น้อมส่ง หลวงตามหาบัว สู่พระนิพพาน
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
น้อมส่ง หลวงตามหาบัว สู่พระนิพพาน
โพสต์ที่ 1
IMG]http://i624.photobucket.com/albums/tt32 ... ng/3-2.jpg[/IMG]
เวลา มีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล
เวลา มีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: น้อมส่ง หลวงตามหาบัว สู่พระนิพพาน
โพสต์ที่ 2
tum_H เขียน:
เวลา มีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: น้อมส่ง หลวงตามหาบัว สู่พระนิพพาน
โพสต์ที่ 3
พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มีนามเดิมว่า "บัว โลหิตดี" เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2456 ในครอบครัวชาวนาซึ่งค่อนข้างมีฐานะ ในบ้านตาด จ.อุดรธานี พี่น้องทั้งหมด 16 คน ท่านเริ่มฉายแววทางธรรมะมาตั้งแต่เด็ก โดยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่เสมอ
เมื่อสมัยเป็นหนุ่ม พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด จนพ่อแม่น้ำตาร่วง ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 ที่วัดโยธานิมิตร อุดรธานี โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น
ต่อมา ท่านได้มีโอกาสพบเห็นท่าน "พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นพระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน จากนั้น ท่านก็ศึกษาทางธรรมและปฏิบัติกรรมฐานมากยิ่งขึ้น
ท่านมุ่งสู่วัดดอยธรรมเจดีย์ (ปัจจุบันอยู่ อ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร) เป็นช่วงพรรษาที่ 16 ของท่าน ในช่วงนั้นเองที่ท่านได้"บรรลุธรรม"
ตลอดชีวิตสมณเพศของท่าน ท่านได้พยายามสอนพระเณรอยู่เสมอในเรื่องความเรียบง่าย มักน้อยสันโดษ การใช้สอย ปัจจัยสี่ที่ศรัทธาญาติโยมถวายมานั้น ให้เป็นไปด้วยความประหยัด ใช้สอยในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมทั้งสงเคราะห์ด้านธรรมะแก่พระเณร-ฆราวาสมาโดยตลอด ควบคู่ไปกับการบริจาคช่วยเหลือด้านวัตถุสิ่งของ ทั้งจตุปัจจัยไทยทาน แก่ประโยชน์ส่วนรวมตลอด 40 กว่าปี นับแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดขึ้นในปี 2498 ท่านเคยเล่าว่าหากจะนับเป็นมูลค่าน่าจะเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "โครงการช่วยชาติ โดย หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน" ในขณะที่ประเทศชาติเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขั้นร้ายแรง หลวงตาตั้งใจจะนำ "ทองคำ" เข้าคลังหลวงให้ได้ 10 ตัน หรือ 10,000 กิโลกรัม ซึ่งที่ผ่านมาหลวงตามอบทองคำและดอลลาร์ที่มอบเข้าคลังหลวงไปแล้ว 15 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2541 ถึง 9 มกราคม 2553 รวมทั้งสิ้นเป็น ทองคำ 967 แท่ง หนัก 12,087.50 กิโลกรัม และดอลลาร์ (รวมดอกเบี้ย) 10,803,600 เหรียญสหรัฐ
ตามปณิธานของท่านที่เคยตั้งไว้ว่า " เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร เพราะหลังจากนี้แล้ว เราตายแล้ว เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล"
หลวงตาบัว เคยกล่าวไว้ว่า การช่วยชาติ ที่แท้จริง ให้ต่างหันมาแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ การทรงมรดกธรรมของพระพุทธศาสนา เอาศีลเอาธรรม ความประพฤติดีงาม ด้วยเหตุผลหลักเกณฑ์เข้ามาอุดหนุนจิตใจ จนมีหลักประกันภายในใจ เรียกว่า มีหลักใจ โดยหันกลับมาปรับปรุงตัวเราแต่ละคน ๆ ให้มีความประหยัด ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ด้วยการอยู่การกินการใช้การสอยการไปการมา โดยให้ดูแบบของพระผู้มีหลักเกณฑ์ภายในใจ เป็นแบบอย่างของความประหยัด ของผู้มีหลักเกณฑ์เหตุผล ให้มีธรรมคอยเหนี่ยวรั้งไว้ในใจไม่ให้ถูกลากจูงด้วยกิเลสตัณหาราคะ ด้วยความโลภโมโทสัน จนเลยเขตเลยแดน เหมือนรถที่มีแต่เหยียบคันเร่ง ไม่เหยียบเบรก ย่อมเป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ในที่สุด หากต่างมีการหันมาอุดหนุนทั้งทางด้านหลักทรัพย์ และหลักใจควบคู่กันไป ปัญหาต่าง ๆ ของชาติย่อมทุเลาเบาบางลงเป็นลำดับ ๆ ไป
จนกระทั่งเมื่อถึงอาการอาพาธครั้งสุดท้ายของท่าน
หลวงตามหาบัว ได้เข้ารับการรักษาอาพาธ มาตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2553 ที่โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นก็ได้กลับเข้าไปพักรักษาอาการป่วนที่วัดป่าบ้านตาด โดยในวันที่ 28 มกราคม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินถึงวัดป่าบ้านตาด เพื่อเยี่ยมอาการอาพาธเป็นการส่วนพระองค์ ถึงห้องปลอดเชื้อกุฎิหลวงตามหาบัว มีคณะแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศรีนคริทร์ จ.ขอนแก่น และโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานีกล่าวรายการ และเสด็จฯ กลับเข้าออก 3 ครั้ง โดยยังไม่มีแถลงอาการหลวงตามหาบัวออกมาจากคณะสงฆ์ มีเพียง"หมอจีน" มากราบชี้แจงต่อครูบาจารย์สายวัดป่าว่า การตรวจรักษาอาการอาพาธขณะนี้ได้ถอดสายและอุปกรณ์การแพทย์ออกหมดแล้ว เหลือเพียงออกซิเจนเท่านั้น
