น้ำค้างหยดเดียว

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 1

โพสต์

มีโอกาสอ่านบทสัมภาษณ์ของรงค์ วงษ์สวรรค์
นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่วายชนม์ไปแล้วในนิตยสาร สารคดี ฉบับล่าสุด
เลยถือโอกาสทบทวนหนังสือที่เคยผ่านมือจากปลายปากกาเจ้าของสำนวนสวิงสวายของท่านผู้นี้

ร้อยเล่ม พันเรื่องราวสารพัด
ใต้ถุนป่าคอนกรีต/ สนิมสร้อย/ น้ำตาสองเม็ด/
บนหลังหมาแดดสีทอง/ เสเพลบอยชาวไร่/บางลำภูสแควร์/
หอมดอกประดวน/ น้ำค้างเปื้อนแดด/ หลงกลิ่นกัญชา ฯลฯ
เห็นรายชื่อแล้วก็ต้องไปขวนขวายหามาอ่านอีก
ก่อนกาลเวลาจะลบเลือนชื่อและผลงานของมหาอินทรีแห่งบรรณพิภพท่านนี้
:lol:

และแล้วหลืบสมองส่วนความทรงจำข้างในสุดก็กระซิบแผ่วๆมาว่า
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มหาอินทรีรงค์ วงษ์สวรรค์ตั้งชื่อนางเอกได้พิศดารมาก
พูดปั๊ป จำได้ทันที
เธอชื่อ น้ำค้างหยดเดียว :shock:

ผู้หญิงอะไร(ฟะ)ชื่อ น้ำค้างหยดเดียว
ทุกคนที่ได้ยินต้องถามประโยคนี้
ก็ไม่รู้แหละนะ เป็นวิธีการตั้งชื่อตัวละครของลุงรงค์เขา
เพราะมั้ยล่ะ
จะยิ่งทึ่งถ้ารู้ว่า ชื่อนางเอกคนนี้
ได้มาเป็นชื่อไตเติ้ลหนังเรื่อง น้ำค้างหยดเดียว เมื่อหลายสิบปีก่อน
แน่นอน บทไดอะล็อคในเรื่องทุกครั้งที่เอ่ยชื่อเธอคนนี้ขึ้นมา
ก็หนีไม่พ้นจะต้องถูกถาม
น้ำค้างหยดเดียว
ชื่อคนเหรอวะ

อยากรู้เรื่องต่อมั้ยล่ะ เดี๋ยวค่อยๆมาลำดับเรื่องเล่า
ตอนหัวค่ำๆหน่อยน้า
เปิดพรีวิว แกะกล่องหนังดังในอดีตในฉบับกูรูขอบสนาม :wink:
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 2

โพสต์

:8) ป๋ารงค์นี่ผมอ่านหนังสือป๋าเขามาตั้งแต่ผมสิบขวบ
     รู้สึกว่าอ่านยาก สำนวน สวิงสวายเหลือเกิน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ก่อนจะเปิดม่านพรีวิวลิ้มรสหวานบริสุทธิ์ของ "น้ำค้างหยดเดียว"
เพื่อนๆน่าจะได้รับทราบถึงบรรยากาศแวดวงหนังไทยยุคนั้นเสียหน่อย
เพื่อให้เข้าถึงอรรถรส กระแสความเป็นไป
จากยุคประชาธิปไตยตายแล้วจนถึงประชาธิปตยครึ่งใบ
ไม่อยากบอกเลยว่าปีไหน เอาเป็นว่าระหว่างปี 2520 -2523 แล้วกัน

