George Soros interview on the Wall Street Journal

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สวัสดีครับ

..ไปอ่านที่ท่าน ปลามึก 79 ลงเอาไว้ ขอบคุณมากครับ

http://jimrogers1.blogspot.com/2009/10/ ... soros.html


My theory is the future is unpredictable , therefore I am not going to predict , it depends on how the authorities act and on how the market responds , The future is going to be determined as we go along

George Soros

ผมไปฟังแล้ว ภาษาโง่มาก ฟังสามรอบเลย 555555
สิ่งที่คุณปลามึกเอามาลงไว้ มีใจความสำคัญอย่างมาก
สิ่งที่มองหา แรบไบโซรอสพุดเอาไว้เยอะทีเดียวครับ
ดูเหมือน.(ผมอาจผิดนะครับ)

ผมพยายามเขียนโดยไม่ใส่ "อคติ" ของตัวเองลงไป

เขาอาจจะบอก ไมได้ตั้งใจบอก หรือ อาจประชดประชันในสิ่งที่โลกการเงินไม่ยอมรับ หรือกำลังวิจารย์ระบบนิวตันในการเรียนการสอนในเมืองไทย เมืองไทยนีแปลกมาก เพราะเป็นเมืองพุทธทีสอนเรื่องความไม่แน่นอน แต่สิ่งแวดล้อมในเมืองไทยไม่มีภัยธรรมชาติ


เรื่องความไม่แน่นอนจึงหาทางออกไปการเมืองเสียหมด เรื่องการเข้าใจความไม่แน่นอน เรายังไม่เก่งเท่าคนยิว ผมอาจเข้าใจผิด  เพราะเขาสอนกันมากว่า 4000 กว่าปี ชาวยิวกลุมหนึ่งอพยพไปอินเดียก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ความคิดเรื่องจิตวิญญาณนั้น ผมสิ่งอ่านคำสอนของยิวแล้ว ต่างจากอริยะสัจ 4 น้อยมากจริงๆ  คล้ายกันมากกกกก

ไป ๆ มาๆๆ   ชักเข้า ชักออก  Reflexivity ไม่ใช่เรืองใหม่เลยครับ คนไทยต้องเก่งที่สุด เป้น trader ที่เก่งที่สุดในโลก แต่เราไปเอาของฝรั่งมาหมด หรือฝรั่งเอาขงอเราไป   ผมอาจเข้าใจผิด ของดีที่สุด ไม่ต้องเสียตังเลย มีในศาสนาพุทธต้องนานแล้ว ว่าตัวเอว เพราะดันโง่มานาน 55555

   แต่คนยิวเอามาปรับใช้ในการเทรด ไปดูว่าเขาปรับกันอย่างไร ปรับเก่งเหมือนตู๊กแกเลย คนไทยไมีสุภาษิต "ตุ๊กแก" หรือปล่าวครับ  

    เรื่องความไม่แน่นอน เรื่องความเสี่ยง เรืองเดียวกันหมด ตอบ ง.  ถูกทุกข้อ  

   
พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่อง อย่าประมาท
   
         ท่านสอนแล้ว ผมดันไม่จำ ทำผิดพลาด  :'O

     เพราะว่าสิ่งรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงอยู๋ตลอดเวลา ยิ่งในเวลาปัจจุบันด้วย เปลี่ยนเร็วมาก ไม่มีใครหนีพ้นเรื่องความเสี่ยง หนีพ้นความไม่แน่นอนไปได้ ไปดูตู้ปลา ตู้กระจกที่ไหนก็ตาม เหมือนเราเป้นปลา ความไม่แน่นอนคิอน้ำ ถ้าไม่มีน้ำ เราก็ตาย ถ้าไม่มีอสุจิ เราก็ไม่เกิด

   ผมต้องกระตุกตัวเองมองหา น้ำ ทุกนาที ถ้าเราไม่มองหามัน ปล่อยให้ชีวิตไหลไปตาม โอกาสของความเป้นไปได้รอบตัว เท่ากับว่า เราปล่อยหใชวิตไหลไปตามดวง เรากำหนดชีวิตเราเอง เราเลือกที่หยิบความไม่แน่นอนเหล่านั้นเอามาใส่ตัวเอง ทำให้ มัน กลายเป็น ความแน่นอน ที่เราเก็บไว้ในความทรงจำของเราซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว หรือ ใครเปลี่ยนแปลง อดีต ได้บ้างนอกจาก โดราเอมอน นั่นเก่งกว่าโซรอสซะอีก 55555555

   ถ้า......ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความไม่แน่นอน ผมว่ามันมีโอกาสพลาดสูงเกินไป เราต้องป้องกันพอร์ตของเรา มีความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นว่ามีผลกระทบต่อหุ้นที่เราลงทุนอย่างไร มองไปหลายๆ ชั้น มองให้เข้าใจ แล้วโอกาสพลาดมันน้อย เพราะได้มองสถานการณ์ ติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใหล้ชิด เห็นถึงปัจจัยเสียงต่างๆ ที่จะกระทบต่อผลกำไร/ขาดทุน

    สำคัญมันต้องตัดสินใจหาระบบป้องกันความเสี่ยง แต่ระบบที่สำคัญคือตัวเราเอง เราถึงป้องกันความเสี่ยงที่จะกเดขึ้นจากตัวเอง ความเสี่ยงเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดเลย มีกิเลส 1800 อย่าง ตัณหา 108 อย่าง ถ้าเรานั่งจดรายการเหล่านี้ แล้วเอาติดตัวไปทุกที่ เหมือเรามีรายการ check list ก่อนจะขับเครืองบิน เพราะบนเครื่องเราพลาดหมายถึงตาย  ผมจับพลัดจับพลู จับหัวนมหนู จับคาบูเรเตอร์ เคยมีโอสบุญวาสนากับเขาอยู๋บ้าง ไม่เจียมตัวและหน้าตา ดันไปเรียนขับเครืองบินเกือบ 80 ชม. แล้ว บนนั้นมันเครียดมาก เพราะมันมี 3 มิติ แล้วทุกวินาที มันมีความหมายอย่างมาก เครียดแล้วไปขับทำไม อคติอะไรทำให้ต้องทนอยู่กับอารมณ์อย่างนั้น ถ้าไม่สนุก อย่าไปขับเลย
ไอ้ฟายยยยยป่า ทนเสียเงินตั้งนาน 555555

  ถ้าไปลงทุนต้องรู้ว่าอะไรคือความเสี่ยงสูงสุดที่จะส่งผลกระทบในธุรกิจนั้น ทางผู้บริหารเขาทำให้มันลดลงหรือไม่ คนยิวเข้าใจเรื่องความไม่แน่นอนดีมากหรือไม่ เขาปรับตัวกันอย่างไรบ้าง ผมมองแต่เรื่องอะไรทำให้ธุรกิจนั้นขาดทุน ผมมองแต่ตัวเองว่าอะไรทำให้ตัวเองตัดสินใจผิดพลาด มองจ้องมอง อคติ ตัวเองตลอดเวลา เท่าที่จำทำได้ แต่ไม่ทุกวินาทีเหมือนพระพุทธเจ้า

 ถ้าเป็นทีมกีฬา ต้อง defense เก่งถึงมีโอกาสชนะ ในเกมโลกตลาดการเงิน ใครมองความไม่แน่นอนเก่งที่สุด แล้วหาทางอุดประตู เจ้ง ให้ได้มากที่สุด ไม่ต้องไปหาสูตรจากฝรั่งเลยครับ มันเข้าใจง่ายๆ แต่ไม่ทำกันเท่านั้นเอง เราอยู๋ใน น้ำ แต่มองไม่เห็น น้ำ ไม่จัดการกับความเสี่ยงความไม่แน่นอนที่มีรอบตัว มีอยู่ทุกลมหายใจ มารูตัวอีกทีก็ไปยืนอยู๋บนความไม่แน่นอนแล้ว แล้วตกใจทำอะไรม่ถูก เพราะไม่ได้คิดล่วงหน้าเอาไว้ ไม่ว่าใครหนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง ไม่พ้นความเสี่ยง ไม่พ้นความไม่แน่นอน ไม่พ้นความตายครับ ^^

 ผมหวังว่าวันนี้เพือ่นๆ จะหา "อคติ" ของตัวเองเจอ ก่อนที่กอย่างจะสายไปเหมือนผมครับ

 55555555555

ขอโทษครับที่ผมเขียนยาวไปหน่อย
ขอบคุณครับที่ให้โอกาสเขียน ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น 55555555
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 2

โพสต์

รูปภาพ

" Financial markets are such a good laboratory for testing your ideas."
                                                                                     
                                                                                         George Soros    


  สวัสดีครับ

         

                    ผมนั่งมองเงิน 1 บาท คิดถึงเพื่อนคนหนึ่งตอน ม.ปลาย เพื่อนคนนี้ชอบเอา 1 บาท มาปั่นแปะปล่อยเป้นไปตามพรหมลิขิตแล้วนั่งทำข้อสอบ ปกติเขาจะออกตอน 15 หลังแจกข้อสอบ แต่มีครั้งหนึ่งสอบฟิสิกส์ ผ่านไป 30 น่ที ผมยังเห็นเขานั่งโยน 1 บาท อยู่ แถมยังทำหน้ามุ่ยคิ้วขมวดอีกด้วย ผิดวิสัยของเพื่อนคนนี้อย่างมาก  หลังออกจากห้องสอบ ผมรีบเดินไปหาเพื่อนคนนี้แล้วถามถึงสาเหตุ  มันบอกว่าอย่างไรรู้ไหมครับ
       
            กรูปั่นแปะทวนคำตอบโว้ย!

