......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 1

โพสต์

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

....CMBKK#3..." ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "....

นัดวันศูกร์ที่ 25 เมษายน 2551
สถานที่ TOT ถนนเพลินจิต
เวลา 18.30 น.


ท่านที่ต้องการนำรถยนต์ไปจอดภายในบริเวณ TOT กรุณาติดต่อคุณทรงศักดิ์ ครับ...แต่เท่าที่ทราบ ทางคุณทรงศักดิ์ได้ขออนุญาตไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เรียนเพิ่มเติมครับว่าทาง TOT มีน้ำดื่มขนาดขวดเล็กประมาณ 300 ซีซีแจกคนละขวดครับ(อาจะมีจำกัดรวมทั้งสิ้นไม่เกินกี่ขวด ผมไม่ทราบครับ ลืมค้นในกระทู้เก่ามาให้ ผ่านไปหลายวันรบกวนคุณทรงศักดิ์แวะมาบอกอีกทีครับ ขอบคุณครับ)

เดี๋ยวพาไปดูที่ด้านหลังและทางเข้า TOT เพลินจิตกันครับ...



โดย...  น้าประสานฯ [วันที่: 21/4/2008 - เวลา: 20:06:48 น. ....IP: 58.8.11.209]


http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 23.html#49

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ถนนด้านทิสเหนือข้างบนนั้นเป็นถนนเพชรบุรี ซ้ายมือของภาพเป็นสะพานลอยประตูน้ำ สะพานลอยข้ามแยกแห่งแรกของ บางกอก ไปทางขวามือ สุดภาพเป็นแยกถนนชิดลม

ถัดจากถนนเพชรบุรีลงมาล่างสุดคือทิศใต้ เป็นถนนเพลินจิต ขวามือมุมเห็นลางลางเป็นเซ็นทรัล ชิดลม ซ้ายมือเป็นราชประสงค์...

ระหว่างเพลินจิตกับเพชรบุรีมีคลองแสนแสบ ขนานไปกับสองถนนที่ว่านี้ แต่อยู่ค่อนไปทางด้านบน ใกล้ถนนเพชรบุรีครับ...

ทิศทางของลูกศร คือทิศทางปั่นจักรยานหรือขับรถไปที่ TOT ด้านหลังครับ

ส่วนด้านหน้ามาได้ทางเดียวคือมาจากราชประสงค์ กับทางรถไฟฟ้า BTS ครับ มาลงที่สถานีเพลินจิต แล้วยกจักรยานลงมาเจอ TOT พอดี...ถ้าลงมาถูกทางลง

สะดวกทางไหน ไปทางนั้นครับ


ดูภาพขยาย

จากไทยเอ็มทีบี

http://www.thaimtb.com/webboard/450/225454-3.jpg

โดย..น้าประสานฯ  [วันที่: 21/4/2008 - เวลา

ความคิดเห็นที่ 8

เรียนทุกท่าน
เพื่อต้องการไม่ให้ท่านหลงทาง ผมมีคำแนะนำดังนี้...
คำแนะนำสำหรับ CMBKK ครั้งที่ 2
1.ปั่นจักรยานไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย เคารพกฎจราจร แจกยิ้มให้ทุกคน

2.แต่ละคนแค่ละกลุ่มต้องพยายามไปด้วยกันพร้อมพร้อมกัน ตามขบวนหลักไม่ทันไม่เป็นไร แต่ให้อยู่ในเส้นทางหลักที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

3.ศึกษาเส้นทางให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง จากจุดไหนไปจุดไหน ปลายทางที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น

4.ระหว่างทางมีนักปั่นเข้ามาก็มีและออกนอกเส้นทางก็มี เนื่องจากต้องการไปที่อื่นต่อ หากท่านปั่นตามเขาเหล่านั้นไป โดยไม่ทราบ ท่านอาจจะหลงทางออกนอกเส้นทางได้ ดังนั้นการปั่นจักรยานแบบนี้นั้น ท่านต้องเข้าใจและทราบเรื่องเส้นทางแล้วเป็นอย่างดี

5.เช่นเดียวกัน หากท่านประสงค์จะแยกทางกลับบ้านก่อน หรือ ไปยังที่อื่นต่อ หากเห็นมีใครตามท่านมาด้วยโดยที่ไม่รู้จักกัน ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน ท่านต้องรีบแจ้งให้เขาทราบว่า ท่านแยกตัวกลับก่อน หรือไปที่อื่นต่อ จะช่วยให้คนอื่นไม่หลงตามมานะครับ....



รู้สึกว่าครั้งที่ 2 เริ่มจะเข้าที่ เลยขอเอาคำแนะนำสำหรับครั้งนั้นมาวางไว้ที่นี่อีกครั้งครับ

ขอบคุณครับ


โดย..น้าประสานฯ  [วันที่: 22/4/2008 - เวลา:11:36:36 น. ....IP: 58.8.11.209 ....: #27930]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 3

โพสต์

***... ปั่นกันเถอะเรา ....***

ไปครั้งแรกที่ผ่านมา

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

ส่วน ***... ปั่นกันเถอะเรา 2 ....*** ไม่ได้ไปเนื่องจากจุดนัดพบไกลบ้านค่ะ
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 4

โพสต์

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

จากส่วนปริทรรศน์ หนังสือผู้จัดการรายวัน มีสัมภาษณ์น้าเป็ดกับน้าหมีด้วย

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000038000

เรื่อง นาตยา บุบผามาศ

Critical Mass ภารกิจปั่นประท้วง ปฏิวัติสังคมจักรยาน

โดย ผู้จัดการรายวัน 30 มีนาคม 2551 23:34 น.