บรรยากาศบ้านเมืองยุคมืด...นิ่งเหมือนมีคลื่นใต้น้ำ
ภายหลังเหตุการณ์  6  ตุลาคม  2519
กิจกรรมทางการเมืองทุกอย่างอย่างล้วนถูกสต๊าฟแข็ง
นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งยุคแรกก็คือ นายธานินนทร์ กรัยวิเชียร
ซึ่งประกาศแผนปฏิรูปการเมืองไทยเป็นระยะเวลา 12 ปี ถึงจะเลือกตั้งใหม่
อุเหม่ ใครจะรอนานได้ถึงปานนั้น :evil:
เลยเกิดการปฏิวัติอีกครั้ง โดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่
แล้วเสนอให้ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแกงไก่บรั่นดี
เพราะท่านชอบทำกับข้าวยิ่งนัก  :lol:
(เอ..คล้ายนายกคนหนึ่งรุ่นหลังๆเหมือนกัน)
อย่างไรก็ตาม นายกเกรียงศักดิ์ถูกฤทธิ์พิษน้ำมันเล่นเข้า
ในที่สุดก็ต้องขอลาออกในสภา
(เป็นนายกรัฐมนตรีน้อยคนนักที่ประกาศลาออกในสภา แฟ้มบุคคลขอปรบมือให้)
หลังจากนั้นตำแหน่งนายกก็ตกเป็นของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่นานสุดในประวัติศาสตร์

จากนั้นเป็นต้นมา บรรยากาศการเมืองก็เริ่มผ่อนคลายตามลำดับ
กิจกรรมเสวนาวิสาสะก็ได้ปรากฏในกลุ่มผู้ที่ยังไม่สิ้นหวังกับประเทศชาติอยู่เนืองๆ :wink:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 4

โพสต์

มาทางหนังบ้าง หลังจากการวิพากษ์วิจารณ์สังคมถูกปิดกั้นด้วยกฏอัยการศึกในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม
ผู้สร้างหนังในแวดวงบันเทิงก็หันเหไปทำหนังตลก ผ่อนคลายเฮฮาเสีย
เช่น "วัยอลวน" ต้นกำเนิดพระเอกนางเอกคู่พระคู่นาง ตั้มกับโอ๋
แล้วก็ต่อด้วยภาคสองคือ"รักอุตลุด" จนจบด้วย"ชื่นชุลมุน"

ขณะเดียวกันเริ่มมีผู้สร้างหนังหน้าใหม่ๆเข้ามาแหย่ประเด็นปัญหาทาสังคม    
(แค่สังคมจริงๆ การเมืองยังแตะมากไม่ได้)
ประเด็นเหล่านี้มีอะไรบ้าง  ชนบทที่ยากไร้ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม
ความอยุติธรรมระหว่างชนชั้น
ซึ่งเป็นประเด็นอมตะที่หยิบมาพูดเมื่อไหร่ก็ได้เรื่อง
(หรือไม่ก็พูดแล้วก็นิ่ง...)

และแล้วภาพยนตร์ที่เขย่ามโนสำนึกของผู้คนโดยเฉพาะวงการการศึกษาก็ดังโพล๊ะ
เพราะเป็นเรื่องแรกที่สะท้อนให้เห็นถึงความแร้นแค้นของการศึกษาท้องถิ่น
นั่นก็คือ ครูบ้านนอกทำให้ปิยะ ตระกูลราษฎร์ พระเอกที่เล่นเป็นครูแจ้งเกิดทันที
(ตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหนเสียแล้ว)
แล้วหลังจากนั้น ภาพยนตร์ชุดครูทั้งหลายก็ติดตามมาเป็นกระพรวน
ไม่ว่าจะเป็น หนองหมาว้อ ครูวิบาก คนเดินสอน
แต่นั่นแหละ ไม่มีเรื่องไหนจะจดจำและสร้างปรากฏการณ์ได้เท่าเรื่องแรก
แม้แต่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชก็ยังเขียนชมในคอลัมน์ประจำของตนที่สยามรัฐ

