รถเมล์คันสุดท้าย

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ไม่รู้จะผิดกติกาอะไรหรือไม่
เพราะยังไม่เคยเห็นใครโพสเรื่องแต่งในเวปนี้เลย
ถ้ากูรูโพสไม่เข้าท่า ไม่ดูตาหน้าตาเรือ รบกวนพ่อมดลบได้เลย  :lol

ตอนโพสเรื่องนี้ในเวปหนึ่งก็นึกถึงภาวะประเทศขณะนี้
อ่านๆไปอาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวเลยก็ได้ :wink:

ขอให้มีความสุขในเช้าวันหยุดที่ฝนโปรยแต่หัวรุ่ง
ชอบจริงๆ อากาศอย่างนี้
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 2

โพสต์

รถเมล์คันสุดท้าย

นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มเศษเมื่อปรินเดินมาถึงหน้าปากซอย  ป้ายรถเมล์ประจำทางเก่าแก่ จุดนัดหมายทุกค่ำคืน ยืนหลบมุมหัวโค้งซอยอย่างเหงาๆ  มีผู้หญิงวัยกลางคนนั่งคอยรถเพียงผู้เดียว  ปรินเดินทอดน่องตรงไปยังศาลารอรถนั้นเช่นกัน

คืนนี้ก็เหมือนอีกหลายๆคืนที่ผ่านมา  กว่าจะเสร็จงานในหน้าที่ก็ร่วมดึกดื่น งานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บันทึกเสียงของบริษัทอัดเสียงขนาดเล็ก ไม่ค่อยปล่อยให้คนทำงานมีเวลากลับบ้านที่แน่นอน ถ้าไม่ติดงานด่วนฉุกเฉินนอกตารางเวลาก็ต้องเจอปัญหาล่าช้าของลูกค้าที่มาใช้บริการ บางทีก็เป็นตัวโฆษกเองนั่นแหละมัวแต่วิ่งรอกไปขายเสียงที่อื่นก่อน กว่าจะมาถึงห้องอัดเสียงที่นี่ก็ช้าไปเกือบชั่วโมง

หรือมิฉะนั้นเจ้าตัวก็ต้องปวดหัวกับงานแก้ไขทั้งหลายที่ลูกค้าบ่นไม่พอใจ อาทิเช่น เสียงโฆษกไม่ชัดเจนตอนเอ่ยชื่อสินค้า  เพลงประกอบยังไม่ดีบ้าง คุณภาพเสียงไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวตก  ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ ลูกค้าขอเปลี่ยนแก้ไขข้อความใหม่และต้องเสร็จภายในคืนนี้ เฮอ..คนทำงานเป่าลมปากยาว เมื่อได้ยินประโยคกำชับจากลูกค้าทางโทรศัพท์  เขาแจ้งหัวหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บกวาดงานที่เหลือให้เสร็จสิ้น  ชีวิตจำเจภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆจากเช้าตรู่จรดยามวิกาล ไร้ชั่วโมงราตรีสุขสันต์เช่นชายหนุ่มรุ่นเดียวกัน ทำให้ ปรินรู้สึกว่า บางครั้ง โลกของเขานิ่งเกินไป

จะทำอย่างไรได้  คนหนุ่มที่มีภาระทั้งเพื่อปากท้องตัวเอง แม่และน้องในวัยเรียนอีกสามคน ทำให้ปรินไม่อาจปริปากบ่นท้อแท้  ชั่วโมงทำงานที่นอกเหนือจากเวลาปกติก็ย่อมหมายถึงจำนวนเงินล่วงเวลาที่พึงได้เพิ่มจากเงินเดือนประจำอีกต่างหาก

ลมเย็นชื้นพัดวูบใหญ่ คงเป็นลมฝนจากที่ไหนใกล้ๆ  แหงนหน้ามองฟ้ายามดึก คืนนี้ฝนคงจะตกทั่วกรุง  พยากรณ์อากาศจากวิทยุเมื่อหัวค่ำเตือนให้ชาวกรุงทุกคนพร้อมรับสภาพฝนตกหนักในวันสองวันนี้ แต่ฝนปรากฏตัวเร็วเกินคาด เสียงฟ้าร้องครืน ครืนแล้วก็เริ่มครางกระหึ่มสลับกับสายฟ้าสว่าง แปลบ แปลบ เมื่อปรินทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้แถวนั่งตัวถัดมา

หญิงวัยกลางคนผู้ร่วมชะตากรรมแสดงอาการกระวนกระวายใจ  หวั่นเกรงว่าฝนจะตกก่อนได้ขึ้นรถ เจ้าตัวพาเท้าเดินออกไปชะเง้อมองที่ริมบาทวิถีครั้งแล้วครั้งเล่า  ถนนเบื้องหน้าออกว่างจนรถทุกคันสามารถแล่นด้วยความเร็วสูงไม่เว้นรถประจำทาง

ปรินเห็นใจคนคอยรถทุกคน กว่าจะขึ้นได้แต่ละครั้ง ตาต้องสอดส่อง มือต้องโบกไกวชัดๆทั้งๆที่จำนวนสายรถประจำทางที่ผ่านก็น้อยกว่าถนนอื่นๆอยู่แล้ว  ถ้าไม่จำเป็นหรือดึกเกินไปนัก เขามักจะเลี่ยงเดินทะลุซอยไปยังถนนสายด้านหลังซึ่งพลุกพล่านด้วยร้านค้าและผู้คน มีรถผ่านมากสายกว่าด้วย

แน่ะ รถเมล์ของเขาแล่นมาแล้ว เปิดไฟหน้าสว่างจ้า ชายหนุ่มรีบลุกจากม้านั่งยื่นมือโบกแต่ไกล หากช่างกระไรเลย กิ่งไม้ใหญ่ที่ปกคลุมหน้าป้าย บดบังตัวเขาจากสายตาคนขับ เขามองท้ายรถแล่นทิ้งห่างไปจนลิบอย่างหัวเสีย
ปัดโธ่เว้ย จะตะบึงแล่นไปถึงไหนกัน รู้หนอกน่า คนขับน่ะ อยากกลับบ้าน ผู้โดยสารบนรถทุกคนก็อยากถึงบ้านเร็วๆ แล้วเหล่าคนที่ยืนคอยล่ะ พวกเขาไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีใครเฝ้าห่วงใยหรือไร
เท้าเดินกลับมานั่งที่เดิมอีก  คงต้องคอยอีกนานทีเดียวกว่าคันใหม่จะมา  ลอบมองผู้รอคอยคนข้างๆ  สีหน้ากระสับกระส่ายไม่คลายไปจากเดิม