ย่านที่ยานพาหนะคับคั่งในวันที่เสรีภาพทางการเงินของคนเมืองมีบทบาทสูงสุด ภาพมหานครที่ถูกครอบครองด้วยการจราจรพิการและมลภาวะอันเลวร้าย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าในวัน และเวลา ที่บนถนนมีรถกำลังติดขัดแบบวินาศสันตโรนั้นกลับมีคาราวาน 2 ขา 1 คัน นัดหมายกันตรงใจกลางเมืองเพื่อปั่นจักรยานไปบนท้องถนนที่ไม่มีการสงวนสิทธิ์ให้คนขี่จักรยานแต่อย่างใด โดยแสดงให้เห็นถึงความหลุดพ้นจากพันธนาการบนท้องถนนด้วยการปั่นจักรยาน
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 5

โพสต์

และเพื่อต้องการเรียกร้องให้สังคมหันมาสนใจความต้องการมีส่วนร่วมในการแบ่งพื้นที่บนท้องถนนให้กับนักปั่นจักรยาน เพื่อให้สังคมมองคนขี่จักรยานอย่างเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น คาราวานรถจักรยานของเหล่านักปั่นจึงพร้อมใจกัน ทำกิจกรรมดังกล่าวในรูปแบบที่ถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า Critical Mass

ปั่นประท้วง
     ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า Critical Mass ปกติจัดขึ้นทุกวันศุกร์สุดท้ายของเดือน ในเมืองต่างๆ ทั่วโลก โดยนักปั่นจักรยาน, skateboard, inline skaters, roller skaters และพาหนะที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง (ไม่มีเครื่องยนต์) จะวิ่งบนถนนในเมืองเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เหตุผลเริ่มแรกเกิดจากผู้ใช้จักรยานตระหนักถึงเมืองที่ไม่เป็นมิตรต่อคนใช้จักรยาน




ปั่นประท้วง
     ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า Critical Mass ปกติจัดขึ้นทุกวันศุกร์สุดท้ายของเดือน ในเมืองต่างๆ ทั่วโลก โดยนักปั่นจักรยาน, skateboard, inline skaters, roller skaters และพาหนะที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง (ไม่มีเครื่องยนต์) จะวิ่งบนถนนในเมืองเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เหตุผลเริ่มแรกเกิดจากผู้ใช้จักรยานตระหนักถึงเมืองที่ไม่เป็นมิตรต่อคนใช้จักรยาน
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 6

โพสต์

นักปั่น Critical Mass จึงก่อตัวขึ้นมาเองโดยไม่มีวัตถุประสงค์ทางการค้า ไม่มีการแข่งขัน ดำเนินงานอย่างกระจัดกระจาย และการตัดสินใจที่ไม่เป็นทางการ มีผู้นำกลุ่มที่เป็นอิสระ บ่อยครั้งที่ไม่มีการขออนุญาตล่วงหน้า และการอนุมัติอย่างเป็นทางการจากเทศบาลเมือง โดยทั่วไปเป็นเพียงแค่การนัดหมายสถานที่ วัน และเวลา ในบางเมืองเรื่องเส้นทางจุดสิ้นสุดหรือสถานที่สำคัญระหว่างทางอาจจะเป็นการวางแผนกันเฉพาะหน้า

การปั่น Critical Mass ถูกรับรู้กันว่าเป็นเช่นกิจกรรมการประท้วง บทความนิตยสาร New Yorker ปี 2006 อธิบายกิจกรรม Critical Massใน New York ว่า การปั่นประท้วงประจำเดือนและลักษณะของ Critical Mass ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางสังคมด้วย อย่างไรก็ดีผู้เข้าร่วม Critical Mass ยืนยันว่า เหตุการณ์นี้ควรถูกมองว่าเป็น การพบปะสังสรรค์ และการรวมกลุ่มที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ ไม่ใช่การประท้วงหรือการเดินขบวนที่ถูกจัดการ การปั่น Critical Massในเมืองเล็กๆ ทุกเดือนอาจมีคนมาร่วมน้อยกว่า 20 คนแต่ขณะเดียวกันในบางประเทศก็อาจมีคนใช้จักรยานเข้าร่วมกว่าหมื่นคน
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 7

โพสต์

การปั่น Critical Mass ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ 25 กันยายน 1992 เวลา 6 โมงเย็นในSan Franciscoปัจจุบันประมาณกันว่ามีการปั่นจักรยานแบบ Critical Mass มากกว่า 325 เมืองทั่วโลก

ปลายทางเพื่อเส้นทางจักรยาน
     และเวลานี้กิจกรรม Critical Mass เกิดขึ้นจริงแล้วในเมืองไทย โดยในครั้งแรกคาราวานนักปั่นได้เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเย็นวันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา บริเวณหน้าสยามดิสคัฟเวอร์รี แยกปทุมวัน ถือเป็น Critical Mass ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย โดยการริเริ่มความคิดจาก ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย และ thaiMTB.com เพราะสภาพการจราจรในปัจจุบันที่ไม่เอื้ออำนวยแก่จักรยาน ผู้ที่ใช้ถนนยังไม่รู้จักการใช้ถนนร่วมกับจักรยาน อีกทั้งภาครัฐฯไม่ได้สนับสนุนหรือส่งเสริมเพียงพอในเรื่องช่องทางสำหรับจักรยานบนถนน ทำให้ในครั้งนั้นมีนักปั่นให้การตอบรับร่วมรณรงค์และปลูกจิตสำนึกในการแบ่งปันด้วยการจัดกิจกรรม Critical Mass เป็นจำนวนกว่า 400 คน


สัจจา ขุทรานนท์ ที่เพื่อนๆ นักปั่นเรียกกันว่า น้าเป็ด จากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย หรือ Thailand Cycling Club เรียกสั้นๆ ว่า TCC ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ Critical Mass ในบ้านเราให้ให้ฟังว่า
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 8

