ทัศนคติที่เหมาะสมต่อเงินสดในพอร์ต PLEASE HELP ME

[ซากคน]

ผมรู้สึกเบื่อ..เซ็ง กับเงินสดในพอร์ตที่แสนขี้เกียจเหลือเกิน ความรู้สึกนี้ยังตามหลอกหลอน บั่นทอนกำลังสมาธิของผมอย่างมาก    

ขอคำแนะนำในการจัดการทัศนะคติแย่ๆๆแบบนี้  ในช่วงเวลาแบบนี้ครับ  ผมหาของดีและถูก (ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้) ไม่เจอมา 3 เดือนแล้วครับ

พอร์ตส่วนตัว

#1  เงินสด                                  58 %  
#2  กองทุนหุ้นต่างประเทศ            28 %
#3  กองทันอสังหา                        11 %  
#4  พันธบัตรรัฐบาลอีก                    3 %

เมื่อเดือน พค. ปีนี้ ผมได้ขายเอากำไรจาก #2 ออกไป 9 % ของพอร์ต
ประกอบกับออมเงินได้ทุกเดือน ทำให้ #1 เป็นอย่างที่เห็น    

ซึ่งตั้งใจว่าจะเอา #1 มาไล่เก็บพวก defensive stock บ้านเรา แต่ทว่าพวกมันได้ปรับขึ้นไป จนผมไม่กล้าไล่ซื้อ   นอกจากนี้ เงินปันผลที่ได้รับจากปีที่แล้วจากหุ้นกลุ่มนี้ ก็นำไปทบต้นไม่ทันอีก    

แล้วอย่างนี้ผมจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 10-15 % ติดต่อกันอย่างพี่น้องในห้องนี้ได้อย่างไรกัน
อดน้อยใจไม่ได้จริงๆครับ....

ขาดทุนทางบัญชี ยังเสียใจน้อยกว่า  งดจ่ายปันผล
งดจ่ายปันผล  ยังเสียใจน้อยกว่า  นำเงินไปทบต้นไม่ทัน  
นำเงินไปทบต้นไม่ทัน  ยังเสียใจน้อยกว่า  สร้าง passive income ไม่ได้  

ที่น่าเสียใจที่สุด คือ เราจะเป็นที่พึ่งให้พ่อแม่ที่ใกล้เกษียณได้ยังไง ถ้ากระบวนการข้างบนยังตะกุกตะกักแบบนี้                

ผมยอมรับว่า circle of competence ตัวเองยังน้อย ยังไม่สามารถทำอะไรหวือหวาได้  ยังไงก็จะศึกษาหาความรู้การลงทุนเน้นคุณค่าต่อไปครับ  

ปล . ขออภัยน้องๆ พี่ๆ และผู้มีคุณูปการต่อบอร์ดนี้  ที่ผมแสดงความอ่อนแอ
ทางจิตใจออกมา  ทุกเย็นหลังเลิกงาน  คำถามเหล่านี้วนเวียนในหัวซ้ำๆๆๆ
จนผมไม่รู้จะไปถามใครดี....

[Diablo]

ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้นทุกปีครับ
เข้าซื้อในจังหวะที่เหมาะสมและราคาถูก
เมื่อพี่ขายในจังหวะที่เหมาะสมอีกครั้ง สามารถทำผลตอบแทนเกิน 15% ได้สบายๆ
เมื่อมารวมกับปีที่ไม่ได้ซื้อ เฉลี่ยๆก็คงเกิน 10-15% นะครับ
ถ้าพี่สามารถเลือกหุ้นด้วยตัวเองได้  :D

[hongvalue]

จนผมไม่รู้จะไปถามใครดี....