ต่อมาเมื่อเช้าวันที่ 29 มกราคม พุทธศาสนิกชนหลายพันคน เดินทางมาทำบุญตักบาตรที่และเฝ้าติดตามดูอาการอาพาธของหลวงตามหาบัว พร้อมคอยฟังคำแถลงอาการอาพาธของหลวงตา และคอยเวลาเข้าไปกราบหลวงตาที่กุฏิ ที่คณะสงฆ์อนุญาตบางช่วงเวลา
หลวงตามหาบัวมีอาการอาพาธลำใส้อุดตัน และมีปอดติดเชื้อมานานถึง6เดือน คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่อาการอาพาธไม่ดีขึ้น กระทั่งเมื่อเวลา 03.53 น. วันที่ 30 ม.ค. หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ก็ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุ 98 ปี
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: น้อมส่ง หลวงตามหาบัว สู่พระนิพพาน
โพสต์ที่ 4
ไม่แก้นิสัยตัวเองจะแก้อะไร
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
เมื่อ วานนี้เราไปโรงพยาบาลภูพาน อยู่ในเขากลางเขา เดี๋ยวนี้เพิ่มเงินให้โรงละสองหมื่นๆ กะว่าพอดีเขาจ่ายแค่นี้แค่นั้น เฉลี่ยแล้วเราให้โรงละสองหมื่นพอดีแหละ เราก็ไม่มีจะว่าไง ขนออกตลอด วัดนี้ขนตลอด ไม่อัดไม่อั้นเรื่องการกระจายออก ออกตลอดเวลา ไหลรอบวัดเลย มาเท่าไรออกหมด มิหนำซ้ำซื้อซ้ำเข้าอีก มันไม่พอเราซื้ออีกๆ อย่างนั้นแหละ ทำให้เป็นประโยชน์แก่โลก ผู้ยากจนต้องอาศัยผู้ที่พอมีพอเป็นพอไป นี่เรียกว่าโลกอาศัยกัน
ความอาศัยกันมันสมานความแน่นหนามั่นคงต่อ กันมากมาย เข้าใจไหม น้ำใจเป็นสำคัญมาก วัตถุเป็นเครื่องแสดงน้ำใจ ให้ไปด้วยน้ำใจ ทางโน้นรับแล้วก็รับด้วยน้ำใจตอบรับกัน เป็นเครื่องสมัครสมานแน่นหนามั่นคง วัตถุเป็นเครื่องหมายเท่านั้นละ ออกมาจากหัวใจ
ทางวิทยุก็กว้างขวางมาก โรงสีร้อยเอ็ดนี่กว้างขวางมากทีเดียว แสดงว่าเขาจดจ่อมาก พอเครื่องขัดข้องชั่วระยะนิดเดียวเท่านั้นโทรศัพท์ลั่นมาแล้วรอบด้านว่างั้น วิทยุเป็นอะไรขึ้นมาเลย เป็นอันนั้นๆ ครู่เดียวเท่านั้นถามมาแล้ว เขาฟังอยู่ตลอดเวลา ดูว่าเปิด ๒๔ ชั่วโมงที่ร้อยเอ็ด เสี่ยสมหมายก็เอาใหญ่เหมือนกันไม่ใช่เล่น วิทยุกระจายไปหลายจังหวัด เขาบอกจากร้อยเอ็ดถึงขอนแก่น ไปจังหวัดไหนๆ บอกมาหมดแต่เราจำไม่ได้ ไกล ยโสธงยโสธร ดูว่าถึงอุบลก็ไม่ทราบ ทางแถวนั้นถึงหมด มาถึงภูจ้อก้อ ทางนี้ก็มาถึงว่างั้น ได้ทำบุญให้ทานเราเป็นที่พอใจ ช่วยชาติผู้ยากจนด้วยกันให้พอทนพออยู่ได้ เฉลี่ยกันไปมีอะไร มีมากมีน้อยเฉลี่ยกันไป น้ำใจของทุกคน น้ำใจเป็นของสำคัญ
เรานี่หู อื้อละสำคัญ ตอนฉันจังหันเสร็จแล้วค่อยดีหน่อย ตอนค่ำพูดนี้ออกหมดเลยลั่นอยู่ในหู ตอนเช้าก่อนจังหันก็อื้อเหมือนกัน พอฉันจังหันแล้วค่อยยังชั่วหน่อย เสียงได้ยินจากปากนี้ ถ้าเวลามันออกแล้วเสียงมันดัง เหมือนไม่ออกไปนี้นะ
ฝนก็อย่างนี้ แหละ ที่ไหนก็แบบเดียวกัน ฝนปีนี้เป็นฝนฝอย ๓ ปีนี้ฝนตกเป็นฝอย ห้วยหมากแข้งหน้าวัดนี้ ปีกลายนี้ไม่มาก ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยมี ปีหนึ่งอย่างน้อยสองหน น้ำมากท่วมลงไปหาเมืองอุดร ระยะสามปีมานี้ไม่มี มันตกอย่างนี้แหละ เมฆบางๆ ตกพอฝอยๆ ไม่ตกเป็นจังหวะจะโคนเป็นเนื้อเป็นหนังให้ ปลาก็เต็มอยู่ที่ห้วยหน้าวัด เขาเอามาปล่อยเป็นหมื่นๆ นะไม่ใช่น้อยๆ เต็ม ปลาในนี้มากที่สุด
บรรดา นักภาวนาทั้งหลายอยู่ข้างใน อย่าสนใจสิ่งใดมากยิ่งกว่าธรรมภายในใจ ให้ดูจิตใจตัวเอง อย่าไปเที่ยวดูเรื่องคนอื่นคนใด เป็นความเสียหายไม่ดีเลย เราเอือมระอานะ พระในวัดนี้ท่านมีอะไร เราปกครองอยู่ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ท่านไม่มีอะไรท่านดูแต่หัวใจท่าน ที่จะเอาเรื่องของพระของกันและกันมาพูดหรือมาอะไรนี้ไม่มี เงียบมาตลอด ส่วนใหญ่พระเก็บความรู้สึกไว้ได้ดี ไม่เปราะแปะๆ เหมือนผู้หญิง ผู้หญิงเอะอะออกแล้วปากเปราะ ตีปากมันให้เสียงดังเปาะเลย มันปากเปราะก็ต้องตีให้ดังเปาะละซีมันจะเข้ากันได้ มักมีเรื่องเสมอ พูดแล้วมันไม่ฟังหรือนี่
การสอนพี่น้องทั้งหลายเราสอนแต่สิ่งที่ ถูกต้องดีงาม ตำหนิที่ตรงไหนควรจะแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีที่ท่านตำหนิ เรามาศึกษาอบรมจะอบรมอะไร ก็มาฟังเสียงผิดถูกชั่วดีเพื่อจะไปแก้ไขดัดแปลงตนเอง อย่าเอาทิฐิมานะมาอยู่ด้วยกัน ให้เอาธรรมเข้ามาอยู่ด้วยกัน อย่าไปเห็นแต่โทษคนนั้นโทษคนนี้ มันมีโทษด้วยกันทุกคน กิเลสเป็นตัวสร้างโทษสร้างกรรม มีด้วยกันทุกคน เก็บไว้ภายในอย่าแสดงออกก็ไม่กระทบกระเทือนกัน ถ้าแสดงออกแล้วกระทบทั้งนั้นแหละ ให้พากันระมัดระวัง
พูด เรื่องคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวที่พูดนั้นแหละมันไม่ดี มันคึกมันคะนองอยู่ในหัวใจ อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเอาเรื่องคนนั้นมาพูดคนนี้มาพูด ไปนั่งที่ไหนปากแม็บๆๆ ปากเปราะ นี่เป็นนิสัยไม่ดี ให้รีบแก้ไข การได้ยินได้ฟังอะไรอย่าด่วนโต้ด่วนตอบกัน เก็บไว้พินิจพิจารณาทุกอย่าง อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าจะเคยต่อนิสัย แล้วไม่มาแก้นิสัยตัวเองจะไปแก้อะไร มาศึกษาอะไรในวัดนี้ มาศึกษาธรรม ธรรมท่านสอนว่ายังไงนำไปปฏิบัติ อย่างนั้นถึงถูกต้องดีงาม