แล้วฝนก็โปรยตัวด้วยจังหวะนุ่มพรมพร่าง มอเตอร์ไซค์รับจ้างพาใครอีกคนมาส่งที่ป้ายรถเมล์ เงาตะคุ่มๆชำระเงินแล้วเดินใกล้เข้ามา เมื่อถูกแสงไฟในซุ้มศาลาส่อง ปรินจึงเห็นเรือนร่างหน้าตาชัดเจน

ตาทั้งคู่ของหล่อนเบิกกว้างเมื่อเห็น ผู้ชายหนุ่มหน้าตาจืดๆในเครื่องแต่งกายโทรมๆ  ความระแวงปรากฏชัดในสายตาผู้มาใหม่  หากเบาใจอีกนิดก็ตรงมีเพื่อนหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่

คงเป็นผู้หญิงกลางคืนแถวๆนี้  ปรินนึกต่อ เครื่องแต่งตัวของอีกฝ่ายดูวูบวาบ แพรวพราวไปทั้งตัว เปลือกตาสีเข้มจัดกะพริบถี่ๆพร้อมกับชายตาชำเลืองรอบๆ ราวกับคอยเวลาให้ใครสักคนมารับ ณ จุดนัดพบหลบเร้นสายตาแห่งนี้ เขาไม่คิดว่าหล่อนจะคอยรถเมล์หรอกนะ
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ปรินก้มมองเสื้อเชิ้ตยับๆของตัวเอง มีกลิ่นตุๆด้วยแฮะ ผมที่ยาวปรกคอกอปรกับหน้าเซียวๆ  ก็สมแล้วล่ะที่ควรจะระวังไว้ก่อน มีข่าวฉุดคร่าผู้หญิงในซอยข้างๆนี้บ่อยมาก จนบริษัทต้องออกกฎให้พนักงานหญิงกลับบ้านก่อนตะวันตกดิน งานที่เหลือน่ะหรือ ไม่พ้นหัวอกหนุ่มๆอย่างพวกเขาเข้าจัดการ

แล้วรถเมล์ของผู้หญิงวัยกลางคนก็เทียบจอด  ความจริง คนขับอาจจะแล่นผ่านเลยก็ได้หากไม่มีผู้โดยสารขอลง นับเป็นโชคเหมาะจริงๆ  ปรินมองร่างที่ขึ้นรถจากไป ซึ่งได้ที่นั่งริมหน้าต่างพอดี ไม่วายส่งสายตาอำลากลายๆว่า ขอให้รถคุณมาไวๆนะ ฉันไม่รอล่ะ

คราวนี้ ผู้ร่วมชะตากรรมเหลือเพียงปรินกับผู้หญิงคนสวยเท่านั้น

ชายหนุ่มนั่งสูดลมหายใจอย่างใจเย็น คืนนี้ถึงบ้านก็ประมาณเที่ยงคืนหรืออาจจะล่ากว่านั้นหากฝนตกหนัก  เม็ดฝนเล็กๆพึมพำไม่ขาดระยะ รักษาท่วงทำนองโปรยปรายสม่ำเสมอ  ขอให้ตกแค่นี้ก็แล้วกัน เปียกนิดๆหน่อยๆยังพอเดินตากได้สบายใจ  นึกครึ้มๆ ฮัมเพลงในลำคอปลอบใจตัวเองและปลอบใจผู้หญิงคนใกล้ๆนี้ด้วย

แต่ผลลัพธฺ์เกินคาด  คนฟังยิ่งนั่งตัวเกร็ง คอแข็งไม่ยอมสบตาเขาเลยแม้แต่น้อย  ทุกอิริยาบถที่ปรินขยับตัว หล่อนจะพลอยขยับป้องกันตัวตามตลอดเวลา จนปรินนึกสงสารระคนขำ  เกือบจะเข้าไปพูดแล้วว่า
สบายใจเถอะครับ  ผมรับรองความปลอดภัยของคุณ

แต่ความคิดคำนึงก็ถูกชะงักไว้แค่นี้ เมื่อเห็นผู้ร่วมชะตากรรมถลาไปโบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่ง รถแท็กซี่แล่นเลยผ่านหน้าไปแล้วค่อยถอยกลับมา หล่อนพูดอะไรกับโชเฟอร์สองสามคำ แล้วเปิดประตูหลังแทรกตัวนั่งลุกลี้ลุกลน ปิดประตูเสียงดัง แอบดูผู้ชายต้นเหตุแวบหนึ่ง แล้วเชิดหน้าสั่งรถออก
ขอให้คุณโชคดีนะ หวังว่าแท๊กซี่คงพาไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ถ้าไม่เกิดเหตุร้ายใดๆเสียก่อน

เหตุร้ายหรือ นึกถึงตรงนี้ หัวใจกระตุกนิดๆ ถ้าหากผู้หญิงคนสวยต้องเจอเหตุร้าย เขาคือคนสุดท้ายที่เห็นเหตุการณ์ ไม่น่า...ไม่น่าจะมีอะไร เรากังวลเรื่องคนอื่นมากไปเอง ว่าแล้วก็ผิวปากร้องเพลงต่อ

รถเก๋งติดฟิล์มดำคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบหน้าป้ายรถเมล์ นี่กระมังรถคันที่หล่อนเฝ้ารอ  คนขับมองปราดลงมา ไม่เห็นใครนอกจากหนุ่มเซื่องๆหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้  รถคันงามจอดรถอยู่สักพัก เมื่อไม่เห็นใครก็แล่นหายไป
อย่าโกรธผมเลยนะ ถ้านัดของคุณทั้งสองในคืนนี้ต้องพลาดไปเพราะผมคนเดียว ปรินตอบโต้ในใจอย่างนึกสนุก

ชายหนุ่มย้อนลำดับเรื่องราวสักครู่ พรุ่งนี้เขาคงจะมีเรื่องเล่าหัวเราะงอหายกับพรรคพวกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง พวกคนในสำนักงานจะต้องเก็บสารรูปของปรินมาล้อแล้วล้ออีกให้สาวๆคนอื่นๆพลอยเห็นดีเห็นงามด้วย  เอ..ชักไม่ดี  ไม่นึกอยากจะเป็นตัวตลกของใครตลอดเวลานี่นา ขอระงับความคิดนี้ไว้ก่อน