        คิดถึงเพื่อนคนนี้ปั่นแปะหาความสมดุลของโชคชะตา ( Destiny Equilibrium)  ทีไร  ผมยิ้มและคิดถึงทุกครั้ง เขามี instinct มากกว่าเพื่อนๆ วัยเดียวกันในสมัยนั้น เป็นคนเรียนไม่เก่ง ชอบเล่นไพ่  ชอบพนันขันต่อทุกชนิด  ทุกวันนี้ประสบความสำเร้จในฐานะพ่อค้าอย่างมาก
         
           
         การทดลอง

            ถ้าลองไม่โยน 1 บาท   เปลี่ยนเป็นทุบละ คือทุบแล้วให้มันล้ม  เหมือนเราไปกำหนดโชคชะตาของ 1 บาท แทนที่จะให้มันกำหนดชีวิตเรา  ความสมดุลของ 1 บาท มันมีอยู่จริงหรือไม่ บางทีเพื่อนผมคนนี้อาจจะคิดถูกมานานแล้ว  คิดแล้ว  บ่ายนี้ ผมลองตั้ง 1 บาท 100 อัน เมื่อยหน่อยก็พักจิบกาแฟ ล้างหน้าล้างมือ มาตั้งใหม่ ดู ๆแล้ว เห็นความสมดุลมีอยู๋จริงถึงตั้งได้ ไม่มีเอนล้ม  คิดว่าถ้าลองทุบโต๊  ปัง  สามัญสำนึกบอกว่า คงล้มแบบ random ออกหัว/ก้อย เท่ากับ 50/50  ไม่ต้องคิดมากมันคือ คุณสมบัติของ 1 บาท ที่ติดตัวมา

        เอ้ย...ลองทุบแล้ว  ออกหัวมากกว่าก้อย 87/13  มีอะไรผิดปกติแล้ว!   บาทล้มเหมือนตอนปี  9 ก.ค 2540 แต่ไม่ได้ล้มลงไปสองด้านเท่า ๆ กัน  พิจารณาอีกครั้งที่แท้ โครงสร้างของ 1 บาท ไม่สมมาตรเลยมีแนวโน้มทำให้ออกหัวมากกว่าก้อย
           
          คราวนี้ทดลองปั่นใส่แรงกระทำตามกฎนิวตันข้อที่ 1 ลงใน  1 บาท ให้ค่อย ๆ หยุดไปเอง โดยปราศจากกระทำของกฎนิวตันข้อที่ 2    ( เหมือนการฝากอนาคตไว้กับหุ้นบางตัวที่หมดแรงกระทำของนิวตัน 1  และไม่มีแรงกระทำอย่างต่อเนื่องของกฎนิวตัน 2  ราคาหุ้นหมุนจะช้าลงและหยุดลงด้วยความมึนงงของนักลงทุนเกร็งกำไรทุกครั้ง )

         เอ้ยยยย.....คราวนี้ 100 ครั้ง 1 บาทกลับออกก้อย/หัว  เท่ากับ  79/21 แม้เจ้า เกิดอะไรขึ้นนี้ ?  หรือว่าเรามีอคติ แต่ทำการทดลองด้วยความระมัดระวังแล้วนิ  แล้วทำไมไม่เป็นอย่างที่คิด


    ในขณะที่ไม่มีค่อยมีใครอยากรู้นักกับปัญหานี้ แต่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ 1 คน พบว่ามันน่าสนใจเหลือเกินกว่าที่จะให้การทดลองนี้ข้ามไปได้ ผมทำการทดลองซ้ำ ถ้าผมตอบได้ โลกจะเปลี่ยนแปลงไหมนะ ว่าแล้วไม่มีใครรู้ ลองใหม่ ผลออกมา  ปั่นแล้วปล่อยให้หยุดเอง  ผลออกมา ก้อย/หัว เท่ากับ  74/26  แจ่มเลยคราวนี้

          คราวหน้า ไปกินกับสมาชิก Temple จะชวนพี่น้อง เล่น ถ้าใครทาย 1 บาท แล้วทายว่า ก้อย ผมจะทุบให้ 1 บาท ล้ม  แต่ถ้าทายว่า หัว  ผมจะปล่อยให้หยุดเอง อย่างนี้คงได้กินตังเป็นแน่แท้  ผมอิบไว้คนเดียวไม่บอกใคร

   
รูปภาพ
    ผลการทดลอง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด  เรืองนี่สอนให้เข้าใจถึงเรื่อง Instinct ของคน

   
         " Invest first investigate later."    
       
                              George Soros
     
     
             ผมชอบนึกถึงประโยคนี้ แต่หาเหตุผลถอดรัหสไม่ค่อยได้  การเอาไปใช้โดยไม่ตั้งคำถามไม่ใช่วิสัย  การท่องจำเป็นอาขยานเหมือนสูตรคูณไม่ต่างอะไรจากเพื่อนผมที่โยน 1 บาท แล้วปล่อยให้เป็นไปตามยะถากรรมของ 1 บาท    ถ้าเรากำลังหาความสมดุลของโชคชะตาจากการอ่านปรัชญาการลงทุนจากเซียนต่างๆ แล้วไม่เอามาทดลองตามจริตของเราเอง แทนที่ปรัชญาเหล่านี้จะเป็นพรมให้เราได้เดินตามอย่างมั่นคง  มันกลับเป็นว่า ความเชื่อในหลักการลงทุนเหล่านั้นโน้มอียงเป็นไปตามพรหมลิขิตซะมากกว่า  

      บางที Instinct ของเราก็ขัดแย้งกับความเป็นจริง แต่ Instinct ของ อ. Soros มันเป็นแบบเฉพาะตัว แต่เราสามารถเลียนแบบได้ ถ้าเรารู้จักว่ามันหมายถึงเช่นไร  การทดลอง 1 บาท ทำให้เข้าถึงโลกความเป้นจริงมากขึ้น   แค่ 1 บาท แต่เป็นเครื่องมือในการพิเคราะห์ประเด็นในการลงทุน แต่เราต้องเข้าใจสามัญสำนึกที่เป้นข้อเท็จจริงจากประสบการณ์ของเรา เพราะ Instinct มาจากสองทาง หนึ่ง คือ ประสบการณ์ สอง คิอ การทดลอง  ด้วยการทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความกังวลและเปิดใจให้กว้าง

       ในการดำเนินชีวิต การมองความจริงทางสถิติข้อมูลที่ถูกต้องมีประโยชน์ในการประเมิณความเสี่ยงอย่างมาก เราเสี่ยงกันทุกวัน  อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรก็เสี่ยงแล้ว คือ เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและเสี่ยงต่อสุขภาพ แต่ถ้าละความสบาย เราก็ต้องเสี่ยงกับเรื่องอื่น ที่สำคัญเราต้องสอนสามัญสำนึกของเราเกี่ยวกับการคาดการณ์เรื่องความน่าจะเป็นใหม่เสียอีกด้วย เพราะสำหรับผมแล้ว คำว่า Instinct กับ คำว่า probability มันคือคำคำเดียวกัน แม้ instinct จะโกหกไม่เป็น แต่มันอาจลวงเราได้เพราะเราดันโกหกตัวเองจนสามัญสำนึกสับสน  อันที่จริง Instinct เป็นต้นกำเนิดของความงมงายทั้งปวง!  

