สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 1

โพสต์

สธ.เตือนประชาชนระวังโรคสุกใส ยอดปี 2552 พบผู้ป่วยกว่า 80,000 ราย เสียชีวิต 3 ราย ระบุมักพบระบาดในช่วงปลายหนาวต้นร้อน แนะหากมีคนป่วยในครอบครัวควรแยกของกินของใช้ ให้หยุดงานหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ลดการแพร่กระจายเชื้อ
     
      นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในช่วงที่สภาพอากาศจะเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูร้อน โรคที่น่าห่วงและมักพบในช่วงนี้ที่สำคัญคือ โรคสุกใส (Chickenpox) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อ เวลิเซลลา-ซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus : VZV) เป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด พบได้ประปรายตลอดปี แต่มักระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อนคือ เดือนมกราคมถึงเมษายน
     
      ในปี 2551 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคสุกใส 76,750 ราย เสียชีวิต 4 ราย อายุระหว่าง 33-35 ปี เป็นชาย 3 ราย หญิง 1 ราย สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือด 1 ราย โดยผู้เสียชีวิตมีอาชีพขับเรือออกไปหาปลา ระหว่างป่วยไม่ได้หยุดพักงาน ทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนโดยเชื้อเข้าทางบริเวณที่เกิดตุ่มสุกใส ส่วนอีก 3 ราย มีโรคแทรกซ้อนปอดบวมรุนแรงเนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำ เพราะมีโรคประจำตัวคือ เบาหวาน และไขข้ออักเสบ นอกจากนี้ ยังมีรายงานพบเด็กหลังคลอดติดเชื้อดังกล่าวด้วย 2 ราย รายแรกเป็นเด็กหญิงอายุ 11 วัน มีประวัติแม่ป่วยเป็นโรคสุกใสก่อนคลอด 7 วัน แม้จะแยกแม่และเด็กทันทีหลังคลอดอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม ส่วนรายที่ 2 เป็นเด็กชายอายุ 17 วัน ติดเชื้อจากแม่ที่มีอาการป่วยหลังคลอด 7 วัน ทั้ง 2 ราย ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ สำหรับปี 2552 ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคสุกใส 84,928 ราย เสียชีวิต 3 ราย ในเด็ก 7 ปี 1 ราย และในผู้ใหญ่ 2 ราย
     
      นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อไปว่า จากรายงานทางระบาดวิทยาพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยโรคสุกใส เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี อาการไม่รุนแรง คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและกระทรวงสาธารณสุขจึงยังไม่กำหนดให้เป็นวัคซีนภาคบังคับฉีดในเด็กไทย เด็กที่เป็นโรคนี้มาแล้ว จะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิตไม่ป่วยซ้ำอีก อาการของโรคสุกใสเริ่มจากไข้ต่ำๆ ต่อมามีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว หลังมีไข้ 2-3 วัน มักมีลักษณะตุ่มใส มีหลายระยะ ตุ่มใสขนาดต่างๆไม่เท่ากัน หลังจากนั้นตุ่มจะแห้งตกสะเก็ดและหลุดภายใน 5-20 วัน โดยทั่วไปผื่นจะหายเอง โดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบนผิวหนัง เช่น ใช้มือเกา เชื้อโรคที่อยู่ตามซอกเล็บอาจทำให้แผลที่เกา เกิดการอักเสบและมีแผลตามมา ในบางรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนเชื้ออาจกระจายเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษและปอดบวมได้
     
      ทางด้านนายแพทย์ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า โรคสุกใสที่พบในขณะนี้ เกิดขึ้นทุกกลุ่มอายุ ส่วนใหญ่ยังคงพบในเด็ก แต่การเกิดโรคอาจรุนแรงในผู้ใหญ่ หากมีภาวะภูมิต้านทานบกพร่อง เช่น ภาวะเบาหวาน โรคเลือดจาง และการติดเชื้อเอชไอวี โรคดังกล่าวติดต่อกันโดยการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูกและน้ำลายที่เกิดจากการไอของผู้ป่วยเข้าไป หรือใช้ภาชนะและของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย หรือสัมผัสน้ำเหลืองจากตุ่มพองใสที่ผิวหนังผู้ป่วย ดังนั้นในการป้องกันโรค หากมีคนป่วยในครอบครัวควรแยกของกินของใช้จากคนปกติ ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ ในเด็กเล็กต้องตัดเล็บให้สั้น ให้ผู้ป่วยพักผ่อน รักษาความอบอุ่นร่างกาย หากมีไข้ให้กินยาลดไข้ หากเจ็บคอหรือไอควรปรึกษาแพทย์ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคสุกใส ควรหยุดเรียน หยุดงานประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
     