โน่น คราวนี้ พลาดไม่ได้แล้ว  รถเมล์คันที่เจ้าตัวรอมาเกือบครึ่งชั่วโมง  รีบสาวเท้าวิ่งไปเกือบถึงกลางถนน โบกมือแก่งไกว ต่อให้คนขับตาเหล่ ตาเขก็ต้องเห็นภาพคนไหวๆยืนกลางถนน ฝนตกพรำๆ  

ได้ผล แสงไฟส่องจ้าตรงมา มองเห็นสายฝนสาดละอองอยู่หน้าไฟดวงกลม รถจอดกึกอย่างไม่ปกติ  ปรินไม่รอช้า กระโดดผลุนผลันขึ้นไป  กระเป๋ารถเมล์ผู้หญิงอ้วนมองหน้าผู้โดยสารคนใหม่ด้วยสายตาขวางๆ แต่ไม่พูดอะไรเมื่อส่งตั๋วแลกกับค่าโดยสาร
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ปรินถอนใจโล่งอก ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที  เท้าเดินขยับเข้าข้างใน  รถเมล์เที่ยวนี้ยังมีที่ว่างยืนสบายพอให้ลมเย็นๆโกรกพัด  เขาแอบสังเกตอิริยาบถผู้โดยสารแต่ละคน สีหน้าอิดโรย แบกความเหนื่อยล้าของค่ำคืนอย่างไม่ปิดบัง ทุกคนเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง  ในใจครุ่นคิดกังวล  คิ้วของบางคนยังขมวดหมกมุ่น ไม่มีร่องรอยของคนรู้จัก ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีการใส่ใจซึ่งกันและกัน

พวกเขาก็คงคล้ายๆกับปรินนั่นแหละ  คือแรงงานสมทบของคืนนี้  ในชั่วโมงพักผ่อนของคนทั่วไปซึ่งหมายถึงการร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัว สนทนาพาทีพร้อมจับจ้องดูโทรทัศน์ตามประสาชนส่วนใหญ่ ไม่นับวิธีแสวงหาความสุขของคนร่ำรวยอีกกลุ่ม  แต่สำหรับคนพวกนี้ ค่ำคืนคือเวลาเงินเวลาทองที่แต่ละคนพยายามตักตวงให้ได้มากที่สุดเพื่อชดเชยความสุขของโมงยามที่สูญเสียไป

ชายวัยกลางคน ผมหงอกขาวประปราย นั่งสัปหงกอยู่แถวหน้าสุด เดาจากเสื้อยืดคอกลมสีขาว กางเกงกรมท่า ในมือถือถุงกระดาษ ไม่ยากเกินไปถ้าจะเดาว่า เขาน่าจะเป็นยามหรือพนักงานเฝ้าตึกที่ไหนสักแห่ง ชั่วโมงยืนที่ล้าจนขาแข็งทำให้เขาหลับได้ทันทีที่ทรุดตัวนั่ง ศีรษะโอนเอนไปมาจนน่ากลัวจะหลุดร่วงออกนอกกรอบหน้าต่าง

อาซิ้มคนถัดมา ในมือถือตะกร้าพลาสติก มีผ้าขนหนูเล็กสีแช้ดราคาถูกบรรจุเต็ม แกคงไปรับมาขาย แต่โชคไม่ดี คืนนี้ฝนฟ้าไม่เป็นใจ เลยต้องขนตะกร้าผ้าขนหนูกลับบ้าน ทั้งๆที่ยังขายได้ไม่กี่ผืน ปรินแอบมองสีหน้าเศร้าๆนั้น ดวงตาสีฝ้าดูเลื่อนลอยจนเขานึกโหวงเหวงในใจ  ลูกหลานแกไม่มีหรือไงนะ ถึงปล่อยให้คนแก่ๆออกมาเผชิญชีวิตยามวิกาล  ชั่วโมงนี้แกควรจะได้นอนหลับมีความสุขบนหมอนนุ่มๆ ผ้านวมผืนอบอุ่น อาจจะมีหลานตัวเล็กๆนัวเนีย คลอเคลีย ถ้าปรินพูดภาษาจีนได้ ชวนอาซิ้มคนนี้คุย

เจ้าหนุ่มขาเป๋คนนั้นอีกล่ะ รูปร่างหน้าตาในวัยไล่เลี่ยกันนั่นแหละ  หากขาที่พิการจึงแปรเปลี่ยนวิถีชีวิต เขานั่งอ่านเศษกระดาษจากถุงพับ มีแผงกระดานขายล็อตเตอรี่และไม้เท้าพักพิงเคียงกาย  เป็นอีกคนที่คล้ายๆกับอาซิ้มคือขาดรายได้จำนวนหนึ่งเพราะธรรมชาติไม่ยอมเข้าข้างในคืนนี้

ปรินสำรวจต่อไปอีกหลายๆคน ขณะรถเมล์ตะบึงห้ออย่างคึกคะนอง รู้สึกเหมือนมีใครสะกิดด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปมอง รอยยิ้มทักทายแรกที่เจอบนรถ
กลับดึกเหมือนกันนะ
คนทักเป็นหญิงไทยวัยประมาณห้าสิบ นุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อลูกไม้แบบคนแก่ทั่วไป มีแว่นสายตาคล้องอยู่บริเวณหน้าอก
ครับ งานเพิ่งเสร็จ ปริบตอบกลับ น้ำเสียงสุภาพ

เขารู้จักป้าบนรถเมล์สายดึกสายนี้ ครั้งหนึ่ง รถเบรกกระทันหัน ถุงผลไม้ของแกหล่นกระจัดกระจาย ปรินช่วยก้มตามเก็บผลส้มที่ไหลกลิ้งใต้เก้าอี้เบาะนั่งจนครบจำนวน  มิตรภาพง่ายๆเกิดขึ้นกลางดึกนั้น
ป้าเล่าเรื่องส่วนตัวให้รับรู้  ตัวแกเป็นแม่ครัวใหญ่ที่ร้านอาหารมีชื่อแห่งหนึ่งบนถนนชื่อเพราะ ไม่ใกล้ไม่ไกล  ทุกคืนที่ปิดร้าน พนักงานจะได้รับอนุญาตให้เอาอาหารสำเร็จรูปที่เหลือใส่ถุงกลับบ้านได้  จะเป็นแกงเผ็ด ผัดเผ็ดหรือต้มยำรสแซ่บ โดยมีลุงผู้เป็นสามีคู่ชีวิต รอมื้ออาหารรสเด็ดอยู่ที่บ้านใจจดจ่อ
วันนี้มีแกงส้มผักกระเฉด ของโปรดของตาลุงเขา