จากความสำเร็จของ ครูบ้านนอก
มาถึงโชว์เฟอร์ขับแทกซี่ผู้มุ่งสู่เมืองกรุงด้วยความหวัง
ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดที่จะสร้างความตรึงตาประทับใจกูรู(และอีกหลายๆคน)ได้เท่าเรื่องนี้อีกแล้ว
ขอยกย่องว่าเป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีซของท่านมุ้ยเลยทีเดียว
นั่นก็คือ  ทองพูน โคกโพ  ราษฎรเต็มขั้น
เรื่องราวของโชว์เฟอร์แท๊กซี่ที่ตามหาล่ารถของตัวเองซึ่งถูกจี้ปล้นไป
ในที่สุดก็พบว่าเหลือเป็นแค่เศษเหล็กในอู่รอวันทำลายและขายทิ้ง
ก่อนหน้านั้น ภาพยนตร์เรื่องทองพูนได้รับรางวัลตุ๊กตาทองแทบทุกสาขา โดยที่ยังไม่ได้เข้าโรงฉาย
กูรูนึกในใจ บะ..หนังอะไร(ฟะ)เรื่อง(โคตร)เชยเลย
แต่พอดูจบ...อึ้งจริงๆ เดินมึนๆออกจากโรงพร้อมเสียงเพลงปิดท้าย
"ทองพูน โคกโพ คุณโง่แต่คุณเป็นคนซื่อ"
หนังสามารถถลกเรื่องราวของโชว์เฟอร์คนหนึ่งที่รัก
และหวงแหนความฝันของชีวิตคนบ้านนอก
โดยอาศัยแท๊กซี่เป็นพาหนะสร้างความหวังสู่อนาคตที่ดีกว่า
ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง  ท่านมุ้ยทำหนังชีวิตชนชั้นล่าง (รวมทั้งเรื่องอื่นๆด้วย)
ได้ดีกว่าหนังจักรๆวงศ์ๆมาก :lol:

ชีวิตบัดซบภาพยนตร์เรื่องหนักสมองจากเพิ่มพล เชยอรุณ หนุ่มผู้กำกับนักเรียนนอก
เรื่องราวของคนที่พยายามดำรงตนอยู่ในคุณธรรมความดี
แต่เมื่อถูกภัยสังคมคุกคามและข่มเหงบุคคลอันเป็นที่รัก
ก็หมดสิ้นความอดทน กระโจนเข้าสู้กับวังวนของความอัปยศ บัดซบนั้น
พระเอกคือ สรพงศ์ ชาตรี เล่นเป็นคุณครูผู้มีจิตใจอ่อนโยน
หากแข็งกร้าวกับเหล่าทุรชน
พลิกบทบาท เล่นเสีย"อิน" จนได้ตุ๊กตาทองไปเลย

"เทพธิดาบาร์ 21"อะฮั้นทำงานอยู่ที่บาร์ 21....
ผลงานกำกับเต็มตัวของน้าหง่าว ยุทธนา มุกดาสนิท
ดัดแปลงจากบทละครของฝรั่ง มาเป็นหนัง-ละครเพลงแบบไทยๆ
เรื่องราวของผู้หญิงบาร์ที่เห็นเหตุการณ์การฆาตกรรมของบุคคลผู้มีอิทธิพล
และถูกโยงไปให้เป็นพยานปากสำคัญเอ่ยปากปฏิเสธความจริงที่เห็น
พร้อมโยนความผิดให้กับคนที่ไร้ราก ปากเสียงและเงินตรา  :twisted:
อดีตคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ จันทรา ชัยนาม
เล่นเรื่องเดียวได้รางวัลตุ๊กตาทองไปเลย

แผลเก่าเป็นเรื่องเดียวที่หลุดออกจากแนวเรื่องสะท้อนสังคมสมัยนั้น
เพราะนำมาจากอมตะนิยายของไม้เมืองเดิม
พูดถึงความรักของหนุ่มสาวแทบทุ่งบางกะปิ ขวัญ-เรียม
ที่สาบานต่อหน้าเจ้าพ่อแห่งทุ่งบางกะปิ
ต่อให้ความตายเท่านั้นมาพรากจากกันได้
และทั้งคู่ก็จบชีวิตในห้วงน้ำนั้นเอง

เกริ่นนำพอให้เห็นภาพของภาพยนตร์ในยุคนั้นพอคร่าวๆ
จะเห็นว่าสิ่งที่คล้ายคลึงกันในการนำเสนอก็คือ
แนวทางสร้างสรรค์ศิลปะแบบ สัจจะนิยม ( Realism)
แผ่ชีวิตเล็กๆในมุมที่สังคมมองข้ามแล้วจุดประเด็นตั้งคำถามขึ้นมา
ถึงความเป็นไปและเป็นธรรมในสังคม
ตัวละครถึงจุดอับในตอนท้ายด้วยการกระทำของตัวเองหรือผู้อื่น :roll:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 5