เราพูด ตามความจริง ปกครองพระง่ายกว่าฝ่ายผู้หญิง ไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไร แต่ฝ่ายผู้หญิงมียุบแย็บๆ ออกช่องโน้นออกช่องนี้เราเบื่อนะ อย่าให้ได้เบื่อเถอะ ให้พากันฟังถ้าตั้งใจมาอบรมศึกษาจริงๆ ให้ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ คำสอนนี้จะไม่ผิด สอนตรงไหนแสดงว่าถูกต้องตรงนั้นๆ บอกว่าผิดก็ให้รีบแก้ไขดัดแปลง ที่ถูกแล้วให้ส่งเสริมให้ดีขึ้นอย่างนั้นนะ เรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่อยากได้ยินไม่อยากได้ฟังเลย มันขัดมันขวางทั้งหูทั้งใจ มันจะแสดงบอกของผู้ที่นำมาพูดให้ฟังผู้ที่เป็นนั้นแหละไม่ใช่อะไร มันก็มาย้อนอยู่กับที่นั่น เลยอิดหนาระอาใจนะเรา ไม่อยากเล่นด้วย
ผิด ถูกประการใดว่าเลย ไม่ต้องไปนินทากาเลที่นั่นที่นี่ ประกาศคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวเจ้าของตัวไม่ดีนั้นให้ดูตรงนั้น มันออกจากปากคนนั้นแหละ คนไหนเขาก็ดีทุกคน ต่างคนต่างเก็บความรู้สึกไว้บ้างซิ ไม่เก็บไม่ได้นะแตกกระจายไปเลย ถ้าพูดกันก็พูดเพื่ออรรถเพื่อธรรม ยอมรับเหตุผลกลไกความถูกต้องดีงามของกันและกัน อย่าเห็นแก่พูดแก่ว่า ผู้ฟังก็ฟังแล้วต่อกันไปถกเถียงกันไป สุดท้ายก็เป็นหมากัดกันดูไม่ได้นะ พากันจำให้ดีในครัวนี้ ได้เตือนเสมอนะครัวนี่ ผิดกันกับทางวัดก็บอกว่าผิด ทางวัดเราไม่ได้อะไรละ ต่างองค์ต่างแน่วใส่ความพากความเพียรของตน อันโน้นมันไม่มีความเพียร ไปหากันก็ยุ่งแต่กัน
อิจฉาพยาบาทกันนี้ อย่าให้มีในวัด กลัวเขาได้ดิบได้ดีแล้วว่าครูบาอาจารย์รักคนนั้นชังคนนี้ อย่ามาพูดให้เราได้ยินอันนี้ปากแตกนะพูดจริงๆ ก็เราไม่มีที่จะเอียงโน้นเอียงนี้ หัวใจเราไม่มี ผิดบอกว่าผิดถูกบอกว่าถูกตรงไปตรงมาที่เรียกว่าภาษาธรรม อย่าไปคิดว่าท่านไปเกี่ยวข้องกับใครท่านรักคนนั้นท่านรักคนนี้ นิสัยอันนี้มันฝังหัวใจ ท่านออกท่านออกแบบไหนมันไม่ยอมฟัง ท่านออกแบบธรรม เรานี้ฟังแบบโลก ตีความหมายไปโลกๆ ว่าท่านรักคนนั้นท่านชังคนนี้ รังเกียจคนนั้นไม่รังเกียจคนนี้ อย่าให้ได้ยินนะ เราสอนเสมอภาคไปหมด จิตก็เป็นจิตเสมอภาคครอบโลกธาตุด้วยความเมตตา ไม่เอนไม่เอียง ไม่มีคำว่าเอนว่าเอียง ตรงแน่วๆ ไปเลย
ผู้มาปฏิบัติก็เหมือนกัน ตั้งใจปฏิบัติให้จริงให้จัง อย่าทำแหวกแนวนะการประพฤติปฏิบัติตัว แล้วแหวกแนวมีนะ อยู่ด้านหลังนี่ล่ะมันมีอยู่ ปฏิบัติแหวกนั้นแหวกนี้ เราฟังเราได้ยินอยู่เรื่อยๆ ทั่วๆ ไปในครัวนี้ เหมือนไม่ได้ยินนะ มาพูดออกนี้เหมือนว่าพึ่งทราบเดี๋ยวนี้ ทราบมานานแล้วนะ เก็บไว้ๆ ไม่ถึงกาลเวลาที่พูดก็ไม่พูด นี้ถึงกาลเวลาพูดผู้ฟังให้ฟังเอาไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง ให้ได้ผลสมกับที่มาศึกษาปรารภ อย่าอิจฉาบังเบียดกัน ให้เสมอไปเลย ให้ดูใจตัวเองมากกว่าอย่างอื่น นี้มันน่าจะไม่ดูใจตัวเอง ใจนี้เป็นตัวหลุกหลิกที่สุด ถ้าดูตรงนั้นมันจะไม่คึกคะนองมาก นี้ปล่อยมันไปก็ยิ่งไปใหญ่ๆ ใช้ไม่ได้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
เมื่อ วานนี้เราไปโรงพยาบาลภูพาน อยู่ในเขากลางเขา เดี๋ยวนี้เพิ่มเงินให้โรงละสองหมื่นๆ กะว่าพอดีเขาจ่ายแค่นี้แค่นั้น เฉลี่ยแล้วเราให้โรงละสองหมื่นพอดีแหละ เราก็ไม่มีจะว่าไง ขนออกตลอด วัดนี้ขนตลอด ไม่อัดไม่อั้นเรื่องการกระจายออก ออกตลอดเวลา ไหลรอบวัดเลย มาเท่าไรออกหมด มิหนำซ้ำซื้อซ้ำเข้าอีก มันไม่พอเราซื้ออีกๆ อย่างนั้นแหละ ทำให้เป็นประโยชน์แก่โลก ผู้ยากจนต้องอาศัยผู้ที่พอมีพอเป็นพอไป นี่เรียกว่าโลกอาศัยกัน
ความอาศัยกันมันสมานความแน่นหนามั่นคงต่อ กันมากมาย เข้าใจไหม น้ำใจเป็นสำคัญมาก วัตถุเป็นเครื่องแสดงน้ำใจ ให้ไปด้วยน้ำใจ ทางโน้นรับแล้วก็รับด้วยน้ำใจตอบรับกัน เป็นเครื่องสมัครสมานแน่นหนามั่นคง วัตถุเป็นเครื่องหมายเท่านั้นละ ออกมาจากหัวใจ
ทางวิทยุก็กว้างขวางมาก โรงสีร้อยเอ็ดนี่กว้างขวางมากทีเดียว แสดงว่าเขาจดจ่อมาก พอเครื่องขัดข้องชั่วระยะนิดเดียวเท่านั้นโทรศัพท์ลั่นมาแล้วรอบด้านว่างั้น วิทยุเป็นอะไรขึ้นมาเลย เป็นอันนั้นๆ ครู่เดียวเท่านั้นถามมาแล้ว เขาฟังอยู่ตลอดเวลา ดูว่าเปิด ๒๔ ชั่วโมงที่ร้อยเอ็ด เสี่ยสมหมายก็เอาใหญ่เหมือนกันไม่ใช่เล่น วิทยุกระจายไปหลายจังหวัด เขาบอกจากร้อยเอ็ดถึงขอนแก่น ไปจังหวัดไหนๆ บอกมาหมดแต่เราจำไม่ได้ ไกล ยโสธงยโสธร ดูว่าถึงอุบลก็ไม่ทราบ ทางแถวนั้นถึงหมด มาถึงภูจ้อก้อ ทางนี้ก็มาถึงว่างั้น ได้ทำบุญให้ทานเราเป็นที่พอใจ ช่วยชาติผู้ยากจนด้วยกันให้พอทนพออยู่ได้ เฉลี่ยกันไปมีอะไร มีมากมีน้อยเฉลี่ยกันไป น้ำใจของทุกคน น้ำใจเป็นของสำคัญ
เรานี่หู อื้อละสำคัญ ตอนฉันจังหันเสร็จแล้วค่อยดีหน่อย ตอนค่ำพูดนี้ออกหมดเลยลั่นอยู่ในหู ตอนเช้าก่อนจังหันก็อื้อเหมือนกัน พอฉันจังหันแล้วค่อยยังชั่วหน่อย เสียงได้ยินจากปากนี้ ถ้าเวลามันออกแล้วเสียงมันดัง เหมือนไม่ออกไปนี้นะ
ฝนก็อย่างนี้ แหละ ที่ไหนก็แบบเดียวกัน ฝนปีนี้เป็นฝนฝอย ๓ ปีนี้ฝนตกเป็นฝอย ห้วยหมากแข้งหน้าวัดนี้ ปีกลายนี้ไม่มาก ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่เคยมี ปีหนึ่งอย่างน้อยสองหน น้ำมากท่วมลงไปหาเมืองอุดร ระยะสามปีมานี้ไม่มี มันตกอย่างนี้แหละ เมฆบางๆ ตกพอฝอยๆ ไม่ตกเป็นจังหวะจะโคนเป็นเนื้อเป็นหนังให้ ปลาก็เต็มอยู่ที่ห้วยหน้าวัด เขาเอามาปล่อยเป็นหมื่นๆ นะไม่ใช่น้อยๆ เต็ม ปลาในนี้มากที่สุด