โพสต์

จากนี้ไป Critical Mass จะเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นทุกเดือน เป็นกิจกรรมที่แสดงถึงการถือสิทธิ์ในการใช้ถนนได้ ถนนไม่ใช่รถยนต์เพียงอย่างเดียว เพื่อกระตุ้นให้ภาครัฐฯ หันมาสนใจสร้างทางจักรยาน เพื่อชักชวนให้ประชาชนหันมาใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน และเพื่อเป็นทางเลือกรัฐฯจึงต้องสร้างทางจักรยานให้ผู้สัญจรที่ใช้จักรยานเป็นการเฉพาะเพื่อลดอุบัติเหตุจากการที่ผู้ขับขี่รถยนต์ประมาทชนคนขับขี่จักรยาน


เป้าหมายหลักของ Critical Mass คือการรณรงค์ให้คนหันมาปั่นจักรยานกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเป้าหมายแฝงนั้นคือ การให้ได้ทางจักรยานของจริง คือพวกเราอยากเห็นทางจักรยานเกิดขึ้นใน กทม. จะให้มาโดยง่ายนั้นคิดว่ายาก จึงมารวมกันเรียกร้องสิทธิ์นี้ขึ้น  เพื่อไม่ให้หน่วยงานใดที่เกี่ยวกับการทำถนนลืมว่า  จักรยานนั้นมีสิทธิ์ที่จะใช้เส้นทางบนถนนเช่นเดียวกัน ผมปรารถนาและมุ่งมั่นที่จะเห็นทางจักรยานใน กทม.
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ย้อนกลับไปก่อนเกิด Critical Mass ในบ้านเรา เราก็ทราบกันอยู่ว่า ก่อนหน้านี้การขอทางจักรยานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยวิธีการต่างๆ นาๆ ได้ทำกันมานักต่อนักแล้วแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ส่วนใหญ่ที่ทำกันก็คือ การขอกันแบบตรงๆ จากนั้นเราก็ทราบว่า โอกาสจะได้นั้นน้อยมากเต็มที เหตุนี้เองจึงได้มีการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำใหม่ โดยคิดว่า หากให้คนมาปั่นจักรยานกันเยอะๆ จนถึงปริมาณหนึ่งที่มากพอจนกลายเป็น Critical Mass จนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทนเพิกเฉยอยู่ไม่ได้ จะถูกบังคับให้สร้างทางจักรยาน และนั่นคือที่มา และผลลัพธ์ที่เกิดจากการจัด Critical Mass ซึ่งไม่ค่อยเหมือนประเทศอื่นๆ ที่เขามีทางจักรยานอยู่บ้างแล้ว


สรุปแล้วเป้าหมายปลายทางของ Critical Mass จริงๆ คือ การให้ได้มาซึ่ง ทางจักรยานของจริง เพียงแต่เราเอารูปแบบของ Critical Mass เป็นภาพวางไว้ข้างหน้าเท่านั้น
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 10

โพสต์

โดยน้าเป็ดได้ขยายความถึงคำว่า ทางจักรยานของจริง ในแนวคิดส่วนตัวให้ฟังด้วยว่า
     
     ทางจักรยานของจริง นั้นควรจะต้องประกอบด้วย ลักษณะทางที่เป็นมาตรฐาน ที่ประเทศอื่นๆ ส่วนใหญ่เขาทำกัน เป็นเครือข่ายเชื่อมโยง หรือต่อกัน ยิ่งได้มากเท่าไรก็เป็น ของจริงมากขึ้นเท่านั้น ให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ มีการใช้เกิดขึ้นในปริมาณที่คุ้มต่อการสร้างทาง มีการบริหารจัดการ เช่น การออกระเบียบ กฎหมาย มีการบำรุงรักษาสม่ำเสมอ มีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และข้อสุดท้ายที่เป็นของจริงแท้ คือเป็นทางตัวอย่างที่ประเทศอื่นๆ ต้องมาดูนำไปใช้
     ทางจักรยานในบางกอกเมืองหลวงของเรานั้นต้องทำแผนรองรับขึ้นมาได้ในขณะนี้แล้ว เพราะตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเป็นจังหวะของเรื่องน้ำมันขึ้นราคา


เท่าที่ทราบ กทม.เขาส่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเดินทางไปดูงานต่างประเทศแล้วหลายคน อันนี้มีใครรู้จักบ้างอยากจะขอบอกผ่านไปยังท่านผู้ว่าด้วย ว่าให้เขาไปดูงานแล้ว กลับมาแล้วไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเลย คิดแล้วมันน่าเสียดายเวลา น้าเป็ดเล่าให้ฟัง
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ทางสัญจรสาธารณะ
     เวลานี้หลักการ Critical Mass เป็นหัวข้อของการวิจารณ์ติเตียนจากเจ้าหน้าที่รัฐฯและคนขับรถในหลายๆเมือง เรื่องการสัญจรสาธารณะมีทางการอ้างว่า Critical Mass มีเจตนาไตร่ตรองอย่างรอบครอบที่จะขัดขวางการสัญจรของรถและขัดขวางความปกติสุขของการจราจรในเมือง มีผลทำให้เกิดการจับกุมบางคนใน Critical Mass ที่ปฏิเสธการเชื่อฟังกฎจารจร


ท่าทีของ Critical Massนี้นำไปสู่การโต้แย้ง ความถูกต้องทางกฎหมายว่า เหตุการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นโดยไม่ต้องขออนุญาตตำรวจท้องที่หรือไม่ ทำให้กลุ่มที่สนับสนุนการปั่นจักรยานบางกลุ่มเป็นห่วงถึงธรรมชาติของความขัดแย้งของ Critical Mass และการทะเลาะวิวาทกับคนขับรถ การไม่ให้อภัยในเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของความรุนแรงและความหยาบคาย ทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะชนต่อคนใช้จักรยาน ขณะที่ San Francisco Bicycle Coalition ให้เครดิต Critical Mass ทำให้ประเด็นจักรยานขึ้นมามีความสำคัญและสนับสนุนช่วยเหลือการรวมตัวของผู้ใช้จักรยาน
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 12