ขอแจมหน่อยละกัน

ขออนุญาติวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา

ผมว่าปัญหาของคุณ voldtrest ก็คือว่า

กลัวขาดทุนมากเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน

ก็กลัวที่จะไม่ได้ผลตอบแทนเท่าที่ควร

และในขณะเดียวกันอีกก็เป็นคนที่ตัดสินใจได้ช้า



นานๆทีผมจะตอบแบบ vi ให้  :lol: หลังจาก

กลายร่างเป็นนัก trade มาตลอด

ซึ่งตั้งใจว่าจะเอา #1 มาไล่เก็บพวก defensive stock บ้านเรา แต่ทว่าพวกมันได้ปรับขึ้นไป จนผมไม่กล้าไล่ซื้อ   นอกจากนี้ เงินปันผลที่ได้รับจากปีที่แล้วจากหุ้นกลุ่มนี้ ก็นำไปทบต้นไม่ทันอีก    

vi ที่ดีนั้นไม่ได้กลัวการตกรถ การที่หุ้นขึ้นไปแล้วไม่ได้ซื้อในปีเดียวไม่ใช่เงื่อนไขที่ vi ต้องกลัว

ประเด็นที่สำคัญเลยก็คือว่า ราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าราคาเหมาะสมของมันหรือไม่

ประเด็นที่พูดมามันเป็นเรื่องของอารมณ์ว่าหุ้นขึ้นไปแล้ว
แต่มันไม่ได้ตอบปัญหาว่าหุ้นมันยังซื้อได้ไหม

สมมุตินะว่าหุ้น defensive ที่อยากซื้อราคาขึ้นจาก

5 บาทไป 8 บาท เราบอกว่าซื้อไม่ทันถูกไหม

แต่ว่าถ้าเราประเมินมูลค่าเหมาะสมของมันแล้วเป็น

14 บาทล่ะ เราจะซื้อไหม ก็น่าซื้อนะเพราะ upside เยอะ

แต่ถ้าประเมินแล้วมูลค่ามันอยู่ที่ 9 บาทล่ะ

ก็ไม่น่าซื้อแล้วสิ

สรุปว่าที่บอกว่าซื้อไม่ทันไม่ใช่ปัญหา เพราะปัญหาอยู่ที่ราคาหุ้นในตอนนี้มี mos สูงพอไหมต่างหาก
ถ้า mos ตอนนี้ไม่สูงพอแล้วจะอยากลงทุนไปทำไม
ซื้อไปก็เจ็บตัว
แต่ถ้า mos ตอนนี้สูงพอก็ซื้อไปสิ ก็ยังทันไม่ใช่เหรอ

โอดครวญไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาจริงไหม

ถ้าไม่ได้คิดว่ามูลค่าหุ้นตอนนี้เหมาะสมกับราคาที่ควรจะเป็นไหม

ขาดทุนทางบัญชี ยังเสียใจน้อยกว่า

[krisy]

ไม่ได้เป็นคนเดียวหรอกจ้ะ

เป็นเหมือนกัน คิดทุกวัน เครียดไหม ก็แน่นอน เราชอบถามตัวเองว่า อนาคตจะเป็นอิสระได้แน่หรือเนี่ย ในเมื่อวันนี้ยังบ้าๆบอๆแบบนี้

พอร์ตเราแย่กว่าคุณอีก เงินเฟ้อควรจะติดลบเพื่อให้ผลตอบแทนเราชนะเงินเฟ้อ :lol:

แต่ในเมื่อคติสำคัญของการลงทุน คืออย่าขาดทุน แล้วจะเอาเงินเก็บไปเสี่ยงทำไมกับสนามที่ไม่ได้เปรียบ สูญเงินต้นเพราะความรีบ ลน(รนหาที่)ลาน ไม่ได้ลงทุนด้วยความระวัง เราว่ามันต้องดู risk/reward ด้วย อย่างที่ฮงแวยู่บอกไว้ข้างบน

คุณเหนื่อยใจ เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ เพียงแต่คุณต้องฟื้นด้วยตัวเองนะคะ ขอให้ลุกเดินได้ใหม่ไวไว อย่าหยุดนาน (เดี๋ยวเราไล่ทัน อิอิ)

[sattaya]

ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรแต่ขอแชร์ด้วยคน

ผมหาของดีและถูก (ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้) ไม่เจอมา 3 เดือนแล้วครับ

ผมยังเจออยู่นะแต่รองบ Q2 ออกแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

แล้วอย่างนี้ผมจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น 10-15 % ติดต่อกันอย่างพี่น้องในห้องนี้ได้อย่างไรกัน