   
               " Probability is the very guide of life."                        
                     
                                   Marcus Tullius Cicero

   
   สวัสดีครับ.....
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 3

โพสต์

รูปภาพ

"Invest first, investigate later"
                                                     
                                                      Soros


        ข้างบนนี้เปน คำพิพากษา ไม่ใช่สมมุติฐาน

        สมมุติฐาน มาก่อนคำพิพากษา ส่วนสิ่งที่ก่อนสมมุติฐาน คือ สัณชาติญาณ
   ผมเคยลองใช้กับ MINT  สร้างสมมุติฐานขั้นมา แล้ว  Invest first, investigate later ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด บางทีก็สร้างสัมผัสขึ้นมา ขายก่อนแล้วค่อยซื้อ ถ้ามีคนรับมาก ผมถึงจะซื้อ
คือ ซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ  การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ผมทำไม่บ่อยครับ
ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
  ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสินใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
   การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก
   ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ
   อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
  และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
  หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่
 หากผิดพลาด  ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
     
    แล้วนี่ละครับ .....
 
     กฎขอที่ 1  อย่าขาดทุน
    กฎข้อที่ 2   อย่าลืมกฎข้อที่ 1

      คำอธิบายที่อยู๋หลังกฎเหล่านี้เปนอย่างไร มันมีอะไรมากกว่านี้เยอะ
      นี่ต้องคิดถึง วอเรน บัฟเฟต
     เขาอธิบายว่าทำอย่างไร เอ้ยยยย ตัวเขาเองปีนี้ยังขาดทุนเลยนี่
             มีใครช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยนะครับ ว่าสิ่งที่พูดข้างบนนี้ ทำอย่างไร
        สำหรับผม ถ้าไม่อยากขาดทุน ก็ไม่ต้องลงทุน...จบข่าวเลย  555555


               จะว่าไป รูปนี้เหมือนแรบไบบัฟเฟตนั่งสมาธิ  555555
     
     


       ตอนเช้าไปตลาด  ปิดจมุกกันหมด  จะว่าไปจมุกคนไม่เคยลาพักเที่ยง   จมุกไม่เคยลาพักร้อน จมุกไม่เคยลาหยุดเสาร์-อาทิตย์  ถ้ามันขอลาพักครี่งวัน  ขาดลมหายใจเพียงครั้งเดียว  เสร็จแน่....ไม่ว่าคนเราจะอาการหนักแค่ไหน มันไม่เคยหยุดทำงานเลย  ร่างกายเราไม่เคยหยุด ต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้า "ขาดทุน" มันมีตัวตน มันก็ทำหน้าที่ของมัน  หน้าที่ทำให้คนขาดทุน  เหมือนจมุกทำหน้าที่หายใจ  เหมือนตำรวจทำหน้าที่จับคนทำผิด  เพื่อนผมโดนจับเรื่องขับรถ  โดนแล้วทำโกรธใส่เขา หาว่าเขามาจ้องจับมัน ผมบอกไปว่า นั่นอาชีพเขา เขามีอาชีพจับคนผิด ไปว่าเขาทำไม  "มรึงคิดว่า ตำรวจเขามายืนตีแบตกันข้างถนนหรือไง เขาจับคนชอบฝ่าไฟแดงอย่างมรึงนี่ละ "  นี่ถ้ายอมรับ ว่ามีคนคอยจับเราทำผิด เราจะได้ระวังกาย ใจ วาจา ของเราให้ดี จะได้ไม่ทำผิด

      ช่วงนี้ ไข้หวัดหมูระบาด

    กฎข้อที่ 1  อย่าหายใจ
    กฎข้อที่ 2  อย่าลืมกฎข้อที่ 1
       
        ไม่ต่างอะไรจากลงทุนแล้วไม่ขาดทุน
          มีชีวิตแล้วไม่หายใจ
          มีนักบุญก็มีคนบาป
            มีเกิดก็มีตาย
          มีคนสวยก็มีคนไม่สวย
           มีกำไรก็มีขาดทุน
      ทุกอย่างล้วนเปนเหรียญสองด้าน
      ทุกอย่างล้วนต้องเปรียบเทียบ
      ไม่มีสิ่งใดไม่ยึดมั่นกับสิ่งอื่น
   ท่านแยกมันออกจากกันได้อย่างไร!!!
     
          O /-------เหมือนที่ แรบไบโซรอส เข้าใจเรื่องต่างๆ
        |U      ถ้าเขาเกิดในอินเดีย เขาอาจเปนพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งไปแล้ว
        / \

       


    " โห.....ขนาดนั้นเลยหรือโหน่ง! "---------  

        รูปภาพ
       
         อยากรู้จักคนอเมริกัน ไปคุยกับคนรัสเซีย อยากรูจักคนยิวส ไปคุยกับคนอาหรับ อยากซื้อหุ้นตัวใด ต้องไปคุยกับคนที่ต้องการขายหุ้นตัวนั้น

   
     ผมอยากรู้เรื่องพระพุทธเจ้า ผมไปคุยกับคนอินเดีย  ว่าท่านพูดภาษาอะไร เพราะว่าท่านเปนคนอินเดีย อย่างน้อยก็รูว่า นิพพาน แปลว่าอะไร ผมอยากรู้ว่าสมัยก่อนใช้คำนี้หรือไม่ ถึงทราบว่าคำนี้เปนคำที่ความหมายทางลบในสมัยนั้น ซึ่งแปลว่า เป่าเทียนให้ดับ ในสมัยโน้น ใครได้ยินคำนี้ก้รูสึกหดหู่ ไม่ตื่นเต้นเหมือนคนสมัยนี้ ท่านตั้งใจใช้คำที่มีความหมายทางลบในการสอนลุกศิษย์หมดเลย เพื่อให้ไม่ต้องการให้มีความอยากเกิดขึ้น นี่นับว่าเปนความรูที่ได้จากคนอินเดีย  ที่ปัจจุบันนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้ามีแรงปราถนาจะได้มาครอบครอง นี่ก้ไปไม่ถึง เรากพลิกไปว่า ต้องใช้คำที่มีความหมายไปทางลบในสมัยนี้ ก็คือว่า "ตาย"  เรื่องนี้ผมมาตีความเอาไปใช้ดังนี้

            ตื่นมาผมก็บอกกับตัวเองว่า "วันนี้เปนวันดีที่จะตาย ทุก ๆ วันเปนวันดีที่จะตายของผม วันนี้แล้วซินะ จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดของชีวิต"  ผมคิดอย่งนั้นจริงๆ

            เหมือนกับคำว่า  "อย่าขาดทุน"
       ตื่นมาผมก็นึกเลยว่า จะขาดทุนเท่าไหร่
           ผมยอมรับมันทุกวัน
             " ทุก ๆ วันเปนวันดีที่ผมจะขาดทุน!"
     

         ผมมองไปที่วันนี้จะขาดทุนเท่าไร ผมยอมรับเรื่องนี้ แล้วสบายใจมากว่าเยอะ ไม่มีใครไม่ทำผิด อยู๋ที่ว่าเราผิดแล้ว เราจะแก้อย่างไรต่างหาก ไม่มีใครไม่ขาดทุน ขาดทุนแล้ส จะทำอย่างไรให้อยู่รอด คิดไปสองสามขั้น ข้างหน้า ไม่ใช่หนีการขาดทุน  ขอโทษนะครับ พุดก็พูดเถอะครับ ผมเปนคนพุดตรง ปากกับใจตรงกัน ถ้าใจหมา ปากก็หมาด้วย 555555  ผมว่า กฎนี้ stupid มาก ๆ ถ้ายอมรับโดยไม่รูจักคิด    

        อาชีพนักลงทุนประจำอย่างผม ผมว่ามันหิน....

          วันไหนพอร์ตติดลบ กลับบ้านมานั่งจมอยู่กับมัน ยอมรับมัน แก้ไขอย่างไร ผืดตรงไหน  จำไว้อย่าผิดอีก  มันเรื่องของใจล้วนๆ  ถ้ามันง่าย ๆ  คงเหนคนอื่นมาทำอาชีพนี้เปนงานประจำกันหมดแล้ว  ตลาดปิดการเคลื่อนไหวไปแล้ว  ใจมันยังเคลื่อนไหวอยู่เลย  ถามตัวเอง ตัวเรานี่มีทฤษฎีการลงทุนที่ยอดเยี่ยม  แต่มี  ทฤษฎีชีวิต  ที่ถุกแล้วหรือยัง นี่เราแสร้งวิเคราะห์ไปต่างๆ นา ๆ  แม้แต่ตัวเองบางทียังเชื่อ ความสำเร็จที่ผ่านมา ไม่ทำให้ทฤษฎีที่เรามีมันน่าเชื่อถือได้หรอก ผมไม่เคยเชื่อว่าทุกอย่างมันจะไม่เปลี่ยนแปลง มันเปนฉากหนึ่งของชีวิตเราเท่านั้น สิ่งที่ผมทำคือดุดซับสถานการณ์ ณ ช่วงใดช่วงหนึ่งเท่านั้น  เพ่งพินิจในสิ่งที่ทำ ปัญญามันเกิดตรงนั้นละ ช่วงหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย  
   

       ผมคิดถึง ป๋านัน...


