โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 1
โพชฌงค์ 7
ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้
คำถาม
..... ดิฉันต้องการทราบความหมายของคำว่า " โพชฌงค์ 7 " คืออะไร มีความหมายว่าอย่างไร และยกตัวอย่าวอธิบายประกอบเพื่อให้เข้าใจถึงความหมายให้ดียิ่งขึ้น ต้องการคำตอบด่วนมาก
จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง
ตอบ
โพชฌงค์ ๗ จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ให้ความหมายไว้ดังนี้ :
โพชฌงค์ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือองค์ของผู้ตรัสรู้มี ๗ อย่างคือ ๑. สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) ๓. วิริยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา
อธิบายเพิ่มเติม
โพชฌงค์ คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้การตรัสรู้ หรือโพธิจิต หรือการบรรลุธรรมเกิดขึ้นได้ มี 7 อย่าง คือ
๑. สติ - ความระลึกได้
๒. ธัมมวิจยะ - การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม การวิจัยธรรม ซึ่งเป็นตัวปัญญานั่นเอง
๓. วิริยะ - ความพากเพียร
๔. ปีติ - ความอิ่มใจ, ความดื่มด่ำในใจ มี ๕ ชนิด คือ
๑. ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อยพอขนชันน้ำตาไหล
๒. ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ รู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ
๓. โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอก รู้สึกซู่ลงมาๆ ดุจคลื่นซัดฝั่ง
๔. อุพเพคาปีติ ปีติโลดลอย ให้ใจฟูตัวเบา หรืออุทานออกมา
๕. ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ เป็นของประกอบกับสมาธิ
(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
๕. ปัสสัทธิ - ความสงบกายสงบใจ, ความสงบใจและอารมณ์, ความสงบเย็น, ความผ่อนคลายกายใจ (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
๖. สมาธิ - ความตั้งใจมั่น ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ
๗. อุเบกขา - ความที่จิตมีความสงบระงับเป็นอย่างยิ่ง ไม่กระเพื่อมไหวไปตามสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ รัก ชัง กล้า กลัว ยินดี ยินร้าย ฯลฯ ซึ่งจะเป็นจิตที่มีความประณีต ละเอียดอ่อน ปลอดโปร่ง เบาสบาย เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อธรรมทั้ง 7 อย่างนี้เกิดขึ้น จิตจะมีทั้งกำลัง (จากวิริยะ และสมาธิ) ความเฉลียวฉลาด (จากธัมมวิจยะ) ความเบาสบาย (จากปีติ ปัสสัทธิ และอุเบกขา) ความเป็นกลาง ไม่ลำเอียง (จากอุเบกขา) โดยมีสติและปัญญา (ธัมมวิจยะ) เป็นเครื่องนำทาง จึงเป็นฐานที่สำคัญของการบรรลุธรรม ซึ่งแน่นอนว่าจิตที่มีสภาพเช่นนี้ เมื่อจะน้อมไปเพื่อทำประโยชน์สิ่งใด ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกลเลย
ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้
คำถาม
..... ดิฉันต้องการทราบความหมายของคำว่า " โพชฌงค์ 7 " คืออะไร มีความหมายว่าอย่างไร และยกตัวอย่าวอธิบายประกอบเพื่อให้เข้าใจถึงความหมายให้ดียิ่งขึ้น ต้องการคำตอบด่วนมาก
จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง
ตอบ
โพชฌงค์ ๗ จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ให้ความหมายไว้ดังนี้ :
โพชฌงค์ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือองค์ของผู้ตรัสรู้มี ๗ อย่างคือ ๑. สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) ๓. วิริยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา
อธิบายเพิ่มเติม
โพชฌงค์ คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ทำให้การตรัสรู้ หรือโพธิจิต หรือการบรรลุธรรมเกิดขึ้นได้ มี 7 อย่าง คือ
๑. สติ - ความระลึกได้
๒. ธัมมวิจยะ - การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม การวิจัยธรรม ซึ่งเป็นตัวปัญญานั่นเอง
๓. วิริยะ - ความพากเพียร
๔. ปีติ - ความอิ่มใจ, ความดื่มด่ำในใจ มี ๕ ชนิด คือ
๑. ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อยพอขนชันน้ำตาไหล
๒. ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ รู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ
๓. โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอก รู้สึกซู่ลงมาๆ ดุจคลื่นซัดฝั่ง
๔. อุพเพคาปีติ ปีติโลดลอย ให้ใจฟูตัวเบา หรืออุทานออกมา
๕. ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ เป็นของประกอบกับสมาธิ
(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
๕. ปัสสัทธิ - ความสงบกายสงบใจ, ความสงบใจและอารมณ์, ความสงบเย็น, ความผ่อนคลายกายใจ (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
๖. สมาธิ - ความตั้งใจมั่น ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ
๗. อุเบกขา - ความที่จิตมีความสงบระงับเป็นอย่างยิ่ง ไม่กระเพื่อมไหวไปตามสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ รัก ชัง กล้า กลัว ยินดี ยินร้าย ฯลฯ ซึ่งจะเป็นจิตที่มีความประณีต ละเอียดอ่อน ปลอดโปร่ง เบาสบาย เป็นอย่างยิ่ง
เมื่อธรรมทั้ง 7 อย่างนี้เกิดขึ้น จิตจะมีทั้งกำลัง (จากวิริยะ และสมาธิ) ความเฉลียวฉลาด (จากธัมมวิจยะ) ความเบาสบาย (จากปีติ ปัสสัทธิ และอุเบกขา) ความเป็นกลาง ไม่ลำเอียง (จากอุเบกขา) โดยมีสติและปัญญา (ธัมมวิจยะ) เป็นเครื่องนำทาง จึงเป็นฐานที่สำคัญของการบรรลุธรรม ซึ่งแน่นอนว่าจิตที่มีสภาพเช่นนี้ เมื่อจะน้อมไปเพื่อทำประโยชน์สิ่งใด ความสำเร็จย่อมอยู่ไม่ไกลเลย
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 2
ศีลเป็นฐานของอริยมรรค
พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค พลกรณียสูตรที่ ๒
อาศัยศีลเจริญอริยมรรคมีการกำจัดราคะ
[๒๖๖] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังอย่างใดอย่างหนึ่ง อันบุคคลทำอยู่ ทั้งหมดนั้น อันบุคคลอาศัยแผ่นดิน ดำรงอยู่บนแผ่นดิน จึงทำได้ การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังเหล่านี้ อันบุคคลย่อมกระทำได้ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโมหะเป็นที่สุด ฯลฯ
(ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ. . . สัมมาวาจา. . . สัมมากัมมันตะ. . . สัมมาอาชีวะ. . . สัมมาวายามะ . . . สัมมาสติ. . . - ธัมมโชติ)
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโมหะเป็นที่สุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
อธิบายเพิ่มเติม
มรรค 8 คือ หนทางสู่ความพ้นทุกข์อันชอบ ประกอบด้วย
1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เห็นว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ สภาวะเช่นใดคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ วิธีการใดคือทางปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
2. สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ คือ ดำริในการออกจากกาม ออกจากความพยาบาท ออกจากความเบียดเบียน
3. สัมมาวาจา - วาจาชอบ คือ งดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
4. สัมมากัมมันตะ - การงานชอบ หรือ ประพฤติชอบ (ทางกาย) คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
5. สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ คือ การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม
6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ คือ
1.) เพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
2.) เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3.) เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
4.) เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น มั่นคงต่อไป
7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ ตามระลึกรู้ความเป็นไปของกาย เวทนา จิต ธรรม
8. สัมมาสมาธิ - ตั้งใจมั่นชอบ ได้แก่ สมาธิในระดับต่างๆ อันเป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลส
พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย
มหาวารวรรค พลกรณียสูตรที่ ๒
อาศัยศีลเจริญอริยมรรคมีการกำจัดราคะ
[๒๖๖] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังอย่างใดอย่างหนึ่ง อันบุคคลทำอยู่ ทั้งหมดนั้น อันบุคคลอาศัยแผ่นดิน ดำรงอยู่บนแผ่นดิน จึงทำได้ การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังเหล่านี้ อันบุคคลย่อมกระทำได้ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโมหะเป็นที่สุด ฯลฯ
(ย่อมเจริญสัมมาสังกัปปะ. . . สัมมาวาจา. . . สัมมากัมมันตะ. . . สัมมาอาชีวะ. . . สัมมาวายามะ . . . สัมมาสติ. . . - ธัมมโชติ)
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโมหะเป็นที่สุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
อธิบายเพิ่มเติม
มรรค 8 คือ หนทางสู่ความพ้นทุกข์อันชอบ ประกอบด้วย
1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เห็นว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ สภาวะเช่นใดคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ วิธีการใดคือทางปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
2. สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ คือ ดำริในการออกจากกาม ออกจากความพยาบาท ออกจากความเบียดเบียน
3. สัมมาวาจา - วาจาชอบ คือ งดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
4. สัมมากัมมันตะ - การงานชอบ หรือ ประพฤติชอบ (ทางกาย) คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
5. สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ คือ การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม
6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ คือ
1.) เพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
2.) เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3.) เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
4.) เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น มั่นคงต่อไป
7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ ตามระลึกรู้ความเป็นไปของกาย เวทนา จิต ธรรม
8. สัมมาสมาธิ - ตั้งใจมั่นชอบ ได้แก่ สมาธิในระดับต่างๆ อันเป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลส
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 3
๓๔ การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
๏ ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก.