โพสต์

"ทองพูน โคกโพ คุณโง่แต่คุณเป็นคนซื่อ"
ขอแก้เนื้อเพลง ตกไปหนึ่งคำ ความหมายผิดไปเยอะ

ทองพูน โคกโพ  คุณไม่โง่แต่คุณเป็นคนซื่อ
Mr. Boo
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 1841
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 6

โพสต์

กูรูขอบสนาม เขียน:
หลังจากนั้นตำแหน่งนายกก็ตกเป็นของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่อยู่นานสุดในประวัติศาสตร์

จากนั้นเป็นต้นมา บรรยากาศการเมืองก็เริ่มผ่อนคลายตามลำดับ
กิจกรรมเสวนาวิสาสะก็ได้ปรากฏในกลุ่มผู้ที่ยังไม่สิ้นหวังกับประเทศชาติอยู่เนืองๆ :wink:
ป๋าเปรมแกกระต่ายขาเดียว ไม่ยอมให้ สส. ในสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจแกเลย

เอ....อันนี้เหมือนใครเอ่ย...... :8)
Rabbit VS. Turtle
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 7

โพสต์

สวัสดีพี่ Boo
สงสัยกระทู้นี้ร่วมสมัยอยู่ไม่กี่คน :cry:

อ้าว..อย่างไรๆก็จะเล่าให้จบ
ไม่งั้นเหมือนทำอะไรครึ่งๆกลางๆ
เดี๋ยวเจ้าสำนัก ส่งใบเตือนไม่ให้กลับมาเขียนอีก :wink:
อะ...รู่นะ พี่ป้อมแอบอ่านอยู่

กูรูนั่งทบทวนไปมา  เออ..ลืมหนังอีกเรื่องที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของผู้สร้าง
"คนภูเขา" ของ วิจัตร คุณาวิฒิ
เป็นหนังกึ่งสารคดีว่าด้วยวิถีชีวิตของชาวเขา
ชี้ให้เห็นความแตกต่าง เหลื่อมล้ำของแต่ละชนเผ่า
มนตรี เจนอักษร แจ้งเกิดเป็นชาวเขาบนดอยสูง
จำประโยคชึ้นใช่ "อีก้อ บ่ใช่คนหรือวะ"

จากเรื่องนี้ เปลี่ยนวิถีการทำหนังของคุณาวุฒิไปเลย
เพราะแต่ก่อนถนัดทำหนังดราม่าชีวิตครอบครัว
ประเภท "น้ำเซาะทราย" "เมียหลวง"

หลังจากประสบคามสำเร็จได้แต่กล่องจาก"คนภูเขา"
เรื่องต่อมาที่สร้างชื่อมหาศาลคือ "ลูกอีสาน"
จากบทประพันธ์กับคำพูน บุญทวี
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เล่าบรรยากาศการดูหนัง ฟังเพลงในยุคนั้น กอปรกับสภาพสังคมที่เปิดกว้างขึ้นพร้อมให้หยิกยกประเด็นมาถกเถียง

แล้วก็มาถึงเรื่องราวของภาพยนตร์ "น้ำค้างหยดเดียว"

ชื่อไตเติ้ลแสนเพราะนี้ มาจากตัวละครในหนังสือของลุงรงค์เรื่อง "สนิมกรุงเทพ"
ผู้สร้างและเขียนบทนำมาดัดแปลงแต่งเสริมใหม่
จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม

สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นการบุกเบิกก็ว่าได้ก็คือ
ทีมงานสร้างภาพยตร์ตั้งแต่ผู้กำกับ ตากล้อง ผู้กำกับศิลป์
ล้วนมาจากแวดวงโฆษณาทั้งสิ้น
เริ่มตั้งคุณสุชาติ วุฒิชัย ครีเอตีฟคนดังแห่งค่ายหนังเอเพ็กซ์
เรามักจะได้เสียงเสียงโฆษณาแหบเสน่ห์ของน้าอยู่เสนอ เวลาโฆษณาหนังในเครือแล้วมักจะลงท้ายว่า เอเพ็กซซซซซ

