แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 33
เคยไปยืนอ่านตามร้าน สงสัยต้องไปหามาอ่านเป็นของตัวเองอีกรอบ
เพราะจำไม่ได้แล้วครับ
เพราะจำไม่ได้แล้วครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 35
เพิ่งได้อ่าน ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งเล่มในชีวิตผม
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 36
ผมไปเดินซีเอ็ดเมื่ออาทิตย์ก่อน
เจอ"เข็มทิศชีวิต"เวอชั่นล่าสุด
เปลี่ยนปกใหม่เป็นสีส้ม
ตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปลายปี47
ตอนนี้ปาเข้าไปพิมพ์ครั้งที่50แล้ว
แถมยังติดbest seller 5อันดับแรกด้วย
ของเค้าดีจริงๆครับ
เจอ"เข็มทิศชีวิต"เวอชั่นล่าสุด
เปลี่ยนปกใหม่เป็นสีส้ม
ตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปลายปี47
ตอนนี้ปาเข้าไปพิมพ์ครั้งที่50แล้ว
แถมยังติดbest seller 5อันดับแรกด้วย
ของเค้าดีจริงๆครับ
หนักแน่นในแนวทางviพันธ์แท้
-
- Verified User
- โพสต์: 7
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 37
ได้อ่านแล้วดีเหมือนกันครับให้กำลังใจดีคับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1598
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 40
เป็นหนังสือที่ดีอีกหนึ่งเล่ม
อย่ามัวติดกับเรื่องในอดีต กังวลกับเรื่องในอนาคต จนลืมว่าปัจจุบันต้องทำอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 41
พิมพ์ใหม่เป็นครั้งที่51
แต่รอบนี้"undervalue"มากๆ
เพราะซื้อผ่านcp7-11ได้ลดราคา
ซื้อของอะไรก็ได้ทุก40บาทแลกซื้อได้1เล่มราคา59บาท
ผมโซ้ยทีเดียว10เล่ม(ซื้อถั่วหมั่นหลีหม่ง40ถุง ถุงละ10บาท)
กะไว้แจกเพื่อนๆและครูบาอาจารย์ในโอกาสต่างๆ
แต่รอบนี้"undervalue"มากๆ
เพราะซื้อผ่านcp7-11ได้ลดราคา
ซื้อของอะไรก็ได้ทุก40บาทแลกซื้อได้1เล่มราคา59บาท
ผมโซ้ยทีเดียว10เล่ม(ซื้อถั่วหมั่นหลีหม่ง40ถุง ถุงละ10บาท)
กะไว้แจกเพื่อนๆและครูบาอาจารย์ในโอกาสต่างๆ
หนักแน่นในแนวทางviพันธ์แท้
-
- Verified User
- โพสต์: 304
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 43
ผมดูรายการmoney talk คืนวันอังคาร
เชิญคุณนิฐินาถมาออกรายการ
มีปัญหาคาใจที่พิธีกรไม่ได้ถามข้อนึงคือ
ไม่รู้ว่าหลังจากเกษียณจากงานประจำที่working diamond
ทำกิจกรรมเผยแพร่ธรรมมะเต็มตัวแล้ว
มีรายได้มาจากทางใดบ้าง
เพราะกิจกรรมหลายอย่างต้องใช้เงินแทบทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่ามาลงทุนหุ้นบ้างหรือไม่
ลูกของคุณนิฐินาถเป็นแฟนหนังสืออจ.นิเวศน์ด้วย
อายุแค่12ปี
ใครรู้ช่วยตอบทีครับ
เชิญคุณนิฐินาถมาออกรายการ
มีปัญหาคาใจที่พิธีกรไม่ได้ถามข้อนึงคือ
ไม่รู้ว่าหลังจากเกษียณจากงานประจำที่working diamond
ทำกิจกรรมเผยแพร่ธรรมมะเต็มตัวแล้ว
มีรายได้มาจากทางใดบ้าง
เพราะกิจกรรมหลายอย่างต้องใช้เงินแทบทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่ามาลงทุนหุ้นบ้างหรือไม่
ลูกของคุณนิฐินาถเป็นแฟนหนังสืออจ.นิเวศน์ด้วย
อายุแค่12ปี
ใครรู้ช่วยตอบทีครับ
หนักแน่นในแนวทางviพันธ์แท้
-
- Verified User
- โพสต์: 1734
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 45
คุณหมอประจวบประจวบ เขียน:ผมดูรายการmoney talk คืนวันอังคาร
เชิญคุณนิฐินาถมาออกรายการ
มีปัญหาคาใจที่พิธีกรไม่ได้ถามข้อนึงคือ
ไม่รู้ว่าหลังจากเกษียณจากงานประจำที่working diamond
ทำกิจกรรมเผยแพร่ธรรมมะเต็มตัวแล้ว
มีรายได้มาจากทางใดบ้าง
เพราะกิจกรรมหลายอย่างต้องใช้เงินแทบทั้งสิ้น
ไม่รู้ว่ามาลงทุนหุ้นบ้างหรือไม่
ลูกของคุณนิฐินาถเป็นแฟนหนังสืออจ.นิเวศน์ด้วย
อายุแค่12ปี
ใครรู้ช่วยตอบทีครับ
ผมเคยอ่านเจอ
คุณฐิตินาถได้ขายกิจการอัญมณีให้คนอื่นไปครับ
ได้เงินก้อนใหญ่มาจำนวนหนึ่ง
ซึ่งพอเพียงกับการยังชีพได้อย่างสบาย
นอกจากนั้น
ยอดขายหนังสือ สี่แสนหกหมืนเล่ม
น่าจะเป็นคำตอบ
ลองตีรายได้สุทธิต่ำที่สุด
ด้วยการเอา ๘๐ บาท คูณยอดขายครับ
:lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol: :lol:
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 46
อ่านแล้วครับ แต่เสียดายเล่มที่ผมมีมันพิมพ์ซ้ำไปบทนึงพอจบบทก็ข้ามมาบทใหม่เลย
หนังสือดีมากครับช่วยเตือนสติผมได้เยอะเลยครับ ทั้งที่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าใจเรื่องนี้แล้ว
แต่พอเวลาผ่านไปเราก็หลงลืมมัน จนรู้สึกว่าเราทำอะไรหายไป แต่ก็นึกไม่ออก
พอได้อ่านแล้วรู้เลยครับว่า นี่ไงสิ่งที่เราทำหายมาตั้งนาน :P
ผมชอบประโยคหนึ่งในหนังสือมากครับ กล่าวไว้ประมาณว่า
คนไทยเราแปลก ทั้งๆที่มีคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานานกว่า 2550 ปี
เรื่องการมีสติระลึกตัวอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ใส่ใจ
พอพวกฝรั่งพึ่งมาศึกษาพบเรื่อง EQ ซึ่งมันก็เรื่องเดียวกัน กลับเป็นที่ฮือฮา สนใจ
ต้องให้ฝรั่งเอาเรื่องที่เรารู้ดีกว่าเขามาสอนเราอีกที
หนังสือดีมากครับช่วยเตือนสติผมได้เยอะเลยครับ ทั้งที่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยเข้าใจเรื่องนี้แล้ว
แต่พอเวลาผ่านไปเราก็หลงลืมมัน จนรู้สึกว่าเราทำอะไรหายไป แต่ก็นึกไม่ออก
พอได้อ่านแล้วรู้เลยครับว่า นี่ไงสิ่งที่เราทำหายมาตั้งนาน :P
ผมชอบประโยคหนึ่งในหนังสือมากครับ กล่าวไว้ประมาณว่า
คนไทยเราแปลก ทั้งๆที่มีคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานานกว่า 2550 ปี
เรื่องการมีสติระลึกตัวอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ใส่ใจ
พอพวกฝรั่งพึ่งมาศึกษาพบเรื่อง EQ ซึ่งมันก็เรื่องเดียวกัน กลับเป็นที่ฮือฮา สนใจ
ต้องให้ฝรั่งเอาเรื่องที่เรารู้ดีกว่าเขามาสอนเราอีกที
-
- Verified User
- โพสต์: 28
- ผู้ติดตาม: 0
แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 48
อ่านจาก internet ได้ที่
http://www.kemtidchewit.com/contents_index.html
ถ้าจะ save เก็บไว้อ่านในเครื่อง ให้เก็บหน้าจอเป็นภาพ เช่น ใช้ print screen แล้วไป paste ใน program paint ( ใน menu program -> accessories -> paint )
แล้ว save file type .png
http://www.kemtidchewit.com/contents_index.html
ถ้าจะ save เก็บไว้อ่านในเครื่อง ให้เก็บหน้าจอเป็นภาพ เช่น ใช้ print screen แล้วไป paste ใน program paint ( ใน menu program -> accessories -> paint )
แล้ว save file type .png
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 50
ขอมาอัพให้ครับ
เพราะคิดเอาเองว่า เล่ม2(มี แต่ยังไม่ได้อ่าน)
หรือเล่มหลังจากนี้
ไม่ว่าจะใช้ชื่อทำนองนี้ หรือแบบอื่น
ก็ไม่น่าจะ "คลาสสิก " เท่าเล่มนี้
ต้องขอบคุณ อ.อ้อย
ที่ให้โอกาสผม ได้ปฏิปัติธรรมหลักสูตร คุณแม่สิริ
เป็นรุ่นสุดท้ายที่ท่านจัด
ท่านได้ให้สติ ตอบคำถามผมว่า
"เราไม่จำเป็นต้องทำตามความปรารถนาของใคร
แต่ ขอให้ฝึกสติ สติจะเป็นตัวบอกเราเองว่า
ควรทำ หรือ ไม่ทำอะไร อย่างไร"
เพราะคิดเอาเองว่า เล่ม2(มี แต่ยังไม่ได้อ่าน)
หรือเล่มหลังจากนี้
ไม่ว่าจะใช้ชื่อทำนองนี้ หรือแบบอื่น
ก็ไม่น่าจะ "คลาสสิก " เท่าเล่มนี้
ต้องขอบคุณ อ.อ้อย
ที่ให้โอกาสผม ได้ปฏิปัติธรรมหลักสูตร คุณแม่สิริ
เป็นรุ่นสุดท้ายที่ท่านจัด
ท่านได้ให้สติ ตอบคำถามผมว่า
"เราไม่จำเป็นต้องทำตามความปรารถนาของใคร
แต่ ขอให้ฝึกสติ สติจะเป็นตัวบอกเราเองว่า
ควรทำ หรือ ไม่ทำอะไร อย่างไร"
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 456
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 51
เข็มทิศชีวิตมีทั้งหมด3เล่มครับ
แต่เล่ม2และ3ไม่classเท่าเล่มแรก
ผมอ่านเล่ม2และ3ไม่จบดี
อ่านได้ค่อนเล่มก็วาง
คุณแม่ศิริ กรินชัยเสียชีวิตแล้วครับ
อ่านข่าวเจอไม่นานมานี้
ผมไม่เคยเจอตัวท่านจริงๆ
แต่ได้ยินชื่อท่านมานานมาก
จัดคอร์สปฏิบัตรธรรมเพื่อชาวพุทธ
คล้ายกับท่านโคเอนก้า
แต่ท่านหลังนี้ยังมีชีวิตอยู่
ได้ดูรายการพื้นที่ชีวิตทางไทยพีบีเอสเมื่อเร็วๆนี้
นิ้วกลมเคยพาไปพบและรับคำแนะนำการทำสมาธิ
แต่เล่ม2และ3ไม่classเท่าเล่มแรก
ผมอ่านเล่ม2และ3ไม่จบดี
อ่านได้ค่อนเล่มก็วาง
คุณแม่ศิริ กรินชัยเสียชีวิตแล้วครับ
อ่านข่าวเจอไม่นานมานี้
ผมไม่เคยเจอตัวท่านจริงๆ
แต่ได้ยินชื่อท่านมานานมาก
จัดคอร์สปฏิบัตรธรรมเพื่อชาวพุทธ
คล้ายกับท่านโคเอนก้า
แต่ท่านหลังนี้ยังมีชีวิตอยู่
ได้ดูรายการพื้นที่ชีวิตทางไทยพีบีเอสเมื่อเร็วๆนี้
นิ้วกลมเคยพาไปพบและรับคำแนะนำการทำสมาธิ
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 52
ครับ ท่าน prajuvb(ประจวบ?)