       
                รูปภาพ
                        ถ้ามองว่าหุ้นดีให้ซื้อ ถ้าไม่กล้าซื้อ เลิกเล่นหุ้นไปเลยดีกว่า"      
                                                       
                                                                      nanchan
                       
       
     นั่งอ่านที่ ท่าน ดร. มัฟฟิน โพสเล่าให้ฟังในกระทู้นัดชุมนุมเหล่าจอมยุทธ์มวยวัด  ในวงกว้างออกไป นั่นเปนรากฐานของระบบทุนนิยม  ระบบทุนนิยมล้วนตั้งอยู่บนความเชื่อ  ตั้งอยู่ความศัทธาของคนในสังคมนั้นๆ   ถ้าไม่เกิดความเชื่อ ไม่มีศัทธา  ตลาดหุ้นไปหมด   ธนาคารไปหมด เศรษฐกิจไปหมด  ความเชื่อมั่นจึงมีความสำคัญต่อพฤติกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมาก อยู๋ในป่าทุนนิยม ต้องเชื่อระบบทุนนิยม  เหมือนถ้าเข้าป่า  ความเชื่อมั่นในตัวพรานนั้นสำคัญอย่างยิ่ง  แต่อย่าลืมถามว่าเชื่อแล้ว  ดีแบบไหน ดีจริง ดีปลอม ดีถูก ดีผิด  ดีเล็ก ดีใหญ่ ดียาก ดีง่าย  ดีแบบรูเท่าทันการณ์ หรือ ไม่ทันการณ์  ถ้าไม่ใช้ทรรศนะแบบป่านันมองให้ดี   ดีของท่านอาจกลายเปนร้าย ถ้าไม่ใคร่ครวญให้ท่องแท้ อย่าลืมถามท่านให้ดีครับ  สำหรับผมแล้ว ป่านันเปนนักลงทุนที่เก่งมาก   ป๋านันเหมือนพรานหุ้น และเปนพรานหุ้นที่เก่ง มาก ๆ ด้วยครับ  

             

      ออ.....ช่วงเข้าป่า พรานสอนผม มีเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟังครับ


       รูปภาพ

     
              พรานเดินไป คุยกันเพลินๆ ทำท่าโยนมีดใส่ผม  เราก็ทำท่าหลบ ไม่รับ   มีดสปาตามันยาวขนาดไหน ท่านพอนึกออก  ทำท่าแต่ไม่โยนครับ  เดินไปอีกสักพัก หันกลับมาคุยกับผม ทำท่าโยนมีดให้ผมรับอีก  ผมก้ตั้งท่ารับ เพราะเหนมีดใส่ฝักแล้ว แต่ไม่โยนครับ เราก็ทำท่ารอ แต่เขาไม่โยนนะ เขาเหมือนกับวา จะโยนแต่ไม่โยน คือไม่ตั้งใจโยน พอเราเผลอ ๆ  เอาอีก  ทำท่าโยนอีก คราวนี้ ผมไม่ตั้งท่ารับอีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่า เขาไม่โยน   พอผมไม่ทำท่ารับ พรานจึงหัวเราะออกมา ผมถามว่าทำไมพรานหัวเราะละ พรานบอกว่า เหนท่านไม่รับผมจึงหัวเราะ  พรานจึงบอกว่า ทำอย่างนั้นไมได้ ถ้าอยู่ในป่า  อย่าประมาทเด้ดขาด  ถ้าท่านเชื่อว่า ผมไม่โยนแน่ๆ จึงไม่รับ ถ้าผมโยนจริง ๆ ละ ท่านเสร็จเลย

      มีดข้างบน ไม่ต่างอะไรจาก สมมุติฐานที่ว่า   "อย่าขาดทุน" วันไหนท่านเลิกสงสัยในกฎข้อนี้ ไม่ยื่นแขนมารอรับแล้ว.......ท่านมีโอกาสหลงป่าทุนนิยมแน่ๆ !
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณท่านกูรูเคยให้เกียรติตั้งชื่อเรื่องนี้เอาไว้
ขอบคุณมากครับ

------------------


รูปภาพ

" แม้เกิดมาจนก็ตามที แต่ข้าไม่ยอมตายอย่างยากจนเด็ดขาด"

                                           
                                             ป้ายอักษรจารึกถ้อยคำในที่ทำงานโซอส

                                                           
  สวัสดีครับ...

         

        ขอให้การเดินทางแสวงบุญในครั้งนี้ทำให้คนที่สิ้นหวังกับ RV มีความหวัง และทำให้คนที่เป็นโรคกระเพาะอยู่ อาการทุเลาลงได้บ้าง   ถ้าผู้อ่านท่านใดพอใจกับภาพรวมที่ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว ก็สามารถข้ามปิดกระทู้นี้ไปได้เลย  ส่วนผู้อ่านคนใดใจกล้าและมีความสุขที่จะได้เข้าสู่ป่าของความลึกลับที่มืดมิดนี้อีกครั้ง  ก็ลุยได้เลยครับ  

          แต่ก่อนลุย ผมไม่รับประกัน อะฮ่า...ฉันเข้าใจแล้ว!  อะไรประมาณนั้นครับ  ความพอใจถึงความเข้าใจที่รออยู่ข้างหน้าอาจไม่เกิดเลยสักครั้ง   บางครั้ง ...ท่านอาจรู้สึกว่าเข้าใกล้ความเข้าใจในทฤษฎีนี้เพียงใดก็ตาม  แต่บางครั้ง ท่านก็ไม่สามารถเดาได้จริงๆ ว่า ความจริงทั้งหมดอยู่ห่างเพียงนิ้วเดียวหรือห่างไกลจนไม่มีทางจะรู้ได้  การพุดอย่างนี้ บางท่านอาจดีใจเสียอีก อย่างน้อยทำให้ท่านไม่สูญเสียเรื่องลึกลับและยังคงความตื่นเต้นต่อไปในเรื่องที่อธิบายไม่ได้  แต่อย่าได้กังวลครับ เพราะโลกนี้ยังมีเรื่องลึกลับอีกมาก  อย่างน้อยเรืองหนึ่งคือผมจะปล่อยให้ท่านคิดเอาเองว่าชื่อของกระทู้นี้ควรตั้งว่าอย่างไร? ท่านใดตอบได้ถุกใจของคนส่วนใหญ่ของสมาชิก  ผมมีหนังสือเป็นสินน้ำใจเล้ก ๆ น้อย  ขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ครับ  

           


               รถจะออกแล้วครับ หาที่ยืนดี ๆ หน่อยก็แล้วกันครับเจ้านายยยยยย!.....  

         


               โซรอส หรือ พ่อมดแห่งอ๊อสคนนี้  (Wizard of Oz ) ครั้งเด็ก ๆ ถามตัวเองว่า  ชีวิตคืออะไร?    ทำไมจึงเกิดมา? เราเป้นใคร ?  สิ่งที่เขาค้นพบคือ เราเป้นอะไรขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราไปผูกกับสิ่งหล่านั้น เขาสรุปว่า  มนุษย์ขาดจุดที่เป็นอิสระของตนเอง  น่าแปลกคือ  เขาคิดว่าตัวเองเป้นพระเจ้าตั้งแต่เด็ก คิดได้ดังนี้  หลายท่านอาจบอกว่า เขาพบสัจธรรมแล้ว  อันที่จริง เขาไม่เคยพุดว่าทำไมเขาถึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าอย่างนั้น แต่การค้นพบความจริงของเด้กชายแค่ 9 ขวบเป้นความคิดที่น่าเกรงขามอย่างมาก  บังเอิญหรือปล่าว ผมคิดว่าไม่นะ  ความปรารถนาที่จะเข้าใจตัวเองได้ให้ผลตอบแทนในทางปฎิบัติอย่างมากมาแล้วในอดีต  ความเข้าใจเชิงนามธรรมอันเก่าแก่พร้อมด้วยการแยกตัวประกอบของจิตใจมนุษย์ถุกค้นพบเมือ 2000 กว่าปีแล้วโดยชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า เจ้าชายสิทธัตถะ  และได้กลายเป้นรากฐานของการเข้ารหัสแบบกุญแจภาพสะท้อนที่ไขเข้าสู่ตู้นิรภัยของภาพทีบิดเบือนของคนที่เรียกว่า กิเลสของมนุษย์

         ที่ท่านอ่านมาแค่เพียงเสียงกระซิบที่ยั่วเย้า บอกถึงความเป็นไปได้ที่ไม่ครบถ้วนของทฤษฎีภาพสะท้อนที่เต็มไปด้วยคำถามที่ยังคงไม่มีใครตอบได้อย่างสมบูรณ์จนถึงทุกวันนี้

         โซรอสบอกว่าความคิดชั่วขณะทำให้รู้ว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยอคติ  เราถุกดึงเข้าสู่ความลับที่ว่าที่คนไม่สามารถแยกตัวเองออกเป้นอิสระจากสิ่งรอบตัวได้ด้วยเหตุง่ายๆ ที่ว่าที่ว่าคนไม่ใช่วัตถุที่ไม่มีชีวิต ทัศนะคนจึงถูกบิดเบือนเพราะการอ้างอิงสัมผัส  แต่สิ่งที่เขาสนใจอย่างมากคือ  แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร?  โลกจะเปลี่ยนแปลงไปไหม  จะเกิดอะไรขึ้น...ถ้า...  