การทำให้แจ้งในพระนิพพาน
นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง
ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน
การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด
ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ
ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ ไว้เป็นแนวเครื่องระลึก ดังจะนำมา
เขียนไว้เพื่อเป็นเครื่องอุปกรณ์ในการระลึกดังต่อไปนี้
บาลีปรารภพระนิพพาน ๘
๑. มทนิมฺมทโน แปลว่า พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา มีความเมาในความเป็น
คนหนุ่ม และเมาในชีวิต โดยคิดว่าตนจะไม่ตายเป็นต้น ให้สิ้นไปจากอารมณ์ คือคิดเป็นปกติเสมอว่า
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ทั้งสิ้น มีความฉิบหายเป็นที่สุด
๒. ปิปาสวินโย แปลว่า พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย คือความใคร่กำหนัด
ยินดีในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และการถูกต้องสัมผัส
๓. อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า พระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕ หมายความ
ว่า ท่านที่เข้าถึงพระนิพพาน คือมีกิเลสสิ้นแล้ว ย่อมไม่ผูกพันในกามคุณ ๕ เห็นกามคุณ ๕ เสมือน
เห็นซากศพ
๔. วัฏฏปัจเฉโท แปลว่า พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม คือ กิเลสวัฏได้แก่ ตัดกิเลส
ได้สิ้นเชิง ไม่มีความมัวเมาในกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย กรรมวัฏ ตัดกรรม อันเป็นบาปอกุศล วิปากวัฏ
คือตัดผลกรรมที่เป็นอกุศลได้สิ้นเชิง
๕. ตัณหักขโย, วิราโค, นิโรโธ แปลว่า นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา ตัณหาไม่กำเริบอีก มีความหน่ายในตัณหา ไม่มีความพอใจในตัณหาอีก ดับตัณหาเสียได้สนิท
ตัณหาไม่กำเริบขึ้นอีกได้แม้แต่น้อย
๖. นิพพานัง แปลว่า ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔ นี้ ไม่มีโอกาสจะให้ผล แก่ท่านที่มีจิตเข้าถึงพระนิพพานแล้วได้อีก ตามข้อปรากฏว่ามีเพียง ๖ ข้อ ความจริงข้อที่ ๕ ท่านรวมไว้ ๓ อย่าง คือ ตัณหักขโย ๑ วิราโค ๑ นิโรโธ ๑ ข้อนี้รวมกันไว้เสีย ๓ ข้อแล้ว ทั้งหมดจึงเป็น ๘ ข้อพอดี ท่านลงในแบบว่า ๘ ก็เขียนว่า ๘ ตามท่าน ความจริงเมื่อท่านจะรวมกัน ท่านน่าจะเขียนว่า ๖ ข้อก็จะสิ้นเรื่อง เมื่อท่าน เขียนเป็นแบบมาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่าน
ท่านสอนให้ตั้งจิตกำหนดความดีของพระนิพพาน ตามในบาลีทั้ง ๘ แม้ข้อใด ข้อหนึ่งก็ได้ตามความพอใจ แต่ท่านก็แนะไว้ในที่เดียวกันว่า บริกรรมภาวนาว่า "นิพพานัง" นั่นแหละดีอย่างยิ่งภาวนาไป จนกว่าจิตจะเข้าสู่อุปจารฌาน โดยที่จิตระงับนิวรณ์ ๕ ได้สงบแล้ว เข้าถึงอุปจารฌานเป็นที่สุด กรรมฐานนี้ ที่ท่านกล่าวว่าได้ถึงที่สุด เพียงอุปจารฌานก็เพราะ เป็นกรรมฐานละเอียดสุขุม และใช้อารมณ์ใคร่ครวญเป็นปกติ กรรมฐานนี้จึงมีกำลังไม่ถึงฌาน
อานิสงส์
อานิสงส์ที่ใช้อารมณ์ใคร่ครวญถึงพระนิพพานนี้มีผลมาก เป็นปัจจัยให้ละอารมณ์ที่คลุกเคล้าด้วยอำนาจกิเลส และตัณหา เห็นโทษในวัฏฏะ เป็นปัจจัยให้แสวงหาทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นปฏิปทาไปสู่พระนิพพาน เป็นกรรมฐานที่นักปฏิบัติได้ผลเป็นกำไร เพราะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างสบาย ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจกรรมฐานกองนี้ให้มาก ๆ และแสวงหาแนวปฏิบัติ ที่เข้าตรงต่อพระนิพพานมาปฏิบัติ ท่านมีโอกาสจะเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างไม่ยากนัก เพราะระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์นี้ เป็นองค์หนึ่งในองค์สามของพระโสดาบัน ชื่อว่าท่านก้าวเข้าไปเป็นพระโสดาบันหนึ่งในสามขององค์พระโสดาบันแล้ว เหลืออีกสองต้องควรแสวงหาให้ครบถ้วน
พระนิพพานไม่สูญ
ท่านนักปฏิบัติได้กำหนดกรรมฐานในอุปสมานุสสตินี้แล้ว ท่านอาจจะต้องประสบกับปัญหายุ่งสมอง ในเรื่องพระนิพพานอีกตอนหนึ่ง เพราะบรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือหนังสือวิสุทธิ- มรรค ท่านกลับยืนยันว่า พระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง ๘ ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนา นั้น คือ มทนิมฺมทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต ปิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายใน กามคุณ ๕ อาลยสมุคฺฆาโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสาม
ให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่นิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจากกิเลส ตัณหา อุปาทานกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏสงสาร
๏ ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก.