ผมได้มีโอกาสเข้าหลักสูตรคุณแม่สิริ 2ครั้ง
(ไม่เคยพบท่าน ดูแต่วิดีโอ)
สารภาพว่าจริตผมเป็นคนละแบบกะหลักสูตร
แต่ครั้งล่าสุดไปลองของท่านโคเอนก้า
ปรากฎว่าตรงจริตแฮะ
ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าไม่น่ารอด
ได้ยินชื่อท่านโคเอนก้าครั้งแรก
ตอนไปเข้าหลักสูตรกะอ.อ้อยนี่แหละ
มีอาจารย์หมอhematoศิริราช มาพูดคุยช่วงเบรค
(ท่านเสียชีวิตไปแล้วเหมือนกันจากca lung)
ขออภัยครับ
คุยออกนอกเรื่องร้อยคนร้อยเล่มมากไปหน่อย
ผมได้มีโอกาสเข้าหลักสูตรคุณแม่สิริ 2ครั้ง
(ไม่เคยพบท่าน ดูแต่วิดีโอ)
สารภาพว่าจริตผมเป็นคนละแบบกะหลักสูตร
แต่ครั้งล่าสุดไปลองของท่านโคเอนก้า
ปรากฎว่าตรงจริตแฮะ
ทั้งๆที่ตอนแรกคิดว่าไม่น่ารอด
ได้ยินชื่อท่านโคเอนก้าครั้งแรก
ตอนไปเข้าหลักสูตรกะอ.อ้อยนี่แหละ
มีอาจารย์หมอhematoศิริราช มาพูดคุยช่วงเบรค
(ท่านเสียชีวิตไปแล้วเหมือนกันจากca lung)
ขออภัยครับ
คุยออกนอกเรื่องร้อยคนร้อยเล่มมากไปหน่อย
- Pinocchio
- Verified User
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 53
ช่วงหลังๆ เห็นคุณฐิตินาถ เน้นอบรมคอร์สเรื่องจิตใต้สำนึก แนวของทางตะวันตกนะครับ
เป็นการดูและคลีนจิตที่ไร้สำนึก ใต้สำนึกตาม ซิกมุนต์ ฟรอย
ผมว่ามันค่อนข้างขัดกับตอนแรกที่คุณฐิตินาถเน้นด้านพุทธ โดยตรงอะครับ
เลยคิดว่าเป็นด้าน marketing มากเกินไป
อีกทั้งเข็มทิศเล่มหลังๆ ก็ไม่ค่อยให้ข้อคิดมากนักครับ เล่มแรกเยี่ยมสุดแล้ว
ส่วนการปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
ผมได้มีโอกาสปฏิบัติสองครั้งครับ
เป็นการปฏิบัติตามหลักของการเจริญสติแบบดูเวทนาครับ
ได้ปัญญาเยอะมากครับ จากหลักสูตรนี้
คิดว่าเป็นหลักสูตรที่ดีมากๆ ครับ
ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ เลย
สอนโดยจากเทปซึ่งไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า สอนครับ
เป็นการดูและคลีนจิตที่ไร้สำนึก ใต้สำนึกตาม ซิกมุนต์ ฟรอย
ผมว่ามันค่อนข้างขัดกับตอนแรกที่คุณฐิตินาถเน้นด้านพุทธ โดยตรงอะครับ
เลยคิดว่าเป็นด้าน marketing มากเกินไป
อีกทั้งเข็มทิศเล่มหลังๆ ก็ไม่ค่อยให้ข้อคิดมากนักครับ เล่มแรกเยี่ยมสุดแล้ว
ส่วนการปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
ผมได้มีโอกาสปฏิบัติสองครั้งครับ
เป็นการปฏิบัติตามหลักของการเจริญสติแบบดูเวทนาครับ
ได้ปัญญาเยอะมากครับ จากหลักสูตรนี้
คิดว่าเป็นหลักสูตรที่ดีมากๆ ครับ
ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ เลย
สอนโดยจากเทปซึ่งไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า สอนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 54
เป็นหนังสือที่ดีมากค่ะ ใช้ล้างใจและคลายปมปัญหาในใจให้คลี่คลายได้ยอดเยี่ยมค่ะ
เวลามีปัญหา...ก็พยายามพูดกับตัวเองวำซ้ำๆตามคุณฐิตินาถบอก
ว่า..ทุกปัญหาที่เกิดกับเรา ก็เพื่อส่งเราไปยังจุดที่ดีขึ้นเสมอ และเพื่อให้เราได้แสดงศักยภาพของตนเองได้เต็มที่และเด่นชัดยิ่งขึ้น
เวลามีปัญหา...ก็พยายามพูดกับตัวเองวำซ้ำๆตามคุณฐิตินาถบอก
ว่า..ทุกปัญหาที่เกิดกับเรา ก็เพื่อส่งเราไปยังจุดที่ดีขึ้นเสมอ และเพื่อให้เราได้แสดงศักยภาพของตนเองได้เต็มที่และเด่นชัดยิ่งขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 23
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 56
[quote="Pinocchio"]ช่วงหลังๆ เห็นคุณฐิตินาถ เน้นอบรมคอร์สเรื่องจิตใต้สำนึก แนวของทางตะวันตกนะครับ
เป็นการดูและคลีนจิตที่ไร้สำนึก ใต้สำนึกตาม ซิกมุนต์ ฟรอย
ผมว่ามันค่อนข้างขัดกับตอนแรกที่คุณฐิตินาถเน้นด้านพุทธ โดยตรงอะครับ
เลยคิดว่าเป็นด้าน marketing มากเกินไป
อีกทั้งเข็มทิศเล่มหลังๆ ก็ไม่ค่อยให้ข้อคิดมากนักครับ เล่มแรกเยี่ยมสุดแล้ว
ส่วนการปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
ผมได้มีโอกาสปฏิบัติสองครั้งครับ
เป็นการปฏิบัติตามหลักของการเจริญสติแบบดูเวทนาครับ
ได้ปัญญาเยอะมากครับ จากหลักสูตรนี้
คิดว่าเป็นหลักสูตรที่ดีมากๆ ครับ
ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ เลย
สอนโดยจากเทปซึ่งไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า สอนครับ[/quote]
ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ว่าจะตามหลักสูตรปฏิบัติอาจารย์โกเอ็นก้าได้ที่ไหน หรืออย่างไร
เป็นการดูและคลีนจิตที่ไร้สำนึก ใต้สำนึกตาม ซิกมุนต์ ฟรอย
ผมว่ามันค่อนข้างขัดกับตอนแรกที่คุณฐิตินาถเน้นด้านพุทธ โดยตรงอะครับ
เลยคิดว่าเป็นด้าน marketing มากเกินไป
อีกทั้งเข็มทิศเล่มหลังๆ ก็ไม่ค่อยให้ข้อคิดมากนักครับ เล่มแรกเยี่ยมสุดแล้ว
ส่วนการปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า
ผมได้มีโอกาสปฏิบัติสองครั้งครับ
เป็นการปฏิบัติตามหลักของการเจริญสติแบบดูเวทนาครับ
ได้ปัญญาเยอะมากครับ จากหลักสูตรนี้
คิดว่าเป็นหลักสูตรที่ดีมากๆ ครับ
ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ เลย
สอนโดยจากเทปซึ่งไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า สอนครับ[/quote]
ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ว่าจะตามหลักสูตรปฏิบัติอาจารย์โกเอ็นก้าได้ที่ไหน หรืออย่างไร
- bluemax
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 57
อยากให้ลองดูอีกมุมนึงด้วยนะครับ ข่าวอาจจะเก่าแล้ว แม้ว่าเนื้อหาในหนังสือดี แต่เค้าทำเป็นธุรกิจ ซึ่งบางครั้งเรื่องอย่างนี้มันไม่เข้าใครออกใคร สิ่งที่เค้าสอนในหนังสืออย่างนึง ชีวิตจริงเค้าก็อีกอย่างนึง
##ผมไม่ได้ขัดใคร แค่อยากสื่ออีกมุมมองนึง
-----------------------------------------------------------------------------------
ไฮโซดัง "ฐิตินาถ ณ พัทลุง"ยื่นโนติส "พระปราโมทย์"ขอคืนเงินบริจาค
กรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง นักเขียนชื่อดัง (ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต) กับพระปราโมทย์ ปาโมชโช(สันตยากร) และ นางอรนุช สันตยากร สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553 ฝ่ายน.ส.ฐิตินาถ ได้ให้สำนักงานกฎหมายเทพยื่นโนติ๊ส (คำร้องที่จะขอใช้สิทธิตามกฏหมาย) พร้อมกับเรียกร้องขอเงินบริจาคของนางสาวฐิตินาถและมารดาคืนจากพระปราโมทย์
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =00&catid=
ต่อท้าย #1 20 ก.ย. 2553, 8:14:38
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า "ฐิตินาถ"จดทะเบียนทำธุรกิจครั้งแรก ชื่อ บริษัท บอสตัน โปรเจค จำกัด เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2537 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรร ที่ตั้งเลขที่ 4/1 ซอย18 ถนนราษฎร์อุทิศ ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทำอยู่ 2 ปีก็จดทะเบียนเลิกกิจการ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2539
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถ ผลิตและจำหน่ายหนังสือเข็มทิศชีวิต ทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 5 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และที่ตั้งสำนักงานบัญชีเลขที่ 107 ซอยประเสริฐสิษฐ์ ถนนสุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ มีหุ้นส่วน 3 คน คือ น.ส. ฐิตินาถ นายพิชาญ มหาชนก นางศิริรัตน์ ต สุวรรณ
วันที่ 6 มีนาคม 2551 ก่อตั้ง บริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลิตและจำหน่ายหนังสือ ทุนเริ่มแรก 3 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ที่ตั้ง เลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา น.ส.ฐิตินาถ ถือหุ้น 66.6 % 2 นางศิริรัตน์ ต. สุวรรณ 33.3 %
ห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถ ผลประกอบการ
ปี 2551 มีรายได้ 22,901,062 บาท กำไรสุทธิ 2,995,754 บาท สินทรัพย์ 13,235,427 บาท
ปี 2550 รายได้ 9,631,526 บาท กำไรสุทธิ 476,831 บาท
ปี 2549 รายได้ 5,746,795 บาท กำไรสุทธิ 677,044 บาท
ปี 2548 รายได้ 12,901,645 บาท กำไรสุทธิ 2,028,224 บาท
ขณะที่บริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลประกอบการ ปี 2551 รายได้รวม 5,036,888 บาท กำไรสุทธิ 926,176 บาท สินทรัพย์ 7,138,504 บาท
หากรวมผลประกอบการปีล่าสุด (2551) ของ "อาศรมสารนาถ" กับ "เข็มทิศชีวิต" มีรายได้เกือบ 30 ล้าน
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =00&catid=
-----------------------------------------------------------------------------------
คู่แค้น“พระปราโมทย์” “ฐิตินาถ-บ้านอารีย์” WHO ARE YOU?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 8 ตุลาคม 2553 23:47 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณี “พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นั้น หลังผ่านเหตุการณ์ไปได้ระยะหนึ่ง สังคมเริ่มตั้งคำถามและบังเกิดความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาของบุคคลและองค์กรที่ได้ชื่อว่า “เป็นศัตรู” ของพระปราโมทย์ว่า พวกเขาเป็นใครมาจากไหน
พวกเขาที่ว่านั้น ประกอบไปด้วย หนึ่ง-น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต เล่ม 1 และเล่ม 2 และสอง-นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอกและประธานมูลนิธิบ้านอารีย์
เพราะในเมื่อพวกเขาประกาศตนเพื่อตรวจสอบคนอื่นด้วยข้อมูลที่ดุเด็ดเผ็ดมัด พวกเขาก็ต้องพร้อมที่จะต้องถูกตรวจสอบย้อนกลับเช่นกัน
ตัวตน “ฐิตินาถ”
สำหรับ น.ส.ฐิตินาถ แม้ขณะนี้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดชนิดเคลียร์คัตทุกประเด็นว่า แท้ที่จริงแล้ว ความไม่พอใจของ น.ส.ฐิตินาถที่มีต่อพระปราโมทย์นั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร เป็นเพราะความเสื่อมศรัทธา หรือปัญหาเรื่องแนวที่ดิน “บ้านอนาลโย” ของเธอที่พระปราโมทย์มาแก้ไขแบบแปลนด้วยการสร้างรั้วคอนกรีตเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจนสร้างความไม่พอใจให้ชนิดยากที่จะลบเลือน
แต่สิ่งที่สังคมอยากรู้ในเวลานี้ก็คือ น.ส.ฐิตินาถเป็นใครมาจากไหน และทำธุรกิจอะไรมาบ้าง
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า "ฐิตินาถ"จดทะเบียนทำธุรกิจครั้งแรก ชื่อ บริษัท บอสตัน โปรเจค จำกัด เมื่อวันที่ 19 ส.ค.37 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรร ที่ตั้งเลขที่ 4/1 ซอย18 ถ.ราษฎร์อุทิศ ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทำอยู่ 2 ปีก็จดทะเบียนเลิกกิจการ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.39