ไม่มีใครได้กำไรตลอดหรอกครับ เขียนเป้าหมายไว้แล้วใช้ความพยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ถ้าทำไม่ได้ก็ให้รู้ว่าผิดพลาดตรงไหน ซึ่งนั่นจะเป็นบทเรียนที่ดีครับ

นอกจากความรู้แล้ว การมีสติ และวินัย เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุนนะครับ

ซึ่งตั้งใจว่าจะเอา #1 มาไล่เก็บพวก defensive stock บ้านเรา แต่ทว่าพวกมันได้ปรับขึ้นไป จนผมไม่กล้าไล่ซื้อ   นอกจากนี้ เงินปันผลที่ได้รับจากปีที่แล้วจากหุ้นกลุ่มนี้ ก็นำไปทบต้นไม่ทันอีก

ตลอด 2-3 เดือนนี้ผมก็แทบไม่ได้ซื้อขายเลยเหมือนกัน

เป็นกำลังใจให้ครับ

[por_jai]

ภาพใหญ่นะ
      แค่การอุปถัมก์ค้ำชูพ่อกับแม่ให้สดวกสบายเนี่ย
      ก็ทำให้พี่โวลด์
      ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้แล้ว

      ส่วนเรื่องรองที่ถาม
      ถ้ามีคุณสมบัติทำอย่างที่ฮงแนะนำได้
      ก็น่าจะผ่านปัญหาพวกนี้ไปได้ครับ

[kornjackrit]

55 ผมยังเป็นเพื่อนพี่อยู่คับพี่ Voldtrest
ถ้าไม่นับเงินที่คุณพ่อให้มาลองซื้อหุ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน
(นับเฉพาะเงินเก็บผมที่เตรียมไว้ลงทุนเอง)
ผมก็ยังถือเงินสดอยู่ 95 % ของพอร์ตได้ครับ
( ถือในรูปกองทุนรวมตลาดเงิน )
อีก 5 % เป็นกองทุนรวมดัชนี SET50
เพราะผมอยากรอให้ถึงปีหน้าที่ผมจะเปิดพอร์ตได้เอง

ส่วนเรื่องหุ้นที่ถูกและดี ผมก็ว่ายังพอมีนะคับ
แต่อาจจะมี MOS ไม่เยอะเหมือนก่อนแล้ว
เสียดายช่วงตอน 400 กว่าๆ ขึ้นมาเร็วจริงๆ
ผมนึกว่าจะอยู่อย่างนั้นไปสัก 6 เดือน ถึง 1 ปี
ลงไปไม่กี่เดือนขึ้นมา 600 กว่าๆอีกแล้ว
( ซื้อไม่ทันคับ 5555+)

ผมได้รับบทเ้รียนจากวิกฤติคราวนี้มากโขอยุ่คับ
( ถือเป็นวิกฤติในการลงทุนครั้งแรกของผมเลย )

พี่ถือเงินสดเยอะๆยังดีกว่าพอร์ตขาดทุนทางบัญชี
และติดดอยแบบผมนะคับ


เป็นกำลังใจให้พี่คับ

[smith_sanguan]

อืม เหมือนจังหวะ ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย ต้องค้นหาวิถีทางที่เป็นของคุณเองครับ เหมือนโดนหลอน ตื่นๆอยู่นะครับ

ลองตั้งสติ หาหุ้น ในผลตอบแทนที่คุณพอใจ ค้นคว้าหา valuation ที่เหมาะสม ถ้า valuation ต่อ หุ้น ที่คิดออกมาต่ำ จนเก็บหุ้นไม่ได้ ก็ต้องลองคิดให้ได้ว่าทำไม คนอื่นซื้อ แล้วเราไม่ซื้อ

Tips: ถ้ามันลง แต่ไม่ถึงเป้าที่คุณตั้ง รอแล้วรออีก ก็ไม่ได้ อดทนแล้วก็ไม่ได้ แสดงว่าเรา ต้องคิดอะไรพลาดไปแน่ๆ ครับ

