะซื้อ หากสูงกว่าพื้นฐานเขาก็จะขาย ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของนักการเงินในปัจจุบันมากนัก
การลงทุนแบบบัฟเฟต์นั้นจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน เขามองที่มูลค่าของธุรกิจเป็นประเด็นหลัก ไม่ทำกำไรจากการซื้อขายระยะสั้น หากธุรกิจยังไปได้ดีเขาก็ยังไม่ขาย
จะลงทุนแบบไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เพราะหลักการและพื้นฐานความเชื่อไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ศึกษาแนวทางของ"วีไอ"นั้นบางท่านเน้นทำกำไรระยะสั้น บางท่านทำกำไรระยะกลาง บางท่านทำกำไรระยะยาว ซึ่งในความคิดผมนั้นมันไม่ผิดแต่อย่างได ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตีความว่า"วีไอ"นั้นคืออะไร
ในแนวคิดของเบ็นเกรแฮม เขาใช้วิธีพิจารณาหามูลค่าพื้นฐานของหุ้น ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานเขาก็จะซื้อ หากสูงกว่าพื้นฐานเขาก็จะขาย ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของนักการเงินในปัจจุบันมากนัก
การลงทุนแบบบัฟเฟต์นั้นจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน เขามองที่มูลค่าของธุรกิจเป็นประเด็นหลัก ไม่ทำกำไรจากการซื้อขายระยะสั้น หากธุรกิจยังไปได้ดีเขาก็ยังไม่ขาย
จะลงทุนแบบไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เพราะหลักการและพื้นฐานความเชื่อไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ศึกษาแนวทางของ"วีไอ"นั้นบางท่านเน้นทำกำไรระยะสั้น บางท่านทำกำไรระยะกลาง บางท่านทำกำไรระยะยาว ซึ่งในความคิดผมนั้นมันไม่ผิดแต่อย่างได ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตีความว่า"วีไอ"นั้นคืออะไร
Vi IMrovised
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 3
ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ
แต่คิดว่าความสงสัย
สามารถถามเจ้าตัวได้จากที่นี่
http://www.facebook.com/Kavee.Chukitkas ... 95886&_rdr
แต่คิดว่าความสงสัย
สามารถถามเจ้าตัวได้จากที่นี่
http://www.facebook.com/Kavee.Chukitkas ... 95886&_rdr
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 4
คือคุณกวี เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาถอดการเป็นนักวิเคราะห์ออกไปเลยครับ ผมแค่สงสัย กับหลักการเข้าซื้อของเขาที่เขาเชื่อว่า roe สูงขึ้น p/bv ก็จะสูงขึ้น ทำให้สามารถซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วยvim เขียน:โดยอาชีพของการจัดการการลงทุนนั้น ผู้จัดการกองทุนนั้นจะต้องพยายามสร้างทำไรที่ดีให้กับเจ้าของเงินผ่านการซื้อขาย ซึ่งกำไรตรงนี้จะได้มาจากส่วนต่างของราคาหุ้นเป็นหลัก อีกทั้งระยะเวลาในการถือหุ้นนั้นจะไม่นานมาก มีการขายทำกำไรเป็นพักๆตามการคาดการผลประกอบการ ทำให้ต้องมีการกะจังหวะการซื้อขาย
