เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
AleAle
Verified User
โพสต์: 2135
ผู้ติดตาม: 0

เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ใส่กรอบเก็บไว้เป็นที่ระทึกได้อย่างเดียวใช่ไหมครับ
unicord.jpg
Fin1.jpg
รัตนโกสินทร์.jpg
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

บริษัท ยูนิคอร์ด เป็นบริษัทแรกที่ผมซื้อหุ้นเลยนะครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
AleAle
Verified User
โพสต์: 2135
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ของญาติผมทั้งสามบริษัทเลยครับพี่ฉัตร เขาเอามาถามว่ามันยังเอาไปทำอะไรได้มั๊ย :o
เห็นว่าหมดไปหลายแสน
AleAle
Verified User
โพสต์: 2135
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 4

โพสต์

Wednesday, 20 April 2011
เกมเทคโอเวอร์

ในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคักและราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นตลาดกระทิงนั้น ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นก็คือ การควบรวมกิจการหรือที่เรียกกันติดปากว่าการ “Take Over” เหตุผลที่มีการเทคโอเวอร์กันมากในยามตลาดหุ้นบูมนั้นมีหลายอย่าง แต่ที่สำคัญผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับ “ราคาหุ้น” นั่นก็คือ การเทคโอเวอร์นั้น สามารถนำมาซึ่งการ “เติบโต” ของบริษัทอย่างรวดเร็ว การเติบโตจะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด กำไรที่จะเพิ่มขึ้นจะผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นตามผลกำไรที่จะเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น การเติบโตที่ “คาดว่า” ว่าจะเร็วขึ้นมากย่อมทำให้ตลาดให้ค่า PE ของหุ้นสูงขึ้นด้วย หรือพูดง่าย ๆ ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับกำไรต่อหน่วยที่ทำได้ ผลก็คือ ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ หรือเรียกว่าได้ “สองเด้ง” ดังนั้น ผู้บริหาร “ระดับเซียน” ที่เก่งทางด้าน “วิศวกรรมการเงิน” จึงมักใช้โอกาสที่ตลาดเอื้ออำนวย ทำการเทคโอเวอร์อย่าง Aggressive หรือเทคโอเวอร์อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ซึ่งหลายครั้งสามารถทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างโดดเด่นโดยที่ธุรกิจหรือบริษัทที่ดำเนินการอยู่นั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนัก เพียงแต่มีขนาดใหญ่ขึ้น

มองย้อนหลังไปในช่วงหุ้นบูมสุด ๆ ก่อนวิกฤติการเงินในปี 2540 ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นไปถึง 1700 กว่าจุด ในช่วงนั้น คนที่จำได้ก็จะรู้ว่า “เทคโอเวอร์คิง” ไม่มีใครนอกจาก ปิ่น จักกะพาก แห่ง Fin One บริษัทเงินทุนที่ใหญ่และ Aggressive ที่สุดในการควบรวมกิจการ กลยุทธ์ของปิ่นก็คือการเทคโอเวอร์กิจการที่เกี่ยวกับการเงินในตลาดหลักทรัพย์โดยการ “แลกหุ้น” นั่นก็คือ ฟินวันซื้อหุ้นของบริษัทเป้าหมายจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยสิ่งที่ใช้ในการแลกก็คือ ฟินวันจะออกหุ้นใหม่เอามาให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเป้าหมาย ดังนั้น ฟินวันจึงไม่ต้องใช้เงินในการซื้อกิจการ และดังนั้นฟินวันจึงสามารถซื้อกิจการอื่นไปได้เรื่อย ๆ แม้ว่ากิจการที่ซื้อนั้นอาจจะใหญ่กว่าตัวเองมากอย่างธนาคารพาณิชย์เช่นไทยทนุในยุคนั้นที่กลายเป็นบริษัทเป้าหมาย แต่โชคไม่ดี ฟินวันมีอันเป็นไปเสียก่อนที่ดีลจะสำเร็จและเป็นการปิดฉากเกมเทคโอเวอร์ที่ร้อนแรงและมีสีสันที่สุดในตลาดหุ้นไทย