บรรดา นักภาวนาทั้งหลายอยู่ข้างใน อย่าสนใจสิ่งใดมากยิ่งกว่าธรรมภายในใจ ให้ดูจิตใจตัวเอง อย่าไปเที่ยวดูเรื่องคนอื่นคนใด เป็นความเสียหายไม่ดีเลย เราเอือมระอานะ พระในวัดนี้ท่านมีอะไร เราปกครองอยู่ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ท่านไม่มีอะไรท่านดูแต่หัวใจท่าน ที่จะเอาเรื่องของพระของกันและกันมาพูดหรือมาอะไรนี้ไม่มี เงียบมาตลอด ส่วนใหญ่พระเก็บความรู้สึกไว้ได้ดี ไม่เปราะแปะๆ เหมือนผู้หญิง ผู้หญิงเอะอะออกแล้วปากเปราะ ตีปากมันให้เสียงดังเปาะเลย มันปากเปราะก็ต้องตีให้ดังเปาะละซีมันจะเข้ากันได้ มักมีเรื่องเสมอ พูดแล้วมันไม่ฟังหรือนี่
การสอนพี่น้องทั้งหลายเราสอนแต่สิ่งที่ ถูกต้องดีงาม ตำหนิที่ตรงไหนควรจะแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีที่ท่านตำหนิ เรามาศึกษาอบรมจะอบรมอะไร ก็มาฟังเสียงผิดถูกชั่วดีเพื่อจะไปแก้ไขดัดแปลงตนเอง อย่าเอาทิฐิมานะมาอยู่ด้วยกัน ให้เอาธรรมเข้ามาอยู่ด้วยกัน อย่าไปเห็นแต่โทษคนนั้นโทษคนนี้ มันมีโทษด้วยกันทุกคน กิเลสเป็นตัวสร้างโทษสร้างกรรม มีด้วยกันทุกคน เก็บไว้ภายในอย่าแสดงออกก็ไม่กระทบกระเทือนกัน ถ้าแสดงออกแล้วกระทบทั้งนั้นแหละ ให้พากันระมัดระวัง
พูด เรื่องคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวที่พูดนั้นแหละมันไม่ดี มันคึกมันคะนองอยู่ในหัวใจ อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องเอาเรื่องคนนั้นมาพูดคนนี้มาพูด ไปนั่งที่ไหนปากแม็บๆๆ ปากเปราะ นี่เป็นนิสัยไม่ดี ให้รีบแก้ไข การได้ยินได้ฟังอะไรอย่าด่วนโต้ด่วนตอบกัน เก็บไว้พินิจพิจารณาทุกอย่าง อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าจะเคยต่อนิสัย แล้วไม่มาแก้นิสัยตัวเองจะไปแก้อะไร มาศึกษาอะไรในวัดนี้ มาศึกษาธรรม ธรรมท่านสอนว่ายังไงนำไปปฏิบัติ อย่างนั้นถึงถูกต้องดีงาม
เราพูด ตามความจริง ปกครองพระง่ายกว่าฝ่ายผู้หญิง ไม่ได้มีเรื่องมีราวอะไร แต่ฝ่ายผู้หญิงมียุบแย็บๆ ออกช่องโน้นออกช่องนี้เราเบื่อนะ อย่าให้ได้เบื่อเถอะ ให้พากันฟังถ้าตั้งใจมาอบรมศึกษาจริงๆ ให้ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ คำสอนนี้จะไม่ผิด สอนตรงไหนแสดงว่าถูกต้องตรงนั้นๆ บอกว่าผิดก็ให้รีบแก้ไขดัดแปลง ที่ถูกแล้วให้ส่งเสริมให้ดีขึ้นอย่างนั้นนะ เรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่อยากได้ยินไม่อยากได้ฟังเลย มันขัดมันขวางทั้งหูทั้งใจ มันจะแสดงบอกของผู้ที่นำมาพูดให้ฟังผู้ที่เป็นนั้นแหละไม่ใช่อะไร มันก็มาย้อนอยู่กับที่นั่น เลยอิดหนาระอาใจนะเรา ไม่อยากเล่นด้วย
ผิด ถูกประการใดว่าเลย ไม่ต้องไปนินทากาเลที่นั่นที่นี่ ประกาศคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวเจ้าของตัวไม่ดีนั้นให้ดูตรงนั้น มันออกจากปากคนนั้นแหละ คนไหนเขาก็ดีทุกคน ต่างคนต่างเก็บความรู้สึกไว้บ้างซิ ไม่เก็บไม่ได้นะแตกกระจายไปเลย ถ้าพูดกันก็พูดเพื่ออรรถเพื่อธรรม ยอมรับเหตุผลกลไกความถูกต้องดีงามของกันและกัน อย่าเห็นแก่พูดแก่ว่า ผู้ฟังก็ฟังแล้วต่อกันไปถกเถียงกันไป สุดท้ายก็เป็นหมากัดกันดูไม่ได้นะ พากันจำให้ดีในครัวนี้ ได้เตือนเสมอนะครัวนี่ ผิดกันกับทางวัดก็บอกว่าผิด ทางวัดเราไม่ได้อะไรละ ต่างองค์ต่างแน่วใส่ความพากความเพียรของตน อันโน้นมันไม่มีความเพียร ไปหากันก็ยุ่งแต่กัน
อิจฉาพยาบาทกันนี้ อย่าให้มีในวัด กลัวเขาได้ดิบได้ดีแล้วว่าครูบาอาจารย์รักคนนั้นชังคนนี้ อย่ามาพูดให้เราได้ยินอันนี้ปากแตกนะพูดจริงๆ ก็เราไม่มีที่จะเอียงโน้นเอียงนี้ หัวใจเราไม่มี ผิดบอกว่าผิดถูกบอกว่าถูกตรงไปตรงมาที่เรียกว่าภาษาธรรม อย่าไปคิดว่าท่านไปเกี่ยวข้องกับใครท่านรักคนนั้นท่านรักคนนี้ นิสัยอันนี้มันฝังหัวใจ ท่านออกท่านออกแบบไหนมันไม่ยอมฟัง ท่านออกแบบธรรม เรานี้ฟังแบบโลก ตีความหมายไปโลกๆ ว่าท่านรักคนนั้นท่านชังคนนี้ รังเกียจคนนั้นไม่รังเกียจคนนี้ อย่าให้ได้ยินนะ เราสอนเสมอภาคไปหมด จิตก็เป็นจิตเสมอภาคครอบโลกธาตุด้วยความเมตตา ไม่เอนไม่เอียง ไม่มีคำว่าเอนว่าเอียง ตรงแน่วๆ ไปเลย
ผู้มาปฏิบัติก็เหมือนกัน ตั้งใจปฏิบัติให้จริงให้จัง อย่าทำแหวกแนวนะการประพฤติปฏิบัติตัว แล้วแหวกแนวมีนะ อยู่ด้านหลังนี่ล่ะมันมีอยู่ ปฏิบัติแหวกนั้นแหวกนี้ เราฟังเราได้ยินอยู่เรื่อยๆ ทั่วๆ ไปในครัวนี้ เหมือนไม่ได้ยินนะ มาพูดออกนี้เหมือนว่าพึ่งทราบเดี๋ยวนี้ ทราบมานานแล้วนะ เก็บไว้ๆ ไม่ถึงกาลเวลาที่พูดก็ไม่พูด นี้ถึงกาลเวลาพูดผู้ฟังให้ฟังเอาไปประพฤติปฏิบัติตัวเอง ให้ได้ผลสมกับที่มาศึกษาปรารภ อย่าอิจฉาบังเบียดกัน ให้เสมอไปเลย ให้ดูใจตัวเองมากกว่าอย่างอื่น นี้มันน่าจะไม่ดูใจตัวเอง ใจนี้เป็นตัวหลุกหลิกที่สุด ถ้าดูตรงนั้นมันจะไม่คึกคะนองมาก นี้ปล่อยมันไปก็ยิ่งไปใหญ่ๆ ใช้ไม่ได้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: น้อมส่ง หลวงตามหาบัว สู่พระนิพพาน
โพสต์ที่ 5
ถ้าฝันไม่ใช่อรหันต์ ?