ในแนวคิดของเบ็นเกรแฮม เขาใช้วิธีพิจารณาหามูลค่าพื้นฐานของหุ้น ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานเขาก็จะซื้อ หากสูงกว่าพื้นฐานเขาก็จะขาย ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของนักการเงินในปัจจุบันมากนัก
การลงทุนแบบบัฟเฟต์นั้นจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน เขามองที่มูลค่าของธุรกิจเป็นประเด็นหลัก ไม่ทำกำไรจากการซื้อขายระยะสั้น หากธุรกิจยังไปได้ดีเขาก็ยังไม่ขาย
จะลงทุนแบบไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เพราะหลักการและพื้นฐานความเชื่อไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ศึกษาแนวทางของ"วีไอ"นั้นบางท่านเน้นทำกำไรระยะสั้น บางท่านทำกำไรระยะกลาง บางท่านทำกำไรระยะยาว ซึ่งในความคิดผมนั้นมันไม่ผิดแต่อย่างได ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตีความว่า"วีไอ"นั้นคืออะไร
- MYBIZ
- Verified User
- โพสต์: 888
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 5
http://thai-value-investor.blogspot.com ... v-roe.html
ลองอ่านความสัมพันธ์ของ PE & PBV & ROE ของคุณโยโย่ ตามลิ้งค์ข้างบนดูครับ
ก็จะเห็นได้นะครับว่าเมื่อ ROE สูงขึ้นก็ทำให้ PBV สูงขึ้นไปด้วย
ส่วนการเข้าซื้อของคุณกวีคงดูตามเกณฑ์ที่แกใช้คือ หากราคาหุ้นซื้อขายที่ PBV ต่ำกว่า ROE หาร 5 มากๆ
ก็แสดงว่าหุ้นมีราคาถูก เช่นบริษัทมี ROE =20% ก็ไม่ควรซื้อขายเกินกว่า PBV 4 เท่า (20%/5)
ส่วนการเข้าซื้อของเราก็ลองปรับให้เข้ากับตัวเราดูครับ ไม่มีอะไรตายตัว ^_^
ลองอ่านความสัมพันธ์ของ PE & PBV & ROE ของคุณโยโย่ ตามลิ้งค์ข้างบนดูครับ
ก็จะเห็นได้นะครับว่าเมื่อ ROE สูงขึ้นก็ทำให้ PBV สูงขึ้นไปด้วย
ส่วนการเข้าซื้อของคุณกวีคงดูตามเกณฑ์ที่แกใช้คือ หากราคาหุ้นซื้อขายที่ PBV ต่ำกว่า ROE หาร 5 มากๆ
ก็แสดงว่าหุ้นมีราคาถูก เช่นบริษัทมี ROE =20% ก็ไม่ควรซื้อขายเกินกว่า PBV 4 เท่า (20%/5)
ส่วนการเข้าซื้อของเราก็ลองปรับให้เข้ากับตัวเราดูครับ ไม่มีอะไรตายตัว ^_^
จุดหมายปลายทาง อาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 6
คือ ผมเข้าใจวิธีของคุณกวีครับ แต่ผมรู้สึกมันแปลกๆไปรึป่าว เพราะแบบนี้หุ้นที่คัดมาดีแล้ว แล้วซื้อด้วยวิธีนี้จะมีหลายตัวมากเลย ผมเลยอยากได้ข้อมูลsupport วิธีนี้อ่ะครับ จะได้ใช้เป็นแนวทางMYBIZ เขียน:http://thai-value-investor.blogspot.com ... v-roe.html
ลองอ่านความสัมพันธ์ของ PE & PBV & ROE ของคุณโยโย่ ตามลิ้งค์ข้างบนดูครับ
ก็จะเห็นได้นะครับว่าเมื่อ ROE สูงขึ้นก็ทำให้ PBV สูงขึ้นไปด้วย
ส่วนการเข้าซื้อของคุณกวีคงดูตามเกณฑ์ที่แกใช้คือ หากราคาหุ้นซื้อขายที่ PBV ต่ำกว่า ROE หาร 5 มากๆ
ก็แสดงว่าหุ้นมีราคาถูก เช่นบริษัทมี ROE =20% ก็ไม่ควรซื้อขายเกินกว่า PBV 4 เท่า (20%/5)
ส่วนการเข้าซื้อของเราก็ลองปรับให้เข้ากับตัวเราดูครับ ไม่มีอะไรตายตัว ^_^
-
- Verified User
- โพสต์: 1475