ตากล้องของทีมคือคุณชูชาติ โตประทีป จากโปรดักชั่นเฮ้าส์ชื่อดังแห่งยุค

ตัวแสดงหลักๆทุกตัวเป็นคนในวงการโฆษณาทั้งสิ้น
ทั้งที่ขอร้อง แกมข่มขู่ คงไม่ได้ค่าตัวเท่าไหร่นักหรอก
บางคนโผล่หน้าออกมาพูดแค่ประโยคเดียว
"น้ำค้างหยดเดียว ชื่อคนหรือวะ"


ฉะนั้นไม่น่าฉงนถ้าหากเห็นตัวเนื้อหนังผ่านมุมกล้องแปลกๆ
แทบทุกช้อตล้วนมีความหมายให้คนคิดถาม
เพราะหนังโฆษณาจะอิงคอนเซปท์แบบเดียวกันนี้

เนื้อเรื่องของน้ำค้างหยดเดียว เป็นอย่างไรล่ะหรือ
มาฟังกันต่อไป

กรุงเทพเป็นทั้งพระเอกและผู้ร้าย....
นี่คือบทเกริ่นนำของภาพยนตร์เบิ่งตาของคนดูไปกับไวด์ช้อต เห็นมุมต่างๆของมหานคร
แล้วค่อยนำสายตาไปสู่ครอบครัวชาวแฟลตแห่งหนึ่งอันเป็นแหล่งพำนักอาศัยของนางเอก
ที่ทำงานปากกัดตีนถีบ ตัวเป็นเกลียวหาเลี้ยงปากท้องของ
สมาชิกอีก 2 คน
สามีผู้พิการ นั่งรถเข็นทั้งวัน และลูกชายวัยเรียนที่มีโรคประจำตัว

แน่นอน ความแร้นแค้นของการดำรงชีวิตแบบคนชั้นกลางระดับล่างที่หาเงินมาเท่าไหร่ก็ไม่พอจ่าย
ไหนจะค่าใช้จ่ายประจำวันในเมืองหลวง
ไหนจะค่าหยูกค่ายารักษาโรคของสามีและลูกชาย

ทำให้นางเอกต้องหาอาชีพพิเศษ
เปลี่ยนชื่อแซ่ให้ไพเราะเพราะพริ้ง จดจำง่ายและชวนฉงน
เป็น "น้ำค้างหยดเดียว"
ยอมขายบริการให้กับหมอเพื่อแลกกับการรักษาพยาบาลลูกน้อยฟรี

เมื่อสามีรู้เรื่องเข้าก็โกรธเป็นนักหนา
มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เข้าใจผิด คลางแคลนใจ
จนสามีต้องทำอัตวิบากกรรม โดดตึกตาย
ส่วนลูกชายก็เสียชีวิตต่อมา

"น้ำค้างหยดเดียว" สูญเสียความใสซื่อความบริสุทธิ์
เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เดินหลอกหลอนอยู่ข้างหน้า
เมื่อแดดแผดจ้า น้ำค้างก็ระเหิดหาย :?
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 9

โพสต์

หนังบรรจงสร้างอย่างพิถีพิถันด้วยบท และฉาก
ตัวแสดงคัดใหม่หมด ฝึก ซ้อม และสวมบทบาทเต็มวิญญาณ

ความมหัศจรรย์ของมุมกล้อง ขึ้นชื่อว่าเลิศเลอทีเดียว

ยังจำได้ดีถึงมุมกล้องที่ไต่เลื้อยลึกเข้าไปถึงความรู้สึกข้างในตัวละคร
แค่ฉากบันไดวนที่สื่อถึงความสับสนในจิตใจนางเอก
กล้องก็ถ่ายย้อนเกลียวบันไดลงมา
จนคนดูเองก็เกิดอาการวิงเวียน
หรือฉากโคลสอัปมากๆขณะตัวละครมีกิจกรรมทางเพศ
ก็โคลสเสียจนเห็นผิวละเอียดจนอึดอัด
สะท้อนให้เข้าใจถึงความกลัดกลุ้มของตัวละครที่หาทางออกไม่เจอ

ฉากสุดท้าย นางเอกของเรา น้ำค้างหยดเดียว
หลังจากสูญเสียทุกอย่างในชีวิต
เดินทอดน่องไปบนถนนสายหนึ่ง (น่าจะเป็นราชดำเนิน)
เจอเด็กขายดอกกุหลาบยื่นดอกไม้ให้
เธอรับไว้
แล้วก็จบ