การทำให้แจ้งในพระนิพพาน
นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง
ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน
การที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติธรรมและเจริญสมาธิภาวนาจนถึงขั้นสูงสุด
ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ
ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ ไว้เป็นแนวเครื่องระลึก ดังจะนำมา
เขียนไว้เพื่อเป็นเครื่องอุปกรณ์ในการระลึกดังต่อไปนี้
บาลีปรารภพระนิพพาน ๘
๑. มทนิมฺมทโน แปลว่า พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา มีความเมาในความเป็น
คนหนุ่ม และเมาในชีวิต โดยคิดว่าตนจะไม่ตายเป็นต้น ให้สิ้นไปจากอารมณ์ คือคิดเป็นปกติเสมอว่า
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ทั้งสิ้น มีความฉิบหายเป็นที่สุด
๒. ปิปาสวินโย แปลว่า พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย คือความใคร่กำหนัด
ยินดีในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และการถูกต้องสัมผัส
๓. อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่า พระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕ หมายความ
ว่า ท่านที่เข้าถึงพระนิพพาน คือมีกิเลสสิ้นแล้ว ย่อมไม่ผูกพันในกามคุณ ๕ เห็นกามคุณ ๕ เสมือน
เห็นซากศพ
๔. วัฏฏปัจเฉโท แปลว่า พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม คือ กิเลสวัฏได้แก่ ตัดกิเลส
ได้สิ้นเชิง ไม่มีความมัวเมาในกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย กรรมวัฏ ตัดกรรม อันเป็นบาปอกุศล วิปากวัฏ
คือตัดผลกรรมที่เป็นอกุศลได้สิ้นเชิง
๕. ตัณหักขโย, วิราโค, นิโรโธ แปลว่า นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา ตัณหาไม่กำเริบอีก มีความหน่ายในตัณหา ไม่มีความพอใจในตัณหาอีก ดับตัณหาเสียได้สนิท
ตัณหาไม่กำเริบขึ้นอีกได้แม้แต่น้อย
๖. นิพพานัง แปลว่า ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔ นี้ ไม่มีโอกาสจะให้ผล แก่ท่านที่มีจิตเข้าถึงพระนิพพานแล้วได้อีก ตามข้อปรากฏว่ามีเพียง ๖ ข้อ ความจริงข้อที่ ๕ ท่านรวมไว้ ๓ อย่าง คือ ตัณหักขโย ๑ วิราโค ๑ นิโรโธ ๑ ข้อนี้รวมกันไว้เสีย ๓ ข้อแล้ว ทั้งหมดจึงเป็น ๘ ข้อพอดี ท่านลงในแบบว่า ๘ ก็เขียนว่า ๘ ตามท่าน ความจริงเมื่อท่านจะรวมกัน ท่านน่าจะเขียนว่า ๖ ข้อก็จะสิ้นเรื่อง เมื่อท่าน เขียนเป็นแบบมาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่าน
ท่านสอนให้ตั้งจิตกำหนดความดีของพระนิพพาน ตามในบาลีทั้ง ๘ แม้ข้อใด ข้อหนึ่งก็ได้ตามความพอใจ แต่ท่านก็แนะไว้ในที่เดียวกันว่า บริกรรมภาวนาว่า "นิพพานัง" นั่นแหละดีอย่างยิ่งภาวนาไป จนกว่าจิตจะเข้าสู่อุปจารฌาน โดยที่จิตระงับนิวรณ์ ๕ ได้สงบแล้ว เข้าถึงอุปจารฌานเป็นที่สุด กรรมฐานนี้ ที่ท่านกล่าวว่าได้ถึงที่สุด เพียงอุปจารฌานก็เพราะ เป็นกรรมฐานละเอียดสุขุม และใช้อารมณ์ใคร่ครวญเป็นปกติ กรรมฐานนี้จึงมีกำลังไม่ถึงฌาน
อานิสงส์
อานิสงส์ที่ใช้อารมณ์ใคร่ครวญถึงพระนิพพานนี้มีผลมาก เป็นปัจจัยให้ละอารมณ์ที่คลุกเคล้าด้วยอำนาจกิเลส และตัณหา เห็นโทษในวัฏฏะ เป็นปัจจัยให้แสวงหาทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นปฏิปทาไปสู่พระนิพพาน เป็นกรรมฐานที่นักปฏิบัติได้ผลเป็นกำไร เพราะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างสบาย ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจกรรมฐานกองนี้ให้มาก ๆ และแสวงหาแนวปฏิบัติ ที่เข้าตรงต่อพระนิพพานมาปฏิบัติ ท่านมีโอกาสจะเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างไม่ยากนัก เพราะระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์นี้ เป็นองค์หนึ่งในองค์สามของพระโสดาบัน ชื่อว่าท่านก้าวเข้าไปเป็นพระโสดาบันหนึ่งในสามขององค์พระโสดาบันแล้ว เหลืออีกสองต้องควรแสวงหาให้ครบถ้วน
พระนิพพานไม่สูญ
ท่านนักปฏิบัติได้กำหนดกรรมฐานในอุปสมานุสสตินี้แล้ว ท่านอาจจะต้องประสบกับปัญหายุ่งสมอง ในเรื่องพระนิพพานอีกตอนหนึ่ง เพราะบรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือหนังสือวิสุทธิ- มรรค ท่านกลับยืนยันว่า พระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง ๘ ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนา นั้น คือ มทนิมฺมทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต ปิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายใน กามคุณ ๕ อาลยสมุคฺฆาโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสาม
ให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่นิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจากกิเลส ตัณหา อุปาทานกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏสงสาร
-
- Verified User
- โพสต์: 1211
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 4
หนทางที่จะพบโพชฌงค์ 7 กระทำได้ด้วยการเจริญอานาปานสติ
หากจำไม่ผิด มีทั้งหมด 18 ขั้น (ผู้รู้โปรดแก้ไขหากผิดพลาด)
ผมเองได้ฝึกเจริญอานาปานสติเช่นกัน
ขั้นที่ 1 ยังไม่ได้เรื่องใดๆเลย
(การเจริญอานาปานสติ คือการกำหนดรู้ลมหายใจออก-เข้า)
หากจำไม่ผิด มีทั้งหมด 18 ขั้น (ผู้รู้โปรดแก้ไขหากผิดพลาด)
ผมเองได้ฝึกเจริญอานาปานสติเช่นกัน
ขั้นที่ 1 ยังไม่ได้เรื่องใดๆเลย
(การเจริญอานาปานสติ คือการกำหนดรู้ลมหายใจออก-เข้า)
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 5
ศีลเป็นฐานของอริยมรรค
บันไดขั้นแรกคือศีล ถือไม่มั่น
บันไดขั้นถัดไปคือสมาธิจะดีได้อย่างไร
เบลครับ keyอยู่ที่ข้อความข้างบนครับขั้นที่ 1 ยังไม่ได้เรื่องใดๆเลย
(การเจริญอานาปานสติ คือการกำหนดรู้ลมหายใจออก-เข้า)
บันไดขั้นแรกคือศีล ถือไม่มั่น
บันไดขั้นถัดไปคือสมาธิจะดีได้อย่างไร
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 7

วันก่อนมีเพื่อนสนิทคนนึงที่สามารถแยกนามแยกรูปได้แล้ว
มาถามผมว่า
" ถ้าพี่นิพพานได้ พี่จะยอมนิพพานไหม "
ผมอึ้งกิมกี่ไปนานเลย คิดอยู่ซักพักตอบไปว่า
" คงไม่ล่ะครับ ผมชอบกิเลส ขออยู่กับมันไปก่อนดีกว่า"
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 10
ตรงไหนเขียนว่า ไม่สูญ ครับareliang เขียน: พระนิพพานไม่สูญ
ท่านนักปฏิบัติได้กำหนดกรรมฐานในอุปสมานุสสตินี้แล้ว ท่านอาจจะต้องประสบกับปัญหายุ่งสมอง ในเรื่องพระนิพพานอีกตอนหนึ่ง เพราะบรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือหนังสือวิสุทธิ- มรรค ท่านกลับยืนยันว่า พระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง ๘ ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนา นั้น คือ มทนิมฺมทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต ปิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายใน กามคุณ ๕ อาลยสมุคฺฆาโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสาม
ให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่นิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจากกิเลส ตัณหา อุปาทานกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏสงสาร
งง
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 11
จากที่อ่านใน quote ประกอบกับความรู้อันน้อยที่มี
หมายถึงว่า นิพพานก็มีหลายขั้นใช่ไหมครับ
และนิพพานขั้นสุดท้าย ที่เรียกว่า นิพพานัง ถึงจะเป็นการ สูญ จากการ เกิด-ตาย
เป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ
หมายถึงว่า นิพพานก็มีหลายขั้นใช่ไหมครับ
และนิพพานขั้นสุดท้าย ที่เรียกว่า นิพพานัง ถึงจะเป็นการ สูญ จากการ เกิด-ตาย
เป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 12
555
ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน
ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ
ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ
การระลึกถึงคุณพระนิพพาน
พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา
พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย
พระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕
พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม
นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา
ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔
ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) -อนุปาทิเสสนิพพาน
ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ
ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ
การระลึกถึงคุณพระนิพพาน
พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา
พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย
พระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕
พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม
นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา
ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 13
อ่านแล้วปวดกบาลครับ จริง ๆ นะ..
พอ ๆ กับไม่สามารถจับประเด็นของงบการเงินได้นี่แหละ
เริ่มต้นเราพูดกันเรื่องพื้นฐาน เผลอนิดเดียว กลายเป็นพูดที่ยอดดอยซะแล้ว พื้นฐานผมก็ยังไม่ค่อยจะมี ส่วนยอดดอยธรรม ไม่เคยขึ้น ฝันอยากจะไปให้ถึง แต่ได้แต่ฝัน..