วันที่ 2 พ.ย.47 ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถ ผลิตและจำหน่ายหนังสือเข็มทิศชีวิต ทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 5 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ต.ท่าสะอ้าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และที่ตั้งสำนักงานบัญชีเลขที่ 107 ซ.ประเสริฐสิษฐ์ ถ.สุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ มีหุ้นส่วน 3 คน คือ น.ส. ฐิตินาถ นายพิชาญ มหาชนก นางศิริรัตน์ ต สุวรรณ
วันที่ 6 มี.ค.51 ก่อตั้งบริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลิตและจำหน่ายหนังสือ ทุนเริ่มแรก 3 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ที่ตั้ง เลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ต.ท่าสะอ้าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา น.ส.ฐิตินาถ ถือหุ้น 66.6 % 2 นางศิริรัตน์ ต. สุวรรณ 33.3 %
ทั้งนี้ นางศิริรัตน์ ต. สุวรรณ เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช และ นางศิริรัตน์ และ นายชยธร ต. สุวรรณ เพิ่งก่อตั้งบริษัท เข็มทิศหัวใจ จำกัด เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการ ผลิตและจำหน่ายหนังสือ, สื่อการเรียนการสอน ทุกชนิด ส่วนนายพิชาญ มหาชนก เป็นเจ้าของบริษัท ซี.เอ็ม.เจ.แองเคอร์ จำกัด บริษัท สติมา จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์ และ หจก. เอส ซี วีดีโอ จำหน่าย ภาพยนตร์ วีดีโอ
สำหรับห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถนั้น ต้องบอกว่า มีผลประกอบการที่น่าสนใจทีเดียว กล่าวคือ ปี 2551 มีรายได้ 22,901,062 บาท กำไรสุทธิ 2,995,754 บาท สินทรัพย์ 13,235,427 บาท ปี 2550 รายได้ 9,631,526 บาท กำไรสุทธิ 476,831 บาท ปี 2549 รายได้ 5,746,795 บาท กำไรสุทธิ 677,044 บาท ปี 2548 รายได้ 12,901,645 บาท กำไรสุทธิ 2,028,224 บาท
ขณะที่บริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลประกอบการ ปี 2551 รายได้รวม 5,036,888 บาท กำไรสุทธิ 926,176 บาท สินทรัพย์ 7,138,504 บาท
ทั้งนี้ หากรวมผลประกอบการปีล่าสุด (2551) ของ "อาศรมสารนาถ" กับ "เข็มทิศชีวิต" มีรายได้เกือบ 30 ล้านบาททีเดียว และไม่นับรวมถึงบ้านเนื้อที่ขนาด 40 ไรที่ศรีราชาอีกต่างหาก
...ผลประกอบการดังกล่าวไม่มากมายอะไรเลย ถ้าหากเทียบกับสิ่งที่ น.ส.ฐิตินาถเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “คนที่มองว่าเงินเป็นเป้าหมายสูงสุด ความสุขทั้งหมดของชีวิตอยู่ที่เงิน พอหมดเงินก็หมดความสุข”
นอกจากนั้น หากค้นหาข้อมูลเก่าๆ ของเธอก็จะพบว่าเส้นทางชีวิตของเธอนั้นไม่ธรรมดา ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นเจ้าของธุรกิจเวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ซึ่งเป็นธุรกิจขายเพชรที่มีสาขาเล็กอยู่ในห้างสรรพสินค้าถึง 9 แห่งและกิจการโรงเรียนแฮปปี้คิดส์ ก่อนที่จะตัดสินใจขายทิ้งในเวลาต่อมา
รวมทั้งต้องเผชิญกับมรสุดชีวิตดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ต้องมาเจอหนี้ร้อยล้าน ภายหลังสามีตายอย่างกะทันหัน” แต่น.ส.ฐิตินาถสามารถใช้หนี้ร้อยกว่าล้านนั้นหมดภายในเวลา 2 ปีครึ่งอันเป็นผลมาจากการปฏิบัติธรรม
และการปฏิบัติธรรมของเธอนั้นก็ได้รับความเมตตาชี้แนะจาก พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช คนที่เธอขอเงินบริจาค 4.3 ล้านคืนอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
ตัวตน “มูลนิธิบ้านอารีย์”
นอกจาก น.ส.ฐิตินาถแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งตัวโจมตีพระปราโมทย์อย่างออกนอกหน้าก็คือ มูลนิธิบ้านอารีย์ ซึ่งก็ยังความสงสัยให้กับสังคมเช่นกันว่า มีเหตุผลกลใด มูลนิธิบ้านอารีย์เข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร และที่สำคัญคือมูลนิธิบ้านอารีย์เป็นใคร และโดยปกติแล้วมูลนิธิแห่งนี้ประกอบกิจกรรมอันใดกันบ้าง
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า มูลนิธิบ้านอารีย์เป็นส่วนหนึ่งของ “บางกอกสาส์น” หรือโรงพิมพ์บางกอก เจ้าของ “หนังสือบางกอก” และ “ทานตะวัน” ที่บรรดานักอ่านทั้งหลายรู้จักกันดีนั่นเอง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระปราโมทย์ บรรดากลุ่มลูกศิษย์ลูกหาก็มักจะมาพบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นประจำที่บริเวณร้านหนังสือที่ชื่อว่า “บานาน่า” ซึ่งเป็นเครือข่ายของบางกอกสาส์น จากนั้นก็ได้มีการเปิดบ้านอารีย์ขึ้นที่ด้านหลัง โดยใช้พื้นที่ทำเป็นห้องสมุดและใช้ชื่อว่า ห้องสมุดบ้านอารีย์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพื้นที่ให้พระปราโมทย์มาอบรมธรรมให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาหรือผู้ที่สนใจซึ่งเริ่มฝึกฝนใหม่ๆ กระทั่งกลายเป็นมูลนิธิบ้านอารีย์ในท้ายที่สุด
ปัจจุบันบันมูลนิธินี้มี นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอก เป็นประธานมูลนิธิบ้านอารีย์
สำหรับตัวนายวีรณัฐเองนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า นายวีรณัฐหรือ “ใหม่” เป็นคนที่เรียนเก่ง โดยหลังจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ แต่อยู่ได้ไม่นานนักเพราะปรับตัวไม่ได้เลยกลับมาทำงานด้านโรงแรมอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ศึกษาต่อระดับปริญญาโทอีก 2 ใบแต่เรียนไม่จบด้วยปัญหาบางประการ ก็เลยมาหุ้นกับเพื่อนคนละไม่กี่หมื่นเพื่อเปิดบริษัททำธุรกิจ
แต่ในที่สุดปัญหาก็เกิดขึ้นกับนายวีรณัฐอย่างหนัก เมื่อรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 40 ธุรกิจของเขาที่ต้องนำเข้าสินค้าต่างๆเช่น ทำการขายตรงผ่านสื่อทีวี ผ่านหนังสือ พวกเครื่องออกกำลังกาย ขายตามห้างต่างๆ ก็ถูกมรสมถาโถมเข้าใส่ เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีการลอยตัวค่าเงินบาท นายวีรณัฐได้ทำสัญญาซื้อขายเกี่ยวกับเงินดอลลาร์ไว้ พอลอยตัวค่าเงิน ทำให้มีผลต่างอยู่ประมาณ 10 กว่าล้าน
ส่งผลทำให้เขามีหนี้ทันที 10 กว่านั้นในขณะที่เขามีอายุได้แค่เพียงยี่สิบเศษๆ กระทั่งบังเกิดความทุกข์ถึงขนาดอยากจะฆ่าตัวตาย แต่เขาก็สามารถผ่านช่วงวิกฤตที่สุดในชีวิตตรงนั้นมาได้หลังจากตัดสินใจไปบวชพระเพื่อต้องการหาทางดับทุกข์ และบังเอิญพระพี่เลี้ยงให้หนังสือพุทธธรรมของพระพรหมคุณาภรณ์(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ซึ่งเมื่ออ่านตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายจบก็ได้ข้อสรุปว่า ศาสนาคือทางออกของชีวิตตัวเองเป็นแน่แท้
และในช่วงที่ศึกษาธรรมะนี้เองที่นายวีรณัฐมาเจอข้อเขียนของคุณ ‘สันตินันท์’ (หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน) และบังเกิดเลื่อมใส ซึ่งทราบว่าพระปราโมทย์ไปศาลาลุงชิน ก็ไปดักรอพบที่นั่นพร้อมๆ กับ ‘ดังตฤณ’ จากนั้นก็ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรื่อยมา และถ้าจะว่าไปแล้วที่บ้านอารีย์นั้น ครั้งหนึ่งนายวีรณัฐเคยประกาศว่า จะให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องการเจริญสติตามแนวทางครูบาอาจารย์ของเขา ซึ่งก็คือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ก่อนที่จะเกิดการแตกหักกระทั่งนำไปสู่การกล่าวหาต่างๆ นานาดังที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งก็ยังเป็นที่สงสัยกันว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังของการแตกหักในครั้งนี้คืออะไร
“ถามว่า ความเป็นมูลนิธิบ้านอารีย์มีอะไรที่ผิดสังเกตไหม เท่าที่รู้จักกันมาเขาก็บริสุทธิ์ใจต่อพุทธศาสนา เวลาทำอะไรเขาก็ระวังเรื่องบาปเยอะ เท่าที่เคยคบกับเขามาช่วงนั้นนะครับ ส่วนเรื่องผลประโยชน์ผมว่ามันไม่ใช่ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยรวมทั้งคุณดนัย จันทร์เจ้าฉายเอง ซึ่งทำสื่อสิ่งพิมพ์ โอกาสที่จะยุ่งเกี่ยวกันยิ่งไม่มีใหญ่เลย เพราะว่าหนังสือไม่ได้พิมพ์จากทางของเขาเลย เรื่องคุณดนัยมีแค่เรื่องงดกิจนิมนต์ แล้วก็ถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์แค่นั้นเอง เป็นที่ปรึกษา ผลประโยชน์ระหว่างกันมันไม่มี”
“ผมว่ามันเกี่ยวกับศรัทธาส่วนตัวของเขาที่มีต่อหลวงพ่อปราโมทย์ และความที่ว่าฟังจากคนอื่นหลายๆ ทางแล้วก็มาเทียบเคียงเอาเองว่า สิ่งที่หลวงพ่อแนะนำไป หรือสอนอะไรไป มันไม่น่าจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเอาเข้าไปถึงแก่นธรรมที่หลวงพ่อท่านแนะแนวก็ได้ โดยอย่าไปดูตรงที่ว่าหลวงพ่อสอนใครแบบว่าถาม-ตอบโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีได้ยินกันอย่างนั้น เพราะว่าการถามตอบมันเป็นเฉพาะตัวบุคคล แต่ถ้าพูดถึงหลักที่ท่านสอนออกมาโดยภาพรวมแล้ว ใครเข้าไปได้ถึงแก่น ผมก็ว่าสิ่งตรงนั้นมันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้นั้นได้ในทางการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติภาวนา แต่ถ้าใครออกมาจับเอาแค่ประเด็นปลีกย่อย การที่คนหนึ่งถามท่าน แล้วท่านตอบไปสำหรับคนนั้น แล้วเอามาบอกว่าสิ่งที่ท่านตอบกับคนนั้นมันกลายเป็นภาพรวมของทั้งหมด ผมว่าอย่างนั้นคงไม่ถูกต้องเท่าไหร่ พอเวลาคุณถามปัญหากับอาจารย์ที่สอนอยู่ แล้วท่านก็ตอบคำถามของคุณในแนวที่คุณเข้าใจ แต่ในห้องตรงนั้นมันมีคนมากกว่าคุณอยู่ประมาณสักสอง-สามร้อยคน ห้าสิบคน-แปดสิบคน ซึ่งเขาไม่มีปัญหาแบบคุณ แต่เขาได้ยินพร้อมๆ กับคุณ ตรงนั้นที่มันจะเป็นการที่ว่า เฮ้ย สิ่งที่ท่านสอนออกมา ความเข้าใจของคุณ คุณจะเคลียร์ แต่คนอื่นเขาจะไม่เคลียร์เหมือนคุณ เพราะปัญหาเขาไม่เหมือนคุณ”แหล่งข่าวที่เคยสัมผัสกับมูลนิธิบ้านอารีย์ นายดนัย จันทร์เจ้าฉายและหลวงพ่อปราโมทย์รายหนึ่งตั้งข้อสังเกตทิ้งท้าย
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000141908
-----------------------------------------------------------------------------------
Dhammada News : บทสรุปพระปราโมทย์ VS ฐิตินาถ เมื่อวิถีแห่งความรู้แจ้งลอกคราบ “เข็มทิศชีวิต” โดย ASTV รายสัปดาห์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณี “พระปราโมทย์ ปาโมชโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้นั้น ถ้าหากจะมองด้วยใจที่เป็น “ธรรม” คงต้องแยกแยะปฐมเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมดออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือส่วนของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา
จากนั้นก็มาแยกแยะทีละประเด็นถึงเหตุผลของแต่ละฝ่ายว่า ใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
กล่าวคือ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาคือตัวของพระปราโมทย์เองนั้นมีข้อกล่าวหาที่จะต้องตอบคำถามอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย
หนึ่ง-ข้อกล่าวหาในเรื่องทรัพย์สินที่ยักย้ายถ่ายเทให้กับ “แม่ชีอรนุช สันตยากร” อดีตภรรยา
สอง-ข้อกล่าวหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช
และสาม-ข้อกล่าวหาในเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม
ขณะที่ในส่วนของ “ผู้กล่าวหา” ที่นำโดย น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอกและประธานมูลนิธิบ้านเอื้ออารีย์ รวมทั้งนายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ก็มีประเด็นที่จะต้องชี้แจงให้กับสังคมเช่นกันว่า มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เพราะการที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ออกมาโจมตีพระปราโมทย์ด้วยข้อกล่าวหาที่หนักหนาสาหัส 3 ข้อพร้อมกับยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
เนื่องเพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกศิษย์และได้รับผลประโยชน์จากการเป็นลูกศิษย์ของพระปราโมทย์ไปไม่น้อย
**หักเข็มทิศครั้งที่ 1
ที่ดิน-เงินไร้ปัญหา
เริ่มต้นจากตัวพระปราโมทย์เองนั้น ถ้าหากพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ก็ต้องบอกว่า เรื่องที่นำมาแฉโพย พระปราโมทย์ ยังไม่มีหลักฐานเด็ดหรือหมัดน็อกที่ทำให้จนมุมเลยแม้แต่ข้อเดียว
สำหรับประเด็นแรกคือ กรณีเรื่องที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นคนดูแลบัญชีนั้น สิ่งที่น่าจะตอบคำถามทั้งหมด ก็น่าจะเป็นการที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุชัดว่า การที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นผู้ถือบัญชีถือว่าไม่ผิดวินัยสงฆ์ ส่วนเรื่องที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องเช่นกัน
หรือดังเช่นที่ “นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์” เพื่อนร่วมรุ่นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ของพระปราโมทย์ที่ให้ความเห็นว่า “การตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นมาอุทิศตนสามีบวชพระ ภรรยาบวชชี และอยู่กินกันมากับภรรยาก็คงไม่รู้จะใส่ชื่อใครเพราะเป็นพระจะถือครองที่ดินไม่ได้ จะไปใส่ชื่อคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะนำไปขายเมื่อไหร่ แล้วคนอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องอาศัยที่ตรงนั้นจะทำอย่างไรแล้วเงินที่บริจาคมาจะไว้ใจใครได้นอกจากคนที่เชื่อถือกันมากที่สุด”
ขณะเดียวกันเมื่อรับฟังคำชี้แจงของนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของพระปราโมทย์ก็ต้องบอกว่าเป็นเหตุเป็นผลไม่น้อย
นายธนเดชอธิบายว่า ในช่วงของการซื้อที่ดิน น.ส.ฐิตินาถ ได้ร้องขอเป็นผู้ซื้อที่ดิน แต่ทางพระปราโมทย์ขอให้ใช้ชื่อของแม่ชีอรนุช เนื่องจากว่า ไว้วางใจมากกว่า จึงทำให้มีชื่อของแม่ชีอรนุช เป็นเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 มิใช่การโอนถ่ายให้แก่แม่ชีอรนุชในภายหลังแต่อย่างใด ส่วนการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และตลอดจนการดำเนินงานของสวนสันติธรรมได้กระทำอย่างโปร่งใส มีบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ได้เข้ามารับรู้และทราบเรื่องเป็นจำนวนมาก
ด้านการบริหารเงินที่ได้รับบริจาคมาของสวนสันติธรรม แม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว โดยในระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของแม่ชีอรนุชร่วมกับ น.ส.ฐิตินาถ ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดย น.ส.ฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่ายเนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และนายธนา รุจิพัฒนกุล เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย และในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของแม่ชีอรนุชและ น.ส.ฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม
ส่วนระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้าง น.ส.ฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว แม่ชีอรนุชจึงต้องรับภาระดูแลบัญชีตามลำพัง ในช่วงธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจาก น.ส.ฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อ 22 ส.ค.51 ในนามของแม่ชีอรนุช นายอภิชาติ อัศวเรืองชัย และน.ส.ชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้นายอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย อย่างไรก็ตามตั้งแต่นายอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อ 15 ม.ค.53 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด
นายธนเดชชี้แจงด้วยว่า สำหรับระยะปัจจุบัน เมื่อ 18 ก.พ.53 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของนายสุรพล สายพานิช นายธนา รุจิพัฒนกุล และ น.ส.กนิษฐวิริยา ต.สุวรรณ ทั้งนี้แม่ชีอรนุชทำหน้าที่เพียงการควบคุมการเบิกจ่ายเงินสดย่อย และสรุปยอดบัญชีรายเดือนส่งให้นายสุรพล ซึ่งได้จ้างนักบัญชีตรวจสอบบัญชีอีกชั้นหนึ่งด้วย
นี่คือความกระจ่างชัดจากคำตอบที่มาจากพระปราโมทย์
และตอกย้ำกันที่ผลการตรวจสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่สรุปข้อเท็จจริงเรื่องที่ดินและเงินของสวนสันติธรรมว่า จากรายงานของผู้อำนวยการ พศ.จังหวัด คณะกรรมการชุดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ตั้งขึ้นมา สรุปผลออกมาเรียบร้อยแล้วใน 2 ประเด็น คือ เรื่องเงินเรื่องและที่ดิน
กล่าวสำหรับเรื่องเงิน คณะกรรมการสรุปว่า มีการนำบัญชีรายรับรายจ่ายมาแสดงให้ดูอย่างถูกต้องตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 ส่วนเรื่องที่ดินที่ต้องให้มีบุคคลถือครองที่ดินเพราะความมุ่งหมายเดิมต้องการเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นวัด ต่อมามีความพร้อมจึงยื่นขอจดทะเบียนเป็นวัดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากได้รับอนุญาต ภายใน 5 ปี จะต้องดำเนินการก่อสร้างวัด และขออนุญาตตั้งชื่อวัด และในเวลานั้น จึงต้องแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นชื่อวัด
สรุปก็คือ สวนสันติธรรมที่มีมีเงินเหลืออยู่ในขณะนี้ทั้งหมด 21,154,992.10 บาทไม่ได้มีปัญหาตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด
ทว่า ปัญหาดูเหมือนจะไม่จบลงเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้กล่าวหาซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ย.โดยในเอกสารประกอบการแถลงข่าว นายเทิดศักดิ์ได้ตั้งคำถามอีกว่า บัญชีเงินฝากของสวนสันติธรรมมีเพียง 21 ล้านบาทใน 7บัญชีเท่านั้น ใช่หรือไม่ ถ้ามีเพิ่มจากบัญชีในชื่อนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยา หรือ การตกแต่งบัญชีเงินบริจาค ถือเป็นการยักยอกหรือไม่ พร้อมทั้งยังระบุอีกว่า มีบัญชีเงินฝากในนามนางอรนุช 1 บัญชีที่ไม่ได้ถูกยื่นให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบ ในเบื้องต้นมีการตรวจสอบบัญชีรายรับ/จ่าย ของนายอภิชาต อัศวเรืองชัย พบว่า น่าจะมีบางรายการที่ไม่ได้ถูกรวมเข้ามาอยู่ในบัญชีรายรับ/จ่ายของสวนสันติธรรมด้วย ซึ่งจะนำให้ดีเอสไอพิจารณาต่อไป
สิ่งที่ผิดสังเกตก็คือ กลุ่มอดีตลูกศิษย์เหล่านี้ทำได้แค่เพียงตั้งข้อสงสัยและไม่ได้มีการนำหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมมาแสดงเพื่อให้เกิดความเชื่อถือแต่อย่างใด
**หักเข็มทิศครั้งที่ 2
ไร้หลักฐานโยงความสัมพันธ์แม่ชีอรนุช
ประเด็นที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชนั้น สิ่งที่พุทธศาสนิกชนต้องพึงทราบก็คือ แม้พระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชจะไม่ได้หย่าขาดกันทางกฎหมาย แต่ในทางธรรมแล้ว “ขนบ” และ “ประเพณี” ซึ่งเป็นที่รับรู้และปฏิบัติกันมาโดยตลอดก็คือ เมื่อมีการบรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนา และเป็นสมณเพศแล้ว ก็ถือเป็นการขาดจากกันในความสัมพันธ์ที่เคยมีมาในทางโลกไปด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อมีการพาสื่อมวลชนไปตรวจสอบกุฏิที่อาศัยระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช ก็จะเห็นว่า ตั้งอยู่ห่างกัน 120-130 เมตร ซึ่งก็เป็นระยะที่ห่างกันพอสมควร นอกจากนี้ยังมีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฏิของพระอุปัฏฐากอยู่ใกล้กุฏิพระปราโมทย์เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถเป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐากเพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์และแม่ชีอรนุชยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้านอนาลโยของ น.ส.ฐิตินาถก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง
เช่นเดียวกับปัญหาเรื่อง “เขตห้ามเข้า” ที่มีความพยายามที่จะตีประเด็นว่า มีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่จึงห้ามเข้า ก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่า เป็นเรื่องปกติของเขตพื้นที่ปฏิบัติธรรม เขตสังฆาวาสที่จะห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะที่สวนสันติธรรมเท่านั้น หากแต่วัดสายปฏิบัติเกือบทุกวันก็มีข้อห้ามเยี่ยงนี้เช่นกัน
**หักเข็มทิศครั้งที่ 3
ใครกันแน่อวดอุตริมนุสธรรม
ส่วนเรื่องการอวดอุตริมนุสสธรรมที่ฝ่ายผู้กล่าวหากำลังเร่งเครื่องอย่างหนักในเวลานี้นั้น ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะวินิจฉัยกันได้โดยง่าย หากแต่ต้องอาศัยผู้ทรงภูมิธรรมว่าวิเคราะห์กันทีละประเด็นว่าเข้าข่ายหรือไม่