น้ำเสียงที่พูด แววตาที่เปล่งออกมา แสดงความปลาบปลื้มอย่างแจ่มชัด ปรินนึกถึงภาพความสุขน้อยๆของครอบครัวนี้แล้วอดไม่ได้ที่จะชื่นใจตาม  เขาไม่เคยซักต่อว่าลุงของป้าทำงานอะไรหรือเป็นใคร  เพียงแต่เคยเห็นใบหน้าสงบเสงี่ยมของลุง ขณะยืนคอยป้าที่ป้ายรถเมล์ปากซอยเข้าปาก ดูเหมือนจะมีสุนัขตัวใหญ่อีกตัว  กระดิกหางเมื่อเห็นเจ้าของลงจากรถเดินใกล้เข้ามา ลุงจะยื่นมือเข้าช่วยถือของจากมือป้า นี่สิ คู่ทุกข์คู่ยากโดยแท้

แล้วตัวเขาล่ะ ถ้าต่อไปในวันข้างหน้าต้องกลับบ้านดึกๆอย่างนี้ จะมีใครสักคนเฝ้าห่วงใยเป็นกำลังให้มั้ยหนอ  ไม่เอาล่ะ ฟุ้งซ่านเกินไปล่ะ  ทุกวันนี้ก็มีแม่ที่ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงกุกๆกักๆเปิดประตูเข้าบ้านของลูกชายคนโต จัดแจงอุ่นอาหารที่แบ่งไว้ให้กินอย่างเอร็ดอร่อยถึงแม้บางคืนจะอิ่มมาแล้วก็ตาม

รถเมล์ชะลอจอดที่ป้ายชุมชนใหญ่แห่งหนึ่ง เหล่าผู้รอคอยกลุ่มเบ้อเริ่มชะเง้อมองทันทีที่รถหยุดสนิท  เท้าของใครต่อใครก้าวกระโดดขึ้นมาทันใด เสียงกระเป๋ารถดังจากหน้าบันได
คันสุดท้ายแล้วนะพี่ คันสุดท้าย รีบหน่อย รีบหน่อย

บางคนลังเล เหลือบมองสภาพรถที่เริ่มแน่น หากฉุกใจก้าวพรวดเดียวสมทบขึ้นมาเมื่อสิ้นเสียงกระเป๋า

ใครบ้างอยากจะยืนแกว่งไร้จุดหมาย เพียงเพราะพลาดรถเมล์คันสุดท้ายของคืน

รถเมล์เสียเวลาจอดป้ายนี้นานพิเศษ  เมื่อผู้โดยสารเรียงรายเข้ามาจนเพียบ จึงค่อยเคลื่อนล้อออกเดินทางต่อ ถนนช่วงหน้าไม่ค่อยดีนัก มีหลุมบ่อข้างทางที่ถูกขุดไว้ระเกะระกะ รถเขยกน้อยๆพลอยให้ผู้โดยสารโยกตัวตาม

ผู้โดยสารกลุ่มหลังคงเป็นคนงานจากโรงงานเดียวกันเพราะแต่งเครื่องแบบสีหม่นเหมือนกัน  แต่ละกลุ่มส่งเสียงคุยเจี๊ยวจ๊าวเล่าเรื่องสนุกๆของวันที่ผ่านมาให้เพื่อนรับรู้ คนที่เสียงดังสุดดูเหมือนจะเป็นสาวท่าทางห้าวๆ ตัดผมสั้นเกรียนเหมือนเด็กผู้ชาย แววตา พูดจาเอาเรื่องแบบนักเลง

เออ  ถ้าหล่อนทำงานบริษัทเดียวกับปริน  คงทำให้หนุ่มหลายคนกลัวกำราบในบุคลิกห้าวๆของเจ้าหล่อนเป็นแน่
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เสียงพูดคุยแทรกสลับกับเสียงเครื่องรถ ปรินฟังบทสนทนาเหล่านั้นผ่านหู ใจเริ่มกังวลถึงคนที่บ้าน จวนเที่ยงคืนแล้ว ป่านนี้แม่คงผุดลุกผุดนั่งนับร้อยเที่ยวได้กระมัง
รถเริ่มแล่นออกนอกเมืองด้วยความเร็วสูง พอๆกับฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ลืมหูลืมตา  เสียงฟ้าแผดคำรามตามติดด้วยสายฟ้าฟาดสนั่นหวั่นไหว ปลุกให้ผู้โดยสารหลายคนหายงัวเงีย รีบปิดหน้าต่างปึงปัง หน้าต่างบางแผ่นก็ฝืดเสียจนยกไม่ขึ้น กระเป๋าหญิงต้องมาจัดการเอง
โอ๊ย เบื่อเจ้าสับปะรังเคนี้เสียจริง เสียงบ่นด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก

ความอ้าวจากอากาศที่จำกัดและเนื้อตัวของผู้คนที่เบียดแน่น  ชวนให้อึดอัด  หลายคนคงรู้สึกไม่ต่างกัน โชคดีที่รถห้อตะบึงไม่ติดขัด แม้บางครั้งคนขับต้องชะลอเพราะม่านฝนหนาทึบ บดบงทัศนวิสัยเบื้องหน้า

แล้วจู่ๆรถก็สะดุดกึก เครื่องดับ คนขับสบถสาบานประโยคหนึ่งแล้วติดเครื่องใหม่  เครื่องทำงานได้พักหนึ่ง พอรถเตรียมจะออกตัวก็ดับอีก สองหนสามหน  ใบหน้าผู้โดยสารฉายแววกังวล คนขับกระโดดลงขลุกกับเครื่องยนต์สักพัก ทิ้งให้เหล่าหญิงชายบนรถชะเง้อมองเอาใจช่วย ท่ามกลางห่าฝนที่ไม่มีทีท่าจะหยุดตกง่ายๆ
คนขับกระโดดขึ้นมานั่งประจำที่อีก เนื้อตัวเปียกโชก เขาเริ่มสตาร์ทเครื่องใหม่ ผลที่ได้ไม่ต่างไปจากเดิม  ผู้คนในรถแสดงอาการฮึดฮัด ทั้งโกรธ ทั้งเคือง ทั้งหวาดหวั่น ไม่รู้จะทำอย่างไร