ปัญหา น่าจะเกิดจาก ความเสี่ยงที่เราคิด ลองหาทางลดความเสี่ยง โดยการศึกษาหุ้นให้มากขึ้นครับ

[ซากคน]

   ขอขอบคุณในความกรุณาของทุกท่านที่สละเวลามาตอบกระทู้นี้นะครับ  

ผมคิดทบทวนอยู่ 2 วัน เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมทั้งนำคำแนะนำ

ของทุกท่านมาพิจารณา  พบว่าอาการหลอนๆที่เกิดขึ้นอยู่หลายสัปดาห์มา

จากเรื่องสำคัญอยู่ไม่กี่เรื่อง จากหลายร้อยเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญนัก

1. ความเข้าใจผิดของผมเกี่ยวกับเรื่อง ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้น

ผมตีความผิดเองว่า ต้องนำเงินใส่ลงในหุ้นที่เรามี ทุกปี  โดยลืมไปว่า นายตลาดสามารถโก่งราคาหุ้นที่เรามีเมื่อใดก็ได้  จนทำให้ความคุ้มค่าที่เราอยากจ่ายลดลง  ในขณะเดียวกันนายตลาดก็สามารถกดราคาหุ้นอีกหลายตัวที่เราไม่มี/ไม่รู้จัก/ไม่เข้าใจ  แต่สามารถให้ความคุ้มค่ากับมันมากพอจนชดเชยความเสี่ยงที่เรากลัว  ซึ่งย่อมเปิดโอกาสให้คนที่มีความเข้าใจพอและมีความพร้อมสามารถ swith out หุ้นที่ผลตอบแทนต่ำ -  swith in หุ้นที่ผลตอบแทนสูงได้ จนสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้  โดยที่ไม่ต้องใส่เงินลงทุนทุกปีเสมอไปอย่างที่กองทุนรวมชอบแนะนำ

2. ขาดความเข้าใจใน Biz Model อื่นๆ และนำ ACC./FIN. มาใช้อย่าง
   ไม่เหมาะสม

ผมต้องให้เวลาและใส่ใจมากกว่านี้ให้เสมอเหมือนเรียนปริญญา

3. คุณพ่อและคุณแม่ ซึ่งอายุใกล้จะเกษียณแล้ว มีทุนรอนไม่เพียงพอในวัยเกษียณ

ผมเพิ่งจบตรีมา 2 ปี  เงินเดือนยังน้อย ไม่ช้าหรือเร็ว ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี  ลำพังการแบ่งเงินเดือนให้พ่อแม่ตามขนบธรรมเนียมไทยอันดีงาม
นั้นไม่เพียงพอแล้ว  10-15 ปีข้างหน้า  มาตรฐานการครองชีพและคุณภาพชีวิตที่พอใช้ในวันนี้ อาจรักษาไว้ไม่อยู่

ผมมีทางเลือกอยู่ทางเดียวคือ เป็นรุ่นที่ 3 ของครอบครัว (Generation Y) ที่
ปิดประตูความยากจน  และทำสิ่งที่มีอยู่ให้งอกเงย

สุดท้ายนี้ ขอให้คุณความดี ความปรารถนาดี จากการตอบกระทู้ของทุกท่าน

ที่มีต่อผม ส่งผลให้ทุกท่านมีผลการลงทุนที่ก้าวหน้า และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่

เจริญสมความตั้งใจครับ  

[กล้วยไม้ขาว]

เท่าที่อ่านผมว่าคุณเก่งพอตัวเลยนะ
ที่หาหุ้นที่มี MOS เท่าที่ต้องการไม่ได้แถมยังเสียดายที่หุ้นวิ่ง

แต่คุณก็ยังยึดมั่นในหลักการของตัวเอง ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ผมว่าจิตใจคุณมั่นคงดีทีเดียว ความสำเร็จคงไม่ไกล แค่เำพิ่มความรู้กับประสบการณ์ คุณจะเป็นคนที่เก่งมากทีเดียว

[Diablo]

เยี่ยมครับ  

[yoyo]