ที่สำคัญคือหลักฐานที่ฝ่ายผู้กล่าวหานำมาแสดงเป็นคลิปเสียงต่างๆ ก็ไม่ได้นำมาแสดงทั้งหมด แต่ตัดเอามาจากบางส่วนบางตอนของคำเทศนา ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมที่จะกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมในทันที เพราะถ้าฟังคำเทศนาโดยรวม อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ซึ่งในประเด็นนี้ ก็คงต้องรอการพิสูจน์จากผลสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกันต่อไป
เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรมที่อ้างจากหนังสือ “วิมุตติปฏิปทา” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยระบุว่า “ผู้เขียน(ซึ่งหมายถึงพระปราโมทย์) ก็สามารถรู้สภาวะจิตของผู้อื่นได้เหมือนสภาวะจิตของตนเอง” ก็เป็นข้อกล่าวหาซึ่งผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงอดเศร้าใจไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พระปราโมทย์เขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นฆราวาส เขียนในนามปากกาที่ชื่อว่า “สันตินันท์”
ที่สำคัญคือการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการจัดพิมพ์ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 ก็เป็นการดำเนินการโดยลูกศิษย์ พระปราโมทย์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวแต่ประการใด
นอกจากนั้น ถ้าหันกลับไปพิจารณาจากคำให้การของลูกศิษย์ที่ยังคงศรัทธาในธรรมะและตัวหลวงพ่อปราโมทย์ก็จะพบว่า เป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม ดังเช่นในรายของ “สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา” ที่สรุปเอาไว้ว่า….”ในประเด็นอวดอุตริมนุสธรรมนั้น ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ เพราะเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่จะต้องดำเนินการ…..ผมเชื่อมั่นว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอนนั้น สามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ครับ เพราะหลวงพ่อสอนให้มีสติ มีจิตตั้งมั่นและหัดรู้รูปนามเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ซึ่งจากการได้ปฏิบัติตาม ก็เห็นไตรลักษณ์ได้จริงๆ”
ขณะที่เมื่อไปตรวจสอบผู้กล่าวหาคนสำคัญจากมูลนิธิบ้านอารีย์อย่าง “วีรณัฐ โรจนประภา” ที่ให้สัมภาษณ์ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ก็มีข้อให้ชวนให้ขบคิดเช่นกันเช่นกัน
“เท่าที่ผมสังเกตดู ก่อนหน้านี้จะไม่มีการดูจิตทายใจเป็นถี่ๆ หรือมากๆ แบบหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งเพิ่งจะมีมาตอนที่หลวงพ่อปราโมทย์มาสอนนี่แหละ ตอนแรกที่เรียนก็จะได้ผลดีจริงๆ อย่างที่ทุกคนประสบ อย่างผม เห็นญาติธรรมที่เข้ามาตั้งแต่วันแรกที่มีทุกข์ เข้ามาก็มาพึ่งธรรมะ พึ่งคำสอนในระบบนี้ไป สามเดือนห้าเดือนทุกข์จากคลาย มีความสุขมากขึ้น ผ่านไปปีนึ่งก็มีความอยากให้พ้นทุกข์ยิ่งๆ ขึ้น ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกภูมิใจ ดีใจที่ได้เผยแผ่การสอนในระบบนี้ แต่พอมาถึงช่วงหนึ่ง จุดหนึ่ง นานวันเข้า ความสุขอะไรก็ยังมีอยู่จริง แต่ว่าความอ่อนแอตามาด้วย คือทุกคนรอที่จะถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากหลวงพ่อปราโมทย์ท่าน”
และเมื่อถามว่าพิสูจน์จากอะไร
นายวีรณัฐตอบว่า “จากที่เวลารับกิจนิมนต์ คนจองคิวกันยาวเหยียด การสอบทานเรื่องการปฏิบัติก็ต้อมีการจับฉลากบัตร จัดคิว ระบบการเรียนการสอนเองที่พอเรียนเข้าจริงๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องบอกแต่ว่า วันเสาร์ไปส่งการบ้าน วันไหนไปให้หลวงพ่อตรวจ อันนี้ต้องให้หลวงพ่อดู ทั้งหลายทั้งปวงในระบบนี้ สุดท้ายเรากลับไปพึ่งความสามารถพิเศษของพระรูปหนึ่ง จุดนี้เองที่ผมทักท้วงไปว่า อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือ ที่ตอนหลังคนเรียนมีการพึ่งพิงตนเองได้น้อยลงขนาดนี้”
**เข็มทิศชีวิตที่หลงทาง
ของ “อ้อย-ฐิตินาถ”
ดังนั้น เมื่อประจักษ์พยานและหลักฐานปรากฏออกมาในลักษณะนี้ สังคมก็มีสิทธิที่จะย้อนกลับไปตั้งคำถามกับกลุ่มผู้กล่าวหาเช่นกัน เพราะถ้าย้อนกลับไปดูเส้นทางของคนเหล่านี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นกลุ่มที่เคยมีผลประโยชน์จากธรรมะของพระปราโมทย์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ฐิตินาถหรือมูลนิธิบ้านอารีย์
โดยเฉพาะน.ส.ฐิตินาถนั้น การที่เธอออกมาเรียกร้องขอคืนเงินบริจาค 4.3 ล้านบาท ที่ได้ร่วมก่อสร้างสวนสันติธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะที่ดินที่ซื้อมาด้วยเงินบริจาคนั้น พระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล ก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวเองว่าน่าจะเป็นเรื่องของความผิดหวังที่ไม่สามารถเป็น “เข็มทิศชีวิต” ให้กับสวนสันติธรรมและพระปราโมทย์ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
เพราะถ้า น.ส.ฐิตินาถสามารถดำรงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของพระปราโมทย์เหมือนเช่นที่ผ่านมา ดังที่เคยวางผังปลูก “บ้านอนาลโย” เอาไว้ใกล้ๆ กับกุฎิของพระปราโมทย์แล้ว คงไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ออกมาเป็นแน่แท้
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสวนสันติธรรมนั้น ก็มีประวัติที่ไม่ธรรมดาเพราะก่อนที่จะตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ ก็มีที่ดินอีกหลายแปลงที่เป็นทางเลือกและไม่ได้ยุ่งยากเหมือนกับที่ดินผืนนี้ เช่น ที่ดินที่จังหวัดนครนายกเป็นต้น
แต่เหตุที่มาลงเอยที่อำเภอศรีราชาก็เพราะมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” เป็นผู้อ้อนวอน ร้องขอ เป็นตัวตั้งตัวตีและเจ้ากี้เจ้าการอย่างผิดปกติ
ว่ากันว่า ข้ออ้างสำคัญที่ทำให้พระปราโมทย์ตัดสินใจซื้อก็เพราะมีข้ออ้างว่า “ได้มีการวางเงินไปแล้ว” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ขณะเดียวกัน คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณสวนสันติธรรม ถ้าสังเกตุให้ดีก็จะเห็น “ที่ดินผืนงาม” และ “ขนาดใหญ่” อีกผืนหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสวนสันติธรรมแห่งนี้ และผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” อีกเช่นเคย
ไม่มีใครรู้ว่า ที่ดินผืนนี้บังเอิญหรือเจตนามาอยู่ใกล้กับสวนสันติธรรมของพระปราโมทย์กันแน่ แต่วิญญูชนผู้มีใจเป็นธรรมคงสามารถคาดเดาได้ไม่ยากนักว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ที่น่าสนใจคือ ก่อนที่จะซื้อไม่มีปัญหา แต่หลังจากที่ซื้อแล้วกลับเกิดปัญหาขึ้น เมื่อพระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล เนื่องจาก “มีความไว้วางใจมากกว่า” ซึ่งหลายคนคาดเดาว่า นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นและกลายเป็นมูลเหตุของปัญหาที่เกิดกับสวนสันติธรรมในเวลาต่อมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้จะยังไม่มีบทสรุป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนหนังสือชื่อดังจะต้องกลับไปทบทวนตัวเองและตกผลึกความคิดของตัวเองอีกครั้งก็คือ เข็มทิศชีวิตที่ตัวเองเขียนขึ้นมาสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นจนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้น ทำไมถึงไม่สามารถเป็นเข็มทิศชีวิตให้เธอดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรได้
อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000138289
##ผมไม่ได้ขัดใคร แค่อยากสื่ออีกมุมมองนึง
-----------------------------------------------------------------------------------
ไฮโซดัง "ฐิตินาถ ณ พัทลุง"ยื่นโนติส "พระปราโมทย์"ขอคืนเงินบริจาค
กรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง นักเขียนชื่อดัง (ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต) กับพระปราโมทย์ ปาโมชโช(สันตยากร) และ นางอรนุช สันตยากร สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2553 ฝ่ายน.ส.ฐิตินาถ ได้ให้สำนักงานกฎหมายเทพยื่นโนติ๊ส (คำร้องที่จะขอใช้สิทธิตามกฏหมาย) พร้อมกับเรียกร้องขอเงินบริจาคของนางสาวฐิตินาถและมารดาคืนจากพระปราโมทย์
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =00&catid=
ต่อท้าย #1 20 ก.ย. 2553, 8:14:38
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า "ฐิตินาถ"จดทะเบียนทำธุรกิจครั้งแรก ชื่อ บริษัท บอสตัน โปรเจค จำกัด เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2537 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรร ที่ตั้งเลขที่ 4/1 ซอย18 ถนนราษฎร์อุทิศ ตำบลหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทำอยู่ 2 ปีก็จดทะเบียนเลิกกิจการ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2539
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถ ผลิตและจำหน่ายหนังสือเข็มทิศชีวิต ทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 5 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา และที่ตั้งสำนักงานบัญชีเลขที่ 107 ซอยประเสริฐสิษฐ์ ถนนสุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ มีหุ้นส่วน 3 คน คือ น.ส. ฐิตินาถ นายพิชาญ มหาชนก นางศิริรัตน์ ต สุวรรณ
วันที่ 6 มีนาคม 2551 ก่อตั้ง บริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลิตและจำหน่ายหนังสือ ทุนเริ่มแรก 3 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ที่ตั้ง เลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา น.ส.ฐิตินาถ ถือหุ้น 66.6 % 2 นางศิริรัตน์ ต. สุวรรณ 33.3 %
ห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถ ผลประกอบการ
ปี 2551 มีรายได้ 22,901,062 บาท กำไรสุทธิ 2,995,754 บาท สินทรัพย์ 13,235,427 บาท
ปี 2550 รายได้ 9,631,526 บาท กำไรสุทธิ 476,831 บาท
ปี 2549 รายได้ 5,746,795 บาท กำไรสุทธิ 677,044 บาท
ปี 2548 รายได้ 12,901,645 บาท กำไรสุทธิ 2,028,224 บาท
ขณะที่บริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลประกอบการ ปี 2551 รายได้รวม 5,036,888 บาท กำไรสุทธิ 926,176 บาท สินทรัพย์ 7,138,504 บาท
หากรวมผลประกอบการปีล่าสุด (2551) ของ "อาศรมสารนาถ" กับ "เข็มทิศชีวิต" มีรายได้เกือบ 30 ล้าน
http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... =00&catid=
-----------------------------------------------------------------------------------
คู่แค้น“พระปราโมทย์” “ฐิตินาถ-บ้านอารีย์” WHO ARE YOU?