เกมเทคโอเวอร์ของฟินวันนั้น เป็นไปได้เพราะมีเงื่อนไขสำคัญก็คือ ราคาหุ้นของฟินวันสูงมากเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ หุ้นฟินวันมีค่า PE สูงมาก นอกจากนั้น บริษัทเป้าหมายที่จะถูกควบรวมกิจการจะต้องมีราคาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัทหรือเป็นหุ้นที่มีค่า PE ต่ำ ซึ่งในยุคนั้นสถานการณ์แบบนี้ก็มีอยู่ นั่นก็คือ ฟินวันมีกลยุทธ์การทำงานที่ Aggressive เน้นการเติบโตที่รวดเร็วในทุกด้านทั้งทางด้านการดำเนินงานและการควบรวมกิจการ ส่งผลให้หุ้นฟินวันร้อนแรงมีค่า PE สูงลิ่วเพราะคนเชื่อว่าเป็นหุ้น “Super Growth” ในอีกด้านหนึ่ง หุ้นของบริษัทการเงินอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์กลับไม่เป็นที่นิยมส่วนหนึ่งเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่นักเก็งกำไรจะเข้าไป “เล่น” หรือ “ปั่น” ได้ ทำให้หุ้นไม่เป็นที่นิยม ส่งผลให้ราคาและค่า PE ของหุ้นต่ำกว่าหุ้นฟินวันมาก

มาดูกันว่าทำไมหุ้นที่ PE สูงซึ่งทำให้มูลค่าตลาดของหุ้นสูง สามารถเทคโอเวอร์หุ้นที่มี PE ต่ำและมีมูลค่าของตลาดหุ้นต่ำได้อย่างไร

สมมุติว่าหุ้น “ซุปตาร์” มีกำไร 1,000 ล้านบาทและมีหุ้นเท่ากับ 1,000 ล้านหุ้น ดังนั้นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น เนื่องจากหุ้นซุปตาร์เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและมีผู้บริหารที่โดดเด่นรวมถึงมีกลยุทธ์ในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นตลาดให้ค่า PE ของหุ้นเท่ากับ 25 เท่า ส่งผลให้ราคาหุ้นซุปตาร์เท่ากับหุ้นละ 25 บาท คิดเป็นมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัทเท่ากับ 25,000 ล้านบาท ส่วนหุ้น “เทอร์เทิล” นั้นมีกำไร 1,000 ล้านบาท และมีหุ้นเท่ากับ 1,000 ล้านหุ้น ดังนั้นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1 บาทต่อหุ้นเหมือนกัน แต่คนมองว่าเป็นหุ้น “เต่า” จึงมีค่า PE เพียง 10 เท่า หุ้นมีราคาเพียง 10 บาทต่อหุ้น และทั้งบริษัทมีมูลค่าหุ้นเพียง 10,000 ล้านบาท

ซุปตาร์เทคโอเวอร์เทอร์เทิลโดยการออกหุ้นใหม่จำนวน 400 ล้านหุ้น ให้กับผู้ถือหุ้นเทอร์เทิล ผลก็คือ หุ้นซุปตาร์หลังจากเทคโอเวอร์จะมีหุ้นทั้งหมดเท่ากับ 1400 ล้านหุ้น มีกำไร 2000 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.43 บาทต่อหุ้น และเนื่องจากตลาดมองว่าหุ้นซุปตาร์ไม่ได้แย่ลงจากการเทคโอเวอร์จึงให้ค่า PE เท่าเดิมคือ 25 เท่า ผลก็คือ ราคาหุ้นซุปตาร์เท่ากับ 35.7 บาท หรือเพิ่มขึ้น 43% จากราคา 25 บาท แต่ถ้าตลาดมองว่าการเติบโตของซุปตาร์จะเร็วขึ้นอีกและดังนั้นค่า PE จึงน่าจะปรับขึ้นเป็น 30 เท่า ผลก็คือ ราคาหุ้นของซุปตาร์จะกลายเป็น 42.9 บาท หรือเพิ่มขึ้น 71.4% โดยที่กิจการของซุปตาร์และเทอร์เทิลไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลย และนั่นคือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับฟินวันในยามที่เกมเทคโอเวอร์กำลังดำเนินไปด้วยดี

มีอะไรผิดไหมสำหรับเกมเทคโอเวอร์ที่บริษัท PE สูงควบรวมบริษัท PE ต่ำ แล้วทำให้ราคาหุ้นของบริษัทที่เทคโอเวอร์เพิ่มขึ้นมโหฬารในชั่วข้ามคืน?