โพสต์

มงคล วิจะระณะ ที่คาราวานนักปั่นรู้จักกันในนาม น้าหมี รองประธานชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย บอกว่า ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ เกี่ยวกับสถานการณ์ขี่จักรยานบนถนนของคนใช้จักรยาน หรือส่งผลถึงการรับรู้ต่อสาธารณะชนของคนใช้จักรยาน แต่ตัวอย่างบางอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าขอบเขต ของการปั่นจักรยานขยายเข้าไปในหลายวัฒนธรรมย่อย
     
     ตอนนี้ชาวจักรยานในเมืองไทย ได้เริ่มรวมตัวกันจัดกิจกรรม Critical Mass ของชาวจักรยานทุกเย็นวันศุกร์สุดท้ายของเดือน ในจุดที่รถติดหนักของ กทม.ในวันเงินเดือนออก
     
     หลายๆ คนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพวกจักรยานป่วนเมือง เหมือนเด็กแว้นส์ที่ขี่มอเตอไซต์ จริงๆ แล้วเป็นเพียงการนัดกันออกมาปั่น โดยไม่มีแกนนำหรืออ้างอิงองค์กรใดๆ แค่นัดกันปั่นบ่อยๆ เกาะกลุ่มชิดซ้ายปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ได้ก่อม๊อบประท้วง หรือแสดงเจตนากีดขวาง ยึดครองพื้นผิวจราจร ไม่มีการเตรียมรถพยาบาล รถนำขบวน รถท้ายขบวนเพราะการใช้จักรยานบนท้องถนนในชีวิตจริงคงไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้มาร่วมด้วยแน่


ผลกระทบเรื่องการสร้างความเดือดร้อนแก่สังคมที่หลายๆ คนวิจารณ์หรือคาดเดาเอา ถ้าได้มาร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจะพบว่าไม่ได้รุนแรงบานปลายอย่างที่หลายคนหวั่นเกรงเราไม่ได้ออกมาขี่เพื่อเรียกร้องหรือชวนทะเลาะกับใคร แต่ละคนเป็นเพียงปุตุชนคนธรรมดา ที่ออกมาร่วมจำลองเหตุการณ์สถานการณ์ให้ได้รับรู้ว่า ถ้าเกิดมีการนำจักรยานออกมาใช้ในชีวิตประจำวันจริงประมาณนี้ สังคมและบ้านเมืองจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรให้เข้ากันได้บ้างอย่างมีความสุข การสร้างอารมณ์ร่วมให้เป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ยวดยาน เป็นงานยากที่สุดที่จะคาดเดาได้ว่าจะมีผลตอบสนองอย่างไร บอกได้แต่เพียงว่า เราไม่ได้ทำเพียงเพื่อตัวของเราเองเท่านั้น แต่เรากำลังทำเพื่อคนที่จะมาใช้จักรยานร่วมกันในอนาคต จึงอยากแอบกระซิบคนที่กำลังแอบมองอยู่ว่า สักวันหนึ่งจักรยานที่ใช้ชีวิตจริงบนท้องถนน อาจจะมีคุณหรือคนที่คุณรักร่วมอยู่ด้วยก็เป็นได้
     
     บางครั้งตัดสินใจโดยการโหวตแนะนำเส้นทาง หลายครั้งใช้ถ่ายเอกสารแจกจ่ายอธิบายวิธีการ เส้นทางทุกๆ คนสามารถแสดงความคิดเห็นทำแผนที่ของตัวเองและแจกจ่ายมันให้นักปั่นที่มาร่วมในกลุ่ม จนกระทั่งเส้นทางการปั่นถูกตัดสินใจโดยคนส่วนใหญ่ ธรรมชาติของการไร้การจัดการทำให้รอดพ้นการหยุดยั้งของเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งเห็นว่าการปั่นนี้เป็นขบวนพาเหรดหรือการประท้วงที่ถูกจัดการ ดังนั้นการเคลื่อนไหวแบบไร้รูปแบบปราศจากการจัดการโครงสร้างจากศูนย์กลาง ลำดับชั้น องค์กรนั้นเพียงพอแล้วที่จะนำไปสู่การสร้างจำนวนผู้เข้าร่วม Critical Massที่หนาแน่นพอที่จะยึดครองพื้นที่ถนนและสามารถกันรถยนต์ออกไปได้
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 13

โพสต์

นาทีนี้คนที่ใช้จักรยานในชีวิตประจำวันจริงๆ ยังต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัยบนท้องถนนอีกมาก โดยแต่ละคนยังคงใช้ชีวิตเสี่ยงกับฝาท่อและผิวจราจรด้านซ้ายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อความปลอดภัย การเอาชีวิตรอดบนท้องถนนไปวันๆ ควรได้รับการใส่ใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจากชาวบ้านด้วยกันเองที่ใช้ถนนร่วมกัน จากหน่วยงานรัฐฯ ที่สามารถจัดสรรพื้นที่ และกฎระเบียบที่เหมาะสมเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
     
     นั่นคือองค์ประกอบรวมปลีกย่อยมากมายที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในพริบตาต้องใช้เวลาในการจัดการปรับสภาพกันอีกนานซึ่งถ้ายังไม่มีการเริ่มบทสรุปของผลสำเร็จในการจัดการก็คงยังต้องยืดเยื้อกันต่อไป
     
     โปรดระวังรถจักรยาน
     แต่เนื่องจากโครงสร้างที่ไม่มีผู้นำของ Critical Mass จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนอาจมีเป้าหมายแตกต่างกัน เช่น ร่วมแสดงถึงทางเลือกในการสัญจรโดยใช้จักรยาน และความสนุกสนานในช่วงเวลาที่ไม่มีรถบนถนน
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 14

