กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หลงมาตั้งนาน คิดว่ามะเขือเทศสด ให้ ไลโคปีนมากกว่า

ส่วนตัวชอบไลโคปีน เพราะป้องกันโรคจากต่อมลูกหมาก จำได้ว่ากินน้ำมะเขือเทศเป็นอะไที่ต้องบีบจมูกกิน แต่ตอนนี้ก็กินสบายๆแล้ว

เอาข้อมูลนี้มาฝากครับ
ไลโคปีน (Lycopene)เป็นสารสำคัญที่พบได้ในผลมะเขือเทศ จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งใน 600 ชนิด พบไลโคปีนได้ใน มะเขือเทศ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ เป็นต้นพบไลโคปีนในปริมาณตั้งแต่ 0.9 –9.30 กรัม ใน 100 กรัมของมะเขือเทศสด

ไลโคปีนเป็นสารประกอบที่ได้รับความสนใจเนื่องจากมีรายงานว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ที่ชัดเจนที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมา คือมะเร็งปอด กระเพาะอาหาร นอกจากนี้ก็ยังแสดงให้เห็นประโยชน์ของการได้รับไลโคปีนในการลดความเสี่ยงของมะเร็งตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ (colon) ทวารหนัก คอหอย ช่องปาก เต้านม ปากเป็นต้น

ควรรับประทานมะเขือเทศสดหรือมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงอาหารแล้ว

ความเชื่อที่ว่าของสดดีกว่าของที่ปรุงแล้ว ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป ในกรณีของมะเขือเทศเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่า นอกจากนี้ความร้อนและกระบวนการต่างๆในการผลิตผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยนรูปแบบ (จากไลโคปีนชนิด “ออลทรานส์”(all-trans-isomers)เป็นชนิด “ซิส” (cis -isomers)) คือ เป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้น

มะเขือเทศสดและผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ ชนิดใดให้ไลโคปีนสูงกว่ากัน

โดยทั่วไป ปริมาณไลโคปีนในผลไม้และมะเขือเทศสดจะไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนำมะเขือเทศสดไปผ่านกระบวนการผลิตให้อยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์มะเขือเทศชนิดต่างๆ พบว่าปริมาณไลโคปีนสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีการผ่านกระบวนการทำให้เข้มข้นขึ้น ดังนั้น อาหารอิตาเลียน พวกพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ที่มีการแต่งรสด้วยซอส หรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ที่ผลิตจากมะเขือเทศ จึงเป็นแหล่งให้ไลโคปีนที่ดี
http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/thai/ ... o.php?id=1
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากครับ K.หมอ Paul VI

ผมเองก็เข้าใจผิดมาตลอดเช่นกันครับ

(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 3

โพสต์

เคยคุยกับ ดร.ไพบูลย์ ทำให้ผมเอะใจครับ

เลยไปหาข่าวครับ ส่วนตัว กลัวครับ มะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนผลพลอยได้คือ ต้านอนุมูลอิสระ และก็ ดีเรื่องสายตาครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
densin
Verified User
โพสต์: 1073
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ง่า...เพิ่งสอยมะเขือเทศสองแพกมากิน
รู้งี้กินน้ำมะเขือเทศดีกว่า ผมชอบอยู่แล้ว

ตอนเด็กๆผมกินแบบผสมน้ำมะเขือเทศกับ 7-up,สไปร์ท อร่อยดี
พอชินแล้วก็กินน้ำมะเขือเทศได้เอง
ลองเอาสูตรนี้ไปดื่มดูครับ
VI สายมืด = VI หน้ามืดซื้อตัวฮอทๆอย่าไม่ลืมหูลืมตา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมยอมรับว่า กลั้นใจกินนะ

กินด้วยทัศนคติน่ะครับ ว่ามันจะดีกัยสุขภาพครับ คุณเด่น :D

แต่สูตรที่ว่า ผมจะเอาไปใช้กับลูก :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
romee
Verified User
โพสต์: 1850
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 6

โพสต์

แต่เรื่องสารปนเปื้อน และน้ำตาล ที่มากับน้ำมะเขือเทศ ที่ขายตามห้างละครับ ?
You only live once, but if you do it right, once is enough.
WEB
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1139
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ตามที่ผมอ่านมา กินน้ำมะเขือเทศกับซอสมะเขือเทศ
จะได้ไลโคปีนดีกว่า แต่อย่างซอสมะเขือในร้านแม็คโดนัลส์
ถ้าผมจำไม่ผิดนี่น้ำตาลสูงถึง 20% เลยครับ ถ้าจะกินควรไป
เลือกซื้อเป็นขวดเองโดยเลือกที่มีน้ำตาลน้อยๆครับ
ส่วนเรื่องน้ำ v8 จะไม่อร่อยแถมอุดมด้วยโซเดียม
กินของ tipco กับ malee จะมีโซเดียมน้อยแถมเติมไลโคปีน
เพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าเป็นดอยคำจะไม่ได้เติมไลโคปีนเพิ่มครับ
อีกทางเลือกนึงก็คือกินน้ำฝรั่งสีชมพูครับ อร่อยดีครับ
จะว่าไป ทั้งน้ำมะเขือกับน้ำฝรั่งสีชมพูนี่มีแคโลรีน้อยเมื่อ
เทียบกับน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆครับ
ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็น

