อาทิตย์ พ.ค. 24, 2009 7:59 am | 0 คอมเมนต์
สวัสดีคุณน้อง San
สบายดีมั้ยเอ่ย
ความจริง กระทู้ยังมีเรื่องเล่าต่ออีกนิด
แต่เห็นไม่ค่อยมีใครแจมก็เลยหยุดๆไป
อาจจะเป็นความสนใจร่วมสมัยเฉพาะกลุ่ม(กูรูคนเดียว)
เพื่อนๆคนอ่านที่เหลือ(ยังแบเบาะอยู่หรือเป็นเพียงวุ้น)
ก็เกาหัวไม่รู้จะแจมอย่างไร
งั้นลงต่อใหจบเรียบร้อยไปเลยดีกว่า
อย่างไรก็ตาม "น้ำค้างหยดเดียว"
ได้สร้างปรากฏการณ์หลายๆอย่างให้กับวงการภาพยนตร์ไทย
หนึ่ง การใช้ "ทีสเซอร์" ฉายสไลด์ภาพนางเอกพร้อมตัวหนังสือขึ้นชื่อหนัง "น้ำค้างหยดเดียว"
แทรกสลับระหว่างรายการโทรทัศน์เป็นเวลา 1 วินาที
ทำถี่มาก จนทำให้เกิด Talk of The Town
ผู้ดูฉงนสนเท่ห์ว่าคืออะไร
ปรากฏการณ์ที่สองก็คือ
การก่อกำเนิดคลื่นอพยพถ่ายเทระหว่างคนทำหนังโรงกับคนทำหนังโฆษณา
แต่ไหนแต่ไรมาคนทั้งสองประเภทจะปักหลักในพื้นที่ทำงานเป็นเอกเทศ
ไม่เคยมีใครก้าวข้ามเขตแดนกัน
ด้วยศิลปะการเล่าเรื่องและถ่ายทอดที่ไม่เหมือนกัน
แต่สัจจะธรรมที่เห็นจะจะก็คือ คนทำหนังโฆษณารวย..ลูกเดียว
เพราะเป็นการทำเชิงพาณิชย์ มีคนจ้างแน่นอน (ยกเว้นถูกชักดาบ แต่น้อยมาก)
ส่วนคนทำหนังโรง อาศัยใจรัก อารมณ์ติสท์เต็มที่
มีสิทธิ์รวยเป็นล้านหากถูกใจตลาด
และจน...เป็นยาจกพริบตาหากหนังไม่สยบใจผองชน
คุณสุชาติ วุฒิชัย เป็นตัวจริง เสียงจริงที่ยืนยงมานานในวงการโฆษณา
พลิกบทบาทเป็นคนทำหนังโรง ก็เห็นสัจจะธรรมนี้ด้วย
ทว่า ความล้มเหลวของคนๆหนึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของอีกหลายคนได้
ไม่กี่ปีไล่หลังจากนั้น ก็เริ่มมีคนในวงการโฆษณารุกเข้าไปทำหนังบ้าง
ได้เงินบ้าง ได้กล่องบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะทำเนื่องจากสนองอารมณ์ติสท์
หมดเงินก็ไปทำหนังโฆษณาใหม่ ได้เงินมาอีกก้อน..สบายใจ
อาศัยบทเรียนและความเข้าใจตลาดหนังไทยในอดีต
ก็เลยมีผู้กำกับหน้าใหม่ๆในวงการ โด่งดังมาถึงทุกวันนี้
คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ ล้วนเป็นผู้กำกับหน้า(แก่)ใหม่ ไฟ(ยัง)แรงอยู่
สร้างหนังให้ตลาดไทยไม่ได้รึ ก็สร้างไปฉายประกวดเมืองนอกเสีย
คือทางระบายออกอีกวิถีหนึ่ง
ปรากฏการณ์ที่สาม อันนี้ไม่แน่ใจจะเรียกเต็มปากว่าปรากฏการณ์หรือเปล่า
นั่นก็คือ หนังปัญญาชน ดาราต้องตลาด
บทเรียนราคาแพงที่เป็นตัวอย่างสำหรับคนสร้างหนังยุคต่อมา
หากจะสร้างหนังให้อยู่รอดได้ในเชิงพาณิชย์ (ไม่เจ็ง)
และสนองอารมณ์ติสท์ของผู้กำกับได้
ต่อให้หนังสะท้อนปัญหาลึกล้ำ ซ่อนเงื่อน ประชดประชัน ถลก ตีแผ่
กรีด กระชาก กระซวก หรือ..(คำแถวๆนี้ นึกไม่ออกแล้วจ้า)
ตัวละครที่นำแสดงจะต้อง(ติด)ตลาด
เพราะตลาดหนังทั่วไปโดยเฉพาะในต่างจังหวัดจะขายนักแสดงเป็นหลัก
แค่บอกสายหนังว่า คนนี้ คนนั้นเป็นนางเอก พระเอก
ก็สามารถเป่าประกาศแห่แหนได้แล้ว :lol:
ใน"น้ำค้างหยดเดียว" ตัวแสดงใหม่หมดจด ไม่มีใครรู้จักเลย
ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ผู้กำกับที่ไม่ให้คนดู
มีภาพติดกับลักษณะพระเอก นางเอกจากเรื่องเดิมๆ
แต่ผลก็เป็นไปอย่างที่เห็นๆ ไปแล้ว ไปเลย ไม่กลับมารับ
ฉะนั้นจึงเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับผู้สร้างหนัง
จะฉีกแหวกแปลกแนวแค่ไหน ตัวละครต้องใช้ดารานำที่รู้จัก
ซึ่งข้อนี้ ท่านมุ้ย ทำได้ดีมาก
เพราะท่านใช้พระเอกตลอดกาลของท่าน (สรพงศ์ ชาตรี)
ในแทบทุกเรื่องต่อๆมา ตั้งแต่ ทองพูน โคกโพ ภาค ๒ / มือปืน/ สาละวิน/คนเลี้ยงช้าง/
รวมไปถึงหนังของผู้กำกับคนอื่นๆที่ใช้พระเอกตลาดกาลคนนี้เล่น
ชีวิตบัดซบ สัตว์มนุษย์ ไผ่แดง
ได้ทั้งเงิน(แม้ไม่มากก็ไม่ขาดทุนหรือขาดทุนน้อยหน่อย)
ได้ทั้งกล่อง (ในและต่างประเทศ)
ปรากฏการณ์สุดท้าย
โรงภาพยนตร์สามย่านรามา
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้และอีกหลายๆเรื่องถัดมา
ก็เกิดอาการล้มหายตายจากไป
กลายเป็นภัตตาคาร สามย่าน ภัตตาคารโต๊ะจีน ขึ้นชื่อเรื่องเลี้ยงโต๊ะแชร์
ไม่ทราบปัจจุบันยังอยู่หรือเปล่า
จบปรากฏการณ์น้ำต้างหยดเดียวแต่เพียงเท่านี้
ขอได้รับความขอบคุณจากกูรูขอบสนามฟิลม์จำกัด
สวัสดี พ่อแม่พี่น้อง
ปิดม่าน
อ้อ..เอายัยผู้หญิงอ้วนมาร้องเพลงตอนจบด้วยจ้า
แอ่น แอ๊น