 เยี่ยมด้วยอีกคน...
อ่านหนังสือเยอะๆครับ ทั้งหนังสือลงทุน และหนังสือประเภทอื่นๆ แล้วความเข้าใจในปรัชญาการลงทุน ความเข้าใจในธุรกิจมันจะค่อยๆขยายขึ้นเรื่อยๆ.. ความรู้นี่ดีนะครับ ยึ่งใช้ยึ่งเพิ่ม

[krisy]

คนกตัญญูไม่ลำบากหรอกค่ะ

เราเป็นลูกคนเดียวที่ให้เงินพ่อแม่ใช้เป็นค่าขนม (เพราะท่านก็ฐานะดีอยู่แล้ว) น่าแปลก เราหาเงินได้ดีกว่าน้องเยอะเลย

การเก็บไว้ใช้เพื่อตัวเองมีแต่จะหมดเปลือง แต่การเก็บไว้ให้พ่อแม่ได้ใช้ เรารู้สึกเหมือนปลูกต้นไม้ได้ร่มเงาได้ผลมากินได้เมล็ดมาปลูกต่อ

ขยันและคิดดีทำดีก็จะเป็นพรของคุณค่ะ

ปล. ฟื้นตัวจากอาการ panic เร็วม้ากมาก  :lol:

[vi_tal signs]

คุณกบ  ตอบดีจังครับ

นับถือ  :oops:  

[ppp]

ถ้าคุณเลือก 1 ระหว่างที่หมกมุ่นกับความเจ็บปวด
ข้าศึกจะซ้ำเติมคุณด้วยการฟันคุณเพิ่ม

ความเป็นจริงคือ สิ่งที่เสียไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนมาได้ ดังนั้นควรจะสนใจแต่สิ่งที่สามารถกู้คืนมาได้ในวันข้างหน้า

ถ้าคุณเลือก 2 คุณยังอาจจะมีชีวิตกลับไปและรักษาตาให้หายได้ ต่อให้รักษาไม่ได้ก็ยังมีชีวิตรอดไม่ใช่หรือ



เวลาผมมีปัญหาผมหาทางแก้ตลอดนะ เพราะผมอยาก
ให้อนาคตผมดีขึ้น

เยี่ยมครับ  เป็นข้อคิดที่ดี  

[tanate@man]

ผมชอบสิ่งที่น้องคิดทั้งหมดเลยครับ

คุณฮงตอบไปหมดแล้วเน๊อะ ส่วนผมก็อ่อนหัด เลยไม่รุ้จะแนะนำให้ยังไง

[ซากคน]

เดี๋ยวจะได้เห็นการขายขาดทุนของสิ่งที่ซื้อมาแพงเกินไป

แถมวอลุ่มไม่ค่อยมีอีกต่างหาก

เปลี่ยนมาเป็นเงินสด อีกแล้ว  

อยากเห็นตลาดหุ้นพังลงมาอีกครั้งจริงๆ  รออยู่ครับ  

[Juninho]

ผมว่าน่าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นให้มากขึ้นนะครับ

อย่างที่รู้กันว่า ในระยะยาว การลงทุนในหุ้น
ให้ผลตอบแทนดีที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่ต้อง
ไปคิดถึงการลงทุนแบบอื่นเลยครับ
ผมว่าการลงทุนแบบอื่นจะดึงความมั่งคั่งของเราไปอีกมาก
ในระยะยาว

อ่านตามบล็อกของพี่สุมาอี้ก็ได้ครับ พี่เขาเปรียบเทียบไว้ดีมาก ๆ
เรื่องหุ้นกับแมลงวัน
http://api.settrade.com/blog/1001ii/2007/06/12/66

จะว่าไปอยากให้พี่สุมาอี้กับมาเล่นเว็บนี้จัง

[luckyman]

สู้ สู้ ครับ
ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ประสบการณ์ก็มากขึ้นเรื่อยๆ ตามๆ กันไป

[ซากคน]

"เมื่อร้อยปีก่อนดาวโจนส์อยู่ที่ 100 จุด ตอนนี้อยู่ที่ 10000 จุด"  

