มีเรื่องสงสัย
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 1
ขอคำแนะนำ 2 เรื่องครับ พอดีมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับการทำงาน ทีประสบอยู่
1. การที่คนเราปฏิบัติงานแล้วอยู่ในสภาวะ Back to the Water แล้วเกิดผลงานทีเหนือความคาดหมายนั้น เกิดจากสาเหตุหรือมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้เกิดเงื่อนไขนี้ ท่านใดทราบขอคำแนะนำหน่อยครับ
2. เวลาเราทำงานอะไรแล้วมีเหตุผลรองรับทุกอย่าง แต่ทำไมบางครั้งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องก็ไม่ปฎิบัติตามแนวคิดนี้ ดั้งนั้น เพื่อนๆพี่ๆ คิดว่าแล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาปฎิบัติตาม
ขอบคุณครับ
1. การที่คนเราปฏิบัติงานแล้วอยู่ในสภาวะ Back to the Water แล้วเกิดผลงานทีเหนือความคาดหมายนั้น เกิดจากสาเหตุหรือมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่ทำให้เกิดเงื่อนไขนี้ ท่านใดทราบขอคำแนะนำหน่อยครับ
2. เวลาเราทำงานอะไรแล้วมีเหตุผลรองรับทุกอย่าง แต่ทำไมบางครั้งเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องก็ไม่ปฎิบัติตามแนวคิดนี้ ดั้งนั้น เพื่อนๆพี่ๆ คิดว่าแล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้เขาปฎิบัติตาม
ขอบคุณครับ
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
-
- Verified User
- โพสต์: 311
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 2
ขอแสดงความเห็นแล้วกันนะครับ
ข้อ 1 ไม่แน่ใจขอข้ามละกัน
ข้อ 2 ว่าไปข้อนี้มันคล้ายๆหุ้นครับ หุ้นดีแต่ราคาไม่ขึ้นเพราะคนเค้าไม่ถือกัน เพราะมันไม่สามารถชักจูงคนหมู่มากได้ แต่พอเซียนหุ้นซื้อ ราคาก็พุ่งตามทันที
ในการทำงานก็เช่นกันถ้าเราไม่สามารถ convince ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานได้ก็ถือว่าเราต้องแก้ไขที่เราก่อนครับ
เช่นว่า
-เหตุผลที่คุณ RONNAPUM ว่ามันใช่หรือเปล่า
-เรา มีวิธีการ convince เค้าอย่างไร
-ความน่าเชื่อถือของเรามีมากแค่ไหน
-เค้ามีอคติกับเราหรือเปล่า
ซึ่งถ้าแก้ไม่ได้ก็อาจจะเป็นว่า บางทีกลุ่มของลูกน้องที่ไม่เชื่อ อาจมีหัวโจก เราต้อง convince คนนั้นก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นกินข้าว สองต่อสอง (ห้ามมีคนอื่นอยู่ด้วย) แล้วขอข้อเสนอแนะจากเค้าไม่ต้องสนใจว่าเป็นลูกน้อง เพราะเค้าอาจมีอะไรที่ค้างคาใจอยู่ก็ได้
จากนั้นก็ประกบทีละคนสร้างสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ
ข้อ 1 ไม่แน่ใจขอข้ามละกัน
ข้อ 2 ว่าไปข้อนี้มันคล้ายๆหุ้นครับ หุ้นดีแต่ราคาไม่ขึ้นเพราะคนเค้าไม่ถือกัน เพราะมันไม่สามารถชักจูงคนหมู่มากได้ แต่พอเซียนหุ้นซื้อ ราคาก็พุ่งตามทันที
ในการทำงานก็เช่นกันถ้าเราไม่สามารถ convince ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานได้ก็ถือว่าเราต้องแก้ไขที่เราก่อนครับ
เช่นว่า
-เหตุผลที่คุณ RONNAPUM ว่ามันใช่หรือเปล่า
-เรา มีวิธีการ convince เค้าอย่างไร
-ความน่าเชื่อถือของเรามีมากแค่ไหน
-เค้ามีอคติกับเราหรือเปล่า
ซึ่งถ้าแก้ไม่ได้ก็อาจจะเป็นว่า บางทีกลุ่มของลูกน้องที่ไม่เชื่อ อาจมีหัวโจก เราต้อง convince คนนั้นก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นกินข้าว สองต่อสอง (ห้ามมีคนอื่นอยู่ด้วย) แล้วขอข้อเสนอแนะจากเค้าไม่ต้องสนใจว่าเป็นลูกน้อง เพราะเค้าอาจมีอะไรที่ค้างคาใจอยู่ก็ได้
จากนั้นก็ประกบทีละคนสร้างสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 3
1. ไม่แน่ใจว่าไอ้ back to the water แปลว่าอะไร :oops:
ความคาดหวังที่คุณพูดไว้เป็นความคาดหวังของใครค่ะ ถ้าเกินความคาดหวังของคนอื่น เราเคยเจอค่ะ คือทำงานแบบไปวันๆ แต่ได้โบนัสดีเกิดคาด เพราะผลงานเราดีกว่าที่เค้าคาดไว้ สาเหตุมาจาก เค้าคาดหวังไว้ต่ำ คือ เราไม่ happy กับงานเพราะมันยังดีกว่านี้ได้อีกแต่เราก็ไม่อยากทำเพิ่มแล้วค่ะ แต่สุดท้ายคนอื่นเค้าดันพอใจแล้วกับงานที่เราทำ
ถ้าเป็นความคาดหวังของตัวเอง อันนี้เพิ่งเจอเลย คืองานที่เราทำตอนนี้มันสบายมาก เราไม่ค่อยพอใจกับประสิทธิภาพของตัวเอง ก็เลยอยากเปลี่ยนงาน คราวนี้นายก็ไม่ให้ออก เรารู้สึกว่า งานเราง่ายจะตายเดี๋ยวก็หาคนใหม่ได้ จนถึงเดี๋ยวนี้ได้คนมาลองงาน 2 คนแล้วแต่ก็ไม่ work เลยเพิ่งรู้ว่า สิ่งที่เราทำนั้น ผลงานมันดีน่ะ สาเหตุมาจาก เรา under-estimate ความสามารถตัวเอง คิดว่าคนอื่นก็ทำได้เหมือนกับเราค่ะ
2. คิดว่างานของคุณต้องมีความสมดุลระหว่างพระเดชกับพระคุณ การเลือกใช้ก็ต้องดูลูกน้องด้วย บางทีคุณ Ron อาจจะใจดี ขี้เกรงใจ เลยไม่สามารถ force ให้คนอื่นทำตามกฎได้ มันเป็นเกมของความสัมพันธ์ค่ะ ตอนยังทำงานที่ทำงานเก่า ลูกน้องเยอะเลย เราเป็นพี่ใจดี แม้หน้าจะดุก็ตาม เด็กที่ดี ชอบเราก็อยากทำงานให้เต็มที่ เด็กที่ไม่ดีก็คอยหาประโยชน์จากความใจดีของเราประจำ พอดีว่างานของเรา เราชั่งน้ำหนักแล้วว่าเป็นคนน่ารักได้ประโยชน์กว่าเป็นคนน่ากลัว (เพราะถ้าเด็กมันเกลียดก็จะทิ้งงานไปเลย) เราก็เลยต้องเป็นคนน่ารักค่ะ
ลองหาดูนะคะ ว่างานที่ทำต้องใช้พระเดชกี่% พระคุณกี่%
ความคาดหวังที่คุณพูดไว้เป็นความคาดหวังของใครค่ะ ถ้าเกินความคาดหวังของคนอื่น เราเคยเจอค่ะ คือทำงานแบบไปวันๆ แต่ได้โบนัสดีเกิดคาด เพราะผลงานเราดีกว่าที่เค้าคาดไว้ สาเหตุมาจาก เค้าคาดหวังไว้ต่ำ คือ เราไม่ happy กับงานเพราะมันยังดีกว่านี้ได้อีกแต่เราก็ไม่อยากทำเพิ่มแล้วค่ะ แต่สุดท้ายคนอื่นเค้าดันพอใจแล้วกับงานที่เราทำ
ถ้าเป็นความคาดหวังของตัวเอง อันนี้เพิ่งเจอเลย คืองานที่เราทำตอนนี้มันสบายมาก เราไม่ค่อยพอใจกับประสิทธิภาพของตัวเอง ก็เลยอยากเปลี่ยนงาน คราวนี้นายก็ไม่ให้ออก เรารู้สึกว่า งานเราง่ายจะตายเดี๋ยวก็หาคนใหม่ได้ จนถึงเดี๋ยวนี้ได้คนมาลองงาน 2 คนแล้วแต่ก็ไม่ work เลยเพิ่งรู้ว่า สิ่งที่เราทำนั้น ผลงานมันดีน่ะ สาเหตุมาจาก เรา under-estimate ความสามารถตัวเอง คิดว่าคนอื่นก็ทำได้เหมือนกับเราค่ะ
2. คิดว่างานของคุณต้องมีความสมดุลระหว่างพระเดชกับพระคุณ การเลือกใช้ก็ต้องดูลูกน้องด้วย บางทีคุณ Ron อาจจะใจดี ขี้เกรงใจ เลยไม่สามารถ force ให้คนอื่นทำตามกฎได้ มันเป็นเกมของความสัมพันธ์ค่ะ ตอนยังทำงานที่ทำงานเก่า ลูกน้องเยอะเลย เราเป็นพี่ใจดี แม้หน้าจะดุก็ตาม เด็กที่ดี ชอบเราก็อยากทำงานให้เต็มที่ เด็กที่ไม่ดีก็คอยหาประโยชน์จากความใจดีของเราประจำ พอดีว่างานของเรา เราชั่งน้ำหนักแล้วว่าเป็นคนน่ารักได้ประโยชน์กว่าเป็นคนน่ากลัว (เพราะถ้าเด็กมันเกลียดก็จะทิ้งงานไปเลย) เราก็เลยต้องเป็นคนน่ารักค่ะ
ลองหาดูนะคะ ว่างานที่ทำต้องใช้พระเดชกี่% พระคุณกี่%
.....Give Everything but not Give Up.....
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 4
![Cool :8)](./images/smilies/icon_cool.gif)
ต่างคนต่างความคิด
เอาเนื้องานเป็นที่ตั้งก็จะดีเอง
เรามาทำงานให้ลุล่วงครับ
ไม่ได้มาเอาใจใคร หรือทั้งวันเอาแต่ว่าใครไม่พอใจใคร
หัวโขนที่เราใส่ว่าเป็นหัวหน้างานนั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยครับ
มีแค่ว่าถ้ามีทางเลือก2ทางแล้วต้องตัดสินใจ
ว่าจะเดินไปขึ้นสวรรค์หรือลงเหว
หัวหน้าก็มีหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน เพราะเวลารับผิดชอบเป็นหัวหน้ารับไป
ดูทีมฟุตบอลเป็นตัวอย่างได้
ใครๆก็อยากมีทีมที่เล่นได้อย่างแมนยู
แต่ชีวิตความเป็นจริง บางคนเล่นยังกับดาร์บี้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 6
ข้อหนึ่ง..ข้ามละกันค่ะ ไม่ทราบ back to the water :lol:
ข้อสอง..น่าจะเป็นจาก..วิธีการนำเสนอแนวคิดของตนเองสู่ผู้อื่น...
บางคนมองน้ำเหลือครึ่งแก้ว บางคนก็มองว่าหายไปครึ่งแก้ว...ไม่มีฝ่ายไหนผิดหรือถูก...นี่เป็นแค่มายาภาพ...เพราะคำตอบนั้น มีปริมาณน้ำในแก้วเท่ากัน
เราคงต้องเข้าไปนั่งในมุมของเขา แล้วมองออกมาว่าเขาเห็นอะไร
ถ้าเราไม่เข้าใจว่า เขามองเห็นอะไร เราย่อมไม่มีวันรู้วิธีการปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสม สำหรับแต่ละบุคคล
บางคนชอบเดินช้าๆ จะบังคับให้เขาเดินเร็วไม่ได้ แต่น่าจะมีวิธีที่จะนำให้เขาไปถึงจุดหมายได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องเดินในจังหวะที่เร็ว เพราะเขาไม่โปรด เขาย่อมเกิดการต่อต้านการเดินเร็ว จึงเกิดอาการขาตาย...ฉันไม่เดิน...มีไรมะ :lol:
บางคนชอบใช้การฟัง และไม่ถนัดการดู... แต่เราไปบอกว่า คุณดูนี่สิ คุณดูนี่นะ คุณดูให้ดีๆ...เขาไม่มีวันเห็น ถึงเห็นก็เห็นน้อยมาก หรือเห็น ก็ไม่จำเข้าหัว
น่าจะประมาณนี้ ...เป็นต้นค่ะ...มั้งคะ :lol:
ข้อสอง..น่าจะเป็นจาก..วิธีการนำเสนอแนวคิดของตนเองสู่ผู้อื่น...
บางคนมองน้ำเหลือครึ่งแก้ว บางคนก็มองว่าหายไปครึ่งแก้ว...ไม่มีฝ่ายไหนผิดหรือถูก...นี่เป็นแค่มายาภาพ...เพราะคำตอบนั้น มีปริมาณน้ำในแก้วเท่ากัน
เราคงต้องเข้าไปนั่งในมุมของเขา แล้วมองออกมาว่าเขาเห็นอะไร
ถ้าเราไม่เข้าใจว่า เขามองเห็นอะไร เราย่อมไม่มีวันรู้วิธีการปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสม สำหรับแต่ละบุคคล
บางคนชอบเดินช้าๆ จะบังคับให้เขาเดินเร็วไม่ได้ แต่น่าจะมีวิธีที่จะนำให้เขาไปถึงจุดหมายได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องเดินในจังหวะที่เร็ว เพราะเขาไม่โปรด เขาย่อมเกิดการต่อต้านการเดินเร็ว จึงเกิดอาการขาตาย...ฉันไม่เดิน...มีไรมะ :lol:
บางคนชอบใช้การฟัง และไม่ถนัดการดู... แต่เราไปบอกว่า คุณดูนี่สิ คุณดูนี่นะ คุณดูให้ดีๆ...เขาไม่มีวันเห็น ถึงเห็นก็เห็นน้อยมาก หรือเห็น ก็ไม่จำเข้าหัว
น่าจะประมาณนี้ ...เป็นต้นค่ะ...มั้งคะ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณมากครับ สำหรับทุกคำแนะนำและข้อคิดเห็น
คำว่า " back to the water" คือสถานการณ์ของคนที่ หลังชนฝา หรือประมาณว่า หมาจนตรอก ถอยต่อไปไม่ได้แล้ว อะไรประมาณนี้ครับ
สิ่งที่ผมสงสัยคือ เมื่อคนเราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ หลังพิงฝา
แล้วมีปัจจัยอะไร ที่ทำให้คนเราแสดงอำนาจหรือพลังทำให้
เกิดผลงานทีเหนือความคาดหมายนั้นได้
คำว่า " back to the water" คือสถานการณ์ของคนที่ หลังชนฝา หรือประมาณว่า หมาจนตรอก ถอยต่อไปไม่ได้แล้ว อะไรประมาณนี้ครับ
สิ่งที่ผมสงสัยคือ เมื่อคนเราเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ หลังพิงฝา
แล้วมีปัจจัยอะไร ที่ทำให้คนเราแสดงอำนาจหรือพลังทำให้
เกิดผลงานทีเหนือความคาดหมายนั้นได้
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 9
อ๋อออ ...
ก็คือ (เท่าที่อ่านๆจากหนังสือจิตวิทยาทั้งหลาย) มนุษย์มีพลังในตัวสูงมากกว่าที่นำมาใช้จริงในยามปกติมาก เข้าใจว่าปกติมนุษย์ใช้ศักยภาพเพียงแค่ ไม่ถึง 10%ของที่มีอยู่
การที่หลังชนฝา มันคงทำให้ ไม่มีทางเลือก ไม่ต้องคิดพะวงหลังอะไร ไม่มีอะไรแย่กว่าที่เป็นแล้ว(นอกจากนั้นคือ ตาย)
เคยมีพี่ท่านนึงสอนดิฉันว่า
เฮ้ย เมื่อแกรู้สึกแล้วเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า ดวงกำลังตกสุดๆ หรือสถานการณ์ขณะนี้ต่ำเตี้ยติดดิน...จงพึงสังวรณ์ไว้ได้เลยว่า ....อีกไม่นานดวงจะขึ้นอีกครั้ง
...ถ้าไม่งั้น ก็คือ ตาย
ดังนั้น ถ้ารู้สึกตัวว่าอยู่ในช่วงเวลานั้น ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีแต้มถอยหลังอีกแล้ว เพราะถ้าถอยอีกคือต้องดินกลบหน้าเท่านั้น
ดังนั้นหลายถึง ลุยหน้าได้สถานเดียว
สมาธิทั้งหมด จะมุ่งมาที่แต้มเดินหน้าอย่างเดียว อย่างเต็มกำลัง
ความแตกต่างระหว่าง ต่อสู้ กลางเวที กะการต่อสู้หลังพิงฝา พลังแรงผลักน่าจะต่างกัน
เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับแบบนั้น จึงงัดพลังที่มีอยู่แล้วในตัวออกมาใช้ได้อัตโนมัติ ที่โดยปกติ ไม่เคยคิดหาวิธีที่จะนำออกมาใช้ (เพราะเชื่อมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็น เพราะแค่ที่ใช้แค่ 10% นี่ก็ดำรงชีวิตได้ปกติ ไม่เดือดร้อน)
โบราณยังว่าไว้ว่า อย่าตีหมาจนตรอก
เพราะมันสู้ยิบตา กัดได้ทุกกระบวนท่า เพราะมันไม่มีทางหนีแล้ว ไฟท์บังคับให้มันสู้แบบยิบตา สามารถนำพลังที่ไม่เคยได้ใช้มาก่อน ออกมาใช้ได้โดยอัตโนมัติแห่งสัญชาติญาน
คงเป็นสูตรที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิต เหมือนโหมดอัตโนมัติพิเศษ ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ประมาณนั้น..มั้งคะ :lol:
ก็คือ (เท่าที่อ่านๆจากหนังสือจิตวิทยาทั้งหลาย) มนุษย์มีพลังในตัวสูงมากกว่าที่นำมาใช้จริงในยามปกติมาก เข้าใจว่าปกติมนุษย์ใช้ศักยภาพเพียงแค่ ไม่ถึง 10%ของที่มีอยู่
การที่หลังชนฝา มันคงทำให้ ไม่มีทางเลือก ไม่ต้องคิดพะวงหลังอะไร ไม่มีอะไรแย่กว่าที่เป็นแล้ว(นอกจากนั้นคือ ตาย)
เคยมีพี่ท่านนึงสอนดิฉันว่า
เฮ้ย เมื่อแกรู้สึกแล้วเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า ดวงกำลังตกสุดๆ หรือสถานการณ์ขณะนี้ต่ำเตี้ยติดดิน...จงพึงสังวรณ์ไว้ได้เลยว่า ....อีกไม่นานดวงจะขึ้นอีกครั้ง
...ถ้าไม่งั้น ก็คือ ตาย
ดังนั้น ถ้ารู้สึกตัวว่าอยู่ในช่วงเวลานั้น ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีแต้มถอยหลังอีกแล้ว เพราะถ้าถอยอีกคือต้องดินกลบหน้าเท่านั้น
ดังนั้นหลายถึง ลุยหน้าได้สถานเดียว
สมาธิทั้งหมด จะมุ่งมาที่แต้มเดินหน้าอย่างเดียว อย่างเต็มกำลัง
ความแตกต่างระหว่าง ต่อสู้ กลางเวที กะการต่อสู้หลังพิงฝา พลังแรงผลักน่าจะต่างกัน
เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับแบบนั้น จึงงัดพลังที่มีอยู่แล้วในตัวออกมาใช้ได้อัตโนมัติ ที่โดยปกติ ไม่เคยคิดหาวิธีที่จะนำออกมาใช้ (เพราะเชื่อมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็น เพราะแค่ที่ใช้แค่ 10% นี่ก็ดำรงชีวิตได้ปกติ ไม่เดือดร้อน)
โบราณยังว่าไว้ว่า อย่าตีหมาจนตรอก
เพราะมันสู้ยิบตา กัดได้ทุกกระบวนท่า เพราะมันไม่มีทางหนีแล้ว ไฟท์บังคับให้มันสู้แบบยิบตา สามารถนำพลังที่ไม่เคยได้ใช้มาก่อน ออกมาใช้ได้โดยอัตโนมัติแห่งสัญชาติญาน
คงเป็นสูตรที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิต เหมือนโหมดอัตโนมัติพิเศษ ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ประมาณนั้น..มั้งคะ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 10
[quote="007-s"]อ๋อออ ...
ก็คือ (เท่าที่อ่านๆจากหนังสือจิตวิทยาทั้งหลาย) มนุษย์มีพลังในตัวสูงมากกว่าที่นำมาใช้จริงในยามปกติมาก เข้าใจว่าปกติมนุษย์ใช้ศักยภาพเพียงแค่ ไม่ถึง 10%ของที่มีอยู่
การที่หลังชนฝา มันคงทำให้ ไม่มีทางเลือก ไม่ต้องคิดพะวงหลังอะไร ไม่มีอะไรแย่กว่าที่เป็นแล้ว(นอกจากนั้นคือ ตาย)
เคยมีพี่ท่านนึงสอนดิฉันว่า
เฮ้ย เมื่อแกรู้สึกแล้วเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า ดวงกำลังตกสุดๆ หรือสถานการณ์ขณะนี้ต่ำเตี้ยติดดิน...จงพึงสังวรณ์ไว้ได้เลยว่า ....อีกไม่นานดวงจะขึ้นอีกครั้ง
...ถ้าไม่งั้น ก็คือ ตาย
ดังนั้น ถ้ารู้สึกตัวว่าอยู่ในช่วงเวลานั้น ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีแต้มถอยหลังอีกแล้ว เพราะถ้าถอยอีกคือต้องดินกลบหน้าเท่านั้น
ดังนั้นหลายถึง ลุยหน้าได้สถานเดียว
สมาธิทั้งหมด จะมุ่งมาที่แต้มเดินหน้าอย่างเดียว อย่างเต็มกำลัง
ความแตกต่างระหว่าง ต่อสู้ กลางเวที กะการต่อสู้หลังพิงฝา พลังแรงผลักน่าจะต่างกัน
เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับแบบนั้น จึงงัดพลังที่มีอยู่แล้วในตัวออกมาใช้ได้อัตโนมัติ ที่โดยปกติ ไม่เคยคิดหาวิธีที่จะนำออกมาใช้ (เพราะเชื่อมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็น เพราะแค่ที่ใช้แค่ 10% นี่ก็ดำรงชีวิตได้ปกติ ไม่เดือดร้อน)
โบราณยังว่าไว้ว่า อย่าตีหมาจนตรอก
เพราะมันสู้ยิบตา กัดได้ทุกกระบวนท่า เพราะมันไม่มีทางหนีแล้ว ไฟท์บังคับให้มันสู้แบบยิบตา สามารถนำพลังที่ไม่เคยได้ใช้มาก่อน ออกมาใช้ได้โดยอัตโนมัติแห่งสัญชาติญาน
คงเป็นสูตรที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิต เหมือนโหมดอัตโนมัติพิเศษ ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ประมาณนั้น..มั้งคะ
ก็คือ (เท่าที่อ่านๆจากหนังสือจิตวิทยาทั้งหลาย) มนุษย์มีพลังในตัวสูงมากกว่าที่นำมาใช้จริงในยามปกติมาก เข้าใจว่าปกติมนุษย์ใช้ศักยภาพเพียงแค่ ไม่ถึง 10%ของที่มีอยู่
การที่หลังชนฝา มันคงทำให้ ไม่มีทางเลือก ไม่ต้องคิดพะวงหลังอะไร ไม่มีอะไรแย่กว่าที่เป็นแล้ว(นอกจากนั้นคือ ตาย)
เคยมีพี่ท่านนึงสอนดิฉันว่า
เฮ้ย เมื่อแกรู้สึกแล้วเชื่อมั่นอย่างหมดใจว่า ดวงกำลังตกสุดๆ หรือสถานการณ์ขณะนี้ต่ำเตี้ยติดดิน...จงพึงสังวรณ์ไว้ได้เลยว่า ....อีกไม่นานดวงจะขึ้นอีกครั้ง
...ถ้าไม่งั้น ก็คือ ตาย
ดังนั้น ถ้ารู้สึกตัวว่าอยู่ในช่วงเวลานั้น ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีแต้มถอยหลังอีกแล้ว เพราะถ้าถอยอีกคือต้องดินกลบหน้าเท่านั้น
ดังนั้นหลายถึง ลุยหน้าได้สถานเดียว
สมาธิทั้งหมด จะมุ่งมาที่แต้มเดินหน้าอย่างเดียว อย่างเต็มกำลัง
ความแตกต่างระหว่าง ต่อสู้ กลางเวที กะการต่อสู้หลังพิงฝา พลังแรงผลักน่าจะต่างกัน
เมื่อมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับแบบนั้น จึงงัดพลังที่มีอยู่แล้วในตัวออกมาใช้ได้อัตโนมัติ ที่โดยปกติ ไม่เคยคิดหาวิธีที่จะนำออกมาใช้ (เพราะเชื่อมาโดยตลอดว่าไม่จำเป็น เพราะแค่ที่ใช้แค่ 10% นี่ก็ดำรงชีวิตได้ปกติ ไม่เดือดร้อน)
โบราณยังว่าไว้ว่า อย่าตีหมาจนตรอก
เพราะมันสู้ยิบตา กัดได้ทุกกระบวนท่า เพราะมันไม่มีทางหนีแล้ว ไฟท์บังคับให้มันสู้แบบยิบตา สามารถนำพลังที่ไม่เคยได้ใช้มาก่อน ออกมาใช้ได้โดยอัตโนมัติแห่งสัญชาติญาน
คงเป็นสูตรที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่สิ่งมีชีวิต เหมือนโหมดอัตโนมัติพิเศษ ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
ประมาณนั้น..มั้งคะ
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 11
ซ้อมในเรื่องง่ายๆก่อนคะ
เช่น ตื่นนอนโดยไม่ใช้เสียงนาฬิกาปลุก เอาแบบเป๊ะๆนะ เชี๊ยะเลย ตีห้าคือตีห้าเลย ทำได้มั้ย
แล้วค่อยๆเลื่อนมา ฝึกนอกบ้าน เช่น หาที่จอดรถ ในที่ๆหาจอดยากมากๆ ในทุกๆครั้งที่ไปที่นั่น
กำหนดจิตก่อนสตาร์ทรถเลย สร้างมโนภาพที่จอดนั้นว่างอยู่ เห็นเราขับเข้าไปจอด ฝึกแรกๆ เอาตัวเรามองเหตุการณ์ ฝึกหนักๆเข้า เอาตัวเราอยู่ในเหตุการณ์
คำว่าตัวเราอยูในเหตุการณ์คือ ต้องกำหนดภาพที่เห็น เป็นภาพแทนสายตาเราเอง ไม่ใช่เห็นตัวเรากำลังแอ๊คติ้งอยู่ในสถานการณ์
เมื่อก่อนทำบ่อย เรื่องที่จอดรถ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ขับรถแล้ว ก็ไม่ได้ฝึกอีก
ทำบ่อยๆ ทำตลอดเวลา กำหนดสมาธิ กำหนดรู้สติตลอดเวลา กำหนดจิตได้ ย่อมกำหนดความเชื่อได้ด้วยอยู่แล้ว
ไม่ง่ายนักค่ะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
มันทฤษฏีเดียวกัน เหมือนนักแสดงที่เก่งๆ จะเข้าใจวิธีการนี้
เช่น ในบทนี้เศร้า ต้องสร้าง อินเนอร์ ต้องเชื่อในอินเนอร์นั้นๆก่อนด้วย
เศร้ายังไงให้ หน้าหมองเลย หน้าตาโหงวเฮ้งหมองคล้ำ เล่นยังไงให้เหงื่อแตก โกรธยังไงให้มือสั่นได้ ...คือต้องกำหนดมาจากอินเนอร์เท่านั้น ไม่งั้นมือสั่นไม่เหมือนจริง สั่นจนปากสั่นเสียงสั่น มือไม้สั่น ...อย่างนี้คือ กำหนดจิตได้สนิทเลย
แล้วมันเหมือนนักกีฬานะ เช่น ตีเทนนิส ก็ต้องฝึกทุกวัน ตลอดเวลา ฝึกท่านั้นๆจนชนิดที่เข้าเส้นเลย พอเวลาต้องใช้งาน มันจะได้ออโต้ได้ดีกว่า
แต่ถ้าไม่ซ้อมนานก็จะฝืดๆไป ...สนุกดีค่ะ :lol:
เช่น ตื่นนอนโดยไม่ใช้เสียงนาฬิกาปลุก เอาแบบเป๊ะๆนะ เชี๊ยะเลย ตีห้าคือตีห้าเลย ทำได้มั้ย
แล้วค่อยๆเลื่อนมา ฝึกนอกบ้าน เช่น หาที่จอดรถ ในที่ๆหาจอดยากมากๆ ในทุกๆครั้งที่ไปที่นั่น
กำหนดจิตก่อนสตาร์ทรถเลย สร้างมโนภาพที่จอดนั้นว่างอยู่ เห็นเราขับเข้าไปจอด ฝึกแรกๆ เอาตัวเรามองเหตุการณ์ ฝึกหนักๆเข้า เอาตัวเราอยู่ในเหตุการณ์
คำว่าตัวเราอยูในเหตุการณ์คือ ต้องกำหนดภาพที่เห็น เป็นภาพแทนสายตาเราเอง ไม่ใช่เห็นตัวเรากำลังแอ๊คติ้งอยู่ในสถานการณ์
เมื่อก่อนทำบ่อย เรื่องที่จอดรถ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ขับรถแล้ว ก็ไม่ได้ฝึกอีก
ทำบ่อยๆ ทำตลอดเวลา กำหนดสมาธิ กำหนดรู้สติตลอดเวลา กำหนดจิตได้ ย่อมกำหนดความเชื่อได้ด้วยอยู่แล้ว
ไม่ง่ายนักค่ะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
มันทฤษฏีเดียวกัน เหมือนนักแสดงที่เก่งๆ จะเข้าใจวิธีการนี้
เช่น ในบทนี้เศร้า ต้องสร้าง อินเนอร์ ต้องเชื่อในอินเนอร์นั้นๆก่อนด้วย
เศร้ายังไงให้ หน้าหมองเลย หน้าตาโหงวเฮ้งหมองคล้ำ เล่นยังไงให้เหงื่อแตก โกรธยังไงให้มือสั่นได้ ...คือต้องกำหนดมาจากอินเนอร์เท่านั้น ไม่งั้นมือสั่นไม่เหมือนจริง สั่นจนปากสั่นเสียงสั่น มือไม้สั่น ...อย่างนี้คือ กำหนดจิตได้สนิทเลย
แล้วมันเหมือนนักกีฬานะ เช่น ตีเทนนิส ก็ต้องฝึกทุกวัน ตลอดเวลา ฝึกท่านั้นๆจนชนิดที่เข้าเส้นเลย พอเวลาต้องใช้งาน มันจะได้ออโต้ได้ดีกว่า
แต่ถ้าไม่ซ้อมนานก็จะฝืดๆไป ...สนุกดีค่ะ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 1455
- ผู้ติดตาม: 0
มีเรื่องสงสัย
โพสต์ที่ 12
[quote="007-s"]ซ้อมในเรื่องง่ายๆก่อนคะ