ที่ยอดดอยบ่อย ๆ ก็หุ้นนี่แหละครับ ขึ้นง่ายเหลือเกิน
พอ ๆ กับไม่สามารถจับประเด็นของงบการเงินได้นี่แหละ
เริ่มต้นเราพูดกันเรื่องพื้นฐาน เผลอนิดเดียว กลายเป็นพูดที่ยอดดอยซะแล้ว พื้นฐานผมก็ยังไม่ค่อยจะมี ส่วนยอดดอยธรรม ไม่เคยขึ้น ฝันอยากจะไปให้ถึง แต่ได้แต่ฝัน..
ที่ยอดดอยบ่อย ๆ ก็หุ้นนี่แหละครับ ขึ้นง่ายเหลือเกิน
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 14
ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ
ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ ไว้เป็นแนวเครื่องระลึก ดังจะนำมา
เขียนไว้เพื่อเป็นเครื่องอุปกรณ์ในการระลึกดังต่อไปนี้
บาลีปรารภพระนิพพาน ๘
(ในความเห็นของผมนะครับ
บาลีแปลว่าภาษาบาลี
ปรารภแปลว่าพูดถึง
ข้อความข้างต้นการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ)
๑. มทนิมฺมทโน เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา มีความเมาในความเป็น
คนหนุ่ม และเมาในชีวิต โดยคิดว่าตนจะไม่ตายเป็นต้น ให้สิ้นไปจากอารมณ์ คือคิดเป็นปกติเสมอว่า
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ทั้งสิ้น มีความฉิบหายเป็นที่สุด
๒. ปิปาสวินโย เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย คือความใคร่กำหนัด
ยินดีในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และการถูกต้องสัมผัส
๓. อาลยสมุคฺฆาโต เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕ หมายความ
ว่า ท่านที่เข้าถึงพระนิพพาน คือมีกิเลสสิ้นแล้ว ย่อมไม่ผูกพันในกามคุณ ๕ เห็นกามคุณ ๕ เสมือน
เห็นซากศพ
๔. วัฏฏปัจเฉโท เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม คือ กิเลสวัฏได้แก่ ตัดกิเลส
ได้สิ้นเชิง ไม่มีความมัวเมาในกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย กรรมวัฏ ตัดกรรม อันเป็นบาปอกุศล วิปากวัฏ
คือตัดผลกรรมที่เป็นอกุศลได้สิ้นเชิง
๕. ตัณหักขโย, วิราโค, นิโรโธ เป็นภาษาบาลีแปลว่า นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา ตัณหาไม่กำเริบอีก มีความหน่ายในตัณหา ไม่มีความพอใจในตัณหาอีก ดับตัณหาเสียได้สนิท
ตัณหาไม่กำเริบขึ้นอีกได้แม้แต่น้อย
๖. นิพพานัง เป็นภาษาบาลีแปลว่า ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔ นี้ ไม่มีโอกาสจะให้ผล แก่ท่านที่มีจิตเข้าถึงพระนิพพานแล้วได้อีก ตามข้อปรากฏว่ามีเพียง ๖ ข้อ ความจริงข้อที่ ๕ ท่านรวมไว้ ๓ อย่าง คือ ตัณหักขโย ๑ วิราโค ๑ นิโรโธ ๑ ข้อนี้รวมกันไว้เสีย ๓ ข้อแล้ว ทั้งหมดจึงเป็น ๘ ข้อพอดี ท่านลงในแบบว่า ๘ ก็เขียนว่า ๘ ตามท่าน ความจริงเมื่อท่านจะรวมกัน ท่านน่าจะเขียนว่า ๖ ข้อก็จะสิ้นเรื่อง เมื่อท่าน เขียนเป็นแบบมาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่าน
ท่านสอนให้ตั้งจิตกำหนดความดีของพระนิพพาน ตามในบาลีทั้ง ๘ แม้ข้อใด ข้อหนึ่งก็ได้ตามความพอใจ แต่ท่านก็แนะไว้ในที่เดียวกันว่า บริกรรมภาวนาว่า "นิพพานัง" นั่นแหละดีอย่างยิ่งภาวนาไป จนกว่าจิตจะเข้าสู่อุปจารฌาน โดยที่จิตระงับนิวรณ์ ๕ ได้สงบแล้ว เข้าถึงอุปจารฌานเป็นที่สุด กรรมฐานนี้ ที่ท่านกล่าวว่าได้ถึงที่สุด เพียงอุปจารฌานก็เพราะ เป็นกรรมฐานละเอียดสุขุม และใช้อารมณ์ใคร่ครวญเป็นปกติ กรรมฐานนี้จึงมีกำลังไม่ถึงฌาน
อานิสงส์
อานิสงส์ที่ใช้อารมณ์ใคร่ครวญถึงพระนิพพานนี้มีผลมาก เป็นปัจจัยให้ละอารมณ์ที่คลุกเคล้าด้วยอำนาจกิเลส และตัณหา เห็นโทษในวัฏฏะ เป็นปัจจัยให้แสวงหาทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นปฏิปทาไปสู่พระนิพพาน เป็นกรรมฐานที่นักปฏิบัติได้ผลเป็นกำไร เพราะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างสบาย ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจกรรมฐานกองนี้ให้มาก ๆ และแสวงหาแนวปฏิบัติ ที่เข้าตรงต่อพระนิพพานมาปฏิบัติ ท่านมีโอกาสจะเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างไม่ยากนัก เพราะระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์นี้ เป็นองค์หนึ่งในองค์สามของพระโสดาบัน ชื่อว่าท่านก้าวเข้าไปเป็นพระโสดาบันหนึ่งในสามขององค์พระโสดาบันแล้ว เหลืออีกสองต้องควรแสวงหาให้ครบถ้วน
พระนิพพานไม่สูญ
ท่านนักปฏิบัติได้กำหนดกรรมฐานในอุปสมานุสสตินี้แล้ว ท่านอาจจะต้องประสบกับปัญหายุ่งสมอง ในเรื่องพระนิพพานอีกตอนหนึ่ง เพราะบรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือหนังสือวิสุทธิ- มรรค ท่านกลับยืนยันว่า พระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง ๘ ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนา นั้น คือ มทนิมฺมทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต ปิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายใน กามคุณ ๕ อาลยสมุคฺฆาโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสาม
ให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่นิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจากกิเลส ตัณหา อุปาทานกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏสงสาร
ท่านอธิบายถึงการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ ไว้เป็นแนวเครื่องระลึก ดังจะนำมา
เขียนไว้เพื่อเป็นเครื่องอุปกรณ์ในการระลึกดังต่อไปนี้
บาลีปรารภพระนิพพาน ๘
(ในความเห็นของผมนะครับ
บาลีแปลว่าภาษาบาลี
ปรารภแปลว่าพูดถึง
ข้อความข้างต้นการระลึกถึงคุณพระนิพพาน โดยท่านยกบาลี ๘ ข้อ)
๑. มทนิมฺมทโน เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพานย่ำยีเสียซึ่งความเมา มีความเมาในความเป็น
คนหนุ่ม และเมาในชีวิต โดยคิดว่าตนจะไม่ตายเป็นต้น ให้สิ้นไปจากอารมณ์ คือคิดเป็นปกติเสมอว่า
ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน โลกนี้ทั้งสิ้น มีความฉิบหายเป็นที่สุด
๒. ปิปาสวินโย เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพาน บรรเทาซึ่งความกระหาย คือความใคร่กำหนัด
ยินดีในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และการถูกต้องสัมผัส
๓. อาลยสมุคฺฆาโต เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพาน ถอนเสียซึ่งอาลัยในกามคุณ ๕ หมายความ
ว่า ท่านที่เข้าถึงพระนิพพาน คือมีกิเลสสิ้นแล้ว ย่อมไม่ผูกพันในกามคุณ ๕ เห็นกามคุณ ๕ เสมือน
เห็นซากศพ
๔. วัฏฏปัจเฉโท เป็นภาษาบาลีแปลว่า พระนิพพาน ตัดเสียซึ่งวนสาม คือ กิเลสวัฏได้แก่ ตัดกิเลส
ได้สิ้นเชิง ไม่มีความมัวเมาในกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย กรรมวัฏ ตัดกรรม อันเป็นบาปอกุศล วิปากวัฏ
