
สืบเนื่องจากกระทู้นี้ OST กับ IPOได้คุยกับน้องมิ (คงเรียกนะ เพราะพี่กูรูต้อง สว.กว่าคุณมิแน่ๆ)
คุยฟุ้งกันเรื่องเพลงคลาสสิก
หลายคนคงทำหน้าเหยเก เมื่อพูดถึงเพลงเก่าๆโบราณประเภทนี้
ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เพลงคลาสสิกไม่ได้ตายไปที่ไหนแต่อบอวลอยู่รอบๆตัวเรานี้เอง
(เหมือนภาษาบาลีกับสันสกฤตที่อยู่ในคำไทยเรา)
ก็เลยเกิดความคิดลองเล่าเรื่องเพลงคลาสสิกที่ฟังง่ายๆใกล้ๆตัว
เพื่อเพื่อนๆจะได้มีเวลารื่นเริงบันเทิงใจบ้าง
ในช่วงที่บ้านเมืองผลัดกันเล่นแชร์บอลไปมา

เอาประเภทไม่ต้องถึงกับปีนบันไดฟังเน้อ
ตัดศัพท์ดนตรียากๆออกไป พวกโอปุส โอปัส ซิมโฟนิค โพเอ็ม
บันไดเสียง(โรงหนัง)เมเจอร์ ไมเนอร์(Mint) แคนTaTa
อู๊ย ฟังแล้วพาลไม่อยากสุนทรีด้วยล่ะ (ไม่ได้ว่าหุ้นนา)
กูรูจะเล่าและยกตัวอย่างเพลงที่พวกเราฟังแล้วก็หลับตาจินตนาการได้อย่างสบายใจดีกว่า
ส่วนใครจะสืบเสาะอยากเข้าใจมากกว่านั้นก็เป็นความสามารถส่วนตัว
ถ้าไม่อยากจ่ายแพง อย่าเปิดเพลงคลาสสิก
ก่อนจะเข้าเรื่องราวเพลงคลาสสิกใกล้ๆตัว
อยากจะยกงานวิจัยเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ
เคยมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Leicester ประเทศอังกฤษ
ว่าด้วยพฤติกรรมการใช้เงินกับการเปิดเพลงคลาสสิก
โดยทดลองกับการรับประทานอาหารเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์
อี๊ย...ไม่ใช่กินนานเป็นงูเหลือมถึง 3 สัปดาห์
การวิจัยใช้เวลาตรวจสอบถี่ถ้วนนานถึง 3 สัปดาห์
จนได้ตัวเลขนัยที่น่าเชื่อถือระดับหนึ่ง
พบว่า ภัตตาคารใดเปิดเพลงคลาสสิก
ของโมซาร์ท บาค และบีโธเฟ่นคลอบรรยากาศตัก กิน ดื่มไปด้วย
ส่อแนวโน้ม ที่ลูกค้าจะสั่งออร์เดอร์ของแพงๆ(แพงปานกลางถึงแพงที่สุด)
ด้วยความรู้สึกเหิมเกริมว่ามีอำนาจใช้จ่ายเพิ่มขึ้น (ทั้งที่ก็มีเงินในกระเป๋าเท่าเดิม)
ด้วยจำนวนเงินเฉลี่ย 24 ปอนด์
ผิดกับบางภัตตาคารที่เปิดเพลงบริทนีย์ สเปียร์ หรือสไปซ์ เกิร์ล
ลูกค้าจะสั่งอาหารออร์เดอร์แสนธรรมดาและใช้เวลาละเลียดไม่นาน
ด้วยจำนวนเงินเฉลี่ย 22 ปอนด์
และถ้าไม่เปิดเพลงเลย จะใช้เงินตกลงมาเหลือ 21 ปอนด์
สำหรับผู้หลงมนต์เพลงคลาสสิก จะสั่งอาหารเต็มสำรับครบชุด
ตั้งแต่ ของกินเล่น(Starter) อาหารหลัก (Main Course)
อาหารรอง ( Side Dish)ของหวาน (Dessert)และ กาแฟตบท้าย
( อึฮือ ใส่ลงเข้าไปได้อย่างไร ไมรู้จะห่อกลับบ้านหรือเปล่า)
ผลวิจัยสรุปออกมาว่า
เพลงคลาสสิกกระตุ้นอารมณ์ของการจับจ่าย
และสร้างความฮึกเหิมในการกล้าจ่ายเงินมากขึ้น
ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากๆสำหรับเจ้าของร้านค้าที่ขายของหะรูหะรา
แต่จะเป็นศัตรูอย่างยิ่งสำหรับเจ้าของกระเป๋าเงินจนๆ ที่ดันคอและหัวสูง
ด้วยผลวิจัยเบื้องต้น อำนาจของเพลงคลาสสิกกับมนต์เป่าเงินออกจากกระเป๋า
กูรูเลยทำ workshop กับคนเรียนว่า
สถานที่เลิศหรูใดบ้างควรใช้เพลงคลาสสิกเป่ามนต์สะกด จิ๊กสตังค์จากกระเป๋าผู้บริโภค
คำตอบมีต่างๆนานา อาทิ เช่น
ร้านเพชร (อะอะ เพื่อนๆคนไหนจะไปซื้อเพชรฝากสาว
ขอให้เลือกร้านที่ไม่เปิดเพลงคลาสสิกเน้อ
ไม่งั้นสาวเจ้าที่ไปด้วยจะตกในอารมณ์เคลิ้ม
เผลอคิดว่าเราเป็นเศรษฐีในฉับพลัน)
คฤหาสน์หรู ( บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่เสนอบ้านหรู
ใช้กลยุทธ์เปิดเพลงคลาสสิกขณะให้คนเข้าเยี่ยมบ้าน
เผลอแป๊ปเดียว เซ็นต์วางเงินดาวน์แล้ว)
แกเลอรี่รถยนต์ สปาหรู โรงแรม
ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ (บางแห่ง เอาคนมาเล่นเปียโนกลางฮอลล์เลย)
โรงเรียนสอนทำอาหารแบบ Gordon Bleu
(คงต้องเลือกเพลงที่เกียวกับช้อนส้อม ตะเกียบ
หรือเพลงที่พูดถึงพืช ผักสวนครัว แห่ะ แห่ะ)
คำตอบอีกเยอะแยะตาแปะไก่ตามแต่ประสบการณ์ของแต่ละคน
หากมีอยู่หนึ่งคำตอบที่น่าทึ่งมาก.....
เพื่อนๆลองนึกตามไปด้วย