         
รูปภาพ

            ที่กล่าวมานี้ ฟังดูยากแก่การเข้าใจอันไกลพ้น แต่ถ้าผมขอพูดอีกอย่างเรียกว่า ยึดมั่นเอาเป้นของกรูจนเกิดกิเลส อย่างนั้น เราเป็นคนพุทธก็เข้าใจได้ง่ายกว่าคนชาติตะวันตก แต่โซรอสกลับเข้าใจปรัชญาตะวันออกท่ามกลางความเข้าใจอย่างงงงวยในสังคมตะวันตกที่เขาอยู่  ผมไม่แปลกใจที่เขาคิดว่าเขาคือพระเจ้า เขาค้นพบสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น


   

    โดยพื้นฐานแล้ว ทัศนะเกี่ยวกับโลกเป็นสิ่งที่บิดเบือน แต่บางคนไม่ยอมรับว่ามันมีอยู่จริง
                               
                                                                   
         ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ....


          ก้อนหินมีลักษณะแห่งภาพสะท้อน ไม่มีชีวิต ก้อนหินเหล่านี้ มีลักษณะของ RV ได้อย่างไรกัน  มาดูกันว่าทำไม  ก้อนหินมีเปลียนแปลง สึกหรอ กร่อนไป สักวันหนึ่งไม่มี แต่มันช้า คนไม่สังเกต เข้าใจไม่ได้ แต่ก่อนมี เดี๋ยวนี้ไม่มี แล้วเปลี่ยนแปลงไปสู่ความไม่มี มันมีลักษณะแห่ง RV  ถ้าใครจับฉวยเอา มันจะกัดทันที คือ มีทุกข์  มองให้จริงจังขึ้นอีกนิด โซรอสเริ่มจากตั้งคำถาม "กรูเป็นใคร" แล้วค้นพบว่า เราไม่สามารแยกตัวเองออกจากสิ่งรอบตัวได้   ต้องยึดมั่นว่าตัวเราของเรา จิตยึดไปยึดถือเอาสิ่งรอบตัวมาเป็นตัวตน   เอามายึดไว้ เอามาแบกไว้ วางลงเมื่อไหร ไม่ให้เป็นของตน มันสลัดภาพ illusion เบาทันที  

       
          โซรอสตั้งคำถามถามตัวเองทุกเช้าว่า....


         สิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกต้องไหม แต่ละวัน RV อยู่ในใจ มันมีทุกข์ก็อยู่ในใจ มองลงไปในจิตใจ ถามว่าตลาดยึดถืออะไรอยู่ กำลังยึดมั่นด้วยเรื่องอะไร เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ดุลชำระ  ดุลการค้า อัตราดอกเบี้ย การเมือง  ชื่อเสียง เงินทอง ภรรยา สามี ยึดแล้วเป็นทุกข์หรือปล่าว การนับกิเลสทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ ๆ  ปลดออกได้ไหม ปลดให้ไม่เป็นตัวกูของกุได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ expectation กับ reality มันภาพใหญ่ขนาดไหน ถ่างกันมากไหม   reflexive gap  ยืดและหดอย่างไร ? สามัญสำนึกขัดแย้งกับความเป็นจริงมากแค่ไหน?

   

        น่าอัศจรรย์ที่ว่า สังคมไทย มีหนังสือพิมพ์  ทีวี วิทยุ  สื้อเหล่านั้นเป้นอาร์ตตัวแม่ของ reflexive gap  หรือ  แหล่งกำเนิดของอคติ  แต่อคติทีเลวร้ายที่สุดคือ  สังคมไทยมีความโน้มเอียงไปทางเรื่องผิดปกติ เมื่อเราดูข่าว สิ่งที่เราดูจริงๆ คือ เหตุการณ์ที่แปลกที่สุดและหายากที่สุดในวันนั้น เราจะไม่เคยเห้นหนังสือพิมพ์ฉบับไหนพาดหัวข่าวว่า  เด็กกินผักแล้วแข็งแรงนะ

     
       
         เรามีการโน้มเอียงไปทางข่าวร้าย ลองเปรียบเทียบข่าวร้าย/ข่าวดีบนหน้า นสพ. เขาคงขายได้น้อยถ้าไมได้รายงานการข่มขืน  การยิงกัน การปล้นร้านทอง ข่าวร้ายมันขายได้มากกว่าข่าวดี ผลของการชอบข่าวร้ายคือ เรามีมุมมองต่อโลกที่ไม่ถุกเอามาก ๆ  สังคมไทยเป็นสังคมที่สามัญสำนึกห่างจากความจริงอย่างมาก ถ้าถามผมว่า สิ่งเหล่านี้ปนในโลกการลงทุนหรือเปล่า  คำตอบง่าย ๆ คือ ท่านอาจถามความคิดเห้นผิดคนครับ  และอาจได้ข้อสรุปที่ผิดไปจากความจริงก็เป็นได้  แต่ผมจะผลักภาระไปให้คนรุ่นถัดไปที่ศึกษาทฤษฎีนี้  ได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางบนทางแพร่งในถนนแห่งภาพสะท้อนด้วยตัวเขาเอง  และคำตอบนั้นอาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาไปตลอดกาล....  


         รูปภาพ


           ท้องฟ้ามึดลง ลมพัดแรง ฝนตกไม่ลืมหูลืมตา  แต่ทุกเช้า วัน ๆ หนึ่ง  โซรอสหัวเราะกับรุ่งอรุณ แล้วตั้งสมสมุติฐานทุกเช้าและทดสอบมันว่าตลาดยึดอะไรอยู่ มี expectation อย่างไร แล้วสิ่งที่ปรากฏออกมาเป้นอย่างไรบ้าง ตลาดตอบสนองไปทางไหน  ยกสถานการณ์ขึ้นมา สร้างกรอบ expectation แล้วถามตัวเองว่า จะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร   นักลงทุนคิดอย่างไร ทำไมถึงคิดอย่างนั้น  expectation กำหนด reality ในตอนแรกหรือไม่ ถ้า reality ไม่เป็นอย่างที่คิด  reality ไปกำหนด expectation  หรือไม่ แล้ว expectation ไปกำหนด reality อีกทอดหนึ่งหรือไม่  เป็นวงกลมใช่ไหม แท้จริงตลาดไม่มี cause ไม่มี effect ที่แน่นอน  cause กลายเป็น effect แล้ว effect กลายเป็น cause  

     
          ถ้ามองให้เป้นเรื่องไม่น่ายินดีนัก...