ประเด็นก็คือ นักลงทุนอาจจะมองผิดพลาดโดยคิดไปว่าบริษัทจะยังเหมือนเดิมหรือโตเร็วขึ้นไม่ได้ช้าลงจึงให้ค่า PE เหมือนเดิมหรือสูงขึ้น คนคิดว่าบริษัท “เต่า” ที่โตช้านั้น เมื่อถูกเทคโอเวอร์แล้วจะแปลงเป็น “ซุปเปอร์สตาร์” เหมือนบริษัทที่กลายมาเป็น “แม่” ดังนั้นค่า PE ของเต่าจึงถูกปรับขึ้นจาก 10 เท่าเป็น 25 เท่าหรือมากกว่า แต่ถ้าความเป็นจริงก็คือ “ทุกอย่างเหมือนเดิม” หรือมีการเปลี่ยนแปลงในบริษัทเต่าน้อยมาก เมื่อเวลาผ่านไปคนก็จะเห็นว่าการเติบโตของบริษัทที่รวมกันแล้วไม่ได้เร่งตัวขึ้น เต่าก็ยังเป็นเต่า ซุปเปอร์สตาร์ก็โตเท่าเดิม ดังนั้น ตลาดก็จะปรับค่า PE ของบริษัทที่รวมกันแล้วลง เช่นอาจจะเหลือเพียง 17.5 เท่าซึ่งเท่ากับค่าเฉลี่ยของ 10 กับ 25 เท่า ผลก็คือ ราคาหุ้นของบริษัทรวมก็จะเท่ากับ 1.43 คูณ 17.5 หรือก็คือ 25 บาทต่อหุ้น เท่าเดิมก่อนที่จะมีการเทคโอเวอร์ ถ้าเป็นแบบนี้ คนที่เข้ามาซื้อหุ้นซุปตาร์ในราคา 30 หรือ 40 กว่าบาทและถือไว้ก็จะขาดทุนเมื่อ “พื้นฐานที่แท้จริง” ถูกเปิดเผยมาในภายหลัง

อาจมีข้อถกเถียงว่า เมื่อเทคโอเวอร์แล้ว ซุปตาร์ สามารถลดต้นทุนหรือได้ประโยชน์จากการเพิ่มขนาดของธุรกิจ ดังนั้น พื้นฐานของเทอร์เทิลและซุปตาร์จะดีขึ้นมาก แต่นี่เป็นสิ่งที่น่าจะยังต้องพิสูจน์ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะจากตลาดในอเมริกาพบว่า การเทคโอเวอร์ส่วนใหญ่นั้น ได้ผลตรงกันข้ามและภายหลังต้องขายกิจการที่เทคมาทิ้งพร้อมกับการขาดทุนอย่างยับเยิน ในตลาดหุ้นไทยนั้น กรณียังไม่ชัดเนื่องจากมีกรณีไม่มาก อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ขึ้นไปก่อนหลังจากมีการเทคโอเวอร์นั้น สำหรับ VI คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าสมเหตุผลไหม เหนือสิ่งอื่นใด การคาดการณ์ในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดเป็นเรื่องที่ VI จะต้อง “สงสัย” ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ? สำหรับผมแล้ว ถ้าแหล่งของการได้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการยังเป็นที่น่าสงสัย ผมก็จะไม่เข้าไปเล่นในเกมเทคโอเวอร์โดยเฉพาะถ้าราคาหุ้นขึ้นไปสูงแล้ว

Posted by nivate at 7:03 PM in โลกในมุมมองของ Value Investor
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ยูนิคอร์ดก็พลาดเพราะไปซื้อกิจการ Bubble Bee ที่สหรัฐ

SSI ก็ประสบปัญหาหนักจากการไปซื้อ บริษัทที่อังกฤษ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
AleAle
Verified User
โพสต์: 2135
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 6

โพสต์

......จุดตายของยูนิคอร์ด ยุคดำริห์......