บางคนที่ถือร่มติดมือมาก็ก้าวลงจากรถกางร่มเรียกแท็กซี่หรือคอยรถเมล์สายอื่นซึ่งไปถึงปลายทางที่ต้องการ  ปรินมองฝ่ากระจกออกไป สองข้างทางมืดตะคุ่ม เป็นเขตชานเมือง เห็นเพียงแสงไฟดวงน้อยจากบ้านใกล้เรือนเคียงเท่านั้นเอง

สงสัยต้องเข็น เสียงคนขับเปรยกระทบหู
เหมือนโลกจะหยุดหมุนในวินาทีนั้น ทุกคนนิ่ง..นานชั่วขณะ ไม่มีใครขยับเขยื้อน แม้แต่จะกะพริบตา กลางห่าฝนที่ซัดกระหน่ำเหมือนโกรธฟ้า ใครจะกล้าออกไปเสนอหน้าเป็นวีรชน
หนึ่งนาทีผ่านไปเหมือนหนึ่งปี  แต่ละคนยังจมนิ่งในความว้าวุ่น สับสน  ปรินเริ่มตัดสินใจขยับตัวขอเบียดคนออก เขาตาไวพอที่จะเหลือบเห็นแววตาคู่ฝ้ามีน้ำใสเอ่อท้นของอาซิ้มคนข้างๆ

แต่ช้าไปแล้ว หนุ่มปรินหรือจะไวกว่าสาวห้าวที่ประตูรถโน่น  หล่อนกระโดดออกจากรถลงไปทันที ติดตามด้วยเพื่อนคนอื่นๆ
และจากวินาทีนั้น ผู้โดยสารชายที่เหลือก็ทยอยกันลงจากรถทีละคน สองคน   ทุกคนมารวมตัวอยู่ท้ายรถคอยฟังเสียงกระเป๋าผู้หญิงตะโกนรับคำสั่งจากคนขับข้างหน้าอีกทอดหนึ่ง แข่งกับเสียงฟ้าคำรามและเสียงฝนที่ทิ่มแทงจนแสบผิวเนื้อไปหมด

เอ้า หนับหนึ่ง นับสอง นับสาม ลุยเลย..
เสียงสาวห้าวเจ้ากี้เจ้าการสั่งลุย เรียกความร่วมมือได้เป็นอย่างดี หล่อนเป็นใครมาจากไหน ไม่มีผู้ใดกังขา

จริงๆแล้ว ไม่มีใครรู้จักซึ่งกันและกัน ต่างก็คือคนแปลกหน้าที่ร่วมชะตากรรมของคืนนี้

ปรินผลักรถสุดแรง เขาหลับตาก้มหน้า ภาวนาให้ความพยายามครั้งนี้สำเร็จใกล้จริง  เม็ดฝนย้อยจากเส้นผมเปียกลู่มาทั่วหน้าผากไหลหยดต่อไปถึงผิวแก้มและคาง เขาใช้แขนเสื้อปาดความฉ่ำชื้นที่ผสมผเสกับหยาดเหงื่อ  รถมีทีท่าเขยื้อนบ้าง เหลือบมองคนข้างๆซึ่งก็ออกแรงกายมุ่งมั่นไม่แพ้กัน

อสนีบาตฟาดฟ้ากัมปนาท แต่ใจของปรินกลับสุขุมและอบอุ่น

ใครนะ เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อมนุษย์ตกในภาวะวิกฤต ธาตุแท้ของสัญชาติญาณสัตว์ป่าจะแสดงออกเพื่อเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว

แต่ ณ วินาทีนี้ ปรินขอเถียง  มนุษย์มีสำนึกดีที่พร้อมเกื้อกูลกันเพื่อให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตดังกล่าว เพียงแต่เขาอาจขลาดเกินกว่าจะกล้าแสดงบทบาทส่วนนี้ให้ประจักษ์  จนกว่าจะมีใครสักคนกระตุ้นและนำ
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 6

โพสต์

แม้แต่เจ้าหนุ่มขาเป๋ผู้รู้ข้อจำกัดตัวเองดีว่า ไม่อาจช่วยอะไรได้ ยังอุตส่าห์ลงจากรถเดินเขยกๆมาคอยให้กำลังใจวีรชนจำเป็นที่ท้ายรถ เขาตะโกนร้องเสียงดังสู้ฝน

อีกนิดหนึ่งพี่ อีกนิดหนึ่ง..อ้า..พ้นแล้ว

แล้วความหวังของทุกคนก็เป็นจริง รถเครื่องติด ท่ามกลางความใจหายใจคว่ำของบรรดาผู้ร่วมประสบเหตุการณ์ แต่ละคนมองหน้าและยิ้มอย่างโล่งออก ทุกคนเปียกปอนม่อล่อกม่อแลกเมื่อก้าวขึ้นรถอีกครั้ง

หากในความเปียกชุ่ม ปรินสัมผัสถึงสายสัมพันธ์บางๆที่ส่งผ่านจากผู้โดยสารผู้นั่งลุ้นให้กับผู้กล้าทั้งหลาย

ผ้าขนหนูสีแช้ดผืนหนึ่งส่งมาให้  หันไปดู อาซื้มคนเดิมนี้เอง ยื่นผ้าขนหนูในตะกร้าให้ต่อหน้า

เช็กซะ เหลียวเป็งหวัก

สำเนียงภาษาไทยแบบจีนแต่สื่อความหมายชัดเจน ไม่มีความแคลงใจใดๆ ปรินก้มหน้าขอบคุณ รับผ้าขนหนูมาเช็ดศีรษะพอแห้งหมาดๆ แล้วยื่นให้กับผู้ชายข้างๆรับไปเช็ดต่อ

รถเมล์แล่นต่อมาอย่างราบรื่น เหมือนอุบัติเหตุเมื่อกี้เป็นเพียงความบังเอิญของเครื่องยนต์เล่นตลก สาวห้าวคนที่จะอยู่ในใจของหมู่ชนลงจากรถไปแล้ว ร่ำลาเพื่อนฝูงที่ยังต้องโดยสารต่อ หล่อนจะรู้ไหมว่า มีใครหลายคนอวยพรให้หล่อนนอนหลับฝันดี