คือตัดผลกรรมที่เป็นอกุศลได้สิ้นเชิง
๕. ตัณหักขโย, วิราโค, นิโรโธ เป็นภาษาบาลีแปลว่า นิพพานธรรมนั้น ถึงความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา ตัณหาไม่กำเริบอีก มีความหน่ายในตัณหา ไม่มีความพอใจในตัณหาอีก ดับตัณหาเสียได้สนิท
ตัณหาไม่กำเริบขึ้นอีกได้แม้แต่น้อย
๖. นิพพานัง เป็นภาษาบาลีแปลว่า ดับสนิทแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรมอำนาจทั้ง ๔ นี้ ไม่มีโอกาสจะให้ผล แก่ท่านที่มีจิตเข้าถึงพระนิพพานแล้วได้อีก ตามข้อปรากฏว่ามีเพียง ๖ ข้อ ความจริงข้อที่ ๕ ท่านรวมไว้ ๓ อย่าง คือ ตัณหักขโย ๑ วิราโค ๑ นิโรโธ ๑ ข้อนี้รวมกันไว้เสีย ๓ ข้อแล้ว ทั้งหมดจึงเป็น ๘ ข้อพอดี ท่านลงในแบบว่า ๘ ก็เขียนว่า ๘ ตามท่าน ความจริงเมื่อท่านจะรวมกัน ท่านน่าจะเขียนว่า ๖ ข้อก็จะสิ้นเรื่อง เมื่อท่าน เขียนเป็นแบบมาอย่างนี้ ก็เขียนตามท่าน
ท่านสอนให้ตั้งจิตกำหนดความดีของพระนิพพาน ตามในบาลีทั้ง ๘ แม้ข้อใด ข้อหนึ่งก็ได้ตามความพอใจ แต่ท่านก็แนะไว้ในที่เดียวกันว่า บริกรรมภาวนาว่า "นิพพานัง" นั่นแหละดีอย่างยิ่งภาวนาไป จนกว่าจิตจะเข้าสู่อุปจารฌาน โดยที่จิตระงับนิวรณ์ ๕ ได้สงบแล้ว เข้าถึงอุปจารฌานเป็นที่สุด กรรมฐานนี้ ที่ท่านกล่าวว่าได้ถึงที่สุด เพียงอุปจารฌานก็เพราะ เป็นกรรมฐานละเอียดสุขุม และใช้อารมณ์ใคร่ครวญเป็นปกติ กรรมฐานนี้จึงมีกำลังไม่ถึงฌาน
อานิสงส์
อานิสงส์ที่ใช้อารมณ์ใคร่ครวญถึงพระนิพพานนี้มีผลมาก เป็นปัจจัยให้ละอารมณ์ที่คลุกเคล้าด้วยอำนาจกิเลส และตัณหา เห็นโทษในวัฏฏะ เป็นปัจจัยให้แสวงหาทางปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันเป็นปฏิปทาไปสู่พระนิพพาน เป็นกรรมฐานที่นักปฏิบัติได้ผลเป็นกำไร เพราะเป็นปัจจัยให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างสบาย ขอท่านนักปฏิบัติจงสนใจกรรมฐานกองนี้ให้มาก ๆ และแสวงหาแนวปฏิบัติ ที่เข้าตรงต่อพระนิพพานมาปฏิบัติ ท่านมีโอกาสจะเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างไม่ยากนัก เพราะระลึกนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์นี้ เป็นองค์หนึ่งในองค์สามของพระโสดาบัน ชื่อว่าท่านก้าวเข้าไปเป็นพระโสดาบันหนึ่งในสามขององค์พระโสดาบันแล้ว เหลืออีกสองต้องควรแสวงหาให้ครบถ้วน
พระนิพพานไม่สูญ
ท่านนักปฏิบัติได้กำหนดกรรมฐานในอุปสมานุสสตินี้แล้ว ท่านอาจจะต้องประสบกับปัญหายุ่งสมอง ในเรื่องพระนิพพานอีกตอนหนึ่ง เพราะบรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือหนังสือวิสุทธิ- มรรค ท่านกลับยืนยันว่า พระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง ๘ ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนา นั้น คือ มทนิมฺมทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต ปิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายใน กามคุณ ๕ อาลยสมุคฺฆาโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสาม
ให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่นิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจากกิเลส ตัณหา อุปาทานกรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏสงสาร
-
- Verified User
- โพสต์: 432
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 15
ขออภัยนะครับ
ที่ทำให้อ่านแล้วยุ่งยากวุ่นวาย
ด้วยภาษาที่เป็นบาลี
ด้วยการมอง ธรรมะ ของแต่ละบุคคล
ผมอยากจะขอออกความเห็นว่า
ธรรมมะ ถ้ามองให้ยาก ก็ยากจริงๆนั่นแหละ
ธรรมมะ ถ้ามองให้ง่าย ก็จะง่ายขึ้นได้
ความเห็นส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่นะครับ
ซึ่ง ก่อนเข้าใจถึง โพชฌงค์ 7 ตามหนังสือ ยังมีขั้นตอนย่อยๆ อีกมาก เช่น ศีล สมาธิ ปัญญาและอีกหลายๆอย่าง
โพชฌงค์ 7 มรรค 8 นิพพาน
เมื่อคนเรา หรือ ตัวเรา เกิดมา มีชีวิต
นั่นแปลว่า เรา มี ชีวิตเรา
และเมื่อเรา เกิดมา เราก็ดำรง ชีวิต
ชีวิต มนุษย์ หรือ คน ส่วนใหญ่ อยู่ร่วม เป็นสังคม ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
นั่นหมายถึง เราดำรงชีวิตนั้น อยู่ท่ามกลาง ผู้อื่น และ สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตอื่นๆ
ผมอยากเปรียบ โพชฌงค์ 7 เป็นการ เรียนรู้ และรู้จัก ชีวิตตัวเราเอง
โพชฌงค์ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือองค์ของผู้ตรัสรู้มี ๗ อย่างคือ ๑. สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) ๓. วิริยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา
๑. สติ ความระลึกได้
สติทำให้ระลึกได้ ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
ระลึกว่า เมื่อเราเกิดมา สิ่งที่เราเคยทำมา สิ่งใดที่ทำ แล้วดี หรือ ไม่ดี
ระลึกว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่
ระลึกว่า เราจะทำสิ่งใดต่อไป
๒. ธัมมวิจยะ - การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม การวิจัยธรรม ซึ่งเป็นตัวปัญญานั่นเอง
เมื่อเรา ระลึก สิ่งที่เคยทำมาได้แล้ว สิ่งที่ทำอยู่ได้แล้ว
และรู้ สิ่งใด ดี ไม่ดี เหมาะ ไม่เหมาะ ควร ไม่ควร อย่างไรแล้ว
เราก็จะใช้ปัญญา ในการเลือกสิ่งที่เรา ควร เหมาะ และดี ที่จะทำต่อไป
๓. วิริยะ - ความพากเพียร
เมื่อรู้ว่า สิ่งที่เรา ควร เหมาะ และดี ที่จะทำต่อไป คืออะไร
เราก็ใช้ความเพียร พยายาม ดำเนินไปซึ่งความสำเร็จ
๔. ปีติ - ความอิ่มใจ, ความดื่มด่ำในใจ มี ๕ ชนิด คือ
แล้วเมื่อเรา สามารถทำสิ่ง ที่ ควร เหมาะ ดี สำเร็จ
แน่นอนเรา จะมีความสุข อิ่มใจ และ ปิติยินดี
เคยฟังเพลงมั้ยครับ เคยขนลุกตอนฟังเพลงมั้ยครับ
เมื่อเรา รับได้ซึ่งความรู้สึกที่ได้ถูกถ่ายทอดมา เราก็ขนลุกโดยไม่รู้ตัว
เคยมั้ยครับ เวลาอ่านหนังสือมากมายเพื่อสอบ
เมื่อสอบเสร็จออกจาก ห้องสอบ รู้สึก ตัวเบา สบาย วิ่งแล่นฉิ๋ว
เคยมั้ยครับ เวลา ที่มีคนใกล้ตัวดีกับเรา พูดกับเรา ทำสิ่งต่างๆเพื่อเรา
เราซึ้ง จนน้ำตาคลอ ไหลออกมา สักหนึ่งหยด
๑. ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อยพอขนชันน้ำตาไหล
๒. ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ รู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ
๓. โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอก รู้สึกซู่ลงมาๆ ดุจคลื่นซัดฝั่ง
๔. อุพเพคาปีติ ปีติโลดลอย ให้ใจฟูตัวเบา หรืออุทานออกมา
๕. ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ เป็นของประกอบกับสมาธิ
(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