ปรากฎการณ์แบบนี้  จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ด้วยปัจจัยอะไรบ้างครับ  เพราะส่วนตัวผมคิดว่า  ตลาดหุ้นแต่ละแห่งมีศักยภาพไม่เท่ากัน จากปัจจัยเหล่านี้  

1. การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ  
   - นับจาก 100 ปีก่อนมาจนวันนี้ เศรษฐกิจของอเมริกา
      เคยรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด  
 
   คำถามคือ ถ้าเศรษฐกิจในภูมิภาคนั้น มันไม่ขยายตัว
   อย่างที่เป็นมา  ดัชนีตลาดหุ้นในที่ๆนั้นจะไปได้อย่างไร

2. คุณภาพบริษัทจดทะเบียน  ไม่เท่ากัน  

   เป็นที่รู้กันว่า ดัชนีหุ้นอเมริกา มีหุ้นชั้นยอดอยู่มาก
   มายที่กำไรโตอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ

   ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่  จะมีบริษัทคุณภาพเหล่า
   นี้ น้อยกว่ามาก  แม้ว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนดีๆ ที่ยังไม่
   ได้นำเข้าตลาดอีกหลายแห่ง  แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะมี
   การนำกิจการเข้าตลาด บ่อยเพียงใด

3. พื้นฐานเศรษฐกิจของอเมริกา กับ ประเทศเราแตกต่างกัน
   มาก  
   - เศรษฐกิจอเมริกาถูกขับเคลื่อนด้วยการใช้จ่ายใน
   ประเทศเป็นหลัก  กำไรของบริษัทจดทะเบียนของเขาจึง
   เติบโต อย่างต่อเนื่อง

4. มุมมองของเจ้าของที่นำบริษัทเข้าตลาดหุ้นต่างกัน

   - ผมคิดว่าที่ อเมริกา บริษัทจำนวนมากเข้าตลาด ด้วยเหตุผลของ การขยายธุรกิจ มากกว่า การเอาธุรกิจที่อิ่มตัวแล้วมาเลหลังขายนักลงทุนรายย่อย
     
ฯลฯ  

ปรากฎการณ์เหล่านี้ มันจะเกิดกับที่อื่นด้วยเหรอ ครับ ??  

หั่งเส็ง  นิเคอิ  เซี่ยงไฮ้  บอมเบย์  ... น่าคิดครับ  :?:  

ปล.  ส่วนตัวผมไม่อยากเก็บเงินสดไว้นานๆเลยครับ  แต่ตอนนี้ผมจำเป็นต้อง
      รอซื้อในราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพครับ  

ยังไงผมก็ขอขอบคุณที่ช่วยเตือนเรื่องนี้นะครับ  ผมจะทบทวนสิ่งที่จะทำอีกครั้ง  

บางทีอาจไม่ใช่เวลาของการ cut-loss ก็เป็นได้

บางทีอาจเป็นเวลาของการฟื้นตัวของสิ่งที่พัง...

[Juninho]

แสดงว่าคุณ Voldtrest ไม่เชื่อในการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย

คุณอาจจะไม่เชื่อในการลงทุนในเซ็ท แต่อย่าลืมนะครับว่า ในเซ็ท
ยังมีบริษัทดี ๆ ยอดเยี่ยมให้คุณลงทุนอยู่
ยังไง บริษัทที่ดี ๆ กำไรเพิ่มในระยะยาว ปันผลเพิ่มในระยะยาว
ราคายังไงก็ต้องเพิ่มขึ้นครับ เพราะมูลค่าบริษัทมันมากขึ้น
มันก็เป็นไปตามเหตุและผลของมัน

ทำไมบริษัทพวกนี้ ถึงเป็นหุ้นสิบเด้งอัพได้ละครับ
หากตลาดหุ้นไทย มันแย่อย่างที่คุณ Voldtrest พูดไว้
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopi ... 23&start=0

และยังไงก็แล้วแต่ อีกห้าถึงสิบปีข้างหน้า ก็จะมีหุ้นสิบเด้งตัวต่อไปให้พูดถึงอีก
เพียงแต่ว่า พวกเราจะหามันเจอหรือเปล่า

[Juninho]

อีกนิดละกัน  :D
ยังไงผมก็มีความเห็นว่า การลงทุนอย่างอื่นเป็นเรื่องเสียเวลา
ทำลายความมั่งคั่งเราในระยะยาว

ในเมื่อตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด
(อ่านจากบทวิจัยในหนังสือ intelligent investor ก็ได้)
แล้วเราจะเสียเวลาไปกับการลงทุนอย่างอื่นเพื่อ ?