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 8 ตุลาคม 2553 23:47 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณี “พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นั้น หลังผ่านเหตุการณ์ไปได้ระยะหนึ่ง สังคมเริ่มตั้งคำถามและบังเกิดความสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับประวัติและความเป็นมาของบุคคลและองค์กรที่ได้ชื่อว่า “เป็นศัตรู” ของพระปราโมทย์ว่า พวกเขาเป็นใครมาจากไหน
พวกเขาที่ว่านั้น ประกอบไปด้วย หนึ่ง-น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต เล่ม 1 และเล่ม 2 และสอง-นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอกและประธานมูลนิธิบ้านอารีย์
เพราะในเมื่อพวกเขาประกาศตนเพื่อตรวจสอบคนอื่นด้วยข้อมูลที่ดุเด็ดเผ็ดมัด พวกเขาก็ต้องพร้อมที่จะต้องถูกตรวจสอบย้อนกลับเช่นกัน
ตัวตน “ฐิตินาถ”
สำหรับ น.ส.ฐิตินาถ แม้ขณะนี้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดชนิดเคลียร์คัตทุกประเด็นว่า แท้ที่จริงแล้ว ความไม่พอใจของ น.ส.ฐิตินาถที่มีต่อพระปราโมทย์นั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร เป็นเพราะความเสื่อมศรัทธา หรือปัญหาเรื่องแนวที่ดิน “บ้านอนาลโย” ของเธอที่พระปราโมทย์มาแก้ไขแบบแปลนด้วยการสร้างรั้วคอนกรีตเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจนสร้างความไม่พอใจให้ชนิดยากที่จะลบเลือน
แต่สิ่งที่สังคมอยากรู้ในเวลานี้ก็คือ น.ส.ฐิตินาถเป็นใครมาจากไหน และทำธุรกิจอะไรมาบ้าง
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า "ฐิตินาถ"จดทะเบียนทำธุรกิจครั้งแรก ชื่อ บริษัท บอสตัน โปรเจค จำกัด เมื่อวันที่ 19 ส.ค.37 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจบ้านจัดสรร ที่ตั้งเลขที่ 4/1 ซอย18 ถ.ราษฎร์อุทิศ ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทำอยู่ 2 ปีก็จดทะเบียนเลิกกิจการ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.39
วันที่ 2 พ.ย.47 ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถ ผลิตและจำหน่ายหนังสือเข็มทิศชีวิต ทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 5 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ต.ท่าสะอ้าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และที่ตั้งสำนักงานบัญชีเลขที่ 107 ซ.ประเสริฐสิษฐ์ ถ.สุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ มีหุ้นส่วน 3 คน คือ น.ส. ฐิตินาถ นายพิชาญ มหาชนก นางศิริรัตน์ ต สุวรรณ
วันที่ 6 มี.ค.51 ก่อตั้งบริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลิตและจำหน่ายหนังสือ ทุนเริ่มแรก 3 แสนบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 1 ล้านบาท ที่ตั้ง เลขที่ 64/2 หมู่ที่ 7 ต.ท่าสะอ้าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา น.ส.ฐิตินาถ ถือหุ้น 66.6 % 2 นางศิริรัตน์ ต. สุวรรณ 33.3 %
ทั้งนี้ นางศิริรัตน์ ต. สุวรรณ เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช และ นางศิริรัตน์ และ นายชยธร ต. สุวรรณ เพิ่งก่อตั้งบริษัท เข็มทิศหัวใจ จำกัด เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการ ผลิตและจำหน่ายหนังสือ, สื่อการเรียนการสอน ทุกชนิด ส่วนนายพิชาญ มหาชนก เป็นเจ้าของบริษัท ซี.เอ็ม.เจ.แองเคอร์ จำกัด บริษัท สติมา จำกัด จำหน่ายเคมีภัณฑ์ และ หจก. เอส ซี วีดีโอ จำหน่าย ภาพยนตร์ วีดีโอ
สำหรับห้างหุ้นส่วนจำกัด อาศรมสารนาถนั้น ต้องบอกว่า มีผลประกอบการที่น่าสนใจทีเดียว กล่าวคือ ปี 2551 มีรายได้ 22,901,062 บาท กำไรสุทธิ 2,995,754 บาท สินทรัพย์ 13,235,427 บาท ปี 2550 รายได้ 9,631,526 บาท กำไรสุทธิ 476,831 บาท ปี 2549 รายได้ 5,746,795 บาท กำไรสุทธิ 677,044 บาท ปี 2548 รายได้ 12,901,645 บาท กำไรสุทธิ 2,028,224 บาท
ขณะที่บริษัท เข็มทิศชีวิต จำกัด ผลประกอบการ ปี 2551 รายได้รวม 5,036,888 บาท กำไรสุทธิ 926,176 บาท สินทรัพย์ 7,138,504 บาท
ทั้งนี้ หากรวมผลประกอบการปีล่าสุด (2551) ของ "อาศรมสารนาถ" กับ "เข็มทิศชีวิต" มีรายได้เกือบ 30 ล้านบาททีเดียว และไม่นับรวมถึงบ้านเนื้อที่ขนาด 40 ไรที่ศรีราชาอีกต่างหาก
...ผลประกอบการดังกล่าวไม่มากมายอะไรเลย ถ้าหากเทียบกับสิ่งที่ น.ส.ฐิตินาถเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “คนที่มองว่าเงินเป็นเป้าหมายสูงสุด ความสุขทั้งหมดของชีวิตอยู่ที่เงิน พอหมดเงินก็หมดความสุข”
นอกจากนั้น หากค้นหาข้อมูลเก่าๆ ของเธอก็จะพบว่าเส้นทางชีวิตของเธอนั้นไม่ธรรมดา ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นเจ้าของธุรกิจเวิร์คกิ้ง ไดมอนด์ซึ่งเป็นธุรกิจขายเพชรที่มีสาขาเล็กอยู่ในห้างสรรพสินค้าถึง 9 แห่งและกิจการโรงเรียนแฮปปี้คิดส์ ก่อนที่จะตัดสินใจขายทิ้งในเวลาต่อมา
รวมทั้งต้องเผชิญกับมรสุดชีวิตดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ต้องมาเจอหนี้ร้อยล้าน ภายหลังสามีตายอย่างกะทันหัน” แต่น.ส.ฐิตินาถสามารถใช้หนี้ร้อยกว่าล้านนั้นหมดภายในเวลา 2 ปีครึ่งอันเป็นผลมาจากการปฏิบัติธรรม
และการปฏิบัติธรรมของเธอนั้นก็ได้รับความเมตตาชี้แนะจาก พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช คนที่เธอขอเงินบริจาค 4.3 ล้านคืนอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
ตัวตน “มูลนิธิบ้านอารีย์”
นอกจาก น.ส.ฐิตินาถแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งตัวโจมตีพระปราโมทย์อย่างออกนอกหน้าก็คือ มูลนิธิบ้านอารีย์ ซึ่งก็ยังความสงสัยให้กับสังคมเช่นกันว่า มีเหตุผลกลใด มูลนิธิบ้านอารีย์เข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไร และที่สำคัญคือมูลนิธิบ้านอารีย์เป็นใคร และโดยปกติแล้วมูลนิธิแห่งนี้ประกอบกิจกรรมอันใดกันบ้าง
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า มูลนิธิบ้านอารีย์เป็นส่วนหนึ่งของ “บางกอกสาส์น” หรือโรงพิมพ์บางกอก เจ้าของ “หนังสือบางกอก” และ “ทานตะวัน” ที่บรรดานักอ่านทั้งหลายรู้จักกันดีนั่นเอง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระปราโมทย์ บรรดากลุ่มลูกศิษย์ลูกหาก็มักจะมาพบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นประจำที่บริเวณร้านหนังสือที่ชื่อว่า “บานาน่า” ซึ่งเป็นเครือข่ายของบางกอกสาส์น จากนั้นก็ได้มีการเปิดบ้านอารีย์ขึ้นที่ด้านหลัง โดยใช้พื้นที่ทำเป็นห้องสมุดและใช้ชื่อว่า ห้องสมุดบ้านอารีย์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพื้นที่ให้พระปราโมทย์มาอบรมธรรมให้กับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาหรือผู้ที่สนใจซึ่งเริ่มฝึกฝนใหม่ๆ กระทั่งกลายเป็นมูลนิธิบ้านอารีย์ในท้ายที่สุด
ปัจจุบันบันมูลนิธินี้มี นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอก เป็นประธานมูลนิธิบ้านอารีย์
สำหรับตัวนายวีรณัฐเองนั้น จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า นายวีรณัฐหรือ “ใหม่” เป็นคนที่เรียนเก่ง โดยหลังจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ แต่อยู่ได้ไม่นานนักเพราะปรับตัวไม่ได้เลยกลับมาทำงานด้านโรงแรมอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ศึกษาต่อระดับปริญญาโทอีก 2 ใบแต่เรียนไม่จบด้วยปัญหาบางประการ ก็เลยมาหุ้นกับเพื่อนคนละไม่กี่หมื่นเพื่อเปิดบริษัททำธุรกิจ
แต่ในที่สุดปัญหาก็เกิดขึ้นกับนายวีรณัฐอย่างหนัก เมื่อรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 40 ธุรกิจของเขาที่ต้องนำเข้าสินค้าต่างๆเช่น ทำการขายตรงผ่านสื่อทีวี ผ่านหนังสือ พวกเครื่องออกกำลังกาย ขายตามห้างต่างๆ ก็ถูกมรสมถาโถมเข้าใส่ เนื่องจากก่อนหน้าที่จะมีการลอยตัวค่าเงินบาท นายวีรณัฐได้ทำสัญญาซื้อขายเกี่ยวกับเงินดอลลาร์ไว้ พอลอยตัวค่าเงิน ทำให้มีผลต่างอยู่ประมาณ 10 กว่าล้าน
ส่งผลทำให้เขามีหนี้ทันที 10 กว่านั้นในขณะที่เขามีอายุได้แค่เพียงยี่สิบเศษๆ กระทั่งบังเกิดความทุกข์ถึงขนาดอยากจะฆ่าตัวตาย แต่เขาก็สามารถผ่านช่วงวิกฤตที่สุดในชีวิตตรงนั้นมาได้หลังจากตัดสินใจไปบวชพระเพื่อต้องการหาทางดับทุกข์ และบังเอิญพระพี่เลี้ยงให้หนังสือพุทธธรรมของพระพรหมคุณาภรณ์(ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ซึ่งเมื่ออ่านตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายจบก็ได้ข้อสรุปว่า ศาสนาคือทางออกของชีวิตตัวเองเป็นแน่แท้
และในช่วงที่ศึกษาธรรมะนี้เองที่นายวีรณัฐมาเจอข้อเขียนของคุณ ‘สันตินันท์’ (หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน) และบังเกิดเลื่อมใส ซึ่งทราบว่าพระปราโมทย์ไปศาลาลุงชิน ก็ไปดักรอพบที่นั่นพร้อมๆ กับ ‘ดังตฤณ’ จากนั้นก็ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรื่อยมา และถ้าจะว่าไปแล้วที่บ้านอารีย์นั้น ครั้งหนึ่งนายวีรณัฐเคยประกาศว่า จะให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เรื่องการเจริญสติตามแนวทางครูบาอาจารย์ของเขา ซึ่งก็คือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ก่อนที่จะเกิดการแตกหักกระทั่งนำไปสู่การกล่าวหาต่างๆ นานาดังที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งก็ยังเป็นที่สงสัยกันว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังของการแตกหักในครั้งนี้คืออะไร
“ถามว่า ความเป็นมูลนิธิบ้านอารีย์มีอะไรที่ผิดสังเกตไหม เท่าที่รู้จักกันมาเขาก็บริสุทธิ์ใจต่อพุทธศาสนา เวลาทำอะไรเขาก็ระวังเรื่องบาปเยอะ เท่าที่เคยคบกับเขามาช่วงนั้นนะครับ ส่วนเรื่องผลประโยชน์ผมว่ามันไม่ใช่ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยรวมทั้งคุณดนัย จันทร์เจ้าฉายเอง ซึ่งทำสื่อสิ่งพิมพ์ โอกาสที่จะยุ่งเกี่ยวกันยิ่งไม่มีใหญ่เลย เพราะว่าหนังสือไม่ได้พิมพ์จากทางของเขาเลย เรื่องคุณดนัยมีแค่เรื่องงดกิจนิมนต์ แล้วก็ถอนตัวออกจากการเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์แค่นั้นเอง เป็นที่ปรึกษา ผลประโยชน์ระหว่างกันมันไม่มี”