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 7
สูตรของคุณกวีที่ให้ซื้อเมื่อ PBV ต่ำกว่า ROE หาร 5 เขียนออกมาได้เป็น
PBV < 100 x ROE / 5
ที่คูณด้วย 100 เพื่อแปลงจาก ROE ให้มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์
จัดใหม่จะได้
PBV < 20 x ROE
หรือ
PBV/ROE < 20
แต่ PBV = PE x ROE หรือ PBV/ROE = PE
จะได้ว่า
PE < 20
PBV < 100 x ROE / 5
ที่คูณด้วย 100 เพื่อแปลงจาก ROE ให้มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์
จัดใหม่จะได้
PBV < 20 x ROE
หรือ
PBV/ROE < 20
แต่ PBV = PE x ROE หรือ PBV/ROE = PE
จะได้ว่า
PE < 20
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 8
roe ที่ใช้คิด มันเป็น % ยุแล้วไม่ใช่เหรอครับKriangL เขียน:สูตรของคุณกวีที่ให้ซื้อเมื่อ PBV ต่ำกว่า ROE หาร 5 เขียนออกมาได้เป็น
PBV < 100 x ROE / 5
ที่คูณด้วย 100 เพื่อแปลงจาก ROE ให้มีหน่วยเป็นเปอร์เซนต์
จัดใหม่จะได้
PBV < 20 x ROE
หรือ
PBV/ROE < 20
แต่ PBV = PE x ROE หรือ PBV/ROE = PE
จะได้ว่า
PE < 20
คือที่เค้าบอกให้เกณฑ์ว่า
1.ดู roe เท่าไหร่ ก็ควรซื้อขายที่ pe ต่ำกว่า roe
2.และต้อง ดูว่า roe/5 ได้เท่าไหร่ หากเจอหุ้นที่มี pbv ต่ำกว่า roe/5
หากสองข้อนี้ผ่านหมายถึงสามารถซื้อหุ้นตัวนี้ได้
ผมเลยอยากรู้ว่าหลักเกณฑ์นี้ใช้ได้ริงรึป่าว เลยอยากทราบผลของคนที่เคยลองใช้สูตรนี้เป็นอย่างไรบ้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 571
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 9
เมื่อ roe มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แปลว่า กิจการมีกำไรมากขึ้น ทำให้ book value (BV) มีค่ามากขึ้น และ P/BV มีแนวโน้มลดลงในอนาคตมากกว่าหรือเปล่าครับ ดังนั้น จึงบอกว่าสามารถลงทุนในหุ้นที่ P/BV มีค่าสูงได้ แต่มือใหม่ควรระวัง เพราะ ROE ที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้มาจากผลดำเนินงานปกติ เช่น มาจากการลดอัตราภาษีเป็นต้น คุณกำลังจะคิดว่า เมื่อ กำไรโตขึ้นมันจะโตต่อไปเรื่อยๆ? เคยสงสัยไหมว่าทำไมงบออกมาดี แต่ราคาหุ้นบางตัวกลับลดลงMarcus เขียน:คือคุณกวี เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาถอดการเป็นนักวิเคราะห์ออกไปเลยครับ ผมแค่สงสัย กับหลักการเข้าซื้อของเขาที่เขาเชื่อว่า roe สูงขึ้น p/bv ก็จะสูงขึ้น ทำให้สามารถซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วยvim เขียน:โดยอาชีพของการจัดการการลงทุนนั้น ผู้จัดการกองทุนนั้นจะต้องพยายามสร้างทำไรที่ดีให้กับเจ้าของเงินผ่านการซื้อขาย ซึ่งกำไรตรงนี้จะได้มาจากส่วนต่างของราคาหุ้นเป็นหลัก อีกทั้งระยะเวลาในการถือหุ้นนั้นจะไม่นานมาก มีการขายทำกำไรเป็นพักๆตามการคาดการผลประกอบการ ทำให้ต้องมีการกะจังหวะการซื้อขาย