การสิ้นชีวิตของดำริห์ ก่อนันทเกียรติ คือจุดจบของการเริ่มต้นใหม่ ของบริษัทยูนิคอร์ด ซึ่งทิ้งไว้เพียงตำนานอันยิ่งใหญ่ของการเทกโอเวอร์ บริษัททูน่ากระป๋องยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทบัมเบิ้ล บี ซีฟู้ดส์ ได้สำเร็จเมื่อปี 2532 ยูนิคอร์ดเป็นหนึ่งในห้าบริษัทที่เข้าร่วมประมูลช่วงชิงความเป็นเจ้าของ บริษัทบัมเบิ้ล บี โดยพิชิตคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่างมิตซูบิชิจากญี่ปุ่นซึ่งพร้อมกว่าทุกด้าน ด้วยราคา 269 ล้านเหรียญสหรัฐ

"ถ้าคำนวณตามมูลค่าในปัจจุบัน บัมเบิ้ล บี จะตกประมาณห้า ถึงหกร้อยล้านเหรียญ ในขณะที่เราจ่ายเงินซื้อมาแค่ 283 ล้านเหรียญเท่านั้น" นี่คือจุดที่ดำริห์ยอมเสี่ยงเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

เงื่อนไขใหญ่อยู่ที่ยูนิคอร์ดต้องจ่ายเงินสดทันที 269 ล้านเหรียญในวันเซ็นสัญญา 19 กันยายน 2532 ซึ่งมีเวลาไม่ถึงเดือนหาเงิน ยุทธศาสตร์ เฉพาะหน้าที่สะท้อนความมุ่งมั่นของดำริห์ คือ "เอาบัมเบิ้ลบีให้ได้ก่อน เรื่อง อื่นว่ากันทีหลัง" ได้ทำให้เขาตกเป็นเหยื่อที่ดิ้นไม่หลุดจากบ่วงหนี้สินมหาศาล นี้จนต้องฆ่าตัวตายอีกห้าปีต่อมา

หลังจากชนะประมูลซื้อเดือนสิงหาคม 2532 ดำริห์ได้ตั้งบริษัท ยูนิกรุ๊ป (Uni Group Inc.) ขึ้นมาใหม่เป็นบริษัทในเครือของยูนิคอร์ด เพื่อถือหุ้นใน บัมเบิ้ล บี

บริษัทยูนิกรุ๊ปนี้มีสองแห่ง แห่งแรกคือ ยูนิกรุ๊ปที่จดทะเบียนที่ประเทศ หมู่เกาะ British Virgin ในทะเลคาริบเบียนซึ่งปลอดภาษีเงินได้ในสหรัฐฯ และทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้งคอมปานีถือหุ้น 100% ในยูนิกรุ๊ป แห่งที่สอง

ยูนิกรุ๊ปแห่งที่สอง คือ บริษัท Uni Group Inc. (Delaware) ซึ่งถือหุ้นโดยตรงในบัมเบิ้ลบี ยูนิคอร์ดถือหุ้น 75% ในยูนิกรุ๊ป ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ แต่เรียกชำระก่อน 40 ล้านดอลลาร์ ส่วนอีก 25% ถือหุ้นโดยเพื่อนเก่าของกิจจา บิดาของดำริห์ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเดินเรือชาวฮ่องกงชื่อ Poisson Shipping Ltd.