หนังลงโรงได้หนึ่งอาทิตย์ ก็จบเช่นกัน
รอบที่กูรูไปดูมีเพียงสิบคน ดูไป ย้ายเก้าอี้นั่งได้ตามใจชอบ

หนังได้รับรางวัลมากมาย แต่ขาดทุนมหาศาล
คุณสุชาติ หรือน้าชาติ เข็ดจนตายกับการทำหนังโรง
และไม่มีความคิดอยากจะทำอีกเลยนับแต่นั้น

ทุกวันนี้ เจอหน้ากัน อย่าเอ่ยปากถามเรื่อง น้ำค้างหยดเดียว เชียวล่ะ
หน้าเขียวเลย
:twisted:
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 10

โพสต์

:D  :D  :D
ชอบครับ พี่
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 11

โพสต์

สวัสดีคุณน้อง San
สบายดีมั้ยเอ่ย

ความจริง กระทู้ยังมีเรื่องเล่าต่ออีกนิด
แต่เห็นไม่ค่อยมีใครแจมก็เลยหยุดๆไป
อาจจะเป็นความสนใจร่วมสมัยเฉพาะกลุ่ม(กูรูคนเดียว)
เพื่อนๆคนอ่านที่เหลือ(ยังแบเบาะอยู่หรือเป็นเพียงวุ้น)
ก็เกาหัวไม่รู้จะแจมอย่างไร
งั้นลงต่อใหจบเรียบร้อยไปเลยดีกว่า :wink:


อย่างไรก็ตาม "น้ำค้างหยดเดียว"
ได้สร้างปรากฏการณ์หลายๆอย่างให้กับวงการภาพยนตร์ไทย

หนึ่ง  การใช้ "ทีสเซอร์" ฉายสไลด์ภาพนางเอกพร้อมตัวหนังสือขึ้นชื่อหนัง "น้ำค้างหยดเดียว"
แทรกสลับระหว่างรายการโทรทัศน์เป็นเวลา 1 วินาที
ทำถี่มาก จนทำให้เกิด Talk of The Town
ผู้ดูฉงนสนเท่ห์ว่าคืออะไร :roll:

ปรากฏการณ์ที่สองก็คือ
การก่อกำเนิดคลื่นอพยพถ่ายเทระหว่างคนทำหนังโรงกับคนทำหนังโฆษณา
แต่ไหนแต่ไรมาคนทั้งสองประเภทจะปักหลักในพื้นที่ทำงานเป็นเอกเทศ
ไม่เคยมีใครก้าวข้ามเขตแดนกัน
ด้วยศิลปะการเล่าเรื่องและถ่ายทอดที่ไม่เหมือนกัน
แต่สัจจะธรรมที่เห็นจะจะก็คือ คนทำหนังโฆษณารวย..ลูกเดียว
เพราะเป็นการทำเชิงพาณิชย์ มีคนจ้างแน่นอน (ยกเว้นถูกชักดาบ แต่น้อยมาก)
ส่วนคนทำหนังโรง อาศัยใจรัก อารมณ์ติสท์เต็มที่
มีสิทธิ์รวยเป็นล้านหากถูกใจตลาด
และจน...เป็นยาจกพริบตาหากหนังไม่สยบใจผองชน

คุณสุชาติ วุฒิชัย เป็นตัวจริง เสียงจริงที่ยืนยงมานานในวงการโฆษณา
พลิกบทบาทเป็นคนทำหนังโรง ก็เห็นสัจจะธรรมนี้ด้วย
ทว่า ความล้มเหลวของคนๆหนึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลายคนได้
ไม่กี่ปีไล่หลังจากนั้น ก็เริ่มมีคนในวงการโฆษณารุกเข้าไปทำหนังบ้าง
ได้เงินบ้าง ได้กล่องบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะทำเนื่องจากสนองอารมณ์ติสท์
หมดเงินก็ไปทำหนังโฆษณาใหม่ ได้เงินมาอีกก้อน..สบายใจ
อาศัยบทเรียนและความเข้าใจตลาดหนังไทยในอดีต
ก็เลยมีผู้กำกับหน้าใหม่ๆในวงการ โด่งดังมาถึงทุกวันนี้
คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ ล้วนเป็นผู้กำกับหน้า(แก่)ใหม่ ไฟ(ยัง)แรงอยู่
สร้างหนังให้ตลาดไทยไม่ได้รึ ก็สร้างไปฉายประกวดเมืองนอกเสีย
คือทางระบายออกอีกวิถีหนึ่ง :D