        ช่องที่คั่นอยู่คือกิเลสที่ยั่วยวน  กิเลสทำให้เกิดภาพสะท้อนระหว่าง  reality กับ expectation สอดประสานกันอย่างคาดไม่ถึง มี illusion ไหม  บิดเบือนมากไปไหม มีผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร  ช่วงเวลาตลาดเปิดถึงตลาดปิด มี illusion 18 ช่อง แต่ละช่องมี illusion เกิดขึ้นหรือไม่   ถ้ามีตลาดมีทุกข์ มีการยึดมั่นด้วยเรื่องอะไร ทุกข์ด้วยเรื่องอะไร สะดุดตั้งแต่เช้าถึงเย็นกี่เรื่อง ค่ำแล้วก่อนนอนกี่เรื่อง ดูให้ดีมีกี่เรื่อง ต้องค้นพบห้ำได้ว่า ยึดมั่นอะไรอยู่ เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิด ทำผิดแล้ว หยุดความรู้สึกยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้นเสีย เขาชอบบอกลุกน้องให้ตรวจสอบความผิดของตังเองอยุ่เสมอ แล้วถามว่าเราผิดเพราะอะไร อะไรทำให้เราตัดสินใจเหล่านั้น แล้วจัดการแก้สิ่งผิดพลาดนั้นให้ถูกต้องตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น  สลัดออกไป มองความเป็นจริงให้กว้างขั้น  ให้จิตปกติก่อน แล้วค่อยคิดทำอะไรใหม่ คนที่จิตใจหยาบกระด้าง ทำไมได้ หลับหูหลับตาตลอด ทำไมได้ ไม่รู้เรื่องยึดมั่นเสียเลย มันทำไม่ได้ สลัดใจที่ยึดมั่น แล้วทำไปตามที่ไม่ยึดมั่น ไม่มีหลักเกณใดที่ครอบจักรวาล วิเคราะห์สถานการณ์ตามความเหมาะสม ในการวิเคราะห์สุดท้ายต้องอาศัยสติสัมปัชชัญญะในการอยุ่รอด  ทกุคนมีหน้าที่มองดูจิตใจของตัวเองให้รู้จักตามความเป็นจิง มันเป็นอย่างไร ยึดมั่นเกินไป เป็นฟืนเป็นไฟ ยึดมั่นมาก เหมือนไฟเผา ถ้าไม่ยึดอะไร ไม่มี expectation เกิด มันก็ไม่เกิดกิเลส ไม่มีกิเลส ไม่มี illusion ไม่มี illusion  ก็ไม่มีช่องว่าง reflexive gap  แล้วก็ไม่มีอคติอีกต่อไป



   รูปภาพ
   
            ตลาดหุ้นไร้ระเบียบ เข้าใจความไร้ระเบียบ ใครก็รวยได้


          พูดอย่างนั้น ไม่ยั่วยวนใจเท่ากับพูดว่า ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยกิเลสนะ  ถ้าเข้าใจกิเลสของคน ใครก็รวยได้ ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้  เซอร์ไพรส์!   ตลาดมีความโลภ เป็นสถานที่ของ "aggregated กิเลส "    มันไร้แบบแผนหรือไม่ ไม่แน่นะ  อาจไร้แบบแผนแบบมีระบบ  การเข้าใจสัญชาติญาณของการอยู่ร่วมกันเป็นกล่มเป้นลักษณะโดดเด่นของโซรอส  เขาเข้าใจว่ากิเลสคนอยู่ร่วมกันเป้นอย่างไร เมื่อเป้นตัวเราของเรา แยกตัวเองออกไมได้ มีอะไรกระทบ แล้วจะเลยคิดไปทางยึดมั่นเป้นตัวกรู ของกรู เป้นกำไร เป็นขาดทุน  เท่าไร   เป็นแพ้ เป็นชนะ อย่างนี้อย่างไรก็เป็นทุกข์  ตลาดเลยเป้นที่ที่สมบูรณ์ที่สุดของภาพ illusion เป็นที่ที่เหมาะที่สุดที่จะใช้ RV  คนอื่นพยายามตามให้ทันการเคลื่อนไหวของโลก แต่โซรอสพยายามดูดซับสถานการณ์ คณิตศาสตร์ไม่ได้ควบคลุมตลาด ตลาดถูกควบคลุมโดยกิเลสของมนุษย์

   
         ทำอย่างไรไม่ตกหลุมพราง?


     

           "สิ่งที่สูงขึ้น/ ต่ำลง ไม่ใช่ราคาแต่เป้นอคติของนักลงทุน"    


   
       เขาบอกว่า วิธีแก้ คือ ฉลาดให้ทัน มองโลกด้วยสายตาที่เป้นจริง ไม่ใช่ความฝัน อะไรมากระทบ ก็เอาจิตเข้าไปจับ ทันเวลาที่เกิดเรื่อง อะไรมากระทบ ถ้าฉลาดไม่ทัน มันก็เป็นทุกข์ เพื่อให้ฉลาดทัน ฝึกสติ ให้สติมาเร็ว ทันเวลา นี่คือเหตุที่ฝึกสมาธิ อะไรมากระทบ หู ลิ้น จมุก กาย ใจ ก็ฉลาดทัน รู้ว่าอย่างนั้นเอง เท่านั้นเอง ฝึกสติให้ควบคลุมจิตใจให้คงปกติ แล้วจะรู้อะไรตามที่เป็นจริง เข้าห้องน้ำ ก็ทำให้ดีที่สุด อาบน้ำก้อาบด้วยสติสัมปัชัยญะ กินข้าว อร่อยก็แค่นั้น ไม่อร่อยก็แค่นั้น  ไม่หวั่นไหวง่ายๆ แยกอารมณ์ของตนออกจากสิ่งที่เกิด แยกอัตราออกจากการลงทุน เขาเป็นคนที่เป็นนามธรรมมาก  ๆ ไม่หลงใหลในวัตถุ ความเป็นนามธรรมนี้ได้มาจากพ่อ พ่อสอนว่าอย่ายึดติดในความมั่งคั่ง พ่อสอนว่าการอยู่รอดทางกายภาพมีความสำคัญมากกว่าการสะสมความรวย  เพียงแต่เงินตราใช้เป้นพื้นฐานในการอธิบายความคิดของเราเท่านั้น เมื่อเงินขยับปีกอย่างเฉื่อยฉาแต่สง่างาม จะส่งผลให้คนเชื่อในสิ่งที่เราพุด ความคิดคนบิดเบือนได้เพราะเงิน..... ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ !

 
   

รูปภาพ    
        ขอจบด้วยนิทาน 2 เรื่องครับ

   
     นิทานเซน...

      พระสองรุปเดินข้ามแม่น้ำ เห็นแม่หญิงกำลังจมน้ำ พระรุปหนึ่งเข้าไปแบกแม่หญิงข้ามฝั่ง แล้วเดินทางต่อไป พอตกค่ำพระอีกรูบทนไม่ได้ต้องเอ๋ยปากถาม ท่านแบกแม่หญิงได้อย่างไรมันผิดศีล พระท่านนั้นตอบ ข้าวางนางลงตั้งแต่เช้าแล้ว ท่านยังแบกนางมาด้วยอีกหรือนี่!

       นิทานเซนอีกเรื่องครับ ชื่อว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"  

      วันหนึ่งมีม้าตัวหนึ่งหลุดออกจากคอกของชาวนาไป เพื่อนบ้านก็มาแสดงความเสียใจ ชาวนาตอบว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
วันต่อมาม้าตัวนั้นก็กลับมาพร้อมกับม้าอีกห้าตัว เพื่อนบ้านมาเห็นก็แสดงความดีใจด้วย ชาวนาก็ตอบว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"
วันต่อมาลูกชายชาวนาเอาม้าตัวใหม่ออกไปขี่เล่น แต่พลั้งพลาดตกลงมาขาหัก เพื่อนบ้านก็เข้ามาแสดงความเสียใจ  ชาวนาก็ตอบอีกว่า "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"  วันต่อมากองทหารหลวงเข้ามาในหมู่บ้าน เพื่อกวาดต้อนชายฉกรรจ์ไปเป็นทหาร ลูกชายของชาวนาขาหักอยู่ ทหารหลวงจึงมิได้นำตัวไป เพื่อนบ้านก็เข้ามาแสดงความยินดี ชาวนาก็ตอบเหมือนเช่นเดิมว่า...
                                          "ใครจะรู้ว่านี่ดีหรือร้าย"

  นิทานฮินดู...

      ครูสอนศิษย์สามคนให้ยิงนก ครูถามเห็นอะไร คนแรกตอบ นกกำลังกินแอ้ปเปิล คนที่สองตอบนกกางเขนกำลังกินแอบเปิลบนกิ่งไม้  คนที่สามตอบแค่ดวงตาของนก  อาจารย์ไล่คนที่สาม บอกเธอไม่ต้องเรียนแล้ว บอกเธอสำเร็จแล้ว อีกสองคนแรกยังต้องเรียนกับครูต่อไป ครุให้เหตุผลคนที่สามมีสมาธิมาก การจดจ่อตัดความกังวลและอารมณ์ออกไป ทุกสิ่งต้องรวมตัวหายไปขณะที่กำลังจะยิงนกตัวนั้น เขาสำเร็จแล้ว!


         ท่านสำเร็จหรือยัง?  


   เป็นที่แน่ชัดว่า.....จบเถอะ

      สวัสดีครับ....^ ^
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รูปภาพ


สวัสดีครับ....