หลังจากยูนิคอร์ดเป็นเจ้าของบัมเบิ้ล บี ดำริห์กับทีมงานได้จัดโครงสร้าง บริหาร โดยดำริห์เป็นประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร (Chief Executive Officer) เน้นควบคุมการเงินเป็นพิเศษ โดยมีการรายงานโดยตรง

วิธีการควบคุมใช้วิธี Budgetary Control และตั้งเป้ากำไรขั้นต่ำ 20 ล้านเหรียญ ไตรมาสสุดท้ายของปี 2532 ซึ่งเป็นสามเดือนแรกที่บัมเบิ้ล บี เป็น ของยูนิคอร์ดแล้ว เป็นไตรมาสที่ทำกำไรมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ บัมเบิ้ล บี ซึ่งก่อตั้งในปี 2442

ตัวเลขประมาณการกำไรขาดทุนที่ยังไม่ได้สอบทาน บัมเบิ้ลบีมีกำไรสุทธิ 1.9 ล้านเหรียญสหรัฐจากยอดขาย 81.3 ล้านเหรียญ เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงด้านภาษีและด้านแรงงานอย่างน้อย 10-12.5% ที่ทำกำไรเพิ่ม

บัมเบิ้ล บี มีโรงงานแปรรูปปลาทูน่าที่เอกวาดอร์ แล้วส่งไปบรรจุกระป๋องที่มายาเกซในเปอร์โตริโก ซึ่งเป็นฐานการผลิตป้อนตลาดฝั่งตะวันออกของอเมริกา

ขณะที่ตลาดในฝั่งตะวันตกมีฐานการผลิตที่โรงงานปลาทูน่ากระป๋องที่ Santa Fe Spring รัฐแคลิฟอร์เนีย Pillsbury ที่ยูนิคอร์ดซื้อมาในราคา 7 ล้านเหรียญ

นอกจากนี้ดำริห์ยังลดต้นทุนการผลิต โดยใช้ฐานการผลิตจากโรงงาน ยูนิคอร์ดที่มหาชัยแทนแรงงานที่เปอร์โตริโกซึ่งค่าแรงสูงมาก

ส่วนปลาทูน่ากระป๋องที่เป็นสินค้าสำเร็จรูปแล้วและที่ยังอยู่ในสภาพ Semi Finished Product คือ เนื้อปลาทูน่าที่ผ่านกรรมวิธีการแปรรูปเรียบร้อย ที่เรียกว่า Frozen Loins ไปบรรจุกระป๋องที่ Santa Fe Spring แทนที่จะส่งเป็นปลาทูน่ากระป๋องสำเร็จรูปไป

การส่งออกแบบนี้ลดต้นทุนด้านภาษี เพราะอัตราภาษีนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องในสหรัฐฯ 12.5% ในขณะที่ส่งเป็น Frozen Loins เสียภาษีเพียง 0.25% เท่านั้น ในครั้งนั้นดำริห์เคยกล่าวไว้ว่า

"ปีนี้ยอดขายของบัมเบิ้ล บี จะเพิ่มขึ้นมหาศาล เพราะต้นทุนถูกลง ราคาของเราจะลดลงนิดหน่อย ทำให้เจาะตลาดได้มากขึ้น"

ตรงนี้เองที่ทำให้กลยุทธ์ด้านราคาของบัมเบิ้ล บี ได้ดัมพ์ราคาตลาดปลาทูน่ากระป๋องลงจากเดิมที่ราคาของบัมเบิ้ล บี จะแพงกว่าคู่แข่งเล็กน้อย เพราะวางตำแหน่งสินค้าไว้ในระดับสูงกว่า มีส่วนแบ่งตลาด 17.6% เป็นอันดับที่สามรองจาก Starkist (35.8%) และ Chicken Of The Sea (18.9%)

ยูนิคอร์ดใช้เนื้อปลาในการทำปลาทูน่ากระป๋องวันละ 300 ตัน ส่งให้ บัมเบิ้ล บี 200 ตัน ที่เหลือผลิตให้กับลูกค้ารายอื่นๆ ในยุโรป ญี่ปุ่น และผู้จำหน่ายที่เป็นคู่แข่งของบัมเบิ้ล บีในสหรัฐฯ เองด้วย