ผู้คนบางตาลงไปมาก เมื่อรถแล่นมาถึงปลายทาง สีหน้าเหนื่อยอ่อนยังปรากฏบนเสี้ยวรู้สึกของผู้โดยสารที่เหลือ แต่แววตาซิกลับมีชีวิตชีวาเป็นมิตร ไม่มีการเอ่ยปากถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามส่วนตัว คงไม่จำเป็นหรอก  หากปรินเชื่อว่า น้อยคนจะลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นกับรถเมล์คันสุดท้ายในคืนนี้ง่ายๆ

และถ้าคืนต่อไปเมื่อได้พบกันอีก ก็ขอให้มีแววตาทักทายและรอยยิ้มแย้มเยื้อนส่งมอบให้แก่กันบ้างก็พอ

พวกเราคือ ชาวรถเมล์เที่ยวสุดท้ายเหมือนกัน ต่างก็มีภาระและหน้าที่ปฎิบัติผิดเวลานิทราของคนอื่น ทุกคนมีบ้าน มีคนคอยห่วงใย และล้วนปรารถนาให้รถเมล์แล่นตลอดรอดฝั่งจนถึงที่หมายแต่ละคน เพื่อได้พัก หลับใหลเอาแรงสำหรับสู้ชีวิตกันใหม่ในวันพรุ่ง

ป้า แม่ครัว บอกลาปรินก่อนจะหิ้วถุงพะรุงพะรังลงรถ
รอดพ้นไปนะคุณ ป้านึกว่าแกงส้มคืนนี้จะเป็นม่ายเสียแล้ว

ปรินเห็นลุง สามีของป้ากระวีกระวาดมารับคู่ชีวิตถึงป้ายรถเมล์ ป้าชี้มือชี้ไม้บอกเล่าเรื่องราวเป็นการใหญ่พร้อมพยักเพยิดยิ้มแย้มกับคนบนรถอีกครั้ง
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถเกือบเป็นคนสุดท้าย กระเป๋าหญิงคนอ้วนตะโกนเสียงดังเหมือนจะล้อ

ป้ายด้วยพี่ พระเอกจะลง

พระเอกหัวเราะเขินๆ ยกมือเชิงอำลา เออ..ขอลงแล้วนะ ไว้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เจอกันอีกล่ะก้อ อย่าลืมจอดรับด้วยล่ะ

ชายหนุ่มเดินหันหลังให้กับป้ายรถเมล์ ฝนหยุดตกแล้ว เสียงจังหรีดเรไรระงมทั่วท้องทุ่ง  ไฟท้ายรถเมล์คันสุดท้ายเลือนลับไปกับความมืดคืนดึกสงัด
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านได้อ่านมาจนจบ
หากกระทู้ยังอยู่ครบ

พอฝนหยุดตกแล้วกูรูก็จะขึ้นรถเมล์ของตัวเองไปไหนต่อไหนต่อเหมือนกัน :wink:
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
nam
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1434
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เยี่ยมครับ ขอเพียงมีใครสักคน กล้า.....ทำดี.....ไม่ต้องเดี๋ยว

ปล. เมื่อคืน ขอนแก่นฝนตก ตอนเช้ายืนใส่บาตร ยังรู้ได้ถึงความชื่นช่ำ
แต่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนมีคนเข็นรถด้วย เหนื่อยไหม :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ขอบคุณที่เอามาแบ่งให้อ่านครับพี่
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ขอบคุณคุณ nam ที่ติชม
เข็นรถเมล์ไม่เหนื่อยเท่าไหร่
เพราะเห็นตัวรถตัวชัดๆว่าไปได้หรือไม่ได้
แต่เข็ญใจยากกว่าแยะ :cry:

คุณ San ไม่ได้เจอพักใหญ่ สบายดีน้า
ป่านนี้ เจ้าตัวเล็กคงจ้ำม้ำน่าฟัดเลยเชียวล่ะซิ
ฝากหอมฟอดด้วย :wink:

เมื่อคืนดูรายการ คนค้นคน ตอน หลายชีวิตในรถเมล์ 154
ดูไปก็อึ้งไปจนน้ำลายเอ๊ยน้ำตาไหล
ท่ามกลางข่าวคราวที่เขม็งเครียด
อุตส่าห์มีเสี้ยวมุมน่ารักๆของคนกรุงเทพให้เสพสรรค์

ภาวะการณ์ตอนนี้ เหมือนเรากำลังขึ้นรถเมล์สายประเทศไทยอยู่
ผู้โดยสารหลากหลายชีวิตมีป้ายจอดตามที่ต่างๆ
ล้วนอยากจะถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย
ทุกคนภาวนาให้รถเมล์แล่นได้ตลอดรอดฝั่ง
อย่าเพิ่งตายกลางคันเลยเด้อ  :pray:
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
SunShine@Night
Verified User
โพสต์: 2196
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 11

โพสต์

:cool:  :cool:  :cool:
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์

หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 12

โพสต์

สวัสดีครับพี่กูรู
ก่อนอื่นต้องขอบคุณที่นำเรื่องดีๆ มาให้อ่านเสมอ นะครับ พี่
เรื่องที่พี่  เอามาให้อ่าน  น่าสนใจเสมอครับ
ไม่ลองเปิดแฟนคลับดูเหรอครับ
อิอิอิ

ผมมีความรู้สึกว่า
พี่กูรูเหมือนกับตู้หนังสือ  หนอนหนังสือ  หรือว่ากระเป๋าโดราเอม่อน  หนอ  อิอิอิ
ความรู้มีมากมาย

ว่างเมื่อไร  โอกาสดีเมื่อไร  พี่ ถ่ายทอดมาให้อ่านเรื่อยๆนะครับ
อิอิอิ

ตอนนี้ผมมาทำงานชานเมือง  กทม  ครับ
กิจการที่เดิม  sme  ผมปิดไปแล้วครับ
กลับ ตจว ทุกวันศุกร์ครับ โดยรถไฟ วันจันทร์เช้า มาถึง กทม  ทำงานเลยครับ