ปล.ผมยอมรับว่ามีอคติ เพราะผมได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจมากจากหุ้น
โปรดใช้วิจารณญาน ในการอ่าน  :D

[kmphol]

ยังไงก็ขอให้คิดว่าเก็บเงินสดไว้ ยังไงก็ไม่เน่า ไม่เสีย

แต่ถ้าซื้อหุ้นผิดจังหวะ มันอาจเน่าเสียแบบไม่เหลืออะไรเลยก็ได้

เสียดาย ดีกว่าเสียใจ
เสียโอกาส ดีกว่าเสียหาย
น้ำลายหก ดีกว่าน้ำตาตก

อย่าลืมว่าคนที่ทำกำไรจากหุ้นได้มหาศาล คือ
เขามีเงินสดไว้ซื้อหุ้นในเวลาที่มันถูกอย่างไม่มีเหตุผล ในขณะที่คนอื่นไม่มีเงินซื้อในเวลาที่ Cash is King

ไม่ใช่คนที่ถือหุ้นที่กำลังเน่าไว้เต็มพอรทในเวลาที่หุ้นมันถูกอย่างไม่มีเหตุผล

เซียนตัวจริง ต้องรอคอยได้อย่างไม่จำกัดเวลาทั้งตอนซื้อและขาย เหมือนสิงโตที่กินอิ่มครั้งเดียวแล้วอยู่ไปได้หลาย
วัน ไม่ใช่ไก่ที่จิก กินเล็กกินน้อยวันละหลายครั้ง แต่ไม่อิ่มสักวัน

[ซากคน]

สวัสดีครับ

   ข้อมูลที่ผมได้จาก Inteligent Investor ก็ไม่แตกต่างจากพี่ happiness
บอกไว้ครับ  หลังจากที่อ่านจบ  ผมเองก็อยากเชื่อว่า ทุกๆตลาดน่าจะเป็นแบบนี้  เนื่องจากเศรษฐกิจ มันต้องเติบโตไปเรื่อยๆ  ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นจากชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้น  ซึ่งแน่นอน
ดัชนีหุ้นก็เติบโตด้วย  

   ผมได้แบ่งเงินไปซื้อกองทุนดัชนีหลายแห่ง  เซี่ยงไฮ้  หั่งเส็ง บอมเบย์ และ กองทุนหุ้นที่ลงทุนในตะวันออกกลาง  ตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้ติดตามข่าวคราวของ บริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีน้ำหนักค่อนข้างเยอะในดัชนีหุ้นที่ลงทุน ไปพร้อมๆกับข่าวคราวทางเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆ  รวมถึงนโยบาย/แผนงานของรัฐบาลของประเทศนั้นๆ  ปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนให้ดัชนีหุ้นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เติบโตขึ้นต่อเนื่องนั้นยังคงเป็น การกระตุ้นการบริโภคจากภาครัฐ/ แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวที่เอื้อต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน

  จาก 4 กลุ่มที่ผมกระจายลงทุนนั้น  ถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจเติบโตสูงทุกกลุ่ม  แต่การเติบโตของดัชนีทั้ง 4 กลุ่มที่ออกมานั้นไม่พร้อมกัน
ณ ตอนนี้ 3 ใน 4 กลุ่มดัชนีฟื้นตัวขึ้นมามากแล้ว  เหลือเพียง 1 กลุ่มที่ดัชนียังไม่ไปไหน  ทั้งๆที่รัฐบาลก็มีงบประมาณในการกระตุ้นเพียงพอ  แสดงว่ามันต้องมีอะไรหลายอย่าง  ที่ทำให้ดัชนีที่นั่นไม่ฟื้นตัวเหมือนหลายๆที่  