นอกเหนือจากปลาทูน่าแล้ว ดำริห์มีแผนการส่งกุ้งแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์ เกษตร เช่น สับปะรด เข้าไปขายในสหรัฐฯ โดยผ่านเครือข่ายทางการตลาดของบัมเบิ้ล บี เองด้วย แทนที่จะขายผ่านคนกลางหรือผู้นำเข้าอื่นๆ บัมเบิ้ล บี มีเครือข่ายการตลาดอยู่ใน 34 รัฐ มีช่องทางกระจายสินค้าเข้าสู่ตลาด 600 ช่องทาง นี่คือมูลค่าเพิ่มของการ Synergy หลังจากซื้อบัมเบิ้ลบี 283 ล้านบาท

นอกจากนี้ดำริห์ยังคิดการณ์ใหญ่จะบุกเข้าไปซื้อกิจการในยุโรปอีกครั้งหนึ่ง เพราะตลาดส่งออกปลาทูน่ากระป๋องของยูนิคอร์ดส่วนใหญ่ 25% อยู่ที่กลุ่มตลาดร่วมยุโรป อีก 15% เป็นตลาดญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง

ยุทธศาสตร์ของดำริห์ในการซื้อบริษัทการตลาดในยุโรปคือ เข้าไปใน ประเทศที่มีข้อจำกัดในการนำเข้าปลาทูน่าและผลิตภัณฑ์อาหารจากไทย มากที่สุด เป็นการบุกทะลวงจากภายในโดยตั้งบริษัทในประเทศนั้นเลย เหมือนที่ซื้อบัมเบิ้ล บีในสหรัฐฯ และตั้งบริษัทในญี่ปุ่น

ยุทธศาสตร์ที่สองคือดำริห์มองบริษัทที่มีกำลังการผลิตต่ำแต่มีกำลัง การขายสูงในการสร้างฐานทางการตลาดเช่นที่เขาสนใจบริษัทผลิตปลาทูน่ากระป๋องในฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง ที่มีเครือข่ายการตลาดใหญ่มาก มีส่วนแบ่งตลาดปลาทูน่าในยุโรปถึง 30% ในขณะเดียวกันกำลังมองหาฐานการผลิต จากแอฟริกาซึ่งจะเป็นประเทศที่ได้สิทธิพิเศษทางภาษีจากฝรั่งเศส

งานนี้ดำริห์จ้างโกลด์แมนแซคเป็นที่ปรึกษาและบริษัทเบเคอร์แอนด์ แมคคินเซย์ เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายระหว่างประเทศ

ดำริห์ได้วิเชษฐ บัณฑุวงศ์ กรรมการรองผู้อำนวยการยูนิคอร์ด และจิตตเกษม แสงสิงแก้ว ศิษย์เก่าของพีเอสเอกรุ๊ป เป็นคีย์แมนสำคัญคนหนึ่งในการแก้ปัญหาเรื่องเงินกู้ซื้อบัมเบิ้ล บีครั้งนั้น โดยการเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 400 ล้านบาทเป็น 600 ล้านบาท และออกหุ้นใหม่ 20 ล้านหุ้น

จากนั้นนำหุ้นเพิ่มทุนครั้งใหม่นี้ไปจำนำกับนักลงทุนทั้งที่เป็นสถาบัน การเงินและคนที่รู้จัก โดยสัญญาว่าภายใน 13 เดือน ยูนิคอร์ดจะเข้าตลาด หลักทรัพย์และจะเสนอขายหุ้นในราคาหุ้นละ 55 บาท โดยส่วนต่าง 15 บาทจะเป็นกำไรตอบแทน

จำนวนหุ้นที่ขายและจำนำครั้งนั้นประมาณไม่ต่ำกว่า 14 ล้านหุ้น และดำริห์ได้เงินไปลงทุนในยูนิกรุ๊ป 30 ล้านเหรียญโดยไม่ต้องควักกระเป๋าเลย

แต่เงินแค่ 40 ล้านเหรียญไม่เพียงพอ ยังขาดอีก 243 ล้านเหรียญที่ต้องกู้จากสถาบันการเงินในสหรัฐฯ อีก โดยมีบริษัท เชสแมน ฮัตตัน ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