      นายแพทย์ภาสกร กล่าวต่อว่า แม้โรคนี้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ยังคงพบป่วย และอาจเกิดการระบาดได้ในโรงเรียน สถานที่เลี้ยงเด็ก หรือสถานดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง (บ้านพัก) หลังการป่วยอาจมีรอยแผลเป็นตามผิวหนังที่มีผลต่อความสวยงามได้ ดังนั้นจึงขอแนะนำในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการคันมาก ขอให้หลีกเลี่ยงการเกา และรักษาความสะอาดของแผลไม่ให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังซ้ำซ้อนต่อไป
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.a ... 0000017461

โรคนี้  แม้ไม่รุนแรง  แต่ช่วงนี้ใกล้สอบแล้ว  ถ้าเด็กเป็นก็คงลำบาก  เพราะต้องหยุดเรียนหลายวันทีเดียว
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
SunShine@Night
Verified User
โพสต์: 2196
ผู้ติดตาม: 0

Re: สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่

โพสต์ที่ 2

โพสต์

[quote="chatchai"][quote]สธ.เตือนประชาชนระวังโรคสุกใส ยอดปี 2552 พบผู้ป่วยกว่า 80,000 ราย เสียชีวิต 3 ราย ระบุมักพบระบาดในช่วงปลายหนาวต้นร้อน แนะหากมีคนป่วยในครอบครัวควรแยกของกินของใช้ ให้หยุดงานหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ลดการแพร่กระจายเชื้อ
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์

หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี :)
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ใช่แล้วครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Basketman
Verified User
โพสต์: 1208
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ฝากคำถามครับ....

เดือนนี้ลูกชายจะอายุครบ1 ขวบ
ทางโรงพยาบาลแนะนำให้ฉีดวัคซีนกันโรคสุกใสครับ
แต่ผมเห็นลูกเพื่อนอายุ2ขวบกว่า ฉีดมาแล้วก็ยังเป็นอีก (ติดจากพ่อ)
เพื่อนผมบอกว่า จริงๆต้องฉีด2เข็มถึงจะกันได้ แต่ไม่ทันมาเป็นซะก่อน

กับเพื่อนอีกคนก็บอกว่าไม่ต้องฉีดหรอก ฉีดแล้วโรคมันจะอั้น
ให้ปล่อยเป็นจะดีกว่า..

ผมควรจะพาลูกไปฉีดดีรึป่าวครับ  :?:
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องไปปั่นเอาเอง"
chatchai
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 11443
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ลูกของผมก็ฉีดครับ  ไม่แน่ใจว่า 2 เข็มหรือเปล่า  แต่คุ้นๆว่า 2 เข็ม

คุณหมอบอกว่า  ถ้าฉีดเวลาเป็นจะมีอาการน้อยครับ  ตุ่มใสๆจะขึ้นน้อย  ไม่ทรมานมาก  หายเร็วครับ

ไข้หวัดใหญ่  ลูกของผมก็ฉีดครับ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
Ano
Verified User
โพสต์: 306
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 6

โพสต์

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (หรือเรียกแบบใหม่ให้สุภาพขึ้นหน่อยว่า โรคสุกใส)  เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี ค่ะ

ประสิทธิภาพ :
- ถ้าฉีดในช่วงอายุ 1-12 ปี
ภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นประมาณ 90% หลังจากฉีดเข็มแรก
                                   99% หลังจากฉีดเข็มที่สอง
ฉะนั้นจะฉีดหนึ่งเข็มหรือสองเข็มก็ได้  เพราะภูมิขึ้น  90% ก็ไม่ถือว่าน้อยแล้ว  

- ถ้าฉีดหลังอายุ 13 ปีขึ้นไป
ภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นประมาณ 78% หลังจากฉีดเข็มแรก
                                   99% หลังจากฉีดเข็มที่สองค่ะ

- ภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนจะอยู่ได้นาน 10-20 ปีหรืออาจตลอดชีวิต ( แต่ถ้าเป็นเองตามธรรมชาติภูมิจะขึ้นตลอดชีวิตค่ะ)  

- ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วยังมีโอกาสเป็นโรคได้ แต่อาการของโรคทั้งไข้และจำนวนตุ่มที่เกิดมักไม่รุนแรง

พี่ Bas จะพาน้องไปฉีดรึเปล่า  ก็ต้องพิจารณาเรื่องความวิตกกังวลกับราคาวัคซีนน่ะค่ะ  เพราะโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่มีอาการไม่รุนแรงโดยเฉพาะในเด็ก