๕. ปัสสัทธิ - ความสงบกายสงบใจ, ความสงบใจและอารมณ์, ความสงบเย็น, ความผ่อนคลายกายใจ (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
และเมื่อ ทำสิ่งที่ดี เหมาะ ควร สำเร็จ แล้ว ปิติ มีความสุขมากมายแล้ว
ก็ให้รู้จัก สงบ กาย ใจ
๖. สมาธิ - ความตั้งใจมั่น ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ
เมื่อ มีความสุข ปิติมากมาย แล้วเรารู้จักสงบ กาย ใจ
ก็ไม่ฟุ้งซ่าน
เมื่อ ไม่ฟุ้งซ่าน ก็มี สมาธิ และ ดึง สติกลับมาโดยง่าย
เมื่อ มีสติ ก็ เข้า ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ โดยง่าย
๗. อุเบกขา - ความที่จิตมีความสงบระงับเป็นอย่างยิ่ง ไม่กระเพื่อมไหวไปตามสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ รัก ชัง กล้า กลัว ยินดี ยินร้าย ฯลฯ ซึ่งจะเป็นจิตที่มีความประณีต ละเอียดอ่อน ปลอดโปร่ง เบาสบาย เป็นอย่างยิ่ง
หรือ บาง ที่จะแปลว่า การวางเฉย แต่ไม่เฉยเมิน นะครับ
เมื่อเราเข้าใจ จนดีแล้ว
เราก็จะเข้าใจสุข จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจทุกข์ จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจดีใจ จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจเสียใจ จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจยินดี จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจยินร้าย จริงๆ ของตัวเรา
เมื่อเข้าใจตัวเราดีแล้ว ก็ สามารถ เปลี่ยน จากการยึดติด ตัวเรา ไปเป็นเข้าใจตัวเราเอง
และเมื่อเข้าใจ ตัวเราดีแล้ว
ก็หัดให้ตนเอง รู้จกการวางเฉยที่ไม่ เฉยเมิน
อันนี้
สมมุติ มีเหตุการณ์ บางอย่าง เกิดขึ้น
แล้วการที่เราเอาตัวเราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แล้วอาจจะเกิด โทษ ต่อตัวเราได้ และยังไม่สามารถก่อ ประโยชน์ ให้เกิดขึ้นได้
ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้ว การเข้าใจ และวางเฉย แต่ไม่ได้เฉยเมิน ก็ดูเหมาะ
การไม่เฉยเมิน คือ การยังคง มอง ดู อยู่
และ พร้อม ที่ จะ ดูแล ช่วยเหลือ ที่ก่อ คุณ ประโยชน์ พร้อมกับดูแลตัวเราเองไปด้วย
เมื่อ โพชฌงค์ 7 ทำให้เรา เข้าใจตัวเองได้ดีแล้ว
ท่านจะไม่มีความสุขรึ
แต่ความจริง ก็คือ เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
เราอยู่ร่วม กับผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ
ผมเลยอยากเปรียบ มรรค 8 เพื่อ ไว้อยู่ร่วมกับ ผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ
มรรค 8 คือ หนทางสู่ความพ้นทุกข์อันชอบ ประกอบด้วย
1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เห็นว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ สภาวะเช่นใดคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ วิธีการใดคือทางปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เมื่อ เห็นความจริง ก็รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เหมาะ หรือไม่เหมาะ ที่จะทำ
2. สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ คือ ดำริในการออกจากกาม ออกจากความพยาบาท ออกจากความเบียดเบียน
เมื่อ เห็นความจริง ก็รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เหมาะ หรือไม่เหมาะ ที่จะทำ ก็เลือก คิด ชอบ คิดสิ่งที่ดี ที่ควร ที่เหมาะ ก็ไม่คิดสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้อื่น
3. สัมมาวาจา - วาจาชอบ คือ งดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
เมื่อ คิด ชอบ คิดสิ่งที่ดี ที่ควร ที่เหมาะ ก็ไม่คิดสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้อื่น ก็ พูดชอบ พูดสิ่งที่ดี ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีกับผู้อื่น พูดแต่สิ่งที่เป็นคุณ เป็น ประโยชน์
4. สัมมากัมมันตะ - การงานชอบ หรือ ประพฤติชอบ (ทางกาย) คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
เมื่อ คิด ชอบ คิดสิ่งที่ดี ที่ควร ที่เหมาะ ก็ไม่คิดสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้อื่น ก็ วาจาชอบ และ ประพฤติชอบ ประพฤติดี
ทำแต่สิ่งดี ไม่คิดทำเบียดเบียนผู้อื่น ทำในสิ่งที่เป็นคุณต่อตัวเอง และคุณต่อผู้อื่น
5. สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ คือ การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม
เมื่อ เห็นชอบ คิด(ดำริ)ชอบ วาจาชอบ ประพฤติชอบ
แล้วมีอาชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียน ผู้อื่น ไม่ผิดกฎเกณฑ์ ก็หาเงินเลี้ยงชีพอย่างมีสุข
6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ คือ
1.) เพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
2.) เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3.) เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
4.) เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น มั่นคงต่อไป
มีแน่นอนครับ ว่าจะต้องเจอ อุปสรรค ในการดำรงชีวิต ยากบ้าง ง่ายบ้าง
แต่ถ้าเรามีความเพียร ก็จะผ่านไปได้
แต่การเพียร พยายาม ต้อง เป็น เพียร ชอบด้วย
เพราะบางทีทางออกแก้ได้ ทั้งโดย กุศลธรรม และ อกุศลธรรม
ซึ่งหลายๆ ครั้ง อกุศลธรรม แก้ได้ง่าย เร็วกว่า แต่ผลระยะยาวอาจจะไม่ดีก็ได้
การเพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น มั่นคงต่อไป
7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ ตามระลึกรู้ความเป็นไปของกาย เวทนา จิต ธรรม
แล้วก็ยังคง ระลึก นึกคิด ถึง การกระทำ ว่าดี ว่าถูกต้องมั้ย ทั้งกับตัวเอง และผู้อื่น
ถ้าเกิด ระลึกได้ว่า ไม่ดี กับฝ่ายใด ก็ตาม ก็ ค่อยๆละ สิ่งไม่ดีนั้น
8. สัมมาสมาธิ - ตั้งใจมั่นชอบ ได้แก่ สมาธิในระดับต่างๆ อันเป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลส
เมื่อเข้าใจดี แล้ว
ก็รู้
เราก็จะเข้าใจสุข จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจทุกข์ จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจดีใจ จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจเสียใจ จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจยินดี จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจยินร้าย จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
และก็ ยังคงตั้งมั่น ที่จะดำเนิน สิ่งดี สิ่งถูก สิ่งควร ทังกับตัวเอง และผู้อื่นต่อไป
ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้มาก ที่จะเจอ เรื่องทุกข์ร้อนน้อยลงอย่างมาก