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
(ข้าว ๖๐ ตันที่เมื่อวานกราบเรียนให้หลวงตามีคำสั่ง จัดไปแจกผู้น้ำท่วมที่อยุธยา ๑๕ ตันของคุณสมบัตินะครับ เกษตรเจริญผล ๑๕ ตันไปอยุธยาเหมือนกัน ของศรีเชียงใหม่ไปจังหวัดสิงห์บุรี ๑๕ ตัน ไปจังหวัดอ่างทอง ๑๕ ตัน รวมทั้งหมด ๖๐ ตันพอดี) ส่งไปที่ไหนบกพร่องเฉลี่ยไป (ผู้ถูกน้ำท่วมที่จันทบุรีส่งไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน รถ ๓ คัน)
เมื่อ คืนนี้เราเป็นบ้า ขบขันจะตายไป คือเดินจงกรมแล้วเหนื่อยก็เข้าไปในห้อง ดูเหมือนไปขโมยหลับท่า หลับก็ไม่รู้ ตื่นก็ไม่รู้ พองัวเงียขึ้นมาเห็นผิดสังเกต พระไปจุดไฟไว้ ตะเกียงโป๊ะเล็กๆ พระจุดไฟไว้ ทุกวันไม่เคยเห็น วันนั้นเห็นพระมาจุดไฟ มีผิดปรกตินิดหน่อยแต่เราไม่รู้ว่าเราผิด ไม่ทราบว่ากี่ทุ่มกี่โมง ด้อมๆ มาครัว ทางนี้รออยู่แล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าทางนี้รอ ตื่นนอนก็ไม่รู้ จากนั้นมามันก็ผิดไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าของไม่รู้ผิดมันก็ยิ่งผิดไปเรื่อยๆ เลยอาละวาดไปหมดเมื่อวานนี้ ขบขันดี แน่ะบทเวลามันจะเป็นมันก็เป็นของมันความจดความจำ
เดี๋ยวนี้หลับไม่ รู้นะ ตื่นไม่รู้ พูดไม่ถูกทั้งสองอย่าง ไม่ทราบมันหลับเมื่อไร ตื่นก็ไม่ทราบตื่นเมื่อไรก็มันตื่นอยู่แล้ว แน่ะ เลยไม่ได้เรื่องเจ้าของเอง นี่เป็นแล้วนะ ขันธ์ระยะนี้กำลัง หลับไม่รู้ตื่นไม่รู้ มันพึ่งเปลี่ยนมา ขันธ์ล้วนๆ แหละนี่ ใครจะไม่รู้หลับตื่นใช่ไหมล่ะ มันก็รู้กันทั่วโลก เราก็รู้เหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่เวลามันจะเปลี่ยนก็อย่างนี้แหละ หลับไม่รู้ตื่นไม่รู้ ว่าตื่นก็มันตื่นอยู่แล้ว แน่ะ ว่าหลับก็ไม่ทราบว่าหลับเมื่อไร เอาตอนฝัน มันมีฝันอย่างนั้นอย่างนี้ อ๋อ หลับตอนนั้น ไม่งั้นไม่รู้นะ นี่ละธาตุขันธ์มันเปลี่ยนของมัน
ธาตุขันธ์เป็นสมมุติมันก็เปลี่ยน ของมันไปอย่างนี้ ส่วนจิตนั้นมันนอกไปหมดแล้วพูดไม่ถูก หมดสมมุติโดยสิ้นเชิง เรียกว่าวิมุตติล้วนๆ เท่านั้นแหละ ดังที่ท่านตั้งบัญญัติเอาไว้ก็เป็นไปตามนั้น ส่วนสมมุติเอาแน่เอานอนไม่ได้ วิมุตตินี้หมดปัญหาทันทีเลย นี่เรียกว่าขันธ์ ขันธ์นี้จะเปลี่ยนแปลงของมันไปเรื่อย เราจะสังเกตได้ตลอดเวลา สมมุติมีขันธ์เป็นสำคัญมันเปลี่ยนแปลงไปอะไรก็ค่อยรู้ๆ ขันธ์น่ะเปลี่ยนแปลง เช่นอย่างหลับก็ไม่รู้ตื่นก็ไม่รู้ คือขันธ์
ใคร จะไม่รู้เวลาหลับตื่น นี้มันไม่รู้จะให้ว่าไง ถ้าว่าตื่นมันก็ตื่นอยู่แล้ว แน่ะ ถ้าว่าหลับก็ไม่ทราบว่าหลับเมื่อไร ก็จะทราบเอาตอนที่มันฝัน โอ๋ หลับตอนนั้นๆ คือถือเอาความฝันนั่นแหละเป็นเวลาหลับ มันเปลี่ยนอย่างนั้นแหละ นี้ยังมีผู้ที่แต่งหนังสือมา เราได้อ่าน นี่ละการแต่งหนังสือเอาทิฐิความรู้ความเห็นของตนแทรกเข้าในธรรม เลยกลายเป็นธรรมมัวหมองไปด้วย ไม่บริสุทธิ์ แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิดเท่าไรนัก หากอ่านไปเจอเข้ามันหากจำของมันได้เอง สิ่งใดที่ควรจะจำมันก็จำของมันเอง อ่านไปถึงบทที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ว่างั้นนะ ถ้ายังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ เขียนไว้ในหนังสือเราอ่านไปเจอ เราก็ยังไม่ได้ปักใจอะไรมากนัก ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์
ยังอวดเก่งเข้าไปอีก ถ้ายังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ นี้อวดเก่งในความจอมปลอมของตัวเอง มันก็รู้ได้ชัดเจน นี้ตัวจอมปลอม นอนหลับแล้วไม่ฝัน พระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ ดูซิน่ะมันทับเข้าไปอีก
จึง กระเทือนใจเรามาก เราอยากจับมือมาถามต่อหน้ากัน โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเป็นอรหันต์แล้วหรือ อยากว่าเข้าใจไหม มาอวดพ่อมึงหรือ พ่อกูไม่ได้เป็นอรหันต์ก็ตาม แต่กูก็หันไปนั้นหันไปนี้ได้ กูไม่ได้เป็นอรหันต์ กูก็หันนั้นหันนี้ได้อยู่มึงอย่ามาอวดกูนา อย่างนี้ละมันบอกชัดเจน ที่เขียนไว้ในบุพพสิกขาว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่อรหันต์ ผิดทั้งเพเลย ก็ขันธ์ ๕ เป็นสมมุติจะไม่ให้มันดีดมันดิ้นไปตามสมมุติแล้วจะให้มันดิ้นไปไหน จิตเป็นจิตตวิมุตติมันคนละอย่าง ครองขันธ์อยู่ อันหนึ่งเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ อันหนึ่งเป็นสมมุติล้วนๆ มันก็เป็นไปตามสมมุติ วิมุตติก็เป็นหลักธรรมชาติของวิมุตติไปเท่านั้นเอง
นี่ ละการเขียนหนังสือ มันเอาความรู้ความเห็นของตนไปแทรกในหนังสือที่บริสุทธิ์ให้มัวหมองไปด้วยได้ อย่างที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ นู่นน่ะมันตีตราเข้าไปอีก ธาตุขันธ์มันก็เป็นสมมุติ ขันธ์ก็เป็นสมมุติมันเข้ากันไม่ได้ยังไง มันก็เข้ากันได้สนิท จิตที่บริสุทธิ์ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องฝันไม่ฝันแหละ พูดเหล่านี้เป็นเรื่องของสมมุติในขันธ์ทั้งนั้น ได้เห็นชัดเจนที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ นี่เห็นชัดเจน คือความจอมปลอมของคนๆ นี้ผู้เขียนนี้ จะทำให้คนอื่นหลงไปตามได้ มันไม่จริง
ขันธ์ก็เป็นสมมุติ ความฝันก็เป็นสมมุติ ทำไมเข้ากันไม่ได้ ทำไมฝันไม่ได้ นั่น ออกมาเผินๆ นี้มันก็รู้กัน ยิ่งถึงขั้นบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วรู้ได้หมดจะว่าไง ในหนังสือที่เรียกว่าพระไตรปิฎกๆ ปิฎกๆ แปลว่าภาชนะ ท่านเรียกว่า ปิฎก ปิฏก เป็นภาษาบาลี ปิฎกเป็นภาษาไทยเรา แปลออกมาแล้วว่าภาชนะสำหรับใส่สิ่งของ ปิฎกก็ภาชนะสำหรับใส่ธรรม เรียกว่าปิฎก พระวินัยปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระวินัย พระสุตตันตปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระสูตร อภิธรรมปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุธรรมขั้นสูง คืออภิธรรม แปลเป็นอย่างนั้นแหละ ว่าปิฎกๆ เราไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าแปลออกมาแล้ว ปิฎกหรือปิฏกเป็นภาษาบาลี ปิฎกเป็นภาษาไทย เรียกว่าภาชนะ หรือว่าถ้วยหรือจานเราเหล่านี้แหละ