ตัวเล็กของผม  ถ้าเขารู้ว่ามีคุณลุงกูรู  ถามถึงคงดีใจ  อิอิอิ
เวลาแนะนำใหรู้จักคนใหม่ๆ  เขาจะดีใจเสมอ
แต่ทีทำให้ผมขายหน้าทุกที  คือ.....
ถ้าคนใหม่นั้นเป็นผู้หญิง  ยิ่งถ้าสวยๆด้วยแล้วเนี่ย
เค้าชอบไปนัวเนียครับ
เวลามีแขกผู้หญิงมาหาผม  ตัวเล็กนี่ทำผมกับแฟนขายหน้ามา 2 ครั้งแล้วครับ

ตอนนี้  น่ากอด น่าฟัดครับ  อิอิอิ
ซนมากๆ  เหมือนมีเครื่องจักรอยู่ในตัวครับ  
แต่ว่า  เรียกแล้วไม่เคยหันครับ  
แต่  ถ้าได้ยินเสียงเพลงเมื่อไร    เต้นเลย  
ตอน 2 ขวบ  เห็นเวทีในงานเมื่อไร  
แถ...ขึ้นเวทีเลย

เรื่องเรียกแล้วไม่หันนี่  ผมเคยพาไปหาหมอจิตวิทยาเด็กเพื่อเช็คครับ
ตอนนั้น เช็คแล้ว หมอบอกว่า  กรณีนี้  ออทิสติก ไม่ใช่แน่นอน  ผ่านไปเปลาะนึง
ส่วนเรื่องสมาธิสั้น  หมอบอกให้พามาเช็คอีกทีตอนอายุ 3 ขวบ
เพราะว่าตอนนี้แยกได้ไม่ชัดเจนเนื่องจากพฤติกรรมเด็กวัยนี้  โดยทั่วไปก็ซนอยู่แล้วครับ
หมอบอกว่า   หรือไม่ก็.. ผมกับแฟนอาจจะเลี้ยงลูกไม่เป็นครับ
อิอิอิ

เล่นมวยปล้ำ  ปล้ำกับเค้าทีไร  ไม่รู้เป็นยังไง  ผมแพ้ทุกที
อิอิอิ

ตัวเล็กนี่  
เค้าทำให้ผมรู้สึกถึง  คุณค่าของชีวิตครับ
เห็นเค้าทีไร  รู้สึกถึง  คุณค่าของชีวิต ทุกที  
แล้วก็....ทำให้นึกต่อไปอีกว่า.....  ทุกชีวิตมีคุณค่าครับ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ตัวเล็กนี่  
เค้าทำให้ผมรู้สึกถึง  คุณค่าของชีวิตครับ
เห็นเค้าทีไร  รู้สึกถึง  คุณค่าของชีวิต ทุกที  
แล้วก็....ทำให้นึกต่อไปอีกว่า.....  ทุกชีวิตมีคุณค่าครับ
ชีวิตคุณ San ตอนนี้ คงมีความสุขอิ่มเอิบ
กับช่วงระยะเวลาเฝ้าดูการเติบโตของเจ้าตัวเล็กน่าฟัด
จริงแหล่ะ เมื่อเรารู้สึกตัวเองมีค่า ก็ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายไปพิสูจน์คุณค่ากับใครที่ไหน

ทำให้กูรูอดนึกถึงถ้อยความในหนังสือวรรณกรรมเล่มโปรดไม่ได้
นั่นคือ แผ่นดินของเรา ( Wind, Sand and Stars)
ประพันธ์โดย Antoine de Saint-Exupéry

เวลาเบื่อๆเซ็งกับชีวิต(อย่างช่วงนี้)ก็ต้องเปิดหนังสือเล่มนี้อ่านทุกครั้ง
และก็ได้แง่มุมที่ลุ่มลึกกลับคืนมา ดังตอนที่คัดมาให้ลองอ่านดู
เราจะมีความสุขก็เมื่อเรารู้สำนึกถึงบทบาทแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดของเรา
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงจะมีชีวิตอยู่อย่างสันติสุข จะตายไปอย่างสันติสุข
เพราะว่าสิ่งที่ให้ความหมายต่อชีวิตก็ให้ความหมายต่อความตาย

ความตายจะดูอ่อนโยนนัก เมื่อเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมดา
ชาวนาแก่ๆ ของโปรวังซ์ เมื่อมาถึงวาระสุดท้ายแห่งการครองสมบัติ
ก็จะมอบหมายส่วนแบ่งของแพะและต้นมะกอกให้แก่ลูกๆ
เพื่อให้พวกเขาส่งต่อไปยังลูกยังหลานต่อๆ กันไปอีก
ในตระกูลชาวนาไม่เชิงมีการแตกดับไปหรอก
ชีวิตเมื่อถึงเวลาก็จะกะเทาะออกเหมือนฝักถั่ว ให้เป็นเมล็ดพันธุ์

ครั้งหนึ่ง ฉันเคยไปอยู่เคียงข้างชาวนาสามคนที่เฝ้าศพมารดาของเขาอยู่
แน่ละ ภาพนั้นเป็นภาพที่เศร้าสลด สายรกที่เชื่อมโยงไว้ถูกตัดออกไปเป็นครั้งที่สอง
เป็นครั้งที่สองที่สายสัมพันธ์ที่เชื่อมคนต่างชั่วอายุได้ขาดสะบั้นลง
ลูกชายทั้งสามจะต้องอยู่แต่ลำพัง ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง
แต่นี้ไปจะไม่มีการมาอยู่ร่วมกันในวันฉลองรอบๆ โต๊ะของครอบครัวอีกแล้ว
สิ้นแล้วซึ่งร่มโพธิ์ที่ทุกคนเคยมาพักพิง แต่ฉันก็รู้สึกเช่นกันว่าในการหลุดขาดจากกันนั้น
ชีวิตอาจเกิดขึ้นได้อีกเป็นครั้งที่สอง ถึงคราวแล้วที่ลูกๆ
จะนำหน้าออกไปเพื่อเป็นจุดรวมพลและเป็นผู้เฒ่าของบ้าน
จนกระทั่งถึงคราวที่จะส่งอำนาจบังคับบัญชาต่อไปให้เด็กครอกนั้นที่กำลังเล่นกันอยู่ในลาน

ฉันมองดูผู้เป็นแม่ ผู้หญิงชาวนาแก่ๆ เธอมีใบหน้าสงบแต่เข้มแข็ง
ริมฝีปากเม้มเรียว จากใบหน้าที่เปลี่ยนมาเป็นหน้ากากหินนี้
ฉันอาจเดาเค้าหน้าของลูกๆ ได้ หน้ากากนี้เคยใช่เป็นแม่พิมพ์สำหรับพวกเขา
ร่างนี้เคยเป็นแม่พิมพ์สำหรับร่างของพวกเขาซึ่งเป็นตัวอย่างอันสวยงามของมนุษยชาติ
มาบัดนี้เธอบุบสลายและนอนลง เหมือนฝักถั่วที่ถูกกะเทาะเอาเมล็ดออกไปแล้ว
ถึงคราวที่พวกลูกๆ จะใช้เลือดเนื้อเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์สำหรับจะผลิตมนุษย์น้อยๆ ออกมาอีกต่อไป
ในครอบครัวชาวนานี้ไม่มีใครตาย แม่ตายไปแล้ว ขอให้แม่(คนต่อไป) จงเจริญ!
               