สิ่งที่เกิดขึ้นกับพอร์ต 20 กว่า % ในเวลานี้ ทำให้ผมไม่สามารถปักใจเชื่ออะไร
โดยที่ยังไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน  

  ฉะนั้นแล้ว  หากจะตัดสินความคิดว่า การลงทุนระยะยาวในหุ้น  ว่า
เหมาะสม/ไม่เหมาะสม อย่างไร  ถ้าจะให้ไม่เอนเอียง ผมคิดว่าต้องผสมผสานแนวคิดหลายอย่าง  มากกว่าที่จะใช้แนวคิดเดียวตัดสิน  สำคัญคือ

1. คนส่วนใหญ่ทำได้
2. ผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยง
3. สิ่งที่ทำต้องเพิ่มค่าของเงินสูงสุด เมื่อเทียบการเก็บเงินในรูปแบบอื่น ใน
   ระยะเวลา 15 ปีขึ้นไป ประมาณนี้ครับ      

ปล. ผมยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นหนึ่งในตลาดเกิดใหม่ ที่มีพฤติกรรมผู้ใหญ่ทำตัวเหมือนเด็กอมมือ ซึ่งสะท้อนภาพอะไรหลายอย่างที่เราเห็นทั่วไป
ในประเทศเรา ทุกหัวระแหงครับ  

[ซากคน]

จากการที่ ตลาดหุ้นเกิดใหม่บางแห่ง ไม่ได้ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ทำให้
ผมคิดว่า เศรษฐกิจทุนนิยม  ยังไม่ถือว่าเป็นโลกาภิวัติอย่างแท้จริง  

และตลาดหุ้นหลายแห่ง ยังคงมีรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง  

ฉะนั้นแล้ว การลงทุนระยะยาวในหุ้น จึงจำเป็นต้องดูปัจจัยอื่นๆด้วย นอกจากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของบริษัทจดทะเบียน ที่เราจะฝากเงินของเราไว้

ผมมีการลงทุนในหุ้นไทยรายตัว เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยอาศัยการพิจารณาคุณภาพอย่างที่ VI เขาสอนกันมา และเชื่อได้ว่า น่าจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ไปอีกนาน แม้ว่ามันจะไม่ใช่หุ้นสิบเด้ง ในเวลานี้

[ซากคน]

ไปๆ มาๆ  ก็ยังไม่ได้ทำอะไรกับพอร์ต  

มีไข่ให้กินก็ยังดีกว่า ไม่มีอะไรให้กิน

[ซากคน]

[quote="krisy"]
น่าแปลก เราหาเงินได้ดีกว่าน้องเยอะเลย

การเก็บไว้ใช้เพื่อตัวเองมีแต่จะหมดเปลือง แต่การเก็บไว้ให้พ่อแม่ได้ใช้ เรารู้สึกเหมือนปลูกต้นไม้ได้ร่มเงาได้ผลมากินได้เมล็ดมาปลูกต่อ

[krisy]

ดีแล้วแหละน้อง vol พี่ดีใจแทนพ่อแม่ของน้องด้วยนะ

[holidaytours]

แรก ๆ ที่ผมลงทุนนะคับ
ถือเงินสดแล้วหงุดหงิด
เพราะรู้สึกว่ามันเสียประโยชน์

แล้วเป็นงัยครับ
ยังงัยก็ต้องซื้อหุ้น
แล้วเก็เจ๊ง

เลยกลับมาทบทวนใหม่
คิดว่าการทำอะไรโดย
ไม่คิดให้รอบคอบก่อน
มันจะสร้างความเสียหายได้มากกว่าครับ
บางครั้งการอยู่เฉย ๆ
แล้ววางแผน คิด ทบทาน
เพื่อที่จะลงมือทำ ก็เป็นสิ่งสำคัญครับ
:lol:

[ซากคน]

#1  เงินสด & MMF                       71 %  
#2  กองทุนหุ้นต่างประเทศ            19 %
#3  กองทันอสังหา                         8 %  
#4  พันธบัตรรัฐบาล                       2 %

เขียนให้ตัวเองอ่านเล่น  :8)