http://WarrenBuffettFan.blogspot.com/
ภาพประจำตัวสมาชิก
erickiros
Verified User
โพสต์: 415
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ผมเพิ่งมาชอบกินมะเขือเทศสด เดี๋ยวต้องเปลี่ยนวิธีกินเสียแล้ว ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
ว่างๆแวะไปเยี่ยมชม blog ของซันได้นะคะ Economics Blog
เนื้อหาของบล็อกนี้จะเกี่ยวกับการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาอธิบายเรื่องราวต่างๆค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
densin
Verified User
โพสต์: 1073
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ได้มาอีกสูตร แต่เป็นกินสดๆ
หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นบางๆ และ เอาไปโปะกะสับปะรดที่หั่นเป็นชิ้นๆ และ จิ้มเกลือ ทานคู่กัน

ถ้าเอาน้ำมะเขือเทศผสมกับสัปรดแทนจะได้มะ ใครลองแล้วบอกด้วย
VI สายมืด = VI หน้ามืดซื้อตัวฮอทๆอย่าไม่ลืมหูลืมตา
aonanfield
Verified User
โพสต์: 365
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมเคยลองกิน น้ำมะเขือเทศผสมกับสัปปะรดแล้วครับพี่ densin เป็นร้านที่ขายน้ำผลไม้แบบ คั้นกากสดๆ

รสชาติของสัปปะรดจะมาช่วยตัดความเลี่ยนของมะเขือเทศได้ดีเลยนะครับ น่าจะช่วยทำให้คนที่ไม่สามารถกินน้ำมะเขือเทศเพียวๆ ได้ ไม่มากก็น้อย

หรืออีกสูตรที่ทางร้านเค้าแนะนำ ก็คือเพิ่มแอปเปิ้ล เข้าไปด้วย สัดสูตรก็จะเป็น

มะเขือเทศ 90% + แอปเปิ้ล 5% + สัปปะรด 5 %
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ได้ความรู้ใหม่อีกแล้วครับ

น้ำฝรั่งสีชมพู มีขายที่ไหนครับ ต้องเป็น super แบบ hi end หรือเปล่าครับ

แต่ไปเมืองนอก ผมเคยเจอบ่อยเหมือนกันครับ น้ำฝรั่งสีชมพู

ส่วนวิธีกินผสมจะลองเอาไปใช้ครับ น่าสนใจดี สับปะรด กับ มะเขือเทศ
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 12

โพสต์

รูปภาพ
Study showed warm watermelons provide more lycopene

Researchers from the U.S. Department of Agriculture (USDA) studied the effect of storage temperature on the carotenoid levels of three different kinds of watermelon. The researchers stored the watermelons at five, 13 and 21 degree celsius for 14 days. Researchers found that watermelons stored at 21 celsius (room temperature) gained 11 to 40 percent in lycopene and 50 to 139 percent in beta-carotene compared to watermelons stored at five and 13 degrees. The results of this study were published online on the Journal of Agricultural and Food Chemistry web site in July 2006.
lycopene watermelonEditor's Note - Lycopene is easily affected by temperature and processing

Lycopene, a powerful antioxidant, is found in abundance in tomatoes and other red-colored fruits. Studies found that lycopene may help reduce the risk of heart disease and some forms of cancer. The most compelling evidence so far is the role of lycopene in prostate cancer prevention.

Heat and processing destroy some nutrients, but heat and processing increase lycopene content. For instance, one hundred grams of cooked tomato paste provide 42 milligrams of lycopene, whereas the same amount of raw tomato only provides three milligrams of lycopene. Hence, to maximize the health benefits of eating lycopene-containing fruit, it is better to leave your watermelon out at room temperature and cook your tomatoes!
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 13

โพสต์

imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 14

โพสต์

เก่าไปหน่อย แต่แตงโม..ก็ดีนะ
http://www.nutraingredients.com/Researc ... ene-stakes
Watermelon beats tomatoes in lycopene stakes

05-Jun-2002

Related topics: Research

Researchers in the US have found that the watermelon contains more lycopene, the phytochemical associated with reduced prostate cancer risk and lower rates of heart disease, than tomatoes.

According to a report published in the June issue of Agricultural Research magazine, raw watermelon contains as much or more lycopene than tomatoes, even when compared to tomato juice which has undergone heat treatment - said to improve bioavailability of the chemical.