ถ้าผมโยนเงิน 10 บาทเข้าไปในถุงกระดาษตราหมากรุก ล้วงมือไปหยิบ 1 บาทออกมาและเก็บเข้ากระเป๋า ไม่ต้องเปนบัฟเฟต ก็บอกได้ว่า ในถุงเหลือ 9 บาท  จากนั้นผมโยนเข้าไปใหม่อีก 10 บาท และหยิบออกมาอีก 1 บาท ไม่ต้องเปนโซรอส ก็บอกว่าในนั้นเหลือ 18 บาทแน่ๆ ทำแบบเดิมอีก จะเหลือเงิน 27 บาท  อีกครั้งละ เหลือ 36 บาท  อีกทีละ ได้ 45 บาท ไปอย่างนี้เรื่อยๆ  ไม่ว่ามีฉลากเปน "วีไอ"   ฉลากแบบ "เทคนิคคอล"   หรือฉลากแบบ "ฟันโฟล"  ทุกคนเหนหมด  ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ  ใครๆ ก็ทำนายได้ว่ามีเงินทั้งหมดกี่บาท  เพราะมันมีแบบแผนให้เหน  ถ้าถามกลุ่มที่ติดฉลากว่าพวก "รีฟี" พวกเขารู้ไหม พวกเขาจะตอบว่า.....

           

           ในถุงนั้นว่างเปล่า!    
 


   
      สวัสดีครับ....    

     
     วันนี้ขอกราบอนุญาตท่านพุดเรื่องศาสนา แต่ไม่ใช่พูดเรื่องธรรมะ เรื่องธรรมะกระผมพูดไม่เปน พูดเปนแต่อย่างที่เขียนให้ท่านอ่านดังต่อไปนี้...

        กระผมชอบดูศึกษาหนังสือสวดมนต์ต่างๆ   บางบทนี่ยาวมากเลย อานต่อไปเรื่อยๆ จะมีคำอธิบายว่า สวดแล้วได้อะไรบ้าง ไม่พ้นความสำเร้จ ความร่ำรวยต่าง ๆ ที่จะตามมาจากการท่องบทสวด  

 รูปภาพ

     ศาสนาจะว่าไป ไม่ต่างจากตลาดหุ้น ถ้าไม่ใช่ความกลัว ศาสนาคงไม่เกิดเช่นกัน หลัง ๆ มีความโลภเข้าไปเกี่ยวข้องในศาสนา ศาสนากับการลงทุนจึงเกี่ยวพันกันในเรื่องของความโลภและความกลัว ท่านลองไปคิดดูว่าสวดมนไปทำไม ขอพรต่างๆ หรือไม่ ถ้าขอให้มีนั่นมีนี่ ท่านก็โลภ ถ้าขอให้มีสุขภาพแข็งแรง ท่านก็กลัวตาย  อย่างนี้แล้ว การทีมีข้อสังเกตว่า ทำไมเซียนหุ้นบางท่านถึงสนใจในศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

         บทสวดบางอย่างให้กำหนด โกรธหนอ  เมื่อเราโกรธให้ท่องไปอย่างนี้ เมื่อเรา หิว ให้กำหนดว่า หิวหนอ ไปอย่างนั้น ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา กระผมลองอดข้าวเหลือ 1 มื้อต่อวัน  ส่วนอาหารนั้นจำกัดเหลือแต่เปนมังสวิรัติ ที่ทำนี้ไมได้ทำด้วยจุดประสงค์อะไรนอกจาก การชอบลองเท่านั้นเอง และสิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่กระผมจดบันทึกเอาไว้

       
           ตอนหิวนี่...


       


           ถ้าไปปฎิเสธท้อง ท้องยิ่งหิว มันฟุ้งไปหมด คิดไปต่างๆ ว่าจะเลิกอดอาหารแล้ว อยากกินข้าวเย็นอร่อยๆ  อยากกินหมูปิ้งหน้าปากซอย จะทรมานตัวเองไปทำไม 555555

รูปภาพ

        ด้วยความที่ชอบทรมานตัวเองอยู่แล้ว!

    อยางนี้เสร็จกระผม ถ้าไปร้องเพลง หยิบกีตามาเล่น  Stair way to heaven   ให้ลืมหิวนี่ แพ้มันเลย พลาดความลี้ลับไปเลย ปล่อยให้หิว ยอมรับว่าหิว ถ้าไม่รับรูว่าหิว ถ้าฝืนว่าไม่หิวนี่จบเลย ผิดหมดเลย ปล่อยให้เขาหิว แล้วคุยกับเขาดีๆ ยกมือไหว้เขาหนึ่งที ขอบคุณเขาหนึ่งที  เรื่องขอบคุณนี่เอามาจากคนยิว ความลับเขา แต่เราเอามาใช้ ให้รูจักขอบคุณทุกอย่าง ผมเลยขอบคุณตัวหิว  ผมเหนอยู่ในจินตราการระหว่างที่นั่งสมาธิตอนตี 4 ทุกเช้า เขาออกมาเต็มไปหมดเลย ตอนแรกคิดว่ามีคนเดียว ที่ไหนได้ ออกมาเต็มเลย ตัวโกรธ ตัวรัก ตัวหลง ตัวกาม ออกมาเปนอินฟินิตี ไม่มีหมด ผมจับเขาได้ทุกวัน เขาเปนอารมณ์ของเรา แต่ผมจับได้เปนตัว!

     วันหนึ่ง ผมเริ่มคุยกับเขา ขอบคุณเขา ตอนสวดมนต์ ผมเหนเขายกมือตาม เขาคุยได้ มีความรูสึก ถ้าคุยกับเขาดีๆ  เขาคุยรูเรื่อง อย่างตัวหิว ผมก้ไปคุยว่า


          ผมขอโทษนะ ผมไม่มีอะไรให้กิน ผมแค่อยากลองดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ไม่ขัดแย้ง  เขาก็จะดีด้วย  อาหารหิวหายไปทันที

       
      อย่างเมื่อวาน.....


          มีคนขับรถปาดหน้า  ผมจะโกรธนี่ เหนตัวโกรธมายืนรอเลย แต่ทันเขา เราก้บอกไปว่า...


        ขอโทษนะครับ ผมไม่ตกหลุมพรางท่านหรอก พูดจบเราก้หัวเราะกับตัวโกรธ เขาก็หายไป


          ถ้าเราไม่ร่วมมือกับพวกเขาด้วย ไม่นิยาม  ไม่มีความเหนนี่ พวกเขาจะหายไปเอง แต่ผมชอบคุย ผมไปคุยว่าทำไมถึงต้องโกรธ คุยแล้วเข้าใจพวกเขามากขึ้ย คุยแล้วเขาจะบอกว่าทำไมถึงเปนอย่างนั้น  เขาบอกหมดเลย  ตรงนี้ละครับที่สำคัญมาก  มี่ปี่ไม่มีขลุ่ย  อาการขนลุกขนพองจะมาเลย ป๊าดดดดดด  ผมเปนคริส ผมเลยอธิบายไม่เปนแต่แน่ ๆว่า สมองเรามีอะไรอีกแน่ๆ   บางอย่างที่มีในตัวเราแต่เราไม่เคยรู้จัก   อะไรบางอย่างในขอบเขตที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน นี่ต้องมีคนบอกผมบ้าแน่  555555  ลองทำดูครับ ของอย่างนี้เหมือนแสง ถ้าบอกเล่าได้ ย่อมไม่เปนแสง

รูปภาพ
       
ไปลองท่องบทสวด เขาให้ท่องตามอายุ กระผมท่องไปจนชิน 41 ครั้ง พอเริ่มง่ายๆ คราวนี้ลอง 108 ครั้ง ครั้งแรกนี่ เกือบไม่รอด เพราะต้องใช้สมาธิอย่างมาก เพราะกระผมไม่ได้จด ท่องและจำในสมอง 41 ครั้งนี้ไม่ยาก เพราะทำทุกวัน พอเปลี่ยนเปน 108 นี่ อะไรบางอย่างมันเกิดขึ้น ตอนเกือบถึงนี่ รูสึกว่าอยากหยุด อยากยอมแพ้แล้ว แต่ไม่ยอมมัน ตัวขี้เกียจนี่ออกมาเลย ผมไม่เคยเหนหน้าพวกเขา พวกเขาเปนเงา ผมคุยกับเขา ผมเหนื่อยแต่อยากลองดู

 

      " ท่านเข้าไปก่อน ผมขอโทษทำตามที่ท่านขอไมได้"



         ผมขอบคุณเขาทุกครั้ง!!!


           ถ้าไม่มีพวกเขา ผมจะไม่มีทางมาได้ไกลถึงขนาดนี้


         สักแปปปปป......