ใช่แล้ว ภาพนั้นเป็นภาพที่เศร้าสลด แต่ภาพการสืบตระกูลนี้ก็ดูธรรมดาเหลือเกิน
ในขณะที่ทิ้งร่างที่มีผมขาวไว้ร่างแล้วร่างเล่าตลอดทาง
ตระกูลนี้ได้สืบต่อกันมาตลอดการแปรรูปเหล่านี้ เพื่อที่จะไปยังสัจธรรมใดเล่า

นี่เองที่เป็นเหตุให้เสียงระฆังที่บอกข่าวการตายในเย็นวันนั้น
ไม่ได้แสดงถึงความสิ้นหวังเลยแต่แสดงถึงความร่าเริงอันเรียบๆ และนุ่มนวลมากกว่า
เสียงระฆังเดียวกันที่ฉลองการตายและการเกิดนี้ ประกาศอีกครั้งหนึ่งว่า
วัยหนึ่งได้ผ่านไปและอีกวัยหนึ่งกำลังจะมา
เราจะรู้สึกแต่ความสงบสุขอย่างมากในเวลาที่ฟังเสียงเพลงฉลองการหมั้นระหว่างหญิงชรากับผืนแผ่นดิน

สิ่งที่ถ่ายทอดกันมาจากวัยหนึ่งสู่วัยหนึ่งอย่างช้า ๆ
ราวกับเป็นการเจริญงอกงามของต้นไม้เช่นนี้คือชีวิต
คือจิตสำนึกด้วยเช่นกัน เป็นการคืบหน้าที่ลึกลับอะไรเช่นนี้
เราเกิดขึ้นมาจากมวลสารที่หลอมตัว จากสะเก็ดดาว จากเซลล์มีชีวิตที่มีขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์
และแล้วเราค่อยๆ คืบหน้าไปจนกระทั่งเขียนโคลงกลอนและคะเนน้ำหนักของทางช้างเผือก
ถ้าคุณ San ว่าง ลองอ่านฉบับเต็มที่เว็ปนี้เลย
http://olddreamz.com/bookshelf/terre/WSS.html

เป็นการให้รางวัลตัวเองกับวันแรงงานที่กำลังจะมาถึง  
และเป็นกำลังใจสำหรับตัวเองที่จะคอยเวลาปลุกปล้ำเจ้าตัวเล็ก
ซึ่งสักวันก็คงโตเกินกว่าคนเป็นพ่อจะยึดอยู่แล้ว :lol:
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 14

โพสต์

พี่แสน เขียน:ตัวเล็กนี่  
เค้าทำให้ผมรู้สึกถึง  คุณค่าของชีวิตครับ
เห็นเค้าทีไร  รู้สึกถึง  คุณค่าของชีวิต ทุกที  
แล้วก็....ทำให้นึกต่อไปอีกว่า.....  ทุกชีวิตมีคุณค่าครับ
:8) ทางธรรม;บอกภาระทางใจ
     ทางโลก;ใครจะไม่สุขครับ ตัวอมตะของเรา
     เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา
     ผูกพันสมัครรักใคร่โดยบริุสุทธิ์ กินเวลายาวนาน

เอ้้ามาคุยกับน้องกูรูต่อดีกว่า
ผมเข้ามาอ่านกระทู้นี้
ด้วยชื่อครับ
ผมคิดว่าน้องกูรูมีความสามารถพิเศษรู้ว่าหุ้นจะขึ้น
กลัวพวกผมตกรถ
เลยมาโพสบอก
แต่ผมคิดไปคิดมาอีกที
หุ้นจะขึ้นไหงต้องเกณฑ์พวกผมมาเข็นรถหว่า
เอ...คิดไปคิดมา
อ้อ...หลวงพ่อบอกว่าคิดนี่แหละทำให้ทุกข์
ก็เลยหยุดคิดหยุดฟุ้งไปจนได้...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

รถเมล์คันสุดท้าย

โพสต์ที่ 15

โพสต์

วันนี้ ไม่ได้ไปเข็นรถเมล์
แต่ไปช่วยปัดกวาด Big Cleaning Day
เป็นวันถนนคนเดินจริงๆ
กลิ่นเหม็นไหม้ยังโชยจมูกแถวสยาม
แต่ที CTW ไม่ได้กลิ่น เพราะยืนห่างออกมานิดหนึ่ง
เจอพี่พ้องน้องพี่เยอะมาก ได้กินของฟรีตลอดทาง
ไม่ได้ทักทายถามชื่อเสียงเรียงนาม
เพียงสบนัยน์ตาก็รู้ว่ามองไปข้างหน้าเหมือนกัน  :lol:

ตรงเกาะกลางถนนใต้ Sky Walk แมลงวันเยอะมาก ขอบอก
น่าจะมีการฉีดพ่นยาเสียหน่อย  
เพราะข้างล่างลงไปคงจะต้องมีสุสานปฏิกูลมหาศาล
แดดก็ส่องไม่ถึง เนื่องจากเป็นร่มเงาทางรถไฟฟ้า
 
แวะไปที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคที่ติดกับเซ็นเตอร์วันด้วย
เห็นแต่ชั้นหนึ่ง น้ำเจิ่งนอง
เท่าที่ทราบ
ชั้นสองไหม้ส่วนใหญ่
ชั้นสาม ไหม้เกิอบหมด
ชั้นสี่..เอ่อ....นึกสภาพไม่ออก :cry:

ตอนนี้มูลนิธิคงหยุดการช่วยเหลือผู้บริโภคไปก่อน
หากเพื่อนๆอยากจะช่วยเหลือ ก็เชิญที่เวปนี้

http://www.consumerthai.org/
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
โพสต์โพสต์