อะไรก็ตามเถอะที่เราเรียนมามาก น้อยๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าภาคปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาที่เป็นธรรมล้วนๆ เห็นผลมาประจักษ์ๆ แล้ว ทางภาคปริยัติก็จะไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่พอเข้าถึงภาคปฏิบัติมันรู้มันเห็นทางภาคปฏิบัติมันลึกซึ้งมากนะ ทีนี้มันก็รู้อะไรปลอมอะไรจริง ในพระไตรปิฎกอะไรมันปลอมอะไรมันจริง มันรู้อยู่ในใจเลยเชียว พิสดารมาก ผลที่เกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติก็คือความสุขสุดยอดนั้นแหละ แต่ผลอีกอย่างหนึ่งที่ได้เห็นอะไรหายสงสัย เราได้ปฏิบัติแล้ว ถ้าปฏิบัติแบบงูๆ ปลาๆ ไม่นับเข้ามานะ ปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจังให้รู้ตามทางของศาสดาจริงๆ
ปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียน เป็นแบบแปลนแผนผัง ปฏิบัติ นำแบบแปลนนั้นออกมาปฏิบัติมาแจงเหมือนเขาทำแปลนบ้านแปลนเรือน ทิ้งไว้ในห้องก็เป็นแปลนเต็มห้อง ดึงออกมากางไว้จะปลูกบ้านสร้างเรือนหลังไหนขนาดไหนเอากี่ห้องกี่หับ สั้นยาวขนาดไหนเอาแปลนมากาง ทีนี้ค่อยสร้างตามนั้น นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ ทีนี้มันก็ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เริ่มแรกขุดดินเทคาน มันก็รู้ขึ้นมาเรื่อย จนกระทั่งสำเร็จเป็นหลัง เป็นปฏิเวธรู้แจ้งในงานของตนในผลงานของตน นั่นแปลออกแล้วเป็นอย่างนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิเวธคือความรู้ผลงานของตน
ปริยัติได้แก่แบบแปลน ปฏิบัตินำเอาแบบแปลนมาสร้างบ้านสร้างเรือน ก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นปฏิเวธขึ้นมาเป็นลำดับ จนกระทั่งสร้างบ้านเรือนเสร็จโดยสมบูรณ์ก็เป็นปฏิเวธสมบูรณ์ว่า เอ้อ บ้านหลังนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่น นั่นละปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้ามีแต่การศึกษาเล่าเรียนเฉยๆ มันก็เป็นนกขุนทองไปได้ เรียนไม่ได้หวังอรรถหวังธรรมเข้าสู่ใจตัวเอง เรียนเพื่อความจดความจำเอาชื่อเอาเสียงเอานามอะไร เอาชั้นเอาภูมิก็เป็นโลกไปเลย ไม่ได้เป็นธรรม ถ้าเรียนเพื่อนำมาปฏิบัติตนเองตามที่ธรรมท่านสอนไว้นั้นเรียกว่า ปริยัติเพื่อปฏิบัติจริงๆ เป็นผลจริงๆ จากนั้นก็เป็นปฏิเวธได้รู้ผลของงานตัวเองโดยลำดับ จนกระทั่งแทงทะลุถึงนิพพาน เรียนว่าปฏิเวธโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นอย่างนั้น ให้เข้าทางภาคปฏิบัติ
นี้ก็ไม่มีใครพูด พูดอย่างหลวงตาพูดนี่น่ะ คือภาคปริยัติเราก็ผ่านมาเต็มกำลังของเรา ผ่านทางภาคปฏิบัตินี้ก็เรียกว่าเต็มกำลังเหมือนกัน ทีนี้เวลาได้ผลขึ้นมาแล้วก็มาลงอยู่ในภาคปฏิเวธ ผลแห่งการปฏิบัติของเราขึ้นเห็นชัดเจนหายสงสัยเป็นลำดับลำดาไปหมด บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรต ผี หายสงสัย แต่ท่านไม่หิวโหย รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ถ้าคนควรจะฉุดลากท่านก็ฉุด ถ้ามันยังจมอยู่ไม่ยอมขึ้นก็ ดีไม่ดีจับไสลงไป ตบก้นลงไปเข้ามูตรเข้าคูถเข้าส้วมเข้าถานไปเสีย ดึงออกมันไม่ออกเข้าใจไหม มันก็มีสองอย่าง
เหมือนอย่างตำรวจคนหนึ่ง เราจะไปนครพนม ฉันจังหันที่สกลนคร เขานิมนต์ไปฉันที่บ้าน รถจะมาหน้าบ้านแล้วขึ้นรถเมล์ไป แต่ก่อนรถไม่ค่อยมี ที่ตรงนั้นแหละ มีตำรวจคนหนึ่งเขายืนอยู่หน้าสถานี แต่เขายืนยามนี้เขายืนอยู่ธรรมดาก็ไม่ทราบ แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปฟากถนนทางนี้ เขายืนอยู่ฟากถนนทางนี้ ทีนี้เราก็รอรถอยู่นั้น เราไม่รู้ว่าเขามีอะไรกัน เขาคุ้นกันไม่คุ้นกันเราไม่รู้ พอไปถึงนั้น หยุด ว่างั้นนะ ตำรวจคนนั้นบอกผู้หญิงคนนั้นหยุด ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเฉย บอกหยุดว่ะ ยิ่งหนักขึ้นนะ ทางนั้นเขาก็เดินเฉย เราไม่รู้เรื่องของเขา พอถึงขั้นที่สาม บอกหยุดไม่หยุดเหรอขึ้นเลย เอ๊ะ นี่มันทะเลาะกันหรือ ไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่า บอกว่าไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่าเลย
ผู้หญิง คนนั้นมันก็ไปเฉยไม่สนใจนะ ก็เขาคุ้นกันมาเท่าไรแล้ว เขาขู่กันด้วยความหยอกเล่นกัน ไอ้เรานึกว่าเขาจริงจัง เหอ บอกหยุดไม่หยุดหรือ ขึ้นอย่างใหญ่โตนะ ไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่าเลย ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเฉยไปเลย เขาคุ้นกันมาสักเท่าไรเราไม่รู้เรื่อง ขบขันดี นี่บอกหยุดมันไม่หยุดนะพวกใต้ถุนศาลานี่ บอกหยุดๆ ว่าเท่าไรมันไม่หยุด มันบืนหาเสื่อหาหมอน เข้าใจไหม บอกหยุดๆ ว่าเท่าไรมันก็ไม่หยุด มันบืนหาเสื่อหาหมอน ทางนี้ก็ตวาดใหญ่เลย ไม่หยุดก็ไปเสียซี ไปหาเสื่อหาหมอน มันก็เท่านั้นเองจะให้ว่าไง วันนี้ก็พูดเท่านั้นละ
เทศนาว่าการก็เทศน์มานานแล้วสอนพี่น้องทั้ง หลาย ให้จดจำนะ การสอนของเราไม่ได้มีอะไรสงสัยเลย เรากราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลย เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมดเลย ไม่มีผิดมีเพี้ยนแม้นิดหนึ่ง ไม่เหมือนกิเลสที่เป็นโคตรแซ่แห่งการหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลก ธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้แน่วเลย ให้พากันตั้งใจปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า ผลจะเห็นขึ้นประจักษ์ใจ ไม่เป็นอื่น ธรรมนี้ใหม่เอี่ยมตลอด สดๆ ร้อนๆ เหมือนกิเลสมันเอี่ยมของมัน สัตว์โลกจึงจมไปกับมันไม่มีเข็ดหลาบอิ่มพอ ว่าถูกต้มจากกิเลสไม่มี แล้วธรรมท่านก็สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน ตรงแน่วต่อหลักต่อจุดที่หมายเลย เอาละให้พร
(หลวงตาครับเขาส่งมาจากข้างหลังสั้นๆ เขาอยากรู้ว่าการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ตายไปแล้ว ผู้ตายจะได้รับไหมครับ ถ้ายังไม่ได้ไปจุติเป็นเปรต เขาบอกเขาเคยได้ยินพระกรรมฐานบอกว่า ถ้าจิตของผู้นั้นยังไม่ได้เกิดเป็นเปรตอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับ) เอ้อ ก็ถูกต้อง เราก็เป็นกรรมฐานเหมือนกัน เราก็ตอบได้เหมือนกัน เข้าใจไหม ไปสวรรค์นิพพานไปที่ไหนก็ไม่ได้รับ ส่วนบุญกุศลก็ย้อนมาหาเจ้าของตามเดิม เข้าใจเหรอ ถ้าเป็นเปรตเป็นผี เปรตมี ๑๒-๑๓ จำพวก เปรตที่ควรรับไทยทานของญาติวงศ์นี้ก็คือปรทัตตูปชีวีเปรต มีจำพวกเดียว เปรต ๑๓ จำพวก ๑๒ จำพวกไม่ได้รับ คือมันกรรมหนักเบาต่างกัน ประเภทปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ได้รับ เราเผื่อไว้นั่นละดี ได้รับไม่ได้รับก็ไม่เสียหาย เป็นบุญของเราอยู่แล้วเท่านั้นเอง เอาละพอ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