เมื่อทุกข์ร้อน น้อยลงอย่างมาก เมื่อร่วมกับผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ
ยังจะไม่มีสุขอีกรึ
เมื่อเข้าใจ ดี แล้ว ผมว่า ก็จะเริ่มเห็น นิพพาน แล้วล่ะครับ
นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง
ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) อนุปาทิเสสนิพพาน
เรานั้นมีการดำรงชีวิตอยู่
ณ ตอนนี้ คงจะควรสนใจที่
การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน
ลองคิดดูสิครับ
ถ้าเราเข้าใจตัวเองดีแล้ว จากโพชฌงค์ 7
และอยู่ร่วม ร่วมกับผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ ได้ดี แล้ว โดย มรรค 8
ก็จะพ้นทุกข์ได้ มากมาย
แต่ภาวะ นิพพาน นั้น กลมกล่อมนัก
มีได้ทุกสิ่ง แต่ก็ละได้ทุกสิ่ง
ไม่มีทุกๆสิ่ง แต่ ก็มี พอ
( การที่ ผมได้ รู้จัก โพชฌงค์ 7 มรรค 8 และนิพพาน เป็นเรื่องบังเอิญครับ
ผมได้เปิด ไปที่ช่อง 11 หรือ nbt ปัจจุบัน แล้วได้ดู ช่วงที่ เป็นสาระ ที่เป็นพระ เทศน์ ตามภาพประกอบ
แล้วได้ยิน คำว่า เมื่อ เข้าใจ โพชฌงค์ 7 ก็จะต้อง ตามด้วยมรรค 8 แล้วก็ตามด้วยนิพพาน
ซึ่ง ผม ก็ไปศึกษา ว่า 3สิ่งนี้ คืออะไร ก็ ได้คุณมากมาย
ขอขอบคุณ พระ ผู้เป็นผู้เทศน์ และ ทางช่อง 11 ในช่วงนั้น ที่มอบสิ่งๆดีๆ และคำสอนต่างๆ
ขอบคุณครับ)
ที่ทำให้อ่านแล้วยุ่งยากวุ่นวาย
ด้วยภาษาที่เป็นบาลี
ด้วยการมอง ธรรมะ ของแต่ละบุคคล
ผมอยากจะขอออกความเห็นว่า
ธรรมมะ ถ้ามองให้ยาก ก็ยากจริงๆนั่นแหละ
ธรรมมะ ถ้ามองให้ง่าย ก็จะง่ายขึ้นได้
ความเห็นส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่นะครับ
ซึ่ง ก่อนเข้าใจถึง โพชฌงค์ 7 ตามหนังสือ ยังมีขั้นตอนย่อยๆ อีกมาก เช่น ศีล สมาธิ ปัญญาและอีกหลายๆอย่าง
โพชฌงค์ 7 มรรค 8 นิพพาน
เมื่อคนเรา หรือ ตัวเรา เกิดมา มีชีวิต
นั่นแปลว่า เรา มี ชีวิตเรา
และเมื่อเรา เกิดมา เราก็ดำรง ชีวิต
ชีวิต มนุษย์ หรือ คน ส่วนใหญ่ อยู่ร่วม เป็นสังคม ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง
นั่นหมายถึง เราดำรงชีวิตนั้น อยู่ท่ามกลาง ผู้อื่น และ สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตอื่นๆ
ผมอยากเปรียบ โพชฌงค์ 7 เป็นการ เรียนรู้ และรู้จัก ชีวิตตัวเราเอง
โพชฌงค์ ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือองค์ของผู้ตรัสรู้มี ๗ อย่างคือ ๑. สติ ๒. ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) ๓. วิริยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ ๗. อุเบกขา
๑. สติ ความระลึกได้
สติทำให้ระลึกได้ ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
ระลึกว่า เมื่อเราเกิดมา สิ่งที่เราเคยทำมา สิ่งใดที่ทำ แล้วดี หรือ ไม่ดี
ระลึกว่า ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่
ระลึกว่า เราจะทำสิ่งใดต่อไป
๒. ธัมมวิจยะ - การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม การวิจัยธรรม ซึ่งเป็นตัวปัญญานั่นเอง
เมื่อเรา ระลึก สิ่งที่เคยทำมาได้แล้ว สิ่งที่ทำอยู่ได้แล้ว
และรู้ สิ่งใด ดี ไม่ดี เหมาะ ไม่เหมาะ ควร ไม่ควร อย่างไรแล้ว
เราก็จะใช้ปัญญา ในการเลือกสิ่งที่เรา ควร เหมาะ และดี ที่จะทำต่อไป
๓. วิริยะ - ความพากเพียร
เมื่อรู้ว่า สิ่งที่เรา ควร เหมาะ และดี ที่จะทำต่อไป คืออะไร
เราก็ใช้ความเพียร พยายาม ดำเนินไปซึ่งความสำเร็จ
๔. ปีติ - ความอิ่มใจ, ความดื่มด่ำในใจ มี ๕ ชนิด คือ
แล้วเมื่อเรา สามารถทำสิ่ง ที่ ควร เหมาะ ดี สำเร็จ
แน่นอนเรา จะมีความสุข อิ่มใจ และ ปิติยินดี
เคยฟังเพลงมั้ยครับ เคยขนลุกตอนฟังเพลงมั้ยครับ
เมื่อเรา รับได้ซึ่งความรู้สึกที่ได้ถูกถ่ายทอดมา เราก็ขนลุกโดยไม่รู้ตัว
เคยมั้ยครับ เวลาอ่านหนังสือมากมายเพื่อสอบ
เมื่อสอบเสร็จออกจาก ห้องสอบ รู้สึก ตัวเบา สบาย วิ่งแล่นฉิ๋ว
เคยมั้ยครับ เวลา ที่มีคนใกล้ตัวดีกับเรา พูดกับเรา ทำสิ่งต่างๆเพื่อเรา
เราซึ้ง จนน้ำตาคลอ ไหลออกมา สักหนึ่งหยด
๑. ขุททกาปีติ ปีติเล็กน้อยพอขนชันน้ำตาไหล
๒. ขณิกาปีติ ปีติชั่วขณะ รู้สึกแปลบๆ ดุจฟ้าแลบ
๓. โอกกันติกาปีติ ปีติเป็นระลอก รู้สึกซู่ลงมาๆ ดุจคลื่นซัดฝั่ง
๔. อุพเพคาปีติ ปีติโลดลอย ให้ใจฟูตัวเบา หรืออุทานออกมา
๕. ผรณาปีติ ปีติซาบซ่าน เอิบอาบไปทั่วสรรพางค์ เป็นของประกอบกับสมาธิ
(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
๕. ปัสสัทธิ - ความสงบกายสงบใจ, ความสงบใจและอารมณ์, ความสงบเย็น, ความผ่อนคลายกายใจ (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) เช่นกัน)
และเมื่อ ทำสิ่งที่ดี เหมาะ ควร สำเร็จ แล้ว ปิติ มีความสุขมากมายแล้ว
ก็ให้รู้จัก สงบ กาย ใจ
๖. สมาธิ - ความตั้งใจมั่น ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ
เมื่อ มีความสุข ปิติมากมาย แล้วเรารู้จักสงบ กาย ใจ
ก็ไม่ฟุ้งซ่าน
เมื่อ ไม่ฟุ้งซ่าน ก็มี สมาธิ และ ดึง สติกลับมาโดยง่าย
เมื่อ มีสติ ก็ เข้า ธัมมวิจยะ (การสอดส่องเลือกเฟ้นธรรม) วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ โดยง่าย
๗. อุเบกขา - ความที่จิตมีความสงบระงับเป็นอย่างยิ่ง ไม่กระเพื่อมไหวไปตามสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ รัก ชัง กล้า กลัว ยินดี ยินร้าย ฯลฯ ซึ่งจะเป็นจิตที่มีความประณีต ละเอียดอ่อน ปลอดโปร่ง เบาสบาย เป็นอย่างยิ่ง
หรือ บาง ที่จะแปลว่า การวางเฉย แต่ไม่เฉยเมิน นะครับ
เมื่อเราเข้าใจ จนดีแล้ว
เราก็จะเข้าใจสุข จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจทุกข์ จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจดีใจ จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจเสียใจ จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจยินดี จริงๆ ของตัวเรา
เราก็จะเข้าใจยินร้าย จริงๆ ของตัวเรา
เมื่อเข้าใจตัวเราดีแล้ว ก็ สามารถ เปลี่ยน จากการยึดติด ตัวเรา ไปเป็นเข้าใจตัวเราเอง
และเมื่อเข้าใจ ตัวเราดีแล้ว
ก็หัดให้ตนเอง รู้จกการวางเฉยที่ไม่ เฉยเมิน
อันนี้
สมมุติ มีเหตุการณ์ บางอย่าง เกิดขึ้น
แล้วการที่เราเอาตัวเราเข้าไปยุ่งเกี่ยว
แล้วอาจจะเกิด โทษ ต่อตัวเราได้ และยังไม่สามารถก่อ ประโยชน์ ให้เกิดขึ้นได้
ถ้าเป็นเช่นนี้ แล้ว การเข้าใจ และวางเฉย แต่ไม่ได้เฉยเมิน ก็ดูเหมาะ
การไม่เฉยเมิน คือ การยังคง มอง ดู อยู่
และ พร้อม ที่ จะ ดูแล ช่วยเหลือ ที่ก่อ คุณ ประโยชน์ พร้อมกับดูแลตัวเราเองไปด้วย
เมื่อ โพชฌงค์ 7 ทำให้เรา เข้าใจตัวเองได้ดีแล้ว
ท่านจะไม่มีความสุขรึ
แต่ความจริง ก็คือ เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