         มีอะไรบางอย่างออกมาครับ เหมือนคนเรามี "อะไรบางอย่าง "  สำรองชั้นที่ 2 อยู่ด้วย  มันออกมายามตอนฉุกเฉินเท่านั้น พอเลยจุดนี้แล้ว "อะไรบางอย่าง"  อีกชั้นออกมาเลย เปนขั้นที่ 3  คราวนี้ลืม 108 ไปเลย ไปครั้งที่ 199 แล้ว  เมื่อถึงตรงนี้แล้ว  เราจะรู้ว่าตัวมหัศจรรย์หมายถึงอะไร  มันไมได้อยู่ที่ไหนเลย มันอยู๋ในตัวเรานี่เอง เพียงแต่เขาไม่เคยออกมา พอเขาออกมา ผมจับได้ทัน  เรื่องนี้ทำให้ย้อนคิดถึงตอนว่ายน้ำ ตอนที่เราเหนื่อยมาก ๆ ถ้าฝืนว่ายไปเรื่อย ๆ สักพักจะข้ามจุดนี้ไปได้ แล้วเราจะไม่เหนื่อยแล้ว  วันนั้นผมว่ายเกือบ 5 กิโล ซึ่งปกติแค่ 1 กิโลก็จะตายอยู่แล้ว นี่ได้ค้นพบอะไรบางอย่างเพราะความเพียรนั่นเอง

รูปภาพ

        ผมเคยเหนมาหลายตัวแล้ว แต่ตัวล่าสุดที่เหนเมื่อล่าสุด เปนตัวที่เรียกว่า "ตัวหลงตน"   ผมคิดว่าตนเก่ง ให้รางวัลตนเองด้วยการยกตนพิเศษว่าคนอื่น นี่เปนหลุมพรางสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้าน ผมได้ตกลงไป เขาขุดรอไว้แล้ว  ตอนท้ายๆ ของความสำเร็จนี่ถ้าใครมาถึงจะเหนเขา  ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนทิศให้ผมไปเจอความล้มเหลว ผมโชคดีที่เหนเขาออกมา วันนั้นนั่งตอนตี 4 ผมจับเขาได้  ผม invert ทันที ผมบอกเขาว่า ผมโง่ ผมไม่รู้อะไรเลย แค่นั้นเอง พอเขาหายไป ขนลุกทันที!  

    ยังมีตัวต่างๆ ในชีวิตเราที่ผมไม่เคยเหนอีกมาก อย่างที่บอกครับ พวกเขาเปน อินฟินิตี แต่ผมยังไม่เคยรูจักเขาเท่านั้นเอง กาลเวลาเท่านั้น กาลเวลาเท่านั้น  

     คิดถึงพระพุทธเจ้าที่เคยบอกก่อนท่านปรินิพพานว่า  อย่าประมาท  

       รูปภาพ
         

วันนี้ผมพึ่งเข้าใจแล้ว!!!!


      ขอบพระคุณครับที่ให้โอกาสผมเขียน วันนี้ต้องกล่าวคำว่า สวัสดีแล้วครับ! .......
f.escape
Verified User
โพสต์: 439
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ท่าน humdrum พูดเรื่องศาสนา ไม่ใช่พูดเรื่องธรรมะ
แต่เราฟังแล้วเป็นเรื่องธรรมะล้วนๆ  ไม่ใช่ศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมักเตา
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ดีใจ ดีใจ ดีใจ อารมณ์เหมือนตอนสุนัขจิ้งจอกแสนปราดเปรียวมาเจอะกะเจ้าชายน้อยในทุ่งข้าวสาลี ^.^

ท่านพี่มาได้อย่างเหมาะเหม็ง ผมกะลังมีตัวเป้งๆ หลุดออกมาวิ่งเล่น กระโดดหย็องแหย็ง พอไปไล่ตะครุบ มันดันบินหนีหน้าตาเฉยเลย ไล่กันจนหอบจับ พอคว้าหมับติดมือ เลยรีบกัดหัวกร้วม กลืนลงท้องไปแล้ว ถ้างวดหน้ามันออกมาอีก จะรีบเด็ดปีกมันก่อนอื่นเลย

วันนี้กินที่ท่านพี่ป้อนจนท้องป่อง ต้องขอเอากลับไปเคี้ยวเอื้องไปย่อยอีกรอบนะครับ ขอบคุณคร้าบผม  :D
เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 8

โพสต์

humdrum เขียน: ขอโทษนะครับ ผมไม่ตกหลุมพรางท่านหรอก
Mr.Market ก็แบบนี้เหมือนกันครับ  :8)
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 9

โพสต์

สวัสดีคุณโหน่ง
เมื่อวานอ่านผ่านไปรอบหนึ่งแล้ว  เก็บไปคิดว่าจะมาแตกกระทู้นี้อย่างไรดี
วันนี้นึกขึ้นได้ เลยอยากจะเล่าเรื่องราวของจ้าวสำนักไร้ดาบคนหนึ่งให้ฟัง

เป็นเรื่องราวของหมู่มวลซามูไรที่อดไม่ได้จะต้องหาผู้ประลองฝีมือที่เก่งกาจกว่าตน
ว่าแล้วก็เปิดฉากเห็นนักรบซามูไรหนุ่มเลือดร้อนท่านหนึ่ง
เดินตามหาจ้าวสำนักซามูไรไร้ดาบชื่อดังอีกท่าน
กระทั่งเจอะเจอ จึงขอถามไถ่  
ได้ยินว่าท่านเป็นซามูไรที่เชี่ยวชาญการดาบมาก
ถึงขนาดยกดาบขึ้นมาฟาดฟัน เร็วพลันจนคู่ต่อสู้แทบไม่เห็น

จ้าวสำนักซามูไรไร้ดาบตอบกลับ
ข้ามีดาบไว้เพื่อฟาดฟันอคติในตัวข้า
เพื่อกำราบความหยิ่งผยองในสายเลือด
เพื่อป้องปรามโมหะ โทสะ ที่ปะทุให้สงบนิ่ง

ซามูไรหนุ่มเลือดร้อนเปิดปากท้าอย่างตรงไปตรงมา
ถ้าเช่นนั้น ไยท่านไม่มาประดาบประลองกับข้าสักตั้ง
เพื่อพิสูจน์ความเร็วของดาบท่านว่าจริงสมดังที่ร่ำลือ

หากซามูไรผู้สูงวัยกว่า กลับตอบอย่างสงบนิ่ง
ข้ามีดาบไว้เพื่อไร้ดาบ

เมื่อเห็นท่าทีนิ่งเฉยเช่นนี้แล้ว
ซามูไรหนุ่มก็อดพูดเย้ยหยันให้อีกฝ่ายฮึดสู้ไม่ได้
จนซามูไรจ้าวสำนักชักรำคาญ เลยยอมรับคำท้า
โดยขอเป็นฝ่ายกำหนดสถานที่ประลองดาบเอง

เอาที่เกาะแห่งหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกล การประลองดาบครั้งนี้
จะได้ไม่กระทบกระทั่งชาวบ้าน
หาเรือพายไป ถ้าใครแพ้ก็ถูกฝังบนเกาะนั้น
ใครชนะก็พายเรือกลับมา

ซามูไรหนุ่มตกลงด้วยความกระหยิ่มใจ
ทีนี้ล่ะจะได้ประดาบกับจ้าวสำนักชื่อดังให้ระบือลั่น
ใครจะแน่กว่ากันในซามูไรภพนี้

เมื่อถึงวันนัด ทั้งคู่ช่วยกันพายเรือไปถึงเกาะ
ซามูไรจ้าวสำนัก คัดท้ายเรือเทียบฝั่ง
ให้อีกฝ่ายขึ้นเหยียบเกาะไปก่อน
และทันทีที่ผู้ท้าชิงขาแตะผืนเกาะ  
ซามูไรผู้สูงวัยกว่าก็รีบถ่อเรือถอยออกจากเกาะทันที
ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนถือดาบฟาดฟันอากาศอย่างเคืองแค้น

จ้าวสำนักไร้ดาบ
พายเรือกลับช้าๆ
มองน้ำกระเพื่อมข้างตัว

ถ้าจะเข้ากับเนื้อเรื่องในกระทู้
ก็น่าจะตวัดจบลงที่  ข้ามีหุ้นไว้เพื่อไร้หุ้น :wink:
ชีวิตเกิดและตายเพียงอย่างละหน ส่วนที่เหลือตรงกลางต้องค้นพบเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมักเตา
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

George Soros interview on the Wall Street Journal

โพสต์ที่ 10

โพสต์

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้แวะไปที่วัดบ่อยๆ ขอบคุณท่านพี่สำหรับแผนที่เส้นทางครับ ไปเกาะรั้วแอบดูโน่นแอบดูนี่อยู่ห่างๆ สำรวมกิริยาไม่ส่งเสียง ปีศาจไม่กล้าเข้าวัดครับ

ยินดีกับการฉลองครบรอบหนึ่งปีครับท่านพี่  :cheers:
โพสต์โพสต์