แหล่งเงินกู้ใหญ่ที่ดำริห์ได้ คือ Heller FIinancial ซึ่งอยู่ในเครือของ Fuji Bank จากญี่ปุ่น โดยให้กู้ 195 ล้านเหรียญตามมูลค่าทรัพย์สินและกู๊ดวิลล์ของ บัมเบิ้ล บี ที่ดำริห์ต้องใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ไว้ โดย Heller FIinancial ได้คิดดอกเบี้ย 12% ต่อปี ยูนิคอร์ดมีระยะเวลาชำระคืน 8-10 ปี

เงื่อนเวลาที่เหลือแค่สองอาทิตย์ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อดำริห์และทีมงานที่ยังต้องการเงินอีก 65 ล้านเหรียญ เพราะจำนวนเงินกู้ 195 ล้านรวมกับเงินทุนจดทะเบียน 40 ล้านนั้นไม่พอ

แต่เงื่อนไขจะกู้อีก 65 ล้านนั้นไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเลย เพราะทรัพย์สินบัมเบิ้ล บีถูกใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ของ Heller FIinancial ไปหมดแล้ว ทำให้ยูนิคอร์ดถูกปฏิเสธ

ดำริห์จึงตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการใช้เงินกู้ที่เรียกว่า Bridge Loan จำนวน 65 ล้านเหรียญจาก Banker Trust ซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงมาก 14% และเพิ่มขึ้น 0.25% ทุกๆ สามเดือน และกำหนดชำระคืนใน 1 ปี ซึ่งได้ครบกำหนด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2533 แต่ความตั้งใจของดำริห์ต้องการแปรสภาพ Bridge Loan นี้ให้กลายเป็น Junk Bond ก่อนถึงกำหนด แต่ทำไม่ได้ เพราะสถานการณ์ Junk Bond ในสหรัฐฯขณะนั้นไม่เป็นใจ

ทางออกของดำริห์ขณะนั้นจึงต้องพึ่งเงินทุนที่ระดมจากตลาดหุ้นไทยไปคืน Banker Trust หลังจากได้รับอนุมัติในเดือนกุมภาพันธ์ 2533 ยูนิคอร์ดได้เพิ่มทุนจาก 600 ล้านเป็น 700 ล้านบาท โดยนำหุ้นใหม่ 10 ล้านหุ้น เสนอขายต่อประชาชนในราคาหุ้นละ 85 บาท

จำนวนเงิน 850 ล้านหรือ 34 ล้านเหรียญบวกกับเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารกรุงเทพอีก 6 ล้านเหรียญ นำไปเพิ่มทุนในยูนิกรุ๊ปตามสัดส่วน 75% ทำให้ทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วเพิ่มจากแรก 40 ล้านเหรียญเป็น 80 ล้านเหรียญ และมีแผนจะเพิ่มทุนเป็น 100 ล้านเหรียญเพื่อลดภาระหนี้สินจากBanker Trust ให้เหลือ 5 ล้านเหรียญ ซึ่งจะชำระคืนด้วยเงินกู้

แต่แผนการเงินทั้งหมดต้องประสบปัญหาเมื่อปัญหาทางการตลาดโลก ของบัมเบิ้ล บี ได้เกิดขึ้นรุนแรงจนกระทบกระเทือนรายได้หลักและส่งผลสะเทือน จากรายงานของเฮลเลอร์ไฟแนนเชียลเมื่อวันที่ 26 มกราคมปี 2536 แจ้งว่า ผลจากการใช้กลยุทธ์ตัดราคาบุกตลาดและการตอบโต้รุนแรงจาก สตาร์คิสท์ผู้ครองตลาดทำให้เกิดผลลบรายได้ของตลาดปลาทูน่ากระป๋องประเภทไวท์มีทลดลง 3.0 ล้านเหรียญ และ gross margin ยอดส่วนต่าง กำไรสุทธิติดลบถึง 9.3 ล้านเหรียญนับตั้งแต่ปี 2532-2535

ห้าปีแห่งความล้มเหลวด้านการตลาดในต่างประเทศหลังซื้อบัมเบิลบี ยูนิคอร์ดต้องมีภาระหนักด้านดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ขณะที่ธุรกิจก็ยังมีกำไรต่อหน่วยซึ่งต่ำมาก รวมทั้งปัญหาการผลิตที่บางช่วงขาดแคลนปลาทูน่าอัลบาคอร์ (Albacore) ทำให้ต้นทุนสูง จึงทำให้ฐานะธุรกิจของยูนิคอร์ดวิกฤต เพราะได้ไม่คุ้มเสีย