“ผมว่ามันเกี่ยวกับศรัทธาส่วนตัวของเขาที่มีต่อหลวงพ่อปราโมทย์ และความที่ว่าฟังจากคนอื่นหลายๆ ทางแล้วก็มาเทียบเคียงเอาเองว่า สิ่งที่หลวงพ่อแนะนำไป หรือสอนอะไรไป มันไม่น่าจะอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าเอาเข้าไปถึงแก่นธรรมที่หลวงพ่อท่านแนะแนวก็ได้ โดยอย่าไปดูตรงที่ว่าหลวงพ่อสอนใครแบบว่าถาม-ตอบโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีได้ยินกันอย่างนั้น เพราะว่าการถามตอบมันเป็นเฉพาะตัวบุคคล แต่ถ้าพูดถึงหลักที่ท่านสอนออกมาโดยภาพรวมแล้ว ใครเข้าไปได้ถึงแก่น ผมก็ว่าสิ่งตรงนั้นมันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้นั้นได้ในทางการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติภาวนา แต่ถ้าใครออกมาจับเอาแค่ประเด็นปลีกย่อย การที่คนหนึ่งถามท่าน แล้วท่านตอบไปสำหรับคนนั้น แล้วเอามาบอกว่าสิ่งที่ท่านตอบกับคนนั้นมันกลายเป็นภาพรวมของทั้งหมด ผมว่าอย่างนั้นคงไม่ถูกต้องเท่าไหร่ พอเวลาคุณถามปัญหากับอาจารย์ที่สอนอยู่ แล้วท่านก็ตอบคำถามของคุณในแนวที่คุณเข้าใจ แต่ในห้องตรงนั้นมันมีคนมากกว่าคุณอยู่ประมาณสักสอง-สามร้อยคน ห้าสิบคน-แปดสิบคน ซึ่งเขาไม่มีปัญหาแบบคุณ แต่เขาได้ยินพร้อมๆ กับคุณ ตรงนั้นที่มันจะเป็นการที่ว่า เฮ้ย สิ่งที่ท่านสอนออกมา ความเข้าใจของคุณ คุณจะเคลียร์ แต่คนอื่นเขาจะไม่เคลียร์เหมือนคุณ เพราะปัญหาเขาไม่เหมือนคุณ”แหล่งข่าวที่เคยสัมผัสกับมูลนิธิบ้านอารีย์ นายดนัย จันทร์เจ้าฉายและหลวงพ่อปราโมทย์รายหนึ่งตั้งข้อสังเกตทิ้งท้าย
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000141908
-----------------------------------------------------------------------------------
Dhammada News : บทสรุปพระปราโมทย์ VS ฐิตินาถ เมื่อวิถีแห่งความรู้แจ้งลอกคราบ “เข็มทิศชีวิต” โดย ASTV รายสัปดาห์
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กรณี “พระปราโมทย์ ปาโมชโช” เจ้าสำนักสวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่ตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในขณะนี้นั้น ถ้าหากจะมองด้วยใจที่เป็น “ธรรม” คงต้องแยกแยะปฐมเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมดออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือส่วนของผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา
จากนั้นก็มาแยกแยะทีละประเด็นถึงเหตุผลของแต่ละฝ่ายว่า ใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน
กล่าวคือ ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาคือตัวของพระปราโมทย์เองนั้นมีข้อกล่าวหาที่จะต้องตอบคำถามอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย
หนึ่ง-ข้อกล่าวหาในเรื่องทรัพย์สินที่ยักย้ายถ่ายเทให้กับ “แม่ชีอรนุช สันตยากร” อดีตภรรยา
สอง-ข้อกล่าวหาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช
และสาม-ข้อกล่าวหาในเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรม
ขณะที่ในส่วนของ “ผู้กล่าวหา” ที่นำโดย น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต นายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบากกอกและประธานมูลนิธิบ้านเอื้ออารีย์ รวมทั้งนายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ก็มีประเด็นที่จะต้องชี้แจงให้กับสังคมเช่นกันว่า มีเบื้องหน้าและเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เพราะการที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ออกมาโจมตีพระปราโมทย์ด้วยข้อกล่าวหาที่หนักหนาสาหัส 3 ข้อพร้อมกับยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
เนื่องเพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยเป็นลูกศิษย์และได้รับผลประโยชน์จากการเป็นลูกศิษย์ของพระปราโมทย์ไปไม่น้อย
**หักเข็มทิศครั้งที่ 1
ที่ดิน-เงินไร้ปัญหา
เริ่มต้นจากตัวพระปราโมทย์เองนั้น ถ้าหากพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ก็ต้องบอกว่า เรื่องที่นำมาแฉโพย พระปราโมทย์ ยังไม่มีหลักฐานเด็ดหรือหมัดน็อกที่ทำให้จนมุมเลยแม้แต่ข้อเดียว
สำหรับประเด็นแรกคือ กรณีเรื่องที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นคนดูแลบัญชีนั้น สิ่งที่น่าจะตอบคำถามทั้งหมด ก็น่าจะเป็นการที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุชัดว่า การที่พระปราโมทย์มอบให้แม่ชีอรนุชเป็นผู้ถือบัญชีถือว่าไม่ผิดวินัยสงฆ์ ส่วนเรื่องที่ดินอันเป็นที่ตั้งของวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องเช่นกัน
หรือดังเช่นที่ “นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์” เพื่อนร่วมรุ่นรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ของพระปราโมทย์ที่ให้ความเห็นว่า “การตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นมาอุทิศตนสามีบวชพระ ภรรยาบวชชี และอยู่กินกันมากับภรรยาก็คงไม่รู้จะใส่ชื่อใครเพราะเป็นพระจะถือครองที่ดินไม่ได้ จะไปใส่ชื่อคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะนำไปขายเมื่อไหร่ แล้วคนอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องอาศัยที่ตรงนั้นจะทำอย่างไรแล้วเงินที่บริจาคมาจะไว้ใจใครได้นอกจากคนที่เชื่อถือกันมากที่สุด”
ขณะเดียวกันเมื่อรับฟังคำชี้แจงของนายธนเดช พ่วงพูล ทนายความของพระปราโมทย์ก็ต้องบอกว่าเป็นเหตุเป็นผลไม่น้อย
นายธนเดชอธิบายว่า ในช่วงของการซื้อที่ดิน น.ส.ฐิตินาถ ได้ร้องขอเป็นผู้ซื้อที่ดิน แต่ทางพระปราโมทย์ขอให้ใช้ชื่อของแม่ชีอรนุช เนื่องจากว่า ไว้วางใจมากกว่า จึงทำให้มีชื่อของแม่ชีอรนุช เป็นเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2548 มิใช่การโอนถ่ายให้แก่แม่ชีอรนุชในภายหลังแต่อย่างใด ส่วนการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้าง และตลอดจนการดำเนินงานของสวนสันติธรรมได้กระทำอย่างโปร่งใส มีบุคคลต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ได้เข้ามารับรู้และทราบเรื่องเป็นจำนวนมาก
ด้านการบริหารเงินที่ได้รับบริจาคมาของสวนสันติธรรม แม่ชีอรนุชไม่ใช่ผู้ดูแลบัญชีเงินรับบริจาคแต่เพียงผู้เดียว โดยในระยะก่อสร้างสวนสันติธรรม เบื้องต้นมีการเปิดบัญชีเพื่อสร้างสวนสันติธรรมในนามของแม่ชีอรนุชร่วมกับ น.ส.ฐิตินาถ ซึ่งการลงนามเบิกเงินจะต้องลงนามร่วมกัน โดย น.ส.ฐิตินาถจะเป็นผู้ขอเบิกจ่ายเนื่องจากเป็นผู้ดูแลการก่อสร้าง และนายธนา รุจิพัฒนกุล เป็นผู้ถือสมุดบัญชีเงินฝากและตรวจสอบรายรับรายจ่าย และในช่วงที่สวนสันติธรรมเปิดการแสดงธรรมแล้ว มีการเปิดบัญชีอีกบัญชีหนึ่งในนามของแม่ชีอรนุชและ น.ส.ฐิตินาถร่วมกัน เพื่อดูแลเงินที่สาธุชนถวายสงฆ์เพื่อบำรุงสวนสันติธรรม
ส่วนระยะหลังการก่อสร้าง ในช่วงท้ายของการก่อสร้าง น.ส.ฐิตินาถวางมือเนื่องจากมีภาระส่วนตัว แม่ชีอรนุชจึงต้องรับภาระดูแลบัญชีตามลำพัง ในช่วงธันวาคม 2549 เป็นต้นมา โดยปิดบัญชีสร้างสวนสันติธรรมเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ และปิดบัญชีบำรุงสวนสันติธรรมเดิมโดยถ่ายโอนเงินไปเปิดบัญชีใหม่ในนามของแม่ชีอรนุชตามลำพัง เนื่องจาก น.ส.ฐิตินาถไม่ได้อยู่ในสวนสันติธรรมแล้ว แต่การใช้จ่ายทุกอย่างมีหลักฐานการเบิกจ่ายทั้งสิ้น และต่อมาเมื่อมีเงินในบัญชีมากขึ้น สวนสันติธรรมจึงได้เปิดบัญชีธนาคารใหม่เมื่อ 22 ส.ค.51 ในนามของแม่ชีอรนุช นายอภิชาติ อัศวเรืองชัย และน.ส.ชยาทร เตชะไพบูลย์ และทุกสิ้นเดือน แม่ชีอรนุชจะทำบัญชีส่งให้นายอภิชาติเป็นหลักฐานด้วย อย่างไรก็ตามตั้งแต่นายอภิชาติลาออกจากการเป็นประธานกรรมการสวนสันติธรรมเมื่อ 15 ม.ค.53 ก็ไม่มีการเบิกเงินจากบัญชีนี้แต่อย่างใด
นายธนเดชชี้แจงด้วยว่า สำหรับระยะปัจจุบัน เมื่อ 18 ก.พ.53 มีการเปิดบัญชีใหม่ ในนามของนายสุรพล สายพานิช นายธนา รุจิพัฒนกุล และ น.ส.กนิษฐวิริยา ต.สุวรรณ ทั้งนี้แม่ชีอรนุชทำหน้าที่เพียงการควบคุมการเบิกจ่ายเงินสดย่อย และสรุปยอดบัญชีรายเดือนส่งให้นายสุรพล ซึ่งได้จ้างนักบัญชีตรวจสอบบัญชีอีกชั้นหนึ่งด้วย
นี่คือความกระจ่างชัดจากคำตอบที่มาจากพระปราโมทย์
และตอกย้ำกันที่ผลการตรวจสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่สรุปข้อเท็จจริงเรื่องที่ดินและเงินของสวนสันติธรรมว่า จากรายงานของผู้อำนวยการ พศ.จังหวัด คณะกรรมการชุดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ตั้งขึ้นมา สรุปผลออกมาเรียบร้อยแล้วใน 2 ประเด็น คือ เรื่องเงินเรื่องและที่ดิน
กล่าวสำหรับเรื่องเงิน คณะกรรมการสรุปว่า มีการนำบัญชีรายรับรายจ่ายมาแสดงให้ดูอย่างถูกต้องตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคม 2553 ส่วนเรื่องที่ดินที่ต้องให้มีบุคคลถือครองที่ดินเพราะความมุ่งหมายเดิมต้องการเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นวัด ต่อมามีความพร้อมจึงยื่นขอจดทะเบียนเป็นวัดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งหากได้รับอนุญาต ภายใน 5 ปี จะต้องดำเนินการก่อสร้างวัด และขออนุญาตตั้งชื่อวัด และในเวลานั้น จึงต้องแจ้งโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เป็นชื่อวัด
สรุปก็คือ สวนสันติธรรมที่มีมีเงินเหลืออยู่ในขณะนี้ทั้งหมด 21,154,992.10 บาทไม่ได้มีปัญหาตามที่กล่าวหาแต่อย่างใด
ทว่า ปัญหาดูเหมือนจะไม่จบลงเท่านั้น เพราะกลุ่มผู้กล่าวหาซึ่งเป็นอดีตลูกศิษย์ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ย.โดยในเอกสารประกอบการแถลงข่าว นายเทิดศักดิ์ได้ตั้งคำถามอีกว่า บัญชีเงินฝากของสวนสันติธรรมมีเพียง 21 ล้านบาทใน 7บัญชีเท่านั้น ใช่หรือไม่ ถ้ามีเพิ่มจากบัญชีในชื่อนางอรนุช สันตยากร อดีตภรรยา หรือ การตกแต่งบัญชีเงินบริจาค ถือเป็นการยักยอกหรือไม่ พร้อมทั้งยังระบุอีกว่า มีบัญชีเงินฝากในนามนางอรนุช 1 บัญชีที่ไม่ได้ถูกยื่นให้กับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบ ในเบื้องต้นมีการตรวจสอบบัญชีรายรับ/จ่าย ของนายอภิชาต อัศวเรืองชัย พบว่า น่าจะมีบางรายการที่ไม่ได้ถูกรวมเข้ามาอยู่ในบัญชีรายรับ/จ่ายของสวนสันติธรรมด้วย ซึ่งจะนำให้ดีเอสไอพิจารณาต่อไป
สิ่งที่ผิดสังเกตก็คือ กลุ่มอดีตลูกศิษย์เหล่านี้ทำได้แค่เพียงตั้งข้อสงสัยและไม่ได้มีการนำหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมมาแสดงเพื่อให้เกิดความเชื่อถือแต่อย่างใด
**หักเข็มทิศครั้งที่ 2
ไร้หลักฐานโยงความสัมพันธ์แม่ชีอรนุช
ประเด็นที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชนั้น สิ่งที่พุทธศาสนิกชนต้องพึงทราบก็คือ แม้พระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุชจะไม่ได้หย่าขาดกันทางกฎหมาย แต่ในทางธรรมแล้ว “ขนบ” และ “ประเพณี” ซึ่งเป็นที่รับรู้และปฏิบัติกันมาโดยตลอดก็คือ เมื่อมีการบรรพชาอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนา และเป็นสมณเพศแล้ว ก็ถือเป็นการขาดจากกันในความสัมพันธ์ที่เคยมีมาในทางโลกไปด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อมีการพาสื่อมวลชนไปตรวจสอบกุฏิที่อาศัยระหว่างพระปราโมทย์กับแม่ชีอรนุช ก็จะเห็นว่า ตั้งอยู่ห่างกัน 120-130 เมตร ซึ่งก็เป็นระยะที่ห่างกันพอสมควร นอกจากนี้ยังมีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฏิของพระอุปัฏฐากอยู่ใกล้กุฏิพระปราโมทย์เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถเป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐากเพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์และแม่ชีอรนุชยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้านอนาลโยของ น.ส.ฐิตินาถก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง
เช่นเดียวกับปัญหาเรื่อง “เขตห้ามเข้า” ที่มีความพยายามที่จะตีประเด็นว่า มีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่จึงห้ามเข้า ก็ต้องเข้าใจเช่นกันว่า เป็นเรื่องปกติของเขตพื้นที่ปฏิบัติธรรม เขตสังฆาวาสที่จะห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไป ซึ่งไม่ใช่เฉพาะที่สวนสันติธรรมเท่านั้น หากแต่วัดสายปฏิบัติเกือบทุกวันก็มีข้อห้ามเยี่ยงนี้เช่นกัน
**หักเข็มทิศครั้งที่ 3
ใครกันแน่อวดอุตริมนุสธรรม
ส่วนเรื่องการอวดอุตริมนุสสธรรมที่ฝ่ายผู้กล่าวหากำลังเร่งเครื่องอย่างหนักในเวลานี้นั้น ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่จะวินิจฉัยกันได้โดยง่าย หากแต่ต้องอาศัยผู้ทรงภูมิธรรมว่าวิเคราะห์กันทีละประเด็นว่าเข้าข่ายหรือไม่
ที่สำคัญคือหลักฐานที่ฝ่ายผู้กล่าวหานำมาแสดงเป็นคลิปเสียงต่างๆ ก็ไม่ได้นำมาแสดงทั้งหมด แต่ตัดเอามาจากบางส่วนบางตอนของคำเทศนา ซึ่งก็ไม่เป็นธรรมที่จะกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมในทันที เพราะถ้าฟังคำเทศนาโดยรวม อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ซึ่งในประเด็นนี้ ก็คงต้องรอการพิสูจน์จากผลสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกันต่อไป
เช่นเดียวกับข้อกล่าวหาเรื่องการอวดอุตริมนุสธรรมที่อ้างจากหนังสือ “วิมุตติปฏิปทา” ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยระบุว่า “ผู้เขียน(ซึ่งหมายถึงพระปราโมทย์) ก็สามารถรู้สภาวะจิตของผู้อื่นได้เหมือนสภาวะจิตของตนเอง” ก็เป็นข้อกล่าวหาซึ่งผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงอดเศร้าใจไม่ได้ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่พระปราโมทย์เขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อครั้งที่เป็นฆราวาส เขียนในนามปากกาที่ชื่อว่า “สันตินันท์”
ที่สำคัญคือการจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการจัดพิมพ์ครั้งแรกหรือครั้งที่ 2 ก็เป็นการดำเนินการโดยลูกศิษย์ พระปราโมทย์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวแต่ประการใด
นอกจากนั้น ถ้าหันกลับไปพิจารณาจากคำให้การของลูกศิษย์ที่ยังคงศรัทธาในธรรมะและตัวหลวงพ่อปราโมทย์ก็จะพบว่า เป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม ดังเช่นในรายของ “สุรวัฒน์ เสรีวิวัฒนา” ที่สรุปเอาไว้ว่า….”ในประเด็นอวดอุตริมนุสธรรมนั้น ผมไม่ขอพูดถึงนะครับ เพราะเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่จะต้องดำเนินการ…..ผมเชื่อมั่นว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอนนั้น สามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ครับ เพราะหลวงพ่อสอนให้มีสติ มีจิตตั้งมั่นและหัดรู้รูปนามเพื่อให้เห็นไตรลักษณ์ของรูปนาม ซึ่งจากการได้ปฏิบัติตาม ก็เห็นไตรลักษณ์ได้จริงๆ”
ขณะที่เมื่อไปตรวจสอบผู้กล่าวหาคนสำคัญจากมูลนิธิบ้านอารีย์อย่าง “วีรณัฐ โรจนประภา” ที่ให้สัมภาษณ์ “เนชั่นสุดสัปดาห์” ก็มีข้อให้ชวนให้ขบคิดเช่นกันเช่นกัน
“เท่าที่ผมสังเกตดู ก่อนหน้านี้จะไม่มีการดูจิตทายใจเป็นถี่ๆ หรือมากๆ แบบหลวงพ่อปราโมทย์ ซึ่งเพิ่งจะมีมาตอนที่หลวงพ่อปราโมทย์มาสอนนี่แหละ ตอนแรกที่เรียนก็จะได้ผลดีจริงๆ อย่างที่ทุกคนประสบ อย่างผม เห็นญาติธรรมที่เข้ามาตั้งแต่วันแรกที่มีทุกข์ เข้ามาก็มาพึ่งธรรมะ พึ่งคำสอนในระบบนี้ไป สามเดือนห้าเดือนทุกข์จากคลาย มีความสุขมากขึ้น ผ่านไปปีนึ่งก็มีความอยากให้พ้นทุกข์ยิ่งๆ ขึ้น ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกภูมิใจ ดีใจที่ได้เผยแผ่การสอนในระบบนี้ แต่พอมาถึงช่วงหนึ่ง จุดหนึ่ง นานวันเข้า ความสุขอะไรก็ยังมีอยู่จริง แต่ว่าความอ่อนแอตามาด้วย คือทุกคนรอที่จะถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์จากหลวงพ่อปราโมทย์ท่าน”
และเมื่อถามว่าพิสูจน์จากอะไร
นายวีรณัฐตอบว่า “จากที่เวลารับกิจนิมนต์ คนจองคิวกันยาวเหยียด การสอบทานเรื่องการปฏิบัติก็ต้อมีการจับฉลากบัตร จัดคิว ระบบการเรียนการสอนเองที่พอเรียนเข้าจริงๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องบอกแต่ว่า วันเสาร์ไปส่งการบ้าน วันไหนไปให้หลวงพ่อตรวจ อันนี้ต้องให้หลวงพ่อดู ทั้งหลายทั้งปวงในระบบนี้ สุดท้ายเรากลับไปพึ่งความสามารถพิเศษของพระรูปหนึ่ง จุดนี้เองที่ผมทักท้วงไปว่า อย่างนี้ถูกต้องแล้วหรือ ที่ตอนหลังคนเรียนมีการพึ่งพิงตนเองได้น้อยลงขนาดนี้”
**เข็มทิศชีวิตที่หลงทาง
ของ “อ้อย-ฐิตินาถ”
ดังนั้น เมื่อประจักษ์พยานและหลักฐานปรากฏออกมาในลักษณะนี้ สังคมก็มีสิทธิที่จะย้อนกลับไปตั้งคำถามกับกลุ่มผู้กล่าวหาเช่นกัน เพราะถ้าย้อนกลับไปดูเส้นทางของคนเหล่านี้ ก็ต้องบอกว่า เป็นกลุ่มที่เคยมีผลประโยชน์จากธรรมะของพระปราโมทย์แทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ฐิตินาถหรือมูลนิธิบ้านอารีย์
โดยเฉพาะน.ส.ฐิตินาถนั้น การที่เธอออกมาเรียกร้องขอคืนเงินบริจาค 4.3 ล้านบาท ที่ได้ร่วมก่อสร้างสวนสันติธรรม ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะที่ดินที่ซื้อมาด้วยเงินบริจาคนั้น พระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล ก็เป็นคำตอบอยู่ในตัวเองว่าน่าจะเป็นเรื่องของความผิดหวังที่ไม่สามารถเป็น “เข็มทิศชีวิต” ให้กับสวนสันติธรรมและพระปราโมทย์ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
เพราะถ้า น.ส.ฐิตินาถสามารถดำรงตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของพระปราโมทย์เหมือนเช่นที่ผ่านมา ดังที่เคยวางผังปลูก “บ้านอนาลโย” เอาไว้ใกล้ๆ กับกุฎิของพระปราโมทย์แล้ว คงไม่เกิดปัญหาเหล่านี้ออกมาเป็นแน่แท้
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสวนสันติธรรมนั้น ก็มีประวัติที่ไม่ธรรมดาเพราะก่อนที่จะตัดสินใจซื้อที่ดินผืนนี้ ก็มีที่ดินอีกหลายแปลงที่เป็นทางเลือกและไม่ได้ยุ่งยากเหมือนกับที่ดินผืนนี้ เช่น ที่ดินที่จังหวัดนครนายกเป็นต้น
แต่เหตุที่มาลงเอยที่อำเภอศรีราชาก็เพราะมี “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” เป็นผู้อ้อนวอน ร้องขอ เป็นตัวตั้งตัวตีและเจ้ากี้เจ้าการอย่างผิดปกติ
ว่ากันว่า ข้ออ้างสำคัญที่ทำให้พระปราโมทย์ตัดสินใจซื้อก็เพราะมีข้ออ้างว่า “ได้มีการวางเงินไปแล้ว” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ขณะเดียวกัน คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณสวนสันติธรรม ถ้าสังเกตุให้ดีก็จะเห็น “ที่ดินผืนงาม” และ “ขนาดใหญ่” อีกผืนหนึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับสวนสันติธรรมแห่งนี้ และผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็น “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” อีกเช่นเคย
ไม่มีใครรู้ว่า ที่ดินผืนนี้บังเอิญหรือเจตนามาอยู่ใกล้กับสวนสันติธรรมของพระปราโมทย์กันแน่ แต่วิญญูชนผู้มีใจเป็นธรรมคงสามารถคาดเดาได้ไม่ยากนักว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ที่น่าสนใจคือ ก่อนที่จะซื้อไม่มีปัญหา แต่หลังจากที่ซื้อแล้วกลับเกิดปัญหาขึ้น เมื่อพระปราโมทย์โอนไปให้แม่ชีอรนุชดูแล เนื่องจาก “มีความไว้วางใจมากกว่า” ซึ่งหลายคนคาดเดาว่า นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นและกลายเป็นมูลเหตุของปัญหาที่เกิดกับสวนสันติธรรมในเวลาต่อมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้จะยังไม่มีบทสรุป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนหนังสือชื่อดังจะต้องกลับไปทบทวนตัวเองและตกผลึกความคิดของตัวเองอีกครั้งก็คือ เข็มทิศชีวิตที่ตัวเองเขียนขึ้นมาสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นจนขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่านั้น ทำไมถึงไม่สามารถเป็นเข็มทิศชีวิตให้เธอดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรได้
อ้างอิง : http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000138289
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แนะนำอ่าน"เข็มทิศชีวิต"
โพสต์ที่ 58
ดูใน youtube ก็มีเยอะแยะครบถ้วนเหมือนอ่านหนังสือเลยค่ะ
ฟังแล้วเพลิดเพลินและใช้ดูแลสุขภาพใจได้ดีทีเดียว
.................................
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์ต่อโลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนมีดีเพียงด้านเดียว อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย ฝึกให้เคยมองแต่สิ่งดีมีคุณจริง
พระพุทธทาสภิกขุ (พุทธทาส อินทปัญโญ)
ฟังแล้วเพลิดเพลินและใช้ดูแลสุขภาพใจได้ดีทีเดียว
.................................
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์ต่อโลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนมีดีเพียงด้านเดียว อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย ฝึกให้เคยมองแต่สิ่งดีมีคุณจริง
พระพุทธทาสภิกขุ (พุทธทาส อินทปัญโญ)