เราอยู่ร่วม กับผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ
ผมเลยอยากเปรียบ มรรค 8 เพื่อ ไว้อยู่ร่วมกับ ผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ
มรรค 8 คือ หนทางสู่ความพ้นทุกข์อันชอบ ประกอบด้วย
1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เห็นว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ สภาวะเช่นใดคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ วิธีการใดคือทางปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เมื่อ เห็นความจริง ก็รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เหมาะ หรือไม่เหมาะ ที่จะทำ
2. สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ คือ ดำริในการออกจากกาม ออกจากความพยาบาท ออกจากความเบียดเบียน
เมื่อ เห็นความจริง ก็รู้ว่าอะไรดี ไม่ดี เหมาะ หรือไม่เหมาะ ที่จะทำ ก็เลือก คิด ชอบ คิดสิ่งที่ดี ที่ควร ที่เหมาะ ก็ไม่คิดสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้อื่น
3. สัมมาวาจา - วาจาชอบ คือ งดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
เมื่อ คิด ชอบ คิดสิ่งที่ดี ที่ควร ที่เหมาะ ก็ไม่คิดสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้อื่น ก็ พูดชอบ พูดสิ่งที่ดี ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดีกับผู้อื่น พูดแต่สิ่งที่เป็นคุณ เป็น ประโยชน์
4. สัมมากัมมันตะ - การงานชอบ หรือ ประพฤติชอบ (ทางกาย) คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
เมื่อ คิด ชอบ คิดสิ่งที่ดี ที่ควร ที่เหมาะ ก็ไม่คิดสิ่งที่ไม่ดีต่อผู้อื่น ก็ วาจาชอบ และ ประพฤติชอบ ประพฤติดี
ทำแต่สิ่งดี ไม่คิดทำเบียดเบียนผู้อื่น ทำในสิ่งที่เป็นคุณต่อตัวเอง และคุณต่อผู้อื่น
5. สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ คือ การประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดศีลธรรม
เมื่อ เห็นชอบ คิด(ดำริ)ชอบ วาจาชอบ ประพฤติชอบ
แล้วมีอาชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียน ผู้อื่น ไม่ผิดกฎเกณฑ์ ก็หาเงินเลี้ยงชีพอย่างมีสุข
6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ คือ
1.) เพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
2.) เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
3.) เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
4.) เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น มั่นคงต่อไป
มีแน่นอนครับ ว่าจะต้องเจอ อุปสรรค ในการดำรงชีวิต ยากบ้าง ง่ายบ้าง
แต่ถ้าเรามีความเพียร ก็จะผ่านไปได้
แต่การเพียร พยายาม ต้อง เป็น เพียร ชอบด้วย
เพราะบางทีทางออกแก้ได้ ทั้งโดย กุศลธรรม และ อกุศลธรรม
ซึ่งหลายๆ ครั้ง อกุศลธรรม แก้ได้ง่าย เร็วกว่า แต่ผลระยะยาวอาจจะไม่ดีก็ได้
การเพียรระวังบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น
เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ให้ตั้งมั่น มั่นคงต่อไป
7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ ตามระลึกรู้ความเป็นไปของกาย เวทนา จิต ธรรม
แล้วก็ยังคง ระลึก นึกคิด ถึง การกระทำ ว่าดี ว่าถูกต้องมั้ย ทั้งกับตัวเอง และผู้อื่น
ถ้าเกิด ระลึกได้ว่า ไม่ดี กับฝ่ายใด ก็ตาม ก็ ค่อยๆละ สิ่งไม่ดีนั้น
8. สัมมาสมาธิ - ตั้งใจมั่นชอบ ได้แก่ สมาธิในระดับต่างๆ อันเป็นไปเพื่อการกำจัดกิเลส
เมื่อเข้าใจดี แล้ว
ก็รู้
เราก็จะเข้าใจสุข จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจทุกข์ จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจดีใจ จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจเสียใจ จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจยินดี จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
เราก็จะเข้าใจยินร้าย จริงๆ ของตัวเรา และผู้อื่น
และก็ ยังคงตั้งมั่น ที่จะดำเนิน สิ่งดี สิ่งถูก สิ่งควร ทังกับตัวเอง และผู้อื่นต่อไป
ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้มาก ที่จะเจอ เรื่องทุกข์ร้อนน้อยลงอย่างมาก
เมื่อทุกข์ร้อน น้อยลงอย่างมาก เมื่อร่วมกับผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ
ยังจะไม่มีสุขอีกรึ
เมื่อเข้าใจ ดี แล้ว ผมว่า ก็จะเริ่มเห็น นิพพาน แล้วล่ะครับ
นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจากอำนาจกรรม และไม่ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอีก ซึ่งก็คือพ้นจากทุกข์นั่นเอง
ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ -สอุปาทิเสสนิพพาน
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่ร่างกายเราแตกดับแล้ว ไปเสวยสุขอันเป็นอมตะในพระนิพพาน (ตรงนี้ไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างมากไปกว่านี้ได้) อนุปาทิเสสนิพพาน
เรานั้นมีการดำรงชีวิตอยู่
ณ ตอนนี้ คงจะควรสนใจที่
การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึงนิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สอุปาทิเสสนิพพาน
ลองคิดดูสิครับ
ถ้าเราเข้าใจตัวเองดีแล้ว จากโพชฌงค์ 7
และอยู่ร่วม ร่วมกับผู้อื่น สิ่งมีชีวิต และ ไม่มีชีวิตอื่นๆ ได้ดี แล้ว โดย มรรค 8
ก็จะพ้นทุกข์ได้ มากมาย
แต่ภาวะ นิพพาน นั้น กลมกล่อมนัก
มีได้ทุกสิ่ง แต่ก็ละได้ทุกสิ่ง
ไม่มีทุกๆสิ่ง แต่ ก็มี พอ
( การที่ ผมได้ รู้จัก โพชฌงค์ 7 มรรค 8 และนิพพาน เป็นเรื่องบังเอิญครับ
ผมได้เปิด ไปที่ช่อง 11 หรือ nbt ปัจจุบัน แล้วได้ดู ช่วงที่ เป็นสาระ ที่เป็นพระ เทศน์ ตามภาพประกอบ
แล้วได้ยิน คำว่า เมื่อ เข้าใจ โพชฌงค์ 7 ก็จะต้อง ตามด้วยมรรค 8 แล้วก็ตามด้วยนิพพาน
ซึ่ง ผม ก็ไปศึกษา ว่า 3สิ่งนี้ คืออะไร ก็ ได้คุณมากมาย
ขอขอบคุณ พระ ผู้เป็นผู้เทศน์ และ ทางช่อง 11 ในช่วงนั้น ที่มอบสิ่งๆดีๆ และคำสอนต่างๆ
ขอบคุณครับ)
- Lionel
- Verified User
- โพสต์: 118
- ผู้ติดตาม: 0
โพชฌงค์ 7 ---> มรรค 8 ---> นิพพาน
โพสต์ที่ 17
ไม่ห่างหรอกครับ ทุกคนเป็นว่าที่พระอรหันต์เหมือนกันหมด ใครตัดได้ก่อนก็ได้ไปก่อนครับ พระนิพพานเท่าที่เคยรู้มา เหมือนสวรรค์ชั้นนึงครับแต่ไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ผมเคยได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมาบ้าง แล้วนิพพานไม่ใช่ของยากหรือของหนักครับ จะไปนิพพานเราตัดกันตัวเดียวในสังโยชน์ 10 คือ สักกายทิฏฐิ ร่างกายเรานี่ล่ะครับ การสอนธรรมะ องค์สมเด็จพระบรมครู ท่านสอนง่ายๆเสมอครับ ไม่มีอะไรยากครับ