โพสต์

[วรเทพ ชูพงษ์ หรือ คุณหมา บอกถึงเป้าหมายในการทำ Critical Mass ของเขาว่า เป็นการทำให้คนขับรถหรือคนในสังคมทั่วไปที่ยังไม่เห็นว่าการขี่จักรยานบนท้องถนนเป็นสิทธิอันชอบธรรมของผู้ใช้จักรยาน หรือให้คนที่นั่งรถติดอยู่และคิดอยากจะขี่แต่กลัว ๆ กล้า ๆ เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้หันมาคิดในมุมมองที่ชาวจักรยานคิดบ้าง
     
     คนส่วนมากคงไม่รู้หรอกว่า ที่เราทำกันมันเรียกว่า Critical Massบางคนที่เป็นผู้เข้าร่วมปั่นเองบางทีก็ยังไม่เข้าใจถึงหลักการจริงๆ ก็มี บางครั้งการทำเช่นนี้มันก็เลยสร้างความสับสน และความไม่พึงพอใจให้กับผู้พบเห็น หรือผู้ใช้รถยนต์ได้เหมือนกัน
     
     ถ้าเป็นที่เมืองนอกการกระตุ้นเตือนในวัฒนธรรมฝรั่ง อาจจะต้องใช้แรงนิดนึง เป้าหมายของเขาอาจจะมีส่วนสร้างความเดือดร้อนให้กับคนหมู่มาก และผู้ขับรถ แต่ของกรุงเทพฯ เราเท่าที่ดูเมื่อครั้งที่ผ่านมานั้น ก็เรียบร้อยดีเป็นส่วนใหญ่นะครับ คนขับรถโดยมากไม่ได้แสดงอาการรำคาญมากไป บีบแตรเล็กน้อย ๆ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว
     
     ทางด้าน ศุภโชค นาฑีทอง ผู้ที่นั่งกุมพวงมาลัยอยู่ในรถยนต์ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ในวันเงินเดือนออก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำ Critical Mass ว่า
     
     ส่วนตัวผมไม่รู้จักหรอกนะว่าสิ่งที่พวกนักปั่นจักรยานทำกันอยู่นี้เรียกว่าอะไร ผมไม่มีความรู้เรื่อง Critical Mass มาก่อนด้วย ผมเพียงแค่คิดว่าที่เขาทำกันอยู่นี้เป็นการนึกสนุกอยากปั่นจักรยานเป็นทีมมากกว่า คงเป็นการปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกาย หรือเพื่อการท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ผมยังไม่รู้สึกถึงการรณรงค์เรื่องอะไรที่ชัดเจน
     
     ส่วนเรื่องการแบ่งพื้นที่บนท้องถนนไปใช้หรือการทำให้รถติดนั้นผมว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะถ้าไม่มีพลพรรคปั่นจักรยานเหล่านี้รถก็ยังติดอยู่ และเท่าที่ผมเห็นเหตุการณ์คือ พวกเขาก็ปั่นไปเรื่อยๆ ไม่ได้หยุดกีดขวางหรือทำการสกัดกั้นการจราจราแต่อย่างได้ เพียงแต่ต้องรอให้พวกเขาออกตัวไปก่อนก็เท่านั้น ทุกอย่างก็เป็นปกติ
     
     แต่ก็มีรถยนต์บางคันเหมือนกันที่ผมเห็นถึงความไม่พอใจในเหล่านักปั่นเหล่านี้ แล้วบีบแตรไล่ เขาคงเป็นห่วงรถยนต์ราคาแพงของเขาโดยอาจจะกลัวได้รับการขีดข่วน หรือกลัวการเกิดอุบัติเหตุเสียมากว่า กรณีอย่างนี้ผมมองว่าควรจะเห็นอกเห็นใจกันคนละครึ่งทาง เพราะการปั่นจักรยานนั้นก็ดี ในสภาวะที่น้ำมันแพงอย่างนี้ ศุภโชค กล่าว
     
     Critical Mass ความพยายามที่จะสร้างทัศนคติใหม่ของคนใช้รถใช้ถนน มหานครนี้คงจะน่าอยู่ขึ้นหากคนเริ่มแบ่งปันถนนให้คนได้ใช้จักรยานกันมากขึ้น ประโยชน์ก็เห็นๆ ด้วยราคาน้ำมันที่แพงขึ้น และภาวะโลกร้อน กับผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย อย่างไรก็ตามการขี่จักรยานเพื่อการคมนาคมก็เป็นทางหนึ่งที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
     
     *****************
     เรื่อง นาตยา บุบผามาศ
/color]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 15

โพสต์

..มุมเส้นทาง CMBKK ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 วันที่ 25 เมษายน ..

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

เรื่องทางจักรยาน จากสารคดี ฉบับเดือน มีนาคม 2551



ภาพ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



โดย..น้าประสานฯ  [วันที่: 2/4/2008 - เวลา:12:17:27 น. ....IP: 58.8.213.74 ....: #26207]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 16

โพสต์

สกู๊ปโลกร้อน / แนวทางลดโลกร้อน / การเดินทางของจักรยาน

เรื่อง : เกศินี จิรวณิชชากร ภาพ : วิจิตต์ แซ่เฮ้ง

การเดินทางของจักรยาน

คุณจำครั้งแรกที่หัดขี่จักรยานได้หรือเปล่า ?
ไม่ว่ามันจะผ่านมายาวนานเพียงใด เมื่อไรที่คุณขี่จักรยานเป็นแล้ว คุณจะไม่มีวันลืมมัน
ผมว่าในวัยเด็กทุกคนชอบขี่จักรยาน เพราะมันช่วยเพิ่มความเร็วของเรา และมีความรู้สึกว่าตัวเองสามารถควบคุมเครื่องจักรที่เรียบง่ายนั้นได้ การขี่จักรยานมันให้อารมณ์บางอย่าง ทั้งบรรยากาศของการผจญภัยนิดๆ และรู้สึกว่าตัวเองมีพลังมากกว่าการเดิน ทั้งผ่อนคลายและพักผ่อนไปด้วย ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกอิสรเสรี จะขี่ไปที่ไหนก็ได้หรือแวะจอดที่ไหนก็ได้