ปรากฏการณ์ที่สาม  อันนี้ไม่แน่ใจจะเรียกเต็มปากว่าปรากฏการณ์หรือเปล่า
นั่นก็คือ  หนังปัญญาชน ดาราต้องตลาด :shock:
บทเรียนราคาแพงที่เป็นตัวอย่างสำหรับคนสร้างหนังยุคต่อมา
หากจะสร้างหนังให้อยู่รอดได้ในเชิงพาณิชย์ (ไม่เจ็ง)
และสนองอารมณ์ติสท์ของผู้กำกับได้
ต่อให้หนังสะท้อนปัญหาลึกล้ำ ซ่อนเงื่อน ประชดประชัน ถลก ตีแผ่
กรีด กระชาก กระซวก  หรือ..(คำแถวๆนี้ นึกไม่ออกแล้วจ้า)
ตัวละครที่นำแสดงจะต้อง(ติด)ตลาด
เพราะตลาดหนังทั่วไปโดยเฉพาะในต่างจังหวัดจะขายนักแสดงเป็นหลัก
แค่บอกสายหนังว่า คนนี้ คนนั้นเป็นนางเอก พระเอก
ก็สามารถเป่าประกาศแห่แหนได้แล้ว :lol:

ใน"น้ำค้างหยดเดียว" ตัวแสดงใหม่หมดจด ไม่มีใครรู้จักเลย
ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ผู้กำกับที่ไม่ให้คนดู
มีภาพติดกับลักษณะพระเอก นางเอกจากเรื่องเดิมๆ
แต่ผลก็เป็นไปอย่างที่เห็นๆ ไปแล้ว ไปเลย ไม่กลับมารับ
ฉะนั้นจึงเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผู้สร้างหนัง
จะฉีกแหวกแปลกแนวแค่ไหน  ตัวละครต้องใช้ดารานำที่รู้จัก
ซึ่งข้อนี้  ท่านมุ้ย ทำได้ดีมาก
เพราะท่านใช้พระเอกตลอดกาลของท่าน (สรพงศ์ ชาตรี)
ในแทบทุกเรื่องต่อๆมา ตั้งแต่ ทองพูน โคกโพ ภาค ๒ / มือปืน/ สาละวิน/คนเลี้ยงช้าง/

รวมไปถึงหนังของผู้กำกับคนอื่นๆที่ใช้พระเอกตลาดกาลคนนี้เล่น
ชีวิตบัดซบ สัตว์มนุษย์  ไผ่แดง  
ได้ทั้งเงิน(แม้ไม่มากก็ไม่ขาดทุนหรือขาดทุนน้อยหน่อย)
ได้ทั้งกล่อง (ในและต่างประเทศ)

ปรากฏการณ์สุดท้าย
โรงภาพยนตร์สามย่านรามา
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้และอีกหลายๆเรื่องถัดมา
ก็เกิดอาการล้มหายตายจากไป
กลายเป็นภัตตาคาร สามย่าน ภัตตาคารโต๊ะจีน ขึ้นชื่อเรื่องเลี้ยงโต๊ะแชร์
ไม่ทราบปัจจุบันยังอยู่หรือเปล่า

จบปรากฏการณ์น้ำต้างหยดเดียวแต่เพียงเท่านี้
ขอได้รับความขอบคุณจากกูรูขอบสนามฟิลม์จำกัด
สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง

ปิดม่าน

อ้อ..เอายัยผู้หญิงอ้วนมาร้องเพลงตอนจบด้วยจ้า
แอ่น แอ๊น  :wink:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 12