- ปัจจุบันจึงจัดเป็นวัคซีนเผื่อเลือก เนื่องจากเป็นวัคซีนอีสุกอีใสมีราคาแพง ฉะนั้นก็อยู่ที่ผู้ปกครองค่ะว่า  อยากให้เด็กเป็นเองก่อนรึเปล่า ซึ่งจะเป็นการประหยัดและทำให้เกิดภูมิคุ้มกันนานตลอดชีวิต

- แต่ถ้าอายุ 10 ปีแล้วยังไม่เป็นเองตามธรรมชาติ  การฉีดวัคซีนก็จะมีประโยชน์มากให้กลุ่มนี้เพราะ  ถ้าเป็นตอนโต  อาการอาจจะรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าเด็กเล็กค่ะ  

เวลาผู้ปกครองมาถามเรื่องวัคซีนเผื่อเรียก ว่าหมอว่าควรฉีดไหม  ก็มักจะบอกเค้าว่าฉีดไม่ฉีดก็ได้  ให้คิดกับซื้อประกันรถค่ะ  บางคนก็ประกันชั้น 1 บางคนก็ประกันชั้น 3 ฉันใดฉันนั้น... :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Basketman
Verified User
โพสต์: 1208
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณพี่chatchai กับคุณหมอAno มากครับสำหรับคำแนะนำดีๆ
เดี๋ยวผมคิดดูก่อนว่าจะซื้อประกันดีรึป่าวหนอ...

ป.ล. คุณหมอAno สนใจมาเปิดคลีนิคเด็กแถวนี้บ้างรึป่าวครับ
ที่นี่คลีนิคเด็กมีอยู่4 ที่ คิวล้นทุกวันไปทีไรไม่เคยรอต่ำกว่าชั่วโมงเลยครับ
ส่วนใหญ่เปิด17.00-20.00 น.  แต่ผมเห็นเด็กมารอคิวตั้งกะ 16.00 น.
หมอได้กลับบ้าน 22.00 กว่าๆ ทู๊กวัน...  :lol:
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องไปปั่นเอาเอง"
Ano
Verified User
โพสต์: 306
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ไม่บังอาจไปแย่งงาน หมอเด็กแถวบ้านพี่บาสหรอกค่ะ  ขอบคุณที่ชวนนะคะ  มีปัญหาเรื่องวัคซีนในเด็กปรึกษาได้ค่ะ  เพราะเข้าใจว่าวัคซีนเผื่อเลือกเดี๋ยวนี้มีเยอะ  และผู้ปกครองมักต้องการ  second opinion
ภาพประจำตัวสมาชิก
SunShine@Night
Verified User
โพสต์: 2196
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 9

โพสต์

[quote="Ano"]วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (หรือเรียกแบบใหม่ให้สุภาพขึ้นหน่อยว่า โรคสุกใส)
VI ฝึกหัด สำนักปีเตอร์ ลินช์

หวังผลต่อแทนทบต้นมากกว่า 15% ต่อปี :)
Ano
Verified User
โพสต์: 306
ผู้ติดตาม: 0

สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่วยอื

โพสต์ที่ 10

โพสต์

SunShine@Night เขียน:
ราคาเท่าไรอ่ะครับ หมอสวย
ขอบคุณที่ชมค่ะซัน :P

เลยต้องรีบมาตอบ   ที่ รพ.รัฐ ขายอยู่ประมาณ 850 บาทต่อเข็มค่ะ
pak
Verified User
โพสต์: 5659
ผู้ติดตาม: 0

Re: สธ.เตือนระวังโรคสุกใส ชี้ระบาดปลายหนาวต้นร้อน เผยปี'52ป่

โพสต์ที่ 11

โพสต์

โรคหน้าร้อน

“ร้อน ร้อนจริงๆ”
เสียงบ่นแบบนี้มีให้ได้ยินบ่อยครั้ง เป็นสัญญาณบอกชัดเจนว่าฤดูร้อนมาเยือนอีกแล้ว และดูเหมือนจะมาเร็วกว่าเดิมเสียด้วย สภาพอากาศแปรปรวนอย่างนี้สามารถทำให้เจ็บป่วยได้เหมือนกัน ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาทควรป้องกันไว้ก่อน เพราะไม่มีใครเจ็บป่วยแทนใครได้

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เปิดเผยว่า โรคภัยไข้เจ็บในฤดูร้อนที่ต้องระวังมีหลายอย่างทีเดียว ได้แก่