ในแนวคิดของเบ็นเกรแฮม เขาใช้วิธีพิจารณาหามูลค่าพื้นฐานของหุ้น ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานเขาก็จะซื้อ หากสูงกว่าพื้นฐานเขาก็จะขาย ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของนักการเงินในปัจจุบันมากนัก
การลงทุนแบบบัฟเฟต์นั้นจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน เขามองที่มูลค่าของธุรกิจเป็นประเด็นหลัก ไม่ทำกำไรจากการซื้อขายระยะสั้น หากธุรกิจยังไปได้ดีเขาก็ยังไม่ขาย
จะลงทุนแบบไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เพราะหลักการและพื้นฐานความเชื่อไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ศึกษาแนวทางของ"วีไอ"นั้นบางท่านเน้นทำกำไรระยะสั้น บางท่านทำกำไรระยะกลาง บางท่านทำกำไรระยะยาว ซึ่งในความคิดผมนั้นมันไม่ผิดแต่อย่างได ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตีความว่า"วีไอ"นั้นคืออะไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 10
ในจุดนี้เค้าถึงให้มีการกรองหุ้นที่มี eps ย้ออนหลังบหลายปีมาก่อนครับ โดยเลือกหุ้นที่มี eps โตค่อนข้างคงที่ ถึงจะใช้วิธีนี้ได้ครับ แต่มีเหมือนกันสำหรับหุ้นบางตัวที่ มีกำไรพิเศษเพิ่มมา จึงจำเป็นต้องใช้ roe ปีก่อนหน้ามาคิดdragonrider เขียน:เมื่อ roe มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แปลว่า กิจการมีกำไรมากขึ้น ทำให้ book value (BV) มีค่ามากขึ้น และ P/BV มีแนวโน้มลดลงในอนาคตมากกว่าหรือเปล่าครับ ดังนั้น จึงบอกว่าสามารถลงทุนในหุ้นที่ P/BV มีค่าสูงได้ แต่มือใหม่ควรระวัง เพราะ ROE ที่เพิ่มขึ้นอาจไม่ได้มาจากผลดำเนินงานปกติ เช่น มาจากการลดอัตราภาษีเป็นต้น คุณกำลังจะคิดว่า เมื่อ กำไรโตขึ้นมันจะโตต่อไปเรื่อยๆ? เคยสงสัยไหมว่าทำไมงบออกมาดี แต่ราคาหุ้นบางตัวกลับลดลงMarcus เขียน:คือคุณกวี เขาเขียนหนังสือเล่มนี้ เขาถอดการเป็นนักวิเคราะห์ออกไปเลยครับ ผมแค่สงสัย กับหลักการเข้าซื้อของเขาที่เขาเชื่อว่า roe สูงขึ้น p/bv ก็จะสูงขึ้น ทำให้สามารถซื้อหุ้นในราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วยvim เขียน:โดยอาชีพของการจัดการการลงทุนนั้น ผู้จัดการกองทุนนั้นจะต้องพยายามสร้างทำไรที่ดีให้กับเจ้าของเงินผ่านการซื้อขาย ซึ่งกำไรตรงนี้จะได้มาจากส่วนต่างของราคาหุ้นเป็นหลัก อีกทั้งระยะเวลาในการถือหุ้นนั้นจะไม่นานมาก มีการขายทำกำไรเป็นพักๆตามการคาดการผลประกอบการ ทำให้ต้องมีการกะจังหวะการซื้อขาย
ในแนวคิดของเบ็นเกรแฮม เขาใช้วิธีพิจารณาหามูลค่าพื้นฐานของหุ้น ถ้าราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานเขาก็จะซื้อ หากสูงกว่าพื้นฐานเขาก็จะขาย ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของนักการเงินในปัจจุบันมากนัก
การลงทุนแบบบัฟเฟต์นั้นจะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน เขามองที่มูลค่าของธุรกิจเป็นประเด็นหลัก ไม่ทำกำไรจากการซื้อขายระยะสั้น หากธุรกิจยังไปได้ดีเขาก็ยังไม่ขาย
จะลงทุนแบบไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เพราะหลักการและพื้นฐานความเชื่อไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ศึกษาแนวทางของ"วีไอ"นั้นบางท่านเน้นทำกำไรระยะสั้น บางท่านทำกำไรระยะกลาง บางท่านทำกำไรระยะยาว ซึ่งในความคิดผมนั้นมันไม่ผิดแต่อย่างได ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะตีความว่า"วีไอ"นั้นคืออะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 168
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 11
เล่มนี้ผมอ่านครับ ผมว่าดีนะครับ
เจ้าตัวเค้าจะเน้นย้ำเสมอว่า เค้าจะไม่เน้นวิธีหาราคาพื้นฐานของหุ้นหรือvaluationเท่าไรเพราะหลายๆคนที่หาราคาพื้นฐานหุ้นก็ไม่เห็นใครแม่นยำเลยซักคน
จริงๆแล้วเราควรให้ความสำคัญกับการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือมีDCAจะดีกว่า
และหุ้นที่ใช้วิธีคัดกรองนี้จะต้องเป็นหุ้นที่ผ่านการคัดกรองเบื้องต้นที่บอกในบทแรกมาแล้วเท่านั้น
สรุปผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีหาหุ้นที่ราคายังไม่แพงจนเกินไปที่จะลงทุนจริงครับ
แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ได้แปลว่าหุ้นนั้นถูกและมี Margin of Safety มากพอ
แต่อย่างไรก็ตามค่าROEสามารถเอามาดูได้ว่าหุ้นถูกหรือหุ้นแพง
ผมตีความว่าหุ้นที่ PE ต่ำกว่า ROE ไม่ได้หุ้นถูกแต่แปลว่าราคาเหมาะสมและไม่แพงจนเกินไป
แต่หุ้นที่ PEต่ำกว่า ROE ยิ่งมากเท่าไรแปลว่ายิ่งถูกเท่านั้น
โดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบหุ้นถูกมากกว่าหุ้นราคาเหมาะสมครับ และผมจะเอา PEมาหารด้วยROEครับ ถ้าต่ำกว่า 0.5 ผมจะสนใจหุ้นนั้นเป็นพิเศษ
และผมจะดูอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นย้อนหลังด้วย
ดูหลายๆอย่างประกอบกันครับ(ผมไม่ชอบการหาราคาพื้นฐานเหมือนกัน)
แต่ถ้าใช้วิธีนี้จงพึงระวังหุ้นที่มีกำไรพิเศษและหุ้นที่ROEไม่สม่ำเสมอให้ดีๆนะครับ เพราะ ROE อาจจะมาแค่ครั้งเดียวอย่างAAV คุณอาจจะติดดอยได้
เจ้าตัวเค้าจะเน้นย้ำเสมอว่า เค้าจะไม่เน้นวิธีหาราคาพื้นฐานของหุ้นหรือvaluationเท่าไรเพราะหลายๆคนที่หาราคาพื้นฐานหุ้นก็ไม่เห็นใครแม่นยำเลยซักคน
จริงๆแล้วเราควรให้ความสำคัญกับการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือมีDCAจะดีกว่า
และหุ้นที่ใช้วิธีคัดกรองนี้จะต้องเป็นหุ้นที่ผ่านการคัดกรองเบื้องต้นที่บอกในบทแรกมาแล้วเท่านั้น
สรุปผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีหาหุ้นที่ราคายังไม่แพงจนเกินไปที่จะลงทุนจริงครับ
แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ได้แปลว่าหุ้นนั้นถูกและมี Margin of Safety มากพอ
แต่อย่างไรก็ตามค่าROEสามารถเอามาดูได้ว่าหุ้นถูกหรือหุ้นแพง
ผมตีความว่าหุ้นที่ PE ต่ำกว่า ROE ไม่ได้หุ้นถูกแต่แปลว่าราคาเหมาะสมและไม่แพงจนเกินไป
แต่หุ้นที่ PEต่ำกว่า ROE ยิ่งมากเท่าไรแปลว่ายิ่งถูกเท่านั้น
โดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบหุ้นถูกมากกว่าหุ้นราคาเหมาะสมครับ และผมจะเอา PEมาหารด้วยROEครับ ถ้าต่ำกว่า 0.5 ผมจะสนใจหุ้นนั้นเป็นพิเศษ
และผมจะดูอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นย้อนหลังด้วย
ดูหลายๆอย่างประกอบกันครับ(ผมไม่ชอบการหาราคาพื้นฐานเหมือนกัน)
แต่ถ้าใช้วิธีนี้จงพึงระวังหุ้นที่มีกำไรพิเศษและหุ้นที่ROEไม่สม่ำเสมอให้ดีๆนะครับ เพราะ ROE อาจจะมาแค่ครั้งเดียวอย่างAAV คุณอาจจะติดดอยได้
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 12
q.1อัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นย้อนหลัง หมายถึงค่า cagr รึป่าวครับ แล้วดูข้อมูลย้อนหลังจากไหนได้บ้างครับBoatAttasit เขียน:เล่มนี้ผมอ่านครับ ผมว่าดีนะครับ
เจ้าตัวเค้าจะเน้นย้ำเสมอว่า เค้าจะไม่เน้นวิธีหาราคาพื้นฐานของหุ้นหรือvaluationเท่าไรเพราะหลายๆคนที่หาราคาพื้นฐานหุ้นก็ไม่เห็นใครแม่นยำเลยซักคน
จริงๆแล้วเราควรให้ความสำคัญกับการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือมีDCAจะดีกว่า
และหุ้นที่ใช้วิธีคัดกรองนี้จะต้องเป็นหุ้นที่ผ่านการคัดกรองเบื้องต้นที่บอกในบทแรกมาแล้วเท่านั้น
สรุปผมคิดว่าวิธีนี้เป็นวิธีหาหุ้นที่ราคายังไม่แพงจนเกินไปที่จะลงทุนจริงครับ
แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ได้แปลว่าหุ้นนั้นถูกและมี Margin of Safety มากพอ
แต่อย่างไรก็ตามค่าROEสามารถเอามาดูได้ว่าหุ้นถูกหรือหุ้นแพง
ผมตีความว่าหุ้นที่ PE ต่ำกว่า ROE ไม่ได้หุ้นถูกแต่แปลว่าราคาเหมาะสมและไม่แพงจนเกินไป
แต่หุ้นที่ PEต่ำกว่า ROE ยิ่งมากเท่าไรแปลว่ายิ่งถูกเท่านั้น
โดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบหุ้นถูกมากกว่าหุ้นราคาเหมาะสมครับ และผมจะเอา PEมาหารด้วยROEครับ ถ้าต่ำกว่า 0.5 ผมจะสนใจหุ้นนั้นเป็นพิเศษ
และผมจะดูอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นย้อนหลังด้วย
ดูหลายๆอย่างประกอบกันครับ(ผมไม่ชอบการหาราคาพื้นฐานเหมือนกัน)
แต่ถ้าใช้วิธีนี้จงพึงระวังหุ้นที่มีกำไรพิเศษและหุ้นที่ROEไม่สม่ำเสมอให้ดีๆนะครับ เพราะ ROE อาจจะมาแค่ครั้งเดียวอย่างAAV คุณอาจจะติดดอยได้
-
- Verified User
- โพสต์: 168
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อยากถามความคิดเห็นของคนที่อ่านหนังสือ เพาะหุ้นเป็น เห็นผ
โพสต์ที่ 13
ใช่ครับcagrผมใช้ไฟล์ของพี่ครรชิตไพศาลครับดูกำไรย้อนหลังไปสิบปีก่อนอ่ะครับ
และคำนวนหาค่าcagrย้อนหลังเอาเองทั้ง10ปีและ5ปีเลยมาลองวิเคราะห์ดูครับว่าเทียบกับPE,PBVแล้วแพงหรือเปล่าถ้าอะไรที่เติบโตได้สม่ำเสมอแต่เติบโตช้ามากก็ไม่ค่อยน่าสนใจครับ
และคำนวนหาค่าcagrย้อนหลังเอาเองทั้ง10ปีและ5ปีเลยมาลองวิเคราะห์ดูครับว่าเทียบกับPE,PBVแล้วแพงหรือเปล่าถ้าอะไรที่เติบโตได้สม่ำเสมอแต่เติบโตช้ามากก็ไม่ค่อยน่าสนใจครับ