โพสต์

สำหรับคนที่ชอบดูหนังไทยในอดีต
ตอนนี้ช่องTBS ( เรียกถูกมั้ยหว่า คือช่องไอทีวีเดิม)
เอาหนังไทยเก่าๆมาฉายในโปรแกรมหนังไทยแกะกล่อง
ทุกคืนวันเสาร์ สี่ทุ่ม
ล้วนเป็นหนังรางวัลตุ๊กตาทองในอดีต

ก็รอดู "น้ำค้างหยดเดียว" ได้ที่ช่องนี้แล้วกัน
ไม่รู้จะฉายเมื่อไหร่ :wink:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ของแถม
พูดถึงรายชื่อหนังต่างๆ
ลองดูว่ามีคนเก็บโปสเตอร์หนังสะสมไว้หริอเปล่า
เผื่อให้เพื่อนๆได้แจกแจงจินตนาการหนังสมัยเก่าๆ
เจอบ้างบางเรื่อง เดี๋ยวโพสลงให้ดู

รูปภาพ

ครูบ้านนอก หนังครูที่เป็นปรากฏการณ์ให้วงการศึกษาสมัยนั้น
ตื่นตัวเรื่องปฏิรูปการเรียน  แล้วก็หายเงียบต่อมา(ตามเคย)
แต่กลับทำให้เพลงที่เกี่ยวกับครูฟื้นขึ้นมาอีก
"แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย
คือแม่พิมพ์อันนน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยทั่วแคว้นแหลมทอง"
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 14

โพสต์

รูปภาพ

ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น
หนังคนจนของท่านมุ้ยที่สร้างพระเอกคนใหม่คือจตุพล ภูอภิรมย์
เสียดายอายุสั้นไปหน่อย :oops:
เป็นหนังที่สมบูรณ์ทุกอย่าง
ยกเว้นพระเอกหล่อเกินไปนิดหนึ่ง
สำหรับโชว์เฟอร์แท๊กซี่ที่มาจากอีสาน :wink:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 15

โพสต์

รูปภาพ

หนังของผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรงขณะนั้น เพิ่มพล เชยอรุณ (เสียชีวิตแล้ว)
ที่ชอบทำหนังเซอร์ด้วย
มีเรื่องหนึ่งที่ทั้งเซอร์ทั้งนัว และเจ๊งตามระเบียบก็คือ
"เมืองในหมอก" :roll:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 16

โพสต์

รูปภาพ

เอาผลงานของน้าหง่าว ยุทธนา มุกดาสนิทมาลงบ้าง
น้าหว่าวเป็นปรากฏการณ์อีกคนที่มาจากคนทำละครแล้วมาทำหนังโรง
เรื่องที่โด่งดังต่อมาของน้าก็คือ "น้ำพุ" :wink:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 17

โพสต์

รูปภาพ


เรื่องราวของชนกลุ่มน้อยในบ้านเราที่ถูกนำมาเป็นพระเอกเต็มตัว
ไม่ใช่ตัวประกอบหรือผู้ร้าย
จากหนังเรื่องนี้ ทำให้วิจิตร คุณาวุฒิ
เริ่มหันเหทำหนังที่เน้นคุณค่าของเพื่อนมนุษย์มากขึ้น
แทนที่จะเป็นหนังครอบครัวผัวเมีย ตบตีกันเหมือนก่อน(ที่ได้เงินด้วย) :wink:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

น้ำค้างหยดเดียว

โพสต์ที่ 18

โพสต์

เพิ่งดูรายงานข่าวจากช่อง TBS
จะมีโปรแกรม หนังกลางเมือง ตอนห้าทุ่มคืนวันอาทิตย์
มีเรื่องราวของหนังร่วมสมัย(นั้น)มาฉายด้วย
และหนึ่งในเรื่องนี้ก็คือ

รูปภาพ

หนังไทยที่ไม่มีวันฉายในโรง
แต่ได้ดูตามงานอีเว้นท์กิจกรรมต่างๆ
สมัยนี้ต้องเรียกว่า อินดี้ ซินะ
อยากรู้เรื่องราวของ ทองปาน ก็ติดตามกันได้
แวบ แวบ เห็นอ้ายก้านยาวสมัย 14 ตุลาคม แกว่งไม้หราด้วยอะ :wink:
โพสต์โพสต์