(ข้าว ๖๐ ตันที่เมื่อวานกราบเรียนให้หลวงตามีคำสั่ง จัดไปแจกผู้น้ำท่วมที่อยุธยา ๑๕ ตันของคุณสมบัตินะครับ เกษตรเจริญผล ๑๕ ตันไปอยุธยาเหมือนกัน ของศรีเชียงใหม่ไปจังหวัดสิงห์บุรี ๑๕ ตัน ไปจังหวัดอ่างทอง ๑๕ ตัน รวมทั้งหมด ๖๐ ตันพอดี) ส่งไปที่ไหนบกพร่องเฉลี่ยไป (ผู้ถูกน้ำท่วมที่จันทบุรีส่งไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน รถ ๓ คัน)
เมื่อ คืนนี้เราเป็นบ้า ขบขันจะตายไป คือเดินจงกรมแล้วเหนื่อยก็เข้าไปในห้อง ดูเหมือนไปขโมยหลับท่า หลับก็ไม่รู้ ตื่นก็ไม่รู้ พองัวเงียขึ้นมาเห็นผิดสังเกต พระไปจุดไฟไว้ ตะเกียงโป๊ะเล็กๆ พระจุดไฟไว้ ทุกวันไม่เคยเห็น วันนั้นเห็นพระมาจุดไฟ มีผิดปรกตินิดหน่อยแต่เราไม่รู้ว่าเราผิด ไม่ทราบว่ากี่ทุ่มกี่โมง ด้อมๆ มาครัว ทางนี้รออยู่แล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าทางนี้รอ ตื่นนอนก็ไม่รู้ จากนั้นมามันก็ผิดไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าของไม่รู้ผิดมันก็ยิ่งผิดไปเรื่อยๆ เลยอาละวาดไปหมดเมื่อวานนี้ ขบขันดี แน่ะบทเวลามันจะเป็นมันก็เป็นของมันความจดความจำ
เดี๋ยวนี้หลับไม่ รู้นะ ตื่นไม่รู้ พูดไม่ถูกทั้งสองอย่าง ไม่ทราบมันหลับเมื่อไร ตื่นก็ไม่ทราบตื่นเมื่อไรก็มันตื่นอยู่แล้ว แน่ะ เลยไม่ได้เรื่องเจ้าของเอง นี่เป็นแล้วนะ ขันธ์ระยะนี้กำลัง หลับไม่รู้ตื่นไม่รู้ มันพึ่งเปลี่ยนมา ขันธ์ล้วนๆ แหละนี่ ใครจะไม่รู้หลับตื่นใช่ไหมล่ะ มันก็รู้กันทั่วโลก เราก็รู้เหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่เวลามันจะเปลี่ยนก็อย่างนี้แหละ หลับไม่รู้ตื่นไม่รู้ ว่าตื่นก็มันตื่นอยู่แล้ว แน่ะ ว่าหลับก็ไม่ทราบว่าหลับเมื่อไร เอาตอนฝัน มันมีฝันอย่างนั้นอย่างนี้ อ๋อ หลับตอนนั้น ไม่งั้นไม่รู้นะ นี่ละธาตุขันธ์มันเปลี่ยนของมัน
ธาตุขันธ์เป็นสมมุติมันก็เปลี่ยน ของมันไปอย่างนี้ ส่วนจิตนั้นมันนอกไปหมดแล้วพูดไม่ถูก หมดสมมุติโดยสิ้นเชิง เรียกว่าวิมุตติล้วนๆ เท่านั้นแหละ ดังที่ท่านตั้งบัญญัติเอาไว้ก็เป็นไปตามนั้น ส่วนสมมุติเอาแน่เอานอนไม่ได้ วิมุตตินี้หมดปัญหาทันทีเลย นี่เรียกว่าขันธ์ ขันธ์นี้จะเปลี่ยนแปลงของมันไปเรื่อย เราจะสังเกตได้ตลอดเวลา สมมุติมีขันธ์เป็นสำคัญมันเปลี่ยนแปลงไปอะไรก็ค่อยรู้ๆ ขันธ์น่ะเปลี่ยนแปลง เช่นอย่างหลับก็ไม่รู้ตื่นก็ไม่รู้ คือขันธ์
ใคร จะไม่รู้เวลาหลับตื่น นี้มันไม่รู้จะให้ว่าไง ถ้าว่าตื่นมันก็ตื่นอยู่แล้ว แน่ะ ถ้าว่าหลับก็ไม่ทราบว่าหลับเมื่อไร ก็จะทราบเอาตอนที่มันฝัน โอ๋ หลับตอนนั้นๆ คือถือเอาความฝันนั่นแหละเป็นเวลาหลับ มันเปลี่ยนอย่างนั้นแหละ นี้ยังมีผู้ที่แต่งหนังสือมา เราได้อ่าน นี่ละการแต่งหนังสือเอาทิฐิความรู้ความเห็นของตนแทรกเข้าในธรรม เลยกลายเป็นธรรมมัวหมองไปด้วย ไม่บริสุทธิ์ แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิดเท่าไรนัก หากอ่านไปเจอเข้ามันหากจำของมันได้เอง สิ่งใดที่ควรจะจำมันก็จำของมันเอง อ่านไปถึงบทที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ว่างั้นนะ ถ้ายังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ เขียนไว้ในหนังสือเราอ่านไปเจอ เราก็ยังไม่ได้ปักใจอะไรมากนัก ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์
ยังอวดเก่งเข้าไปอีก ถ้ายังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ นี้อวดเก่งในความจอมปลอมของตัวเอง มันก็รู้ได้ชัดเจน นี้ตัวจอมปลอม นอนหลับแล้วไม่ฝัน พระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ ดูซิน่ะมันทับเข้าไปอีก
จึง กระเทือนใจเรามาก เราอยากจับมือมาถามต่อหน้ากัน โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเป็นอรหันต์แล้วหรือ อยากว่าเข้าใจไหม มาอวดพ่อมึงหรือ พ่อกูไม่ได้เป็นอรหันต์ก็ตาม แต่กูก็หันไปนั้นหันไปนี้ได้ กูไม่ได้เป็นอรหันต์ กูก็หันนั้นหันนี้ได้อยู่มึงอย่ามาอวดกูนา อย่างนี้ละมันบอกชัดเจน ที่เขียนไว้ในบุพพสิกขาว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่อรหันต์ ผิดทั้งเพเลย ก็ขันธ์ ๕ เป็นสมมุติจะไม่ให้มันดีดมันดิ้นไปตามสมมุติแล้วจะให้มันดิ้นไปไหน จิตเป็นจิตตวิมุตติมันคนละอย่าง ครองขันธ์อยู่ อันหนึ่งเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ อันหนึ่งเป็นสมมุติล้วนๆ มันก็เป็นไปตามสมมุติ วิมุตติก็เป็นหลักธรรมชาติของวิมุตติไปเท่านั้นเอง
นี่ ละการเขียนหนังสือ มันเอาความรู้ความเห็นของตนไปแทรกในหนังสือที่บริสุทธิ์ให้มัวหมองไปด้วยได้ อย่างที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ นู่นน่ะมันตีตราเข้าไปอีก ธาตุขันธ์มันก็เป็นสมมุติ ขันธ์ก็เป็นสมมุติมันเข้ากันไม่ได้ยังไง มันก็เข้ากันได้สนิท จิตที่บริสุทธิ์ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องฝันไม่ฝันแหละ พูดเหล่านี้เป็นเรื่องของสมมุติในขันธ์ทั้งนั้น ได้เห็นชัดเจนที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ นี่เห็นชัดเจน คือความจอมปลอมของคนๆ นี้ผู้เขียนนี้ จะทำให้คนอื่นหลงไปตามได้ มันไม่จริง
ขันธ์ก็เป็นสมมุติ ความฝันก็เป็นสมมุติ ทำไมเข้ากันไม่ได้ ทำไมฝันไม่ได้ นั่น ออกมาเผินๆ นี้มันก็รู้กัน ยิ่งถึงขั้นบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วรู้ได้หมดจะว่าไง ในหนังสือที่เรียกว่าพระไตรปิฎกๆ ปิฎกๆ แปลว่าภาชนะ ท่านเรียกว่า ปิฎก ปิฏก เป็นภาษาบาลี ปิฎกเป็นภาษาไทยเรา แปลออกมาแล้วว่าภาชนะสำหรับใส่สิ่งของ ปิฎกก็ภาชนะสำหรับใส่ธรรม เรียกว่าปิฎก พระวินัยปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระวินัย พระสุตตันตปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระสูตร อภิธรรมปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุธรรมขั้นสูง คืออภิธรรม แปลเป็นอย่างนั้นแหละ ว่าปิฎกๆ เราไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าแปลออกมาแล้ว ปิฎกหรือปิฏกเป็นภาษาบาลี ปิฎกเป็นภาษาไทย เรียกว่าภาชนะ หรือว่าถ้วยหรือจานเราเหล่านี้แหละ