โรคช็อกแดด (Heatstroke) เกิดจากความร้อนที่สูงจัดจนสมองทนไม่ไหว อาจทำให้ความดันต่ำถึงขั้นชักได้ คนที่ไวต่อโรคช็อกแดดคือ เด็ก ผู้สูงวัย และคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ในนักกีฬาก็สามารถเกิดขึ้นได้ โรคขาดน้ำ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไวต่อความเครียดและเหนื่อยล้า การขาดน้ำทำให้เกิดโรคปวดหัวแบบไมเกรน ปวดท้องประจำเดือน สิวขึ้น หน้าแห้ง ไร้เรี่ยวแรง และไข้ขึ้นได้ง่าย

โรคพิษจากน้ำ น้ำในช่วงฤดูร้อนไม่น่าไว้ใจ ทั้งน้ำดื่มปรกติ น้ำแข็ง และไอศกรีม ต้องระวังการปนเปื้อน ทำให้ปวดท้อง ป่วยด้วย โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร โรคเก่ากำเริบ ใครที่มีโรคความดันสูง เบาหวาน หรืออาการปวดศีรษะง่ายอยู่แล้ว ในฤดูร้อนจะมีโอกาสป่วยสูงกว่าคนอื่น จึงต้องลดการออกสู้แดด หลีกเลี่ยงความเครียด

โรคร้อนลงผิว (Heat rash, Prickly heat) หมายถึงเรื่องสิวไม่มี แต่อาการผดผื่นคันผิวจะถามหาแทน นอกจากนี้ยังมีโรคเบื่ออาหาร ข้อนี้พบได้ชัดเจน ควรงดอาหารมัน ทอด และใส่กะทิ เปลี่ยนเป็นขนมหวานเย็นๆแนวสมุนไพรแทน เช่น เฉาก๊วย น้ำรากบัว หล่อฮั้งก้วย เก๊กฮวย หรือแตงไทย สำหรับโรคหวัดมักมาจากการตากแอร์หลังผ่านอากาศร้อนจัด ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทันจนป่วยเป็นไข้หวัดได้


เมื่อรู้ปัญหาแล้วมาถึงวิธีรับมือป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยในฤดูร้อนกันบ้าง ซึ่ง นพ.กฤษดาแนะบทบัญญัติขจัดร้อนไว้ 10 ข้อ ดังนี้
1.ดื่มน้ำให้พอ น้ำเปล่าดีที่สุด ดื่มเรื่อยๆ พอดีๆ
2.เดินผ่านอากาศร้อนมา อย่าเข้าห้องแอร์ทุกครั้งหรือทันที เพราะจะทำให้เป็นหวัดได้
3.รับประทานพอประมาณ อย่าให้อิ่มเกินไป เพราะจะทำให้อาหารไม่ย่อยและป่วยได้ ที่สำคัญความร้อนทำให้อาหารบูดเสียเร็ว ไม่เว้นแม้แต่ในกระเพาะและลำไส้
4.ออกกำลังกายพอประมาณ หากหักโหมจนเหนื่อยเกินไปอาจทำให้ช็อกได้
5.คนมีโรคประจำตัวอยู่ต้องระวังมากหน่อย อย่าทำอะไรหักโหม เพราะโรคร้ายอย่างอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคหัวใจจะถามหา
6.นอนเร็วขึ้น เพราะการนอนจะช่วยดับร้อนได้ส่วนหนึ่ง คือช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนซ่อมแซมตัวเองหลังจากผจญไอร้อนมาทั้งวัน
7.เจลลดไข้ ช่วยลดความร้อนในเด็กได้ทันใจ ดีกว่าการอาบน้ำ เพื่อป้องกันอาการช็อกแดด
8.ควรหลีกเลี่ยงของหวาน เพราะช่วงฤดูร้อนอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอยู่แล้ว การเร่งให้ร่างกายเผาผลาญอาหารประเภทน้ำตาลอีกจะทำให้ป่วยได้
9.ใช้อาหารเย็นช่วยดับร้อนปลอดภัยกว่า เช่น ข้าวแช่ แตงไทยน้ำกะทิ น้ำมะตูม หรือเฉาก๊วย
10.หากทำได้ใช้แอร์ธรรมชาติดับร้อนดีกว่าแอร์คอนดิชันเนอร์ซึ่งปล่อยอากาศแห้งและเย็นออกมา ทำให้ทางเดินหายใจอักเสบได้ง่าย เรียกว่าที่ไหนมีแอร์ที่นั่นมีสิทธิป่วยนั่นเอง
ได้ข้อแนะนำแล้ว อย่าลืมรับมือสู้โรคหน้าร้อนให้ได้กันทุกคน


ขอขอบคุณที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 352 วันที่ 24 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2555
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
โพสต์โพสต์