ข้างต้นคือคำกล่าวของศาสตราจารย์ ดร. จรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยภาพชายวัยกลางคนสะพายเป้ขี่จักรยานมาทำงานหรือไปประชุมตามสถานที่ต่างๆ เป็นภาพที่ใครๆ มักเห็นจนชินตา โดยเฉพาะในหมู่นิสิตและบุคลากรคณะต่างรู้จักเขาในนาม คณบดีที่ชอบขี่จักรยาน


มีการคำนวณกันว่าจักรยานเป็นรูปแบบการเดินทางที่ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การขี่จักรยานด้วยความเร็ว ๑๖ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะใช้พลังงาน ๒๐ กิโลแคลอรีต่อกิโลเมตร น้อยกว่าการวิ่ง ๕ เท่า และน้อยการว่านั่งรถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็ว ๙๖ กิโลเมตรต่อชั่วโมงถึง ๕๐ เท่า !

มนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบเชิงกลของวงล้อกลมๆ มานานหลายพันปีแล้ว แต่เริ่มนำเอาวงล้อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนที่ส่วนบุคคลเมื่อไม่ถึง ๒๐๐ ปีมานี้เอง
บรรพบุรุษของจักรยานเป็นเพียงแค่วงล้อเหล็กสองวงที่มีไม้พาดอยู่ระหว่างกลาง เคลื่อนที่โดยออกแรงขาไถพื้นให้ล้อหมุน ต่อมาจึงค่อยพัฒนาให้มีข้อหมุน ลูกถีบ ชุดเฟืองทด และนำยางมาหุ้มล้อ จนกระทั่งกลายเป็นจักรยานหน้าตาแบบทุกวันนี้ในปี ค.ศ. ๑๘๘๕

ประเทศไทยเริ่มนำเข้าจักรยานในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยเริ่มนิยมในหมู่เจ้านายชั้นสูง จนกระทั่งแพร่หลายในกลุ่มคนทั่วไปทั้งในพระนครและทั่วทั้งอาณาจักร ด้วยเพราะหาซื้อง่าย ราคาไม่แพง และสะดวกสบายในการใช้งานอย่างยิ่ง
จวบจนวินาทีนี้ เทคโนโลยีของจักรยานก็ไม่เคยหยุดนิ่ง และมีการออกแบบให้หลากหลายเพื่อตอบสนองรูปแบบชีวิตที่แตกต่าง แม้กระนั้นจักรยานทุกคันบนโลกก็ล้วนขับเคลื่อนด้วยหลักการเดียวกัน คือใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อของผู้ขับขี่ และให้ความหมายของการเดินทางอันเป็นสากล

โดยทั่วไปแล้วคนขี่จักรยานเป็นคนที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นคนสมถะ โล่งเบา ไม่ต้องการสะสมอะไรมาก เพราะถ้าคุณสะสมของมากเกินไป คุณก็ขี่จักรยานไม่ได้ ศ.ดร. จรัสเล่าถึงความเรียบง่ายประสาคนขี่จักรยาน
ทุกวันนี้เฉพาะในกรุงเทพฯ มีทางจักรยาน ๒๒ สาย ระยะทาง ๑๘๒ กิโลเมตร และอยู่ระหว่างของบประมาณสร้างเพิ่มอีก ๔๑ สาย รวมเป็น ๓๓๘ กิโลเมตร พร้อมกันนั้นทางกรุงเทพมหานครกำลังผลักดันโครงการจักรยานให้ยืม ๑,๐๐๐ คัน โดยจะเริ่มชิมลางในเดือนเมษายน ๒๕๕๑ เพื่อชูวาระฯ กรุงเทพฯ สีเขียวช่วยบรรเทาโลกร้อน

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าจักรยานจะยังถูกจำกัดอยู่ตามตรอกซอกซอย นานๆ ครั้งจึงจะพบเห็นบนทางหลัก แม้แต่เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรียังได้ออกความเห็นผ่านรายการสนทนาประสาสมัครไว้ว่าการสร้างทางจักรยานน่าจะไม่คุ้ม เพราะ พ่อแม่คนไหนจะปล่อยให้ลูกขี่จักรยานไปโรงเรียน สามีใครขี่จักรยานไปทำงาน

วีระพันธ์ โตมีบุญ สมาชิกชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวเรียกร้องการสร้างทางจักรยานมายาวนาน เปิดเผยถึงปัญหาของทางจักรยานว่า เมื่อกล่าวถึงทางจักรยาน คนทั่วไปและราชการจะคิดโดยเอา ทาง เป็นตัวตั้ง จึงสังเกตได้ว่าทางจักรยานหลายๆ ทางทำมาแล้วไม่มีคนใช้ อันที่จริงทางจักรยานมีความหมายครอบคลุมถึงการวางแผนโครงข่ายเส้นทาง การจัดที่จอดจักรยานอย่างเพียงพอ การติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นไฟในตอนกลางคืน ป้ายแนะนำเส้นทางเชื่อมต่อ การบำรุงรักษาทางให้เรียบ ไม่มีสิ่งกีดขวาง และป้องกันไม่ให้รถจักรยานยนต์เข้ามาใช้ ที่สำคัญคือต้องตอบคำถามให้ได้ว่าทางนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อให้ใครใช้ เพราะแต่ละกลุ่มผู้ใช้มีลักษณะการใช้ที่แตกต่างกัน

วีระพันธ์แบ่งกลุ่มผู้ใช้จักรยานโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ออกเป็น ๔ กลุ่มหลัก โดย ๓ กลุ่มแรก ได้แก่ กลุ่มที่ใช้จักรยานในระยะทางไม่เกิน ๓ กิโลเมตร ได้แก่ กลุ่มเด็กนักเรียนรวมถึงพ่อแม่ที่ขี่จักรยานไปส่งลูกที่โรงเรียน กลุ่มแม่บ้านที่ขี่จักรยานไปจ่ายตลาด และกลุ่มที่ขี่จักรยานเพื่อไปต่อรถบริการขนส่งมวลชน อีกกลุ่มคือกลุ่มที่ขี่จักรยานเพื่อการท่องเที่ยวและออกกำลังกายซึ่งจะขี่ในระยะทางไกลๆ กลุ่มที่เหลือคือกลุ่มที่ใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทางในชีวิตประจำวันซึ่งยังถือเป็นส่วนน้อย

ทั้งยังให้ความเห็นว่า ทางจักรยานสมัยแรกๆ อย่างเช่นทางประดิษฐ์มนูธรรมที่สร้างขึ้นในสมัยผู้ว่าฯ พิจิตต รัตตกุล มีความยาว ๑๒ กิโลเมตร เป็นเส้นทางที่เรียบ สะอาด และค่อนข้างร่มรื่น แต่ก็ยังมีคนใช้ไม่มากเนื่องจากเป็นทางที่ไม่มีชุมชนตั้งอยู่มากนัก สองข้างทางมีหมู่บ้านราคาแพงอยู่ประปราย และเป็นทางที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนได้ยาก

สัจจา ขุทรานนท์ สมาชิกชมรมฯ อีกท่านมองว่า แต่เดิมถนนหนทางเกิดขึ้นมาจากการเดินเท้าของมนุษย์จนดินสึกจึงเกิดเป็นทางสาธารณะที่ใช้ร่วมกัน เช่นเดียวกับทางจักรยาน การจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้น่าจะมาจากการช่วยกันรณรงค์ใช้จริง แล้วในที่สุดวันหนึ่งสังคมจะหันมาเห็นความสำคัญของจักรยาน ระหว่างนี้ถนนที่ยังไม่มีทางจักรยาน ผู้ใช้ก็สามารถขี่ได้ในช่องทางซ้ายสุดของผิวจราจร ซึ่งกฎหมายก็ระบุไว้ว่าจักรยานมีสิทธิ์ใช้ถนนได้เท่าเทียมกับยานพาหนะอื่นๆ โดยผู้ขับขี่จักรยานไปทั่วทุกตรอกซอกซอยเช่นเขาและอีกหลายๆ คนยืนยันแล้วว่าขี่ได้จริง

ที่สำคัญกว่าการเป็นเพียงยานพาหนะสองล้อคันเล็กๆ บางครั้ง จักรยาน ยังหมายถึง วัฒนธรรม--ระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ หลายคนบอกว่าจักรยานได้ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต บางคนค้นพบตัวตนใหม่จากการพาตัวเองไปให้ถึงจุดหมายได้ด้วยสองขา จักรยานพาหลายๆ คนออกสู่โลกกว้าง พบปะผู้คนและผูกมิตรภาพ บางครั้งก่อเกิดเป็น ชุมชนจักรยาน ที่ชาวนักปั่นเกื้อกูลกันสารพัดเทคนิควิธี อาทิ วิธีการขี่จักรยานอย่างปลอดภัยเมื่อเข้าใกล้รถเมล์เล็ก วิธีการจอดจักรยานให้รอดพ้นจากมือโจรหรือเทศกิจ คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับผู้เริ่มต้น ฯลฯ
ในหลายเมืองทั่วโลก วัฒนธรรมจักรยานได้ให้กำเนิดกิจกรรมอย่าง Critical Mass ซึ่งมีแนวคิดว่าชาวจักรยานจะอยู่ได้ก็ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกัน คนข้ามถนนกลุ่มใหญ่ย่อมมีพลังกว่าเดินข้ามถนนคนเดียวฉันใด การขี่จักรยานเป็นกลุ่มก็ย่อมมีพลังกว่าขี่คนเดียวฉันนั้น ด้วยเหตุนี้บรรดานักปั่นจึงนัดรวมตัวกันขี่จักรยานบนถนนในเมืองทุกวันศุกร์สิ้นเดือนเพื่อขอพื้นที่ให้พาหนะเล็กๆ นี้บ้าง สำหรับในประเทศไทย กิจกรรม Critical Mass เพิ่งจะเริ่มขึ้นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง โดยมีชาวจักรยานจากหลากหลายสาขาอาชีพเข้าร่วมเกือบ ๓๐๐ คน และหวังว่าคงจะดำเนินต่อไปตราบเท่าที่เสียงของชาวจักรยานยังถูกกลบด้วยเสียงเครื่องยนต์ เผื่อว่าใครหลายๆ คน ที่เกือบลืมไปแล้วว่าขี่จักรยานเป็นอาจจะลุกขึ้นมาร่วมขบวนกับพวกเขาดูสักที

ในยุคที่โลกใบร้อนโคจรมาพบเศรษฐกิจพอเพียง จักรยานหลายๆ คันอาจถูกชุบชีวิตขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพื่อพาเราออกเดินทางสู่ยุคต่อไป




โดย..น้าประสานฯ  [วันที่: 2/4/2008 - เวลา:12:27:32 น. ....IP: 58.8.213.74 ....: #2621
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 17

โพสต์

จุดนัดพบกันอยู่ที่ด้านหน้า TOT ถนนเพลินจิตครับ


เมื่อหันหน้าเข้าหา TOT ทางเข้าอยู่ขวา ทางออกอยู่ซ้าย เข้าไปแล้วจะเป็นป้อม รปภ. เลย รปภ.เข้าไปแล้วเป็นทางตรงไปด้านหลัง มีที่จอดรถว่างเลือกจอดได้ตามสะดวก...