Lycopene is a red pigment that occurs naturally in certain plant and algal tissues. It gives watermelon and tomatoes their colour, but is also thought to act as a powerful antioxidant. Lycopene scavenges reactive oxygen species, which are aggressive chemicals that react with cell components, causing oxidative damage and loss of proper cell function.

Scientists have previously found that a high dietary intake of lycopene reduces the incidence of certain types of cancer. Lycopene levels in fat tissue, an indicator of lycopene consumption, have also been linked with reduced risk of heart attack.

Most clinical research dealing with lycopene has used tomatoes as the food source but US Agricultural Research Service scientists at the South Central Agricultural Research Laboratory (SCARL) in Lane, Oklahoma, and at the Phytonutrients Laboratory in Beltsville, Maryland, decided to look at lycopene levels in varieties of watermelon and to assess its bioavailability. Funding was provided in part by the National Watermelon Promotion Board.

The ARS scientists analysed 13 watermelon cultivars to establish the relative effect of genetic background on lycopene content. The 13 cultivars included different varieties of the fruit.

The researchers used tristimulus colorimeter readings to measure visible colour in the cut melons and compared the findings to the amounts of lycopene extracted from the melons. Lycopene content varied widely among cultivars and types, but the seedless ones tended to have more.

Results showed that watermelon has as much, or more lycopene as raw tomatoes and that the amount depends on both variety and growing conditions.

The ARS also assessed bioavailability of lycopene in watermelons in a study begun last year on 23 healthy adults. The scientists used tomato juice as the known benchmark for judging the relative bioavailability of lycopene.

The investigators found that lycopene concentration was similar regardless of whether subjects consumed 20 milligrams of lycopene from tomato juice or from watermelon juice, which was not heat-processed.

The investigators had expected lycopene availability to be greater from tomato juice because it had received heat treatment, which is believed to improve lycopene bioavailability.

"To our knowledge, this is the first study to show that lycopene from watermelon is bioavailable," said ARS scientist Clevidence. "Next, we would like to find out if plasma lycopene levels are higher when people eat watermelon with a meal containing fat than when they eat it by itself."

Watermelon also contains the vitamins A, B6, C and thiamin. Studies have shown that a cup and a half of watermelon contains about 9 to 13 milligrams of lycopene. On average, watermelon has about 40 per cent more lycopene than raw tomatoes. Red, ripe flesh is the best indicator of the sweetest and most nutritious watermelon.

"We think there are a lot of potential uses for watermelon that are just beginning to be explored," said Perkins-Veazie, author of the study. "It can be a so-called functional food, one that can help prevent certain diseases."

Other good sources of lycopene include red and pink grapefruit and
imerlot
Verified User
โพสต์: 2686
ผู้ติดตาม: 0

Re: กินมะเขือเทศอย่างไรให้ประโยชน์สูงสุด

โพสต์ที่ 15

โพสต์

รูปภาพ
Every year more than 500,000 people die from cancer in the United States alone.

Many researchers and cancer specialists believe that up to 60% of those deaths can be prevented if Americans adopt healthier lifestyles.

According to Rachael Stolzenberg-Solomon, a researcher at the National Cancer Institute,

“The easiest and least expensive way to reduce your risk for cancer is just by eating a healthy diet.”

Here is an overview of ten important cancer fighting foods to include in your diet on a regular basis:

1. Garlic – Garlic contains a number of compounds that can protect against cancer, especially that of the skin, colon, and lungs.

2. Dark Leafy Greens – Dark greens are rich sources of antioxidants called carotenoids. These scavenge dangerous free radicals from the body before they can promote cancer growth.

3. Grapes – Grapes (and red wine) contain the chemical resveratrol, which is a very potent antioxidant that can prevent cell damage before it begins.

4. Green Tea – The flavonoids in green tea have been shown to slow or prevent the development of several types of cancer including colon, liver, breast, and prostate.

5. Tomatoes – The compound lycopene, (which is most easily absorbed from cooked tomatoes) has been shown to prevent prostate cancer, as well as cancer of the breast, lung, and stomach.

6. Blueberries – Of all the berries, blueberries are the richest in cancer fighting compounds. They are beneficial in the prevention of all types of cancer.

7. Flaxseeds – Flax contains lignans, which can have an antioxidant effect and block or suppress cancerous changes. The omega-3 fatty acids can also help protect against colon cancer.

8. Mushrooms – Many mushrooms contain compounds that can help the body fight cancer and build the immune system as well.

9. Cruciferous Vegetables – Vegetables such as broccoli, cauliflower, cabbage, and Brussels sprouts contain strong antioxidants that may help decrease cancer risk.

10. Whole Grains – Whole grains contain a variety of anti-cancer compounds including antioxidants, fiber, and phytoestrogens. These can help decrease the risk of developing most types of cancer.
โพสต์โพสต์