อะไรก็ตามเถอะที่เราเรียนมามาก น้อยๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าภาคปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาที่เป็นธรรมล้วนๆ เห็นผลมาประจักษ์ๆ แล้ว ทางภาคปริยัติก็จะไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่พอเข้าถึงภาคปฏิบัติมันรู้มันเห็นทางภาคปฏิบัติมันลึกซึ้งมากนะ ทีนี้มันก็รู้อะไรปลอมอะไรจริง ในพระไตรปิฎกอะไรมันปลอมอะไรมันจริง มันรู้อยู่ในใจเลยเชียว พิสดารมาก ผลที่เกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติก็คือความสุขสุดยอดนั้นแหละ แต่ผลอีกอย่างหนึ่งที่ได้เห็นอะไรหายสงสัย เราได้ปฏิบัติแล้ว ถ้าปฏิบัติแบบงูๆ ปลาๆ ไม่นับเข้ามานะ ปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจังให้รู้ตามทางของศาสดาจริงๆ
ปริยัติ คือการศึกษาเล่าเรียน เป็นแบบแปลนแผนผัง ปฏิบัติ นำแบบแปลนนั้นออกมาปฏิบัติมาแจงเหมือนเขาทำแปลนบ้านแปลนเรือน ทิ้งไว้ในห้องก็เป็นแปลนเต็มห้อง ดึงออกมากางไว้จะปลูกบ้านสร้างเรือนหลังไหนขนาดไหนเอากี่ห้องกี่หับ สั้นยาวขนาดไหนเอาแปลนมากาง ทีนี้ค่อยสร้างตามนั้น นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ ทีนี้มันก็ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เริ่มแรกขุดดินเทคาน มันก็รู้ขึ้นมาเรื่อย จนกระทั่งสำเร็จเป็นหลัง เป็นปฏิเวธรู้แจ้งในงานของตนในผลงานของตน นั่นแปลออกแล้วเป็นอย่างนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิเวธคือความรู้ผลงานของตน
ปริยัติได้แก่แบบแปลน ปฏิบัตินำเอาแบบแปลนมาสร้างบ้านสร้างเรือน ก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นปฏิเวธขึ้นมาเป็นลำดับ จนกระทั่งสร้างบ้านเรือนเสร็จโดยสมบูรณ์ก็เป็นปฏิเวธสมบูรณ์ว่า เอ้อ บ้านหลังนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่น นั่นละปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้ามีแต่การศึกษาเล่าเรียนเฉยๆ มันก็เป็นนกขุนทองไปได้ เรียนไม่ได้หวังอรรถหวังธรรมเข้าสู่ใจตัวเอง เรียนเพื่อความจดความจำเอาชื่อเอาเสียงเอานามอะไร เอาชั้นเอาภูมิก็เป็นโลกไปเลย ไม่ได้เป็นธรรม ถ้าเรียนเพื่อนำมาปฏิบัติตนเองตามที่ธรรมท่านสอนไว้นั้นเรียกว่า ปริยัติเพื่อปฏิบัติจริงๆ เป็นผลจริงๆ จากนั้นก็เป็นปฏิเวธได้รู้ผลของงานตัวเองโดยลำดับ จนกระทั่งแทงทะลุถึงนิพพาน เรียนว่าปฏิเวธโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นอย่างนั้น ให้เข้าทางภาคปฏิบัติ
นี้ก็ไม่มีใครพูด พูดอย่างหลวงตาพูดนี่น่ะ คือภาคปริยัติเราก็ผ่านมาเต็มกำลังของเรา ผ่านทางภาคปฏิบัตินี้ก็เรียกว่าเต็มกำลังเหมือนกัน ทีนี้เวลาได้ผลขึ้นมาแล้วก็มาลงอยู่ในภาคปฏิเวธ ผลแห่งการปฏิบัติของเราขึ้นเห็นชัดเจนหายสงสัยเป็นลำดับลำดาไปหมด บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรต ผี หายสงสัย แต่ท่านไม่หิวโหย รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ถ้าคนควรจะฉุดลากท่านก็ฉุด ถ้ามันยังจมอยู่ไม่ยอมขึ้นก็ ดีไม่ดีจับไสลงไป ตบก้นลงไปเข้ามูตรเข้าคูถเข้าส้วมเข้าถานไปเสีย ดึงออกมันไม่ออกเข้าใจไหม มันก็มีสองอย่าง
เหมือนอย่างตำรวจคนหนึ่ง เราจะไปนครพนม ฉันจังหันที่สกลนคร เขานิมนต์ไปฉันที่บ้าน รถจะมาหน้าบ้านแล้วขึ้นรถเมล์ไป แต่ก่อนรถไม่ค่อยมี ที่ตรงนั้นแหละ มีตำรวจคนหนึ่งเขายืนอยู่หน้าสถานี แต่เขายืนยามนี้เขายืนอยู่ธรรมดาก็ไม่ทราบ แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปฟากถนนทางนี้ เขายืนอยู่ฟากถนนทางนี้ ทีนี้เราก็รอรถอยู่นั้น เราไม่รู้ว่าเขามีอะไรกัน เขาคุ้นกันไม่คุ้นกันเราไม่รู้ พอไปถึงนั้น หยุด ว่างั้นนะ ตำรวจคนนั้นบอกผู้หญิงคนนั้นหยุด ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเฉย บอกหยุดว่ะ ยิ่งหนักขึ้นนะ ทางนั้นเขาก็เดินเฉย เราไม่รู้เรื่องของเขา พอถึงขั้นที่สาม บอกหยุดไม่หยุดเหรอขึ้นเลย เอ๊ะ นี่มันทะเลาะกันหรือ ไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่า บอกว่าไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่าเลย
ผู้หญิง คนนั้นมันก็ไปเฉยไม่สนใจนะ ก็เขาคุ้นกันมาเท่าไรแล้ว เขาขู่กันด้วยความหยอกเล่นกัน ไอ้เรานึกว่าเขาจริงจัง เหอ บอกหยุดไม่หยุดหรือ ขึ้นอย่างใหญ่โตนะ ไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่าเลย ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเฉยไปเลย เขาคุ้นกันมาสักเท่าไรเราไม่รู้เรื่อง ขบขันดี นี่บอกหยุดมันไม่หยุดนะพวกใต้ถุนศาลานี่ บอกหยุดๆ ว่าเท่าไรมันไม่หยุด มันบืนหาเสื่อหาหมอน เข้าใจไหม บอกหยุดๆ ว่าเท่าไรมันก็ไม่หยุด มันบืนหาเสื่อหาหมอน ทางนี้ก็ตวาดใหญ่เลย ไม่หยุดก็ไปเสียซี ไปหาเสื่อหาหมอน มันก็เท่านั้นเองจะให้ว่าไง วันนี้ก็พูดเท่านั้นละ
เทศนาว่าการก็เทศน์มานานแล้วสอนพี่น้องทั้ง หลาย ให้จดจำนะ การสอนของเราไม่ได้มีอะไรสงสัยเลย เรากราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลย เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมดเลย ไม่มีผิดมีเพี้ยนแม้นิดหนึ่ง ไม่เหมือนกิเลสที่เป็นโคตรแซ่แห่งการหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลก ธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้แน่วเลย ให้พากันตั้งใจปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า ผลจะเห็นขึ้นประจักษ์ใจ ไม่เป็นอื่น ธรรมนี้ใหม่เอี่ยมตลอด สดๆ ร้อนๆ เหมือนกิเลสมันเอี่ยมของมัน สัตว์โลกจึงจมไปกับมันไม่มีเข็ดหลาบอิ่มพอ ว่าถูกต้มจากกิเลสไม่มี แล้วธรรมท่านก็สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน ตรงแน่วต่อหลักต่อจุดที่หมายเลย เอาละให้พร
(หลวงตาครับเขาส่งมาจากข้างหลังสั้นๆ เขาอยากรู้ว่าการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ตายไปแล้ว ผู้ตายจะได้รับไหมครับ ถ้ายังไม่ได้ไปจุติเป็นเปรต เขาบอกเขาเคยได้ยินพระกรรมฐานบอกว่า ถ้าจิตของผู้นั้นยังไม่ได้เกิดเป็นเปรตอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับ) เอ้อ ก็ถูกต้อง เราก็เป็นกรรมฐานเหมือนกัน เราก็ตอบได้เหมือนกัน เข้าใจไหม ไปสวรรค์นิพพานไปที่ไหนก็ไม่ได้รับ ส่วนบุญกุศลก็ย้อนมาหาเจ้าของตามเดิม เข้าใจเหรอ ถ้าเป็นเปรตเป็นผี เปรตมี ๑๒-๑๓ จำพวก เปรตที่ควรรับไทยทานของญาติวงศ์นี้ก็คือปรทัตตูปชีวีเปรต มีจำพวกเดียว เปรต ๑๓ จำพวก ๑๒ จำพวกไม่ได้รับ คือมันกรรมหนักเบาต่างกัน ประเภทปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ได้รับ เราเผื่อไว้นั่นละดี ได้รับไม่ได้รับก็ไม่เสียหาย เป็นบุญของเราอยู่แล้วเท่านั้นเอง เอาละพอ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก