จิม โรเจอร์
โลกในมุมมองของ Value Investor
ถ้าคุณโชคดีได้กำไรจากหุ้นมากเสียจนเป็นมหาเศรษฐีมีเงินเหลือใช้คุณคิดว่าอยากจะทำอะไรในชีวิต?
คำตอบคงมีหลากหลายแล้วแต่ว่าเขาเป็นใคร แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเหมือนกันค่อนข้างมากก็คือท่องเที่ยว เดินทางไปทั่วโลกถ้าเป็นไปได้
จิม โรเจอร์ เป็นหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จสูงและเร็วมากในการลงทุน เขาเป็นหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งกองทุนควอนตัมฟันด์ร่วมกับจอร์จ โซโรส พออายุครบ 37 ปีเขาก็ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีและเกษียณอายุด้วยเงินมหาศาลซึ่งเขาบอกว่า ผมทำเงินได้มากเสียจนคิดไม่ถึงว่าจะมีเงินมากขนาดนี้อยู่ในโลก
หลังจากเลิกทำงานในปี 1980 เขาตัดสินใจเดินทางไปทั่วโลก แต่ไม่ใช่ด้วยเครื่องบินบนที่นั่งชั้นหนึ่งพร้อมรถลีมูซีนหรู แต่ด้วยมอเตอร์ไซด์คู่ชีพใช้เวลา 2 ปี เดินทาง 100,000 ไมล์ ผ่าน 6 ทวีป ประเภทค่ำไหนนอนนั่น ในระหว่างนั้นเขาเขียนหนังสือซึ่งขายดีติดอันดับเป็นเบสท์เซลเลอร์ชื่อ Investment Biker : Around the World with Jim Roger เล่าเรื่องการเดินทางผ่านภูมิประเทศที่ทุรกันดารและประเทศในโลกที่สามที่ยากจนในมุมมองของนักผจญภัยและนักลงทุน
ผลจากการเดินทางครั้งนั้นชื่อเขาได้รับการบันทึกในกินเนสส์บุคในฐานะเป็นผู้เดินทางยาวที่สุดในโลกในวิธีการที่เขาใช้ หนังสือพิมพ์ไทม์แมกกาซีนที่ทรงอิทธิพลเรียกเขาว่า อินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์ และได้กลายเป็น ยี่ห้อ ที่ติดตัวเขามาจนทุกวันนี้และคงติดตัวเขาไปจนวันตาย เพราะเขาเป็นคนแรกและคนที่สองหรือสามก็คงจะหายากสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนที่จะต้องยังหนุ่มแน่นแข็งแรงและที่สำคัญต้องมีความหลงใหลในการผจญภัยเป็นชีวิตจิตใจอย่างจิม โรเจอร์
นอกจากการเดินทางผจญภัยแล้ว เขาไม่ได้ปล่อยชีวิตให้ว่างเปล่า เขายังคงลงทุนในเงินของตนเอง และใช้เวลาบางช่วงสอนหนังสือโดยเป็นอาจารย์ทางด้านการเงินสอนเด็กปริญญาโทในคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แหล่งกำเนิดของ Value Investment และ วอเร็น บัฟเฟตต์ นอกจากนั้นเขายังทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการทางการเงินและการลงทุนออกอากาศทางทีวีหลายช่อง
วันที่ 1 มกราคม 1999 จิม โรเจอร์ ตัดสินใจเดินทางรอบโลกอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะสำรวจโลกในช่วงผ่านสหัสวรรษปี 2000 ครั้งนี้เขาเดินทางด้วยรถเบนซ์สีเหลืองสดเปิดประทุน แต่การเดินทางก็ทุรกันดารไม่ต่างจากครั้งแรกเพียงแต่ครั้งนี้เขาเดินทาง ไปพร้อมกับโลก เนื่องจากเขาสามารถติดต่อกับคนทั่วโลกผ่านอินเตอร์เนตซึ่งได้พัฒนาขึ้นมาจากการเดินทางครั้งก่อนที่เขาต้องใช้โพสต์การ์ดเป็นหลัก
เช่นเดียวกับการเดินทางครั้งแรก เขาเขียนหนังสือในระหว่างเดินทางผ่านประเทศต่าง ๆ ตลอดระยะทาง 150,000 ไมล์ ผ่านประเทศต่าง ๆ เช่น ซาอุดิอาระเบีย พม่า อังโกลา ซูดาน คองโก โคลัมเบีย และติมอร์ตะวันออก ผ่านสมรภูมิรบ ทะเลทราย ป่าเขา โรคร้ายและพายุหิมะ หลายครั้งเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ในระหว่างการเดินทางเขามักจะพักกับชาวบ้านในท้องถิ่นเช่นพักในเต็นท์ของพวกเร่ร่อนในทะเลทราย เขากินหนอนผีเสื้อ ตัวอีกัวนา และงู หนู จระเข้ และตั๊กแตน เขาคลุกคลีกับชาวบ้านใช้ชีวิตแบบคนสามัญในท้องถิ่น ศึกษาและเรียนรู้ความเป็นไปของสังคมแต่ละแห่งที่ผ่านไป เขาบอกว่า ผมไม่เคยเที่ยวโสเภณีแต่ผมรู้ว่าเราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศใดประเทศหนึ่งได้โดยการพูดคุยกับคุณผู้หญิงของสถานที่เหล่านั้นหรือพูดกับคนที่ทำธุรกิจในตลาดมืดมากกว่าการพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศ
หนังสือเล่มที่สองซึ่งเพิ่งออกมาเมื่อปีที่แล้วชื่อ Adventure Capitalist ให้ภาพของโลกที่แท้จริงจาก รากหญ้า แม้ว่าจะเป็นการสัมผัสเพียงสั้น ๆ แต่ก็ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจและเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ไม่พูดถึง เช่นเดียวกับหนังสือท่องเที่ยวก็ไม่สนใจที่จะนำเสนอเพราะนี่เป็นมุมมองของคนที่มีความคิดของนักลงทุนบวกกับนักผจญภัยที่ชอบมองโอกาสและความตื่นเต้นในชีวิต บางส่วนของข้อสรุปของเขาอย่างคร่าว ๆ ก็คือ
ตลาดของสินค้าโภคภัณฑ์กำลังเริ่มบูมครั้งใหญ่นี่ดูเหมือนจะเป็นความจริงเพราะเราเห็นราคาของปิโตรเคมี เหล็ก น้ำมันและอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ปรับตัวขึ้นและทำให้หุ้นในกลุ่มนี้วิ่งขึ้นทั่วหน้า
ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษของจีนซึ่งจะเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นอภิมหาอำนาจแข่งกับอเมริกาได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่มีการพูดถึงกันมากแต่จิม โรเจอร์มองจากพื้นฐานของคนไม่ใช่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เอเซียกำลังขาดแคลนผู้หญิงอย่างหนัก ผมเชื่อครับเพราะคนจีนที่มีลูกได้ครอบครัวละคนมักอยากจะได้ลูกชายเพื่อเป็นที่พึ่งในยามแก่เฒ่า ส่วนอินเดียเองการมีลูกผู้หญิงหมายความว่าคุณต้องเลี้ยงดูจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เสร็จแล้วคุณก็ต้องไปสู่ขอผู้ชายที่คุณจะต้องจ่ายค่าสินสอดทองหมั้นมากมาย และหลังจากนั้นคุณก็ต้อง เสีย ลูกของคุณไปให้กับบ้านฝ่ายชายเพราะฉะนั้นใครจะอยากได้ลูกผู้หญิง
แต่การที่ผู้หญิงขาดแคลนนั้น ในที่สุดแล้วผู้หญิงก็จะ มีค่า มากขึ้น ผมเองได้ยินว่าเดี๋ยวนี้เริ่มมีแล้วในอินเดียที่ฝ่ายผู้หญิงกลับไปขอให้ฝ่ายผู้ชายออกเงินค่าสินสอดเพื่อเอามาจ่ายให้ตัวเอง และผมเองเชื่อว่าครอบครัวคนจีนที่มีลูกผู้หญิงคงจะ ไม่กลุ้ม อีกต่อไปเพราะจะมีโอกาสเลือกผู้ชายร่ำรวยที่มีเงินสามารถเลี้ยงแม่ยายพ่อตาได้อย่างสบาย
ประวัติของจิม โรเจอร์เองนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากนักลงทุนเอกของโลกหลายคน เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนต้องทำงานเก็บขวดขายมาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แต่เป็นคนเรียนเก่งได้ทุนเรียนที่มหาวิทยาลัยระดับไอวีลีคคือ เยล เสร็จแล้วไปต่อที่อ็อกฟอร์ด ในช่วงเวลา 10 ปีที่เขาทำงานบริหารกองทุนควอนตัมฟันด์นั้นพอร์ตของกองทุนได้กำไรถึง 4,000% ในขณะที่ดัชนี S&P เพิ่มขึ้นเพียง 50% ซึ่งทำให้เขารวยและตัดสินใจเกษียณตัวเอง
วิธีการลงทุนของจิม โรเจอร์ไม่ได้มีการกล่าวถึงนักและถึงจะมีก็คงไม่ใช่สิ่งที่คนจะสนใจ เพราะเขาก็คงอยู่ภายใต้เงาของจอร์จ โซโรส เซียนหุ้นนักเก็งกำไรชื่อดังของโลก แต่สิ่งที่เขาทำเมื่อประสบความสำเร็จจากการลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ นั่นก็คือ เขาใช้การลงทุนเป็นหนทางสู่ความใฝ่ฝันในการที่จะผจญภัยท่องโลกแบบอินเดียน่าโจนส์ และนี่ก็คือเรื่องของอินเดียน่าจิม ตำนานของนักลงทุนอีกคนหนึ่งที่นักลงทุนควรรู้จัก
http://www.thaivi.com/article/value-investor/95-.html
อัฉริยะในข้างหน้าศึกษาชีวิตของอัฉริยะในวันนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
อัฉริยะในข้างหน้าศึกษาชีวิตของอัฉริยะในวันนี้
โพสต์ที่ 2
ปีเตอร์ ลินช์
โลกในมุมมองของ Value Investor
{mosimage} ตำนานของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่คงต้องบันทึกชื่อของปีเตอร์ ลินช์ไว้ด้วย เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เขาเคยเป็นผู้บริหารกองทุนรวมที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่ง ด้วยสถิติการบริหารกองทุนแม็คเจ็ลลัน 13 ปี ตั้งแต่ปี 1977- 1990 ซึ่งให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 29% ทำให้กองทุนแม็คเจ็ลลันกลายเป็นกองทุนรวมที่มีผลงานที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุด เมื่อเขาเลิกบริหารและเกษียณอายุตัวเองก่อนกำหนดเมื่อมีอายุเพียง 46 ปี
แต่เหตุผลที่ทำให้ปีเตอร์ลินช์เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งปัจจุบันและต่อไปตราบนานเท่านานนั้น อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เขาได้เขียนหนังสือ บอกวิธีการลงทุนของเขารวมกันไม่น้อยกว่า 3 เล่ม คือ One Up on Wall Street, Beating the Street และ Learn to Earn ทั้งสามเล่มขายดีเป็น Best Seller แต่ผมคิดว่า One Up on Wall Street ซึ่งเป็นเล่มแรกน่าจะเป็นเล่มที่ขายดีที่สุด และน่าจะขายได้เป็นล้านเล่มนับจากวันที่เริ่มตีพิมพ์จนถึงวันนี้
สำหรับผม One Up on Wall Street คือหนังสือ How to คือเป็นคู่มือที่สามารถนำไปใช้ได้ง่ายและน่าอ่านที่สุดเล่มหนึ่ง เพราะมันรวบรวมประสบการณ์จริงของเซียนหุ้นระดับโลก ที่เล่าถึงวิธีการลงทุนในทางปฎิบัติที่คนธรรมดาสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้
ว่าที่จริงผมยังไม่เคยเจอหนังสือการลงทุนที่สนุกสนานและมีเนื้อหาเข้มข้นเท่ากับ One Up on Wall Street ที่สำคัญ หนังสือเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1989 จ นถึงขณะนี้มันยังทันสมัยและไม่น่าเบื่อที่จะอ่านซ้ำ และผมคิดว่ามันจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิค แบบเดียวกับหนังสืออย่าง Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม และ Common Stock and Uncommon Profit ของฟิลิป ฟิสเชอร์
หัวใจสำคัญของการลงทุนข้อหนึ่งที่ปีเตอร์ลินช์บอกก็คือ ในการวิเคราะห์หุ้นคุณจะต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นประเภทใดใน 6 ประเภทซึ่งประกอบไปด้วย:
หุ้นโตช้า นี่คือหุ้นที่กำไรของกิจการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจหรือต่ำกว่า และคุณซื้อหุ้นเหล่านี้เพื่อหวังปันผล เวลาดูว่าน่าสนใจหรือไม่คุณต้องตรวจสอบว่ามันจ่ายปันผลมาตลอดหรือไม่ ปันผลของบริษัทสม่ำเสมอแค่ไหนและมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นหรือเปล่า นอกจากนั้นปันผลที่จ่ายคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไรของบริษัท เพราะถ้าจ่ายในอัตราที่สูงมากก็อาจจะรักษาระดับปันผลนั้นไม่ได้ เมื่อบริษัทประสบกับปัญหาหรือกำไรตกต่ำลง ในเมืองไทยนี่น่าจะรวมถึงหุ้นในกลุ่มสิ่งทอ เกษตร และอาหาร เป็นต้น
หุ้นแข็งแกร่ง นี่คือหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความเข้มแข็งทางด้านการตลาด การเงิน การบริหาร และอื่น ๆ เป็นหุ้นบลูชิพที่สามารถทนต่อภาวะการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจ และไม่เจ๊งง่าย ๆ การเล่นหุ้นในกลุ่มนี้จะค่อนข้างปลอดภัย ถ้าคุณไม่ซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูง และคุณดูแล้วว่าอัตราการเจริญเติบโตในระยะยาวของบริษัทพอใช้ได้ บริษัทไม่ขยายตัวไปทำอะไรนอกลู่นอกทางที่จะทำให้กิจการเสียหาย
ข้อควรตระหนักสำหรับหุ้นเหล่านี้ก็คือ หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นช้าง เพราะฉะนั้นมันไม่สามารถ บิน หรือ กระโดด ได้ ดังนั้นเมื่อคุณได้กำไรสัก 30% ก็ปล่อยของได้แล้ว การที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไปหลาย ๆ เท่าในระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หุ้นเหล่านี้บางตัวคุณถือได้จนตายและอาจได้ผลตอบแทนในอัตรา 10-15% ต่อปีในระยะยาว หุ้นวัฏจักร เป็นหุ้นของบริษัทที่มียอดขายและกำไรขึ้นลงเป็นช่วง ๆ ที่พอคาดการณ์ได้ การเล่นหุ้นวัฏจักรนั้น หัวใจสำคัญก็คือคุณต้องรู้จักอุตสาหกรรมนั้นดีพอ ที่จะรู้ว่าอุตสาหกรรมนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง เพราะราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงสุด และกำลังจะปรับตัวลงเมื่อกำไรของกิจการขึ้นสู่จุดสูงสุด หุ้นวัฏจักรที่เห็นชัดเจนในตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผลิตวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึง ปิโตรเคมี เยื่อกระดาษ เหล็ก การขนส่งทางทะเล หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์
หุ้นโตเร็ว นี่คือหุ้นของกิจการที่กำไรเติบโตเร็ว 20-25% ขึ้นไป อย่างน้อยในช่วงเวลา 4-5 ปีข้างหน้า หุ้นเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว หรือมียอดขายเติบโตมาก การดูหุ้นโตเร็วจะต้องวิเคราะห์ว่ายังมีช่องว่างที่บริษัทจะเติบโตต่อไปอีกมาก ไม่ใช่โตต่อไปได้อีกไม่เท่าไรก็ตันแล้ว นอกจากนั้น หุ้นที่โตเร็วเกินไปซึ่งมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงนั้นมักจะอันตราย เพราะคู่แข่งจะเข้ามามากทำให้การเจริญเติบโตไม่ยั่งยืน
การเลือกหุ้นโตเร็วต้องดูว่าค่า PE ไม่สูงเกินไป ปีเตอร์ลินช์บอกว่าค่า PE ควรจะต่ำกว่าอัตราการเจริญเติบโตของบริษัท เช่นถ้าเติบโต 20% ต่อปี ก็ควรมีค่า PE ไม่เกิน 20 เท่า หุ้นโตเร็วเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการที่จะทำกำไรได้สูงสุดในความเห็นของปีเตอร์ลินช์ ในเมืองไทยหุ้นโตเร็วน่าจะรวมถึงหุ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ บันเทิง และอาจจะสื่อสารบางส่วน เป็นต้น
หุ้นฟื้นตัว นี่คือหุ้นของกิจการที่มีปัญหาและมีโอกาสที่จะเอาตัวรอด และกลับมาทำกำไรได้ ในแง่ของปีเตอร์ลินช์ซึ่งอยู่ในสังคมของประเทศพัฒนาแล้ว เขาคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่มีหนี้น้อยและมีเงินสดมาก รวมทั้งโครงสร้างหนี้จะต้องเอื้ออำนวยนั่นคือ หนี้ระยะสั้นที่ถึงกำหนดชำระคืนเร็วควรจะมีน้อย สิ่งสำคัญต่อมาก็คือ บริษัทจะต้องมีหนทางที่จะฟื้นตัว เช่น สามารถขายทรัพย์สินหรือกิจการอื่นเพื่อนำเงินสดมาใช้
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทสามารถบีบสถาบันการเงินได้มากกว่า และโครงสร้างหนี้ก็สามารถปรับได้ง่าย การขอลดหนี้ของบริษัทก็ทำได้ง่าย เพราะกฎหมายและการบังคับใช้เอื้ออำนวยให้กับลูกหนี้มาก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หุ้นฟื้นตัวเป็นหุ้นที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้กับคนที่สามารถคาดการสถานการณ์ได้ถูกต้องและซื้อหุ้นในขณะที่ราคาต่ำติดดิน
หุ้นทรัพย์สินมาก ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย เป็นหุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมาก เมื่อเทียบกับราคาหุ้น สิ่งที่ต้องจับตาดูก็คือ บริษัทกำลังจะไปก่อหนี้ใหม่หรือเอาเงินไปใช้ในสิ่งที่อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีนักล่ากิจการเข้ามาปลดปล่อยทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์หรือไม่
ทั้งหมดนั้นก็คือเกร็ดวิธีอย่างย่อที่สุดของการเลือกหุ้นในแบบฉบับของปีเตอร์ลินช์ ที่ Value Investor ทุกคนควรเรียนรู้ เช่นเดียวกับนักเก็งกำไร แม่บ้าน และมืออาชีพ เช่น ผู้จัดการกองทุนต่าง ๆ เพราะนี่คือวิธีการลงทุนสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง
http://www.thaivi.com/article/value-investor/101-.html
โลกในมุมมองของ Value Investor
{mosimage} ตำนานของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่คงต้องบันทึกชื่อของปีเตอร์ ลินช์ไว้ด้วย เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เขาเคยเป็นผู้บริหารกองทุนรวมที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่ง ด้วยสถิติการบริหารกองทุนแม็คเจ็ลลัน 13 ปี ตั้งแต่ปี 1977- 1990 ซึ่งให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 29% ทำให้กองทุนแม็คเจ็ลลันกลายเป็นกองทุนรวมที่มีผลงานที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุด เมื่อเขาเลิกบริหารและเกษียณอายุตัวเองก่อนกำหนดเมื่อมีอายุเพียง 46 ปี
แต่เหตุผลที่ทำให้ปีเตอร์ลินช์เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งปัจจุบันและต่อไปตราบนานเท่านานนั้น อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เขาได้เขียนหนังสือ บอกวิธีการลงทุนของเขารวมกันไม่น้อยกว่า 3 เล่ม คือ One Up on Wall Street, Beating the Street และ Learn to Earn ทั้งสามเล่มขายดีเป็น Best Seller แต่ผมคิดว่า One Up on Wall Street ซึ่งเป็นเล่มแรกน่าจะเป็นเล่มที่ขายดีที่สุด และน่าจะขายได้เป็นล้านเล่มนับจากวันที่เริ่มตีพิมพ์จนถึงวันนี้
สำหรับผม One Up on Wall Street คือหนังสือ How to คือเป็นคู่มือที่สามารถนำไปใช้ได้ง่ายและน่าอ่านที่สุดเล่มหนึ่ง เพราะมันรวบรวมประสบการณ์จริงของเซียนหุ้นระดับโลก ที่เล่าถึงวิธีการลงทุนในทางปฎิบัติที่คนธรรมดาสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้
ว่าที่จริงผมยังไม่เคยเจอหนังสือการลงทุนที่สนุกสนานและมีเนื้อหาเข้มข้นเท่ากับ One Up on Wall Street ที่สำคัญ หนังสือเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1989 จ นถึงขณะนี้มันยังทันสมัยและไม่น่าเบื่อที่จะอ่านซ้ำ และผมคิดว่ามันจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิค แบบเดียวกับหนังสืออย่าง Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม และ Common Stock and Uncommon Profit ของฟิลิป ฟิสเชอร์
หัวใจสำคัญของการลงทุนข้อหนึ่งที่ปีเตอร์ลินช์บอกก็คือ ในการวิเคราะห์หุ้นคุณจะต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นประเภทใดใน 6 ประเภทซึ่งประกอบไปด้วย:
หุ้นโตช้า นี่คือหุ้นที่กำไรของกิจการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจหรือต่ำกว่า และคุณซื้อหุ้นเหล่านี้เพื่อหวังปันผล เวลาดูว่าน่าสนใจหรือไม่คุณต้องตรวจสอบว่ามันจ่ายปันผลมาตลอดหรือไม่ ปันผลของบริษัทสม่ำเสมอแค่ไหนและมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นหรือเปล่า นอกจากนั้นปันผลที่จ่ายคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไรของบริษัท เพราะถ้าจ่ายในอัตราที่สูงมากก็อาจจะรักษาระดับปันผลนั้นไม่ได้ เมื่อบริษัทประสบกับปัญหาหรือกำไรตกต่ำลง ในเมืองไทยนี่น่าจะรวมถึงหุ้นในกลุ่มสิ่งทอ เกษตร และอาหาร เป็นต้น
หุ้นแข็งแกร่ง นี่คือหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความเข้มแข็งทางด้านการตลาด การเงิน การบริหาร และอื่น ๆ เป็นหุ้นบลูชิพที่สามารถทนต่อภาวะการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจ และไม่เจ๊งง่าย ๆ การเล่นหุ้นในกลุ่มนี้จะค่อนข้างปลอดภัย ถ้าคุณไม่ซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูง และคุณดูแล้วว่าอัตราการเจริญเติบโตในระยะยาวของบริษัทพอใช้ได้ บริษัทไม่ขยายตัวไปทำอะไรนอกลู่นอกทางที่จะทำให้กิจการเสียหาย
ข้อควรตระหนักสำหรับหุ้นเหล่านี้ก็คือ หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นช้าง เพราะฉะนั้นมันไม่สามารถ บิน หรือ กระโดด ได้ ดังนั้นเมื่อคุณได้กำไรสัก 30% ก็ปล่อยของได้แล้ว การที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไปหลาย ๆ เท่าในระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หุ้นเหล่านี้บางตัวคุณถือได้จนตายและอาจได้ผลตอบแทนในอัตรา 10-15% ต่อปีในระยะยาว หุ้นวัฏจักร เป็นหุ้นของบริษัทที่มียอดขายและกำไรขึ้นลงเป็นช่วง ๆ ที่พอคาดการณ์ได้ การเล่นหุ้นวัฏจักรนั้น หัวใจสำคัญก็คือคุณต้องรู้จักอุตสาหกรรมนั้นดีพอ ที่จะรู้ว่าอุตสาหกรรมนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง เพราะราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงสุด และกำลังจะปรับตัวลงเมื่อกำไรของกิจการขึ้นสู่จุดสูงสุด หุ้นวัฏจักรที่เห็นชัดเจนในตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผลิตวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึง ปิโตรเคมี เยื่อกระดาษ เหล็ก การขนส่งทางทะเล หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์
หุ้นโตเร็ว นี่คือหุ้นของกิจการที่กำไรเติบโตเร็ว 20-25% ขึ้นไป อย่างน้อยในช่วงเวลา 4-5 ปีข้างหน้า หุ้นเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว หรือมียอดขายเติบโตมาก การดูหุ้นโตเร็วจะต้องวิเคราะห์ว่ายังมีช่องว่างที่บริษัทจะเติบโตต่อไปอีกมาก ไม่ใช่โตต่อไปได้อีกไม่เท่าไรก็ตันแล้ว นอกจากนั้น หุ้นที่โตเร็วเกินไปซึ่งมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงนั้นมักจะอันตราย เพราะคู่แข่งจะเข้ามามากทำให้การเจริญเติบโตไม่ยั่งยืน
การเลือกหุ้นโตเร็วต้องดูว่าค่า PE ไม่สูงเกินไป ปีเตอร์ลินช์บอกว่าค่า PE ควรจะต่ำกว่าอัตราการเจริญเติบโตของบริษัท เช่นถ้าเติบโต 20% ต่อปี ก็ควรมีค่า PE ไม่เกิน 20 เท่า หุ้นโตเร็วเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการที่จะทำกำไรได้สูงสุดในความเห็นของปีเตอร์ลินช์ ในเมืองไทยหุ้นโตเร็วน่าจะรวมถึงหุ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ บันเทิง และอาจจะสื่อสารบางส่วน เป็นต้น
หุ้นฟื้นตัว นี่คือหุ้นของกิจการที่มีปัญหาและมีโอกาสที่จะเอาตัวรอด และกลับมาทำกำไรได้ ในแง่ของปีเตอร์ลินช์ซึ่งอยู่ในสังคมของประเทศพัฒนาแล้ว เขาคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่มีหนี้น้อยและมีเงินสดมาก รวมทั้งโครงสร้างหนี้จะต้องเอื้ออำนวยนั่นคือ หนี้ระยะสั้นที่ถึงกำหนดชำระคืนเร็วควรจะมีน้อย สิ่งสำคัญต่อมาก็คือ บริษัทจะต้องมีหนทางที่จะฟื้นตัว เช่น สามารถขายทรัพย์สินหรือกิจการอื่นเพื่อนำเงินสดมาใช้
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทสามารถบีบสถาบันการเงินได้มากกว่า และโครงสร้างหนี้ก็สามารถปรับได้ง่าย การขอลดหนี้ของบริษัทก็ทำได้ง่าย เพราะกฎหมายและการบังคับใช้เอื้ออำนวยให้กับลูกหนี้มาก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หุ้นฟื้นตัวเป็นหุ้นที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้กับคนที่สามารถคาดการสถานการณ์ได้ถูกต้องและซื้อหุ้นในขณะที่ราคาต่ำติดดิน
หุ้นทรัพย์สินมาก ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย เป็นหุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมาก เมื่อเทียบกับราคาหุ้น สิ่งที่ต้องจับตาดูก็คือ บริษัทกำลังจะไปก่อหนี้ใหม่หรือเอาเงินไปใช้ในสิ่งที่อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีนักล่ากิจการเข้ามาปลดปล่อยทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์หรือไม่
ทั้งหมดนั้นก็คือเกร็ดวิธีอย่างย่อที่สุดของการเลือกหุ้นในแบบฉบับของปีเตอร์ลินช์ ที่ Value Investor ทุกคนควรเรียนรู้ เช่นเดียวกับนักเก็งกำไร แม่บ้าน และมืออาชีพ เช่น ผู้จัดการกองทุนต่าง ๆ เพราะนี่คือวิธีการลงทุนสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง
http://www.thaivi.com/article/value-investor/101-.html
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
อัฉริยะในข้างหน้าศึกษาชีวิตของอัฉริยะในวันนี้
โพสต์ที่ 3
แอนน์ ไชเบอร์
โลกในมุมมองของ Value Investor
และคิดว่าคนธรรมดาหรือตัวเองจะไม่มีทางทำผลงานได้ดีเท่าแม้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 5 ปี แต่นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด
ผมเชื่อว่ามีนักลงทุนที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีคนรู้จัก ไม่ได้เรียนหรือถูกเทรนมาให้เป็นนักลงทุนฝีมือเยี่ยม แต่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างน่าประทับใจมากมาย โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีนักลงทุนและหุ้นจดทะเบียนมากมายมหาศาล และการลงทุนมีประวัติมายาวนาน ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองก็น่าจะเริ่มมีคนที่สามารถลงทุนได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่แพ้นักลงทุนเอกของโลกในช่วงต้นของการเดินทางอยู่เหมือนกัน
แอนน์ ไชเบอร์ เป็นตัวอย่างของนักลงทุนที่ไม่มีคนรู้จักจนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1995 ขณะมีอายุได้ 101 ปี ประวัติย่อ ๆ ที่ทำให้ผมประทับใจและนำมาเล่าต่อก็คือ
แอนน์ เป็นพนักงานตรวจบัญชีของกรมสรรพากรสหรัฐ กินเงินเดือนไม่เคยเกินปีละ 3,000 เหรียญหรือคิดแล้วไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ในปี 1932 หรือ 3 ปีหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐถล่มและเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐซึ่งคงคล้าย ๆ กับภาวะของไทยเมื่อ 2 3 ปีก่อน แอนน์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 38 ปีและเป็นโสด ต้องมนต์ขลังของตลาดหลักทรัพย์ เธอจึงส่งเงินทั้งหมดที่มีอยู่ให้น้องชายซึ่งเป็นโบรกเกอร์ช่วยลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดวอลสตรีท โชคไม่ดี บริษัทที่น้องชายทำงานอยู่เกิดล้มละลายและหล่อนสูญเงินทั้งหมด
ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาอันแรงกล้า แอนน์ไม่ยอมแพ้ แต่คราวนี้หล่อนตัดสินใจที่จะลงทุนเอง เธอเก็บเงินได้ประมาณ 5,000 เหรียญ หรือเท่ากับ 200,000 บาทไทยในเวลานี้ และเริ่มกลับเข้าตลาดใหม่ในปี 1944 และเริ่มลงทุนโดยยึดหลักการลงทุนระยะยาว และการศึกษาติดตามหุ้นที่ตนถืออย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นทุกครั้ง หุ้นที่เธอลงเป็นหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียง มียี่ห้อแข็งแกร่ง เช่น หุ้นของบริษัทเป๊ปซี่โค เชอริง พลาวก์ ไครส์เลอร์ และโคคา โคล่า
แอนน์ ลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่และเมื่อได้รับปันผลมาหล่อนก็จะเอามาลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ ฝากโชคชะตาและเงินของตนเองกับบริษัทที่กำลังเติบโตเหล่านั้น และมองดูกำไรที่เติบโตขึ้นทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า พร้อม ๆ กับการเติบโตขึ้นของราคาหุ้นและเงินลงทุนของตนเอง
เวลาผ่านไปประมาณ 50 ปี พอร์ตของแอนน์เติบโตขึ้นจากเงิน 5,000 เหรียญกลายเป็น 20 ล้านเหรียญ หรือกว่า 800 ล้านบาทไทยในปัจจุบัน เฉพาะผลตอบแทนจากปันผลและดอกเบี้ยรับรายปีก็มากกว่าปีละ 1 ล้านเหรียญหรือ 40 ล้านบาทแล้วด้วยกลยุทธ์การลงทุนง่าย ๆ แบบนี้ โดยรวมแล้ว ผลตอบแทนของแอนน์ในช่วง 50 ปีสูงถึงปีละประมาณ 20% โดยเฉลี่ย ซึ่งน่าจะเป็นสถิติที่หาคนทำได้ยากแม้แต่เซียนหุ้นชั้นสุดยอดหลาย ๆ คน และเป็นสถิติที่เป็นรองวอเร็น บัฟเฟตต์เพียงไม่กี่เปอร์เซนต์ในช่วงเวลาเดียวกัน
แอนน์ ไชเบอร์ น่าจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย เช่น เศรษฐีคนหนึ่ง ตรงกันข้าม คนที่รู้จักเล่าว่าหล่อนใช้ชีวิตที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวในห้องเช่าเล็ก ๆ ราคาถูก หล่อนไม่เคยแต่งงานและใช้ชีวิตแบบสมถะสุด ๆ เสื้อโคทที่สวมใส่เป็นประจำก็เป็นเสื้อตัวเดิมที่ใช้มานานปีแล้วปีเล่า บางครั้งเธอถึงกับงดอาหารบางมื้อเพื่อเก็บเงินเอาไว้ลงทุน ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ได้ใช้เงินเพื่อตนเองเลย เงินทั้งหมดที่ ทำ มาเธอบริจาคให้กับมหาวิทยาลัยเยชิวาในนิวยอร์ค และนี่คือตำนานของนักลงทุนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่งที่เป็นพลังใจและเป็นบทเรียนให้กับ Value Investor ทั้งหลาย
พลังใจที่ว่าก็คือ ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงได้ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อายุเท่าไร และมีเงินมากน้อยแค่ไหน สำหรับแอนน์ แล้ว อายุ 50 เป็นสาวโสด เงินเดือน 10,000 บาท เงินออม 200,000 บาท ไม่ใช่อุปสรรคของการลงทุน
บทเรียนที่สำคัญก็คือ ศรัทธา และความยึดมั่นเป็นสิ่งที่มีพลังยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิตและการลงทุน ศรัทธาในวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง และยึดมั่นในแนวทางที่ประสบความสำเร็จ นั่นคือ ลงทุนระยะยาวในบริษัทที่ดีและเติบโต นำปันผลและกำไรที่ได้รับมาลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ปีแล้วปีเล่า นี่คือสูตรสำเร็จที่จะเกิดขึ้นช้า ๆ แต่แน่นอนและนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างที่คาดไม่ถึง
บทเรียนต่อมาก็คือ นักลงทุนที่แท้จริงนั้นไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ชอบใช้เงินในสิ่งที่ไม่จำเป็นโดยเฉพาะการใช้เงินเพื่อตนเอง แต่นักลงทุนชอบเอาเงินมาลงทุนซื้อหุ้น ผมคิดว่าการเก็บรวบรวมหุ้นนั้นคงเป็นความสุขอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับคนที่ชอบสะสมรถเก่า นาฬิกา ของโบราณ หรือแม้แต่ที่ดิน มองในแง่นี้ ความสุขของนักลงทุนพันธุ์แท้ก็คือความสุขจากการลงทุนไม่ใช่ความสุขของการบริโภค
คนอื่นคงไปพูดแทนแอนน์ ไชเบอร์ไม่ได้ว่าชีวิตของหล่อนนั้นเป็นทุกข์ที่มีเงินแล้วไม่รู้จักใช้ หล่อนอาจจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยกับการอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ใช้เสื้อผ้าเก่าหรืออดอาหารบางมื้อ ว่าที่จริงความสุขทั้งหลายนั้นอยู่ที่ใจ ถ้าหล่อนคิดว่าการจ่ายค่าเช่าน้อย แล้วเหลือเงินมาซื้อหุ้นเป็นความสุขกว่าการอยู่ห้องใหญ่แต่ต้องขายหุ้นทิ้ง จะบอกได้อย่างไรว่าเธอเป็นทุกข์จากการอยู่ห้องเล็ก ซึ่งเป็นมาตรฐานของสังคมทั่ว ๆ ไป
ผมเองไม่ได้สนับสนุนให้ Value Investor ทำตัวแบบแอนน์ ไชเบอร์ทุกอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าชีวิตของแอนน์เป็นชีวิตที่น่าอนาถ Value Investor พันธุ์แท้มักจะมีชีวิตและความคิดที่เป็นอิสระ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะวิธีคิดในการลงทุนมันสอนให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นผมคิดว่าแต่ละคนคงจะต้องเลือกว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด การเรียนรู้บทเรียนจากคนอื่นโดยเฉพาะจากคนที่มีศรัทธาแรงกล้านั้นเป็นเรื่องสำคัญ เปรียบเสมือนกับการทำความรู้จักกับ แม่สี เพื่อที่ว่าเราจะได้สามารถเอามาผสมกันเป็นสีอื่นที่เราพึงพอใจที่สุด
http://www.thaivi.com/article/value-investor/42-.html
โลกในมุมมองของ Value Investor
และคิดว่าคนธรรมดาหรือตัวเองจะไม่มีทางทำผลงานได้ดีเท่าแม้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 5 ปี แต่นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด
ผมเชื่อว่ามีนักลงทุนที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีคนรู้จัก ไม่ได้เรียนหรือถูกเทรนมาให้เป็นนักลงทุนฝีมือเยี่ยม แต่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างน่าประทับใจมากมาย โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐที่มีนักลงทุนและหุ้นจดทะเบียนมากมายมหาศาล และการลงทุนมีประวัติมายาวนาน ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองก็น่าจะเริ่มมีคนที่สามารถลงทุนได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่แพ้นักลงทุนเอกของโลกในช่วงต้นของการเดินทางอยู่เหมือนกัน
แอนน์ ไชเบอร์ เป็นตัวอย่างของนักลงทุนที่ไม่มีคนรู้จักจนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1995 ขณะมีอายุได้ 101 ปี ประวัติย่อ ๆ ที่ทำให้ผมประทับใจและนำมาเล่าต่อก็คือ
แอนน์ เป็นพนักงานตรวจบัญชีของกรมสรรพากรสหรัฐ กินเงินเดือนไม่เคยเกินปีละ 3,000 เหรียญหรือคิดแล้วไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ในปี 1932 หรือ 3 ปีหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐถล่มและเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐซึ่งคงคล้าย ๆ กับภาวะของไทยเมื่อ 2 3 ปีก่อน แอนน์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 38 ปีและเป็นโสด ต้องมนต์ขลังของตลาดหลักทรัพย์ เธอจึงส่งเงินทั้งหมดที่มีอยู่ให้น้องชายซึ่งเป็นโบรกเกอร์ช่วยลงทุนซื้อขายหุ้นในตลาดวอลสตรีท โชคไม่ดี บริษัทที่น้องชายทำงานอยู่เกิดล้มละลายและหล่อนสูญเงินทั้งหมด
ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธาอันแรงกล้า แอนน์ไม่ยอมแพ้ แต่คราวนี้หล่อนตัดสินใจที่จะลงทุนเอง เธอเก็บเงินได้ประมาณ 5,000 เหรียญ หรือเท่ากับ 200,000 บาทไทยในเวลานี้ และเริ่มกลับเข้าตลาดใหม่ในปี 1944 และเริ่มลงทุนโดยยึดหลักการลงทุนระยะยาว และการศึกษาติดตามหุ้นที่ตนถืออย่างใกล้ชิด ซึ่งรวมถึงการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นทุกครั้ง หุ้นที่เธอลงเป็นหุ้นของบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีชื่อเสียง มียี่ห้อแข็งแกร่ง เช่น หุ้นของบริษัทเป๊ปซี่โค เชอริง พลาวก์ ไครส์เลอร์ และโคคา โคล่า
แอนน์ ลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่มีอยู่และเมื่อได้รับปันผลมาหล่อนก็จะเอามาลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ ฝากโชคชะตาและเงินของตนเองกับบริษัทที่กำลังเติบโตเหล่านั้น และมองดูกำไรที่เติบโตขึ้นทศวรรษแล้วทศวรรษเล่า พร้อม ๆ กับการเติบโตขึ้นของราคาหุ้นและเงินลงทุนของตนเอง
เวลาผ่านไปประมาณ 50 ปี พอร์ตของแอนน์เติบโตขึ้นจากเงิน 5,000 เหรียญกลายเป็น 20 ล้านเหรียญ หรือกว่า 800 ล้านบาทไทยในปัจจุบัน เฉพาะผลตอบแทนจากปันผลและดอกเบี้ยรับรายปีก็มากกว่าปีละ 1 ล้านเหรียญหรือ 40 ล้านบาทแล้วด้วยกลยุทธ์การลงทุนง่าย ๆ แบบนี้ โดยรวมแล้ว ผลตอบแทนของแอนน์ในช่วง 50 ปีสูงถึงปีละประมาณ 20% โดยเฉลี่ย ซึ่งน่าจะเป็นสถิติที่หาคนทำได้ยากแม้แต่เซียนหุ้นชั้นสุดยอดหลาย ๆ คน และเป็นสถิติที่เป็นรองวอเร็น บัฟเฟตต์เพียงไม่กี่เปอร์เซนต์ในช่วงเวลาเดียวกัน
แอนน์ ไชเบอร์ น่าจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย เช่น เศรษฐีคนหนึ่ง ตรงกันข้าม คนที่รู้จักเล่าว่าหล่อนใช้ชีวิตที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวในห้องเช่าเล็ก ๆ ราคาถูก หล่อนไม่เคยแต่งงานและใช้ชีวิตแบบสมถะสุด ๆ เสื้อโคทที่สวมใส่เป็นประจำก็เป็นเสื้อตัวเดิมที่ใช้มานานปีแล้วปีเล่า บางครั้งเธอถึงกับงดอาหารบางมื้อเพื่อเก็บเงินเอาไว้ลงทุน ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่ได้ใช้เงินเพื่อตนเองเลย เงินทั้งหมดที่ ทำ มาเธอบริจาคให้กับมหาวิทยาลัยเยชิวาในนิวยอร์ค และนี่คือตำนานของนักลงทุนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอีกคนหนึ่งที่เป็นพลังใจและเป็นบทเรียนให้กับ Value Investor ทั้งหลาย
พลังใจที่ว่าก็คือ ทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงได้ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อายุเท่าไร และมีเงินมากน้อยแค่ไหน สำหรับแอนน์ แล้ว อายุ 50 เป็นสาวโสด เงินเดือน 10,000 บาท เงินออม 200,000 บาท ไม่ใช่อุปสรรคของการลงทุน
บทเรียนที่สำคัญก็คือ ศรัทธา และความยึดมั่นเป็นสิ่งที่มีพลังยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิตและการลงทุน ศรัทธาในวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง และยึดมั่นในแนวทางที่ประสบความสำเร็จ นั่นคือ ลงทุนระยะยาวในบริษัทที่ดีและเติบโต นำปันผลและกำไรที่ได้รับมาลงทุนต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ปีแล้วปีเล่า นี่คือสูตรสำเร็จที่จะเกิดขึ้นช้า ๆ แต่แน่นอนและนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างที่คาดไม่ถึง
บทเรียนต่อมาก็คือ นักลงทุนที่แท้จริงนั้นไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ชอบใช้เงินในสิ่งที่ไม่จำเป็นโดยเฉพาะการใช้เงินเพื่อตนเอง แต่นักลงทุนชอบเอาเงินมาลงทุนซื้อหุ้น ผมคิดว่าการเก็บรวบรวมหุ้นนั้นคงเป็นความสุขอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับคนที่ชอบสะสมรถเก่า นาฬิกา ของโบราณ หรือแม้แต่ที่ดิน มองในแง่นี้ ความสุขของนักลงทุนพันธุ์แท้ก็คือความสุขจากการลงทุนไม่ใช่ความสุขของการบริโภค
คนอื่นคงไปพูดแทนแอนน์ ไชเบอร์ไม่ได้ว่าชีวิตของหล่อนนั้นเป็นทุกข์ที่มีเงินแล้วไม่รู้จักใช้ หล่อนอาจจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยกับการอยู่ในห้องเช่าเล็ก ๆ ใช้เสื้อผ้าเก่าหรืออดอาหารบางมื้อ ว่าที่จริงความสุขทั้งหลายนั้นอยู่ที่ใจ ถ้าหล่อนคิดว่าการจ่ายค่าเช่าน้อย แล้วเหลือเงินมาซื้อหุ้นเป็นความสุขกว่าการอยู่ห้องใหญ่แต่ต้องขายหุ้นทิ้ง จะบอกได้อย่างไรว่าเธอเป็นทุกข์จากการอยู่ห้องเล็ก ซึ่งเป็นมาตรฐานของสังคมทั่ว ๆ ไป
ผมเองไม่ได้สนับสนุนให้ Value Investor ทำตัวแบบแอนน์ ไชเบอร์ทุกอย่าง แต่ก็ไม่คิดว่าชีวิตของแอนน์เป็นชีวิตที่น่าอนาถ Value Investor พันธุ์แท้มักจะมีชีวิตและความคิดที่เป็นอิสระ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะวิธีคิดในการลงทุนมันสอนให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นผมคิดว่าแต่ละคนคงจะต้องเลือกว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด การเรียนรู้บทเรียนจากคนอื่นโดยเฉพาะจากคนที่มีศรัทธาแรงกล้านั้นเป็นเรื่องสำคัญ เปรียบเสมือนกับการทำความรู้จักกับ แม่สี เพื่อที่ว่าเราจะได้สามารถเอามาผสมกันเป็นสีอื่นที่เราพึงพอใจที่สุด
http://www.thaivi.com/article/value-investor/42-.html