ต้นปี 2538 แรงบีบคั้นจากเจ้าหนี้สถาบันการเงินในสหรัฐฯ ทำให้ยูนิคอร์ด ต้องตัดใจขายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดคือ ทรัพย์สินทางปัญญาและค่าความนิยม เช่น ลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า "บัมเบิ้ลบี" รวมทั้งบัญชีลูกหนี้การค้าและสินค้าสำเร็จรูปคงเหลือด้วยมูลค่า 155 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,875 ล้านบาท (ประมาณ 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 25 บาทขณะนั้น)

ยุทธศาสตร์การรุกขยายสู่ฝันโรงงานปลาทูน่าที่ใหญ่ที่สุดของยูนิคอร์ด จึงต้องดับลง เมื่อปัญหารุนแรงทางการเงินที่มีหนี้ 7,600 ล้านบาทได้รุมเร้า ทุกขลาภจากการได้มาซึ่งบัมเบิ้ล บีจึงเป็นภาระหนักของพรพรรณ ก่อนันทเกียรติ ที่ถูกสถานการณ์บังคับให้รับผิดชอบธุรกิจหลังการสิ้นชีวิตของดำริห์

หมายเหตุ จากเรื่อง "ยูนิคอร์ด 7 พันล้านเพื่ออนาคต" โดย ขุนทอง ลอเสรีวานิช ฉบับที่ 73 เดือนตุลาคม 2532 จากเรื่อง "ยูนิคอร์ด กว่าจะถึงปลายทาง" โดย ขุนทอง ลอเสรีวานิช ฉบับที่ 78 เดือนมีนาคม 2533 จากเรื่อง"จุดตายยูนิคอร์ด คิดว่าตัวเองใหญ่" โดย ขุนทอง ลอเสรีวานิช ฉบับที่ 116 เดือนพฤษภาคม 2536 จากเรื่อง "โอกาสรอดยูนิคอร์ดเมื่อดำริห์ ก่อนันทเกียรติ รับผิดชอบด้วยชีวิต" โดย สันทิฏฐ์ สมานฉันท์ และสุปราณี คงนิรันดรสุข ฉบับที่ 142 เดือนกรกฎาคม 2538
http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=5798
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/t ... 12743.html
ภาพประจำตัวสมาชิก
todsapon
Verified User
โพสต์: 1137
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ผมเคยได้ยินว่าเราสามารถเอาใบหุ้นไปแลกเงินคืนตามราคาพาร์ที่ระบุในใบหุ้น
ผลตอบแทน 15% ต่อปีก็พอ
กำไรเมื่อซื้อ มิใช่กำไรเมื่อขาย
การได้ทำอะไรที่ตนเองชอบและมีปัจจัยสี่พร้อมเพียงคือสุดยอดแห่งความสุข
ขอยืมเงินหน่อยครับ
AleAle
Verified User
โพสต์: 2135
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 8

โพสต์

todsapon เขียน:ผมเคยได้ยินว่าเราสามารถเอาใบหุ้นไปแลกเงินคืนตามราคาพาร์ที่ระบุในใบหุ้น
อ๊ะ จริงเหรอครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 9

โพสต์

เอามาประมูลในเว็บ ผมว่าได้นะ
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

Re: เรายังทำอะไรกับใบหุ้นพวกนี้ได้บ้างครับ

โพสต์ที่ 10

โพสต์

AleAle เขียน:
todsapon เขียน:ผมเคยได้ยินว่าเราสามารถเอาใบหุ้นไปแลกเงินคืนตามราคาพาร์ที่ระบุในใบหุ้น
อ๊ะ จริงเหรอครับ
คงไปและเงินคืนไม่ได้แน่นอนครับ เพราะกิจการเหล่านั้นปิดกิจการไปเรียบร้อยแล้ว จะนำไปแลกกับใครละครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
โพสต์โพสต์