เช่น ตื่นนอนโดยไม่ใช้เสียงนาฬิกาปลุก เอาแบบเป๊ะๆนะ เชี๊ยะเลย ตีห้าคือตีห้าเลย ทำได้มั้ย
แล้วค่อยๆเลื่อนมา ฝึกนอกบ้าน เช่น หาที่จอดรถ ในที่ๆหาจอดยากมากๆ ในทุกๆครั้งที่ไปที่นั่น
กำหนดจิตก่อนสตาร์ทรถเลย สร้างมโนภาพที่จอดนั้นว่างอยู่ เห็นเราขับเข้าไปจอด ฝึกแรกๆ เอาตัวเรามองเหตุการณ์ ฝึกหนักๆเข้า เอาตัวเราอยู่ในเหตุการณ์
คำว่าตัวเราอยูในเหตุการณ์คือ ต้องกำหนดภาพที่เห็น เป็นภาพแทนสายตาเราเอง ไม่ใช่เห็นตัวเรากำลังแอ๊คติ้งอยู่ในสถานการณ์
เมื่อก่อนทำบ่อย เรื่องที่จอดรถ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ขับรถแล้ว ก็ไม่ได้ฝึกอีก
ทำบ่อยๆ ทำตลอดเวลา กำหนดสมาธิ กำหนดรู้สติตลอดเวลา กำหนดจิตได้ ย่อมกำหนดความเชื่อได้ด้วยอยู่แล้ว
ไม่ง่ายนักค่ะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
มันทฤษฏีเดียวกัน เหมือนนักแสดงที่เก่งๆ จะเข้าใจวิธีการนี้
เช่น ในบทนี้เศร้า ต้องสร้าง อินเนอร์ ต้องเชื่อในอินเนอร์นั้นๆก่อนด้วย
เศร้ายังไงให้ หน้าหมองเลย หน้าตาโหงวเฮ้งหมองคล้ำ เล่นยังไงให้เหงื่อแตก โกรธยังไงให้มือสั่นได้ ...คือต้องกำหนดมาจากอินเนอร์เท่านั้น ไม่งั้นมือสั่นไม่เหมือนจริง สั่นจนปากสั่นเสียงสั่น มือไม้สั่น ...อย่างนี้คือ กำหนดจิตได้สนิทเลย
แล้วมันเหมือนนักกีฬานะ เช่น ตีเทนนิส ก็ต้องฝึกทุกวัน ตลอดเวลา ฝึกท่านั้นๆจนชนิดที่เข้าเส้นเลย พอเวลาต้องใช้งาน มันจะได้ออโต้ได้ดีกว่า
แต่ถ้าไม่ซ้อมนานก็จะฝืดๆไป ...สนุกดีค่ะ
เช่น ตื่นนอนโดยไม่ใช้เสียงนาฬิกาปลุก เอาแบบเป๊ะๆนะ เชี๊ยะเลย ตีห้าคือตีห้าเลย ทำได้มั้ย
แล้วค่อยๆเลื่อนมา ฝึกนอกบ้าน เช่น หาที่จอดรถ ในที่ๆหาจอดยากมากๆ ในทุกๆครั้งที่ไปที่นั่น
กำหนดจิตก่อนสตาร์ทรถเลย สร้างมโนภาพที่จอดนั้นว่างอยู่ เห็นเราขับเข้าไปจอด ฝึกแรกๆ เอาตัวเรามองเหตุการณ์ ฝึกหนักๆเข้า เอาตัวเราอยู่ในเหตุการณ์
คำว่าตัวเราอยูในเหตุการณ์คือ ต้องกำหนดภาพที่เห็น เป็นภาพแทนสายตาเราเอง ไม่ใช่เห็นตัวเรากำลังแอ๊คติ้งอยู่ในสถานการณ์
เมื่อก่อนทำบ่อย เรื่องที่จอดรถ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ขับรถแล้ว ก็ไม่ได้ฝึกอีก
ทำบ่อยๆ ทำตลอดเวลา กำหนดสมาธิ กำหนดรู้สติตลอดเวลา กำหนดจิตได้ ย่อมกำหนดความเชื่อได้ด้วยอยู่แล้ว
ไม่ง่ายนักค่ะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
มันทฤษฏีเดียวกัน เหมือนนักแสดงที่เก่งๆ จะเข้าใจวิธีการนี้
เช่น ในบทนี้เศร้า ต้องสร้าง อินเนอร์ ต้องเชื่อในอินเนอร์นั้นๆก่อนด้วย
เศร้ายังไงให้ หน้าหมองเลย หน้าตาโหงวเฮ้งหมองคล้ำ เล่นยังไงให้เหงื่อแตก โกรธยังไงให้มือสั่นได้ ...คือต้องกำหนดมาจากอินเนอร์เท่านั้น ไม่งั้นมือสั่นไม่เหมือนจริง สั่นจนปากสั่นเสียงสั่น มือไม้สั่น ...อย่างนี้คือ กำหนดจิตได้สนิทเลย
แล้วมันเหมือนนักกีฬานะ เช่น ตีเทนนิส ก็ต้องฝึกทุกวัน ตลอดเวลา ฝึกท่านั้นๆจนชนิดที่เข้าเส้นเลย พอเวลาต้องใช้งาน มันจะได้ออโต้ได้ดีกว่า
แต่ถ้าไม่ซ้อมนานก็จะฝืดๆไป ...สนุกดีค่ะ
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..