เสร็จแล้วไปรอตรงด้านหลังที่จุด A ครับ เป็นซอยที่เข้าบางกอกบาร์ซาเดิม เข้าTOT ด้านนี้ก็ได้

ปัจจุบันด้านหลัง TOT คือ ที่จอดรถของบริษัท เช่าที่ดินของทรัพย์สินครับ เป็นที่จอดรถ ส่วนอาคารทั้งหมดแถบข้างหลังนั้น อยู่ในระหว่างการรื้อถอน เพราะทรัพย์สินให้บริษัทอื่นมาเช่าต่อแล้ว หรือจะขายไปผมไม่ทราบครับ...

สรุปว่าเราจะเริ่มสตาร์ทจากจุด A ครับ แล้วไปตามตัวอักษร จาก A ไปเรื่อยครับ....

Start A ทางด้านหลัง TOT(the back gate of TOT)
B ถนนชิดลม Chit Lom Rd.
C ซอยหลังสวน Soi Lung Suan
D เลี้ยวซ้ายร้านข้าวต้มที่หลังสวน turn left Sarasin Rd.


เมื่อไปถึงสุดถนนสาทอน แวะพักขาที่ท่าน้ำสาทอนครับ บรรยากาศโรแมนติกดีมากมาก ครับ
Dear Bicyclists,
Take a rest at Sathorn pier Chaopraya river in such a romantic circumstance.


After having seen the romantic surrounding let's go on to Silom road.

หลังจากเราพักสักครู่ ก็จะมุ่งหน้าต่อไปยังถนนสีลม....


โดย..น้าประสาน ฯ  [วันที่: 2/4/2008 - เวลา:17:31:39 น. ....IP: 58.8.213.74 ....: #26227]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 18

โพสต์

มองให้ไกลเกินกว่า Critical Mass และทางจักรยาน

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

วิกฤติการทางพลังงาน ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทำให้ใครหลายๆคนเริ่มหันมามองดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แม้นทุกคนรู้ว่าสักวันน้ำมันจะหมดไปจากโลกนี้(ที่จริงยังมีอยู่แต่อยู่ลึกลงไปมากหรือในที่ๆไม่คุ้มกับการลงทุนขุดขึ้นมา) แต่เรายังคงไม่อนาทรร้อนใจ อาจจะแค่บ่นน้ำมันแพง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวลงไปบ้าง มีความหวังกับพลังงานทางเลือกไบโอดีเซล คิดว่าเราคงไม่ต้องกลัวน้ำมันหมดโลกแล้ว แค่เราปลูกพืชก็สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทนได้ แต่มันจะเป็นเรื่องง่ายๆแค่นั้นเองเหรอ 2บทความต่อไปนี้น่าจะทำให้เราได้ข้อมูลเห็นภาพในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้  


โดย...  streetdog [วันที่: 10/3/2008 - เวลา: 20:15:32 น. ....IP: 58.8.51.186]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 1

สภาการปิโตรเลียมแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรึกษาของรัฐบาลสหรัฐ ที่มีนายลี เรย์มอนด์ อดีตประธานบริหารของเอ็กซอน โมบิล เป็นประธาน

ได้เผยแพร่รายงานชื่อ "เผชิญหน้ากับความจริงเกี่ยวกับพลังงาน"
ระบุว่าในอีก 25 ปีข้างหน้าน้ำมันในรูปแบบดั้งเดิม (conventional oil-ซึ่งได้แก่น้ำมันที่ได้จากการทับถมของซากพืช สัตว์หรือฟอสซิล)

จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของโลก เนื่องจากการขยายตัวของความต้องการใช้จะมีมากกว่าปริมาณน้ำมันที่จัดหาได้
ดังนั้นจำเป็นต้องจัดหาพลังงานทางเลือกมาทดแทน

รายงานดังกล่าวระบุว่า ในช่วง 25 ปีข้างหน้าความต้องการใช้น้ำมันจะขยายตัว 50-60 %
แต่ปริมาณน้ำมันแบบดั้งเดิมและก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่จะไม่สามารถตอบสนองได้เพียงพอ

โดยสภาการปิโตรเลียมประเมินว่าในปี ค.ศ.2030 ความสามารถในการผลิตพลังงานจะอยู่ที่ระดับ 107 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ไม่ใช่ 116-118 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ประเมินไว้

ดังนั้นจะต้องจัดหาพลังงานทางเลือกมาอุดช่องว่างนี้ เช่น เอทานอล,ไบโอดีเซล,ถ่านหินเหลว เป็นต้น

ขณะเดียวกันจำเป็นต้องมีการประหยัดพลังงานควบคู่กันไปด้วยโดยเฉพาะในประเทศ
ซึ่งใช้น้ำมันมากอย่างสหรัฐอเมริกา อินเดียและจีน
รวมทั้งต้องปรับปรุงอุตสาหกรรมรถยนต์ให้สามารถผลิตรถยนต์ที่ประหยัดได้สูงสุดอีกด้วย

รายงานยังได้เตือนด้วยว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อลดปัญหาโลกร้อน
จะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการใช้พลังงานแบบผสมผสานและเพิ่มต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน
(บทความ อีก 25 ปี น้ำมันหมดโลก, คอลัมน์ คิดไม่ออกบอกเบนจี้, หนังสือพิมพ์มติชน วันเสาร์ที่ 8 เดือนมีนาคม พศ. 2551)


โดย..streetdog  [วันที่: 10/3/2008 - เวลา:20:16:06 น. ....IP: 58.8.51.186 ....: #24552]

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 20

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 2

แต่ละวันการบริโภคน้ำมันทั่วโลกมีประมาณ 80 ล้านบาร์เรล
กว่าครึ่งหนึ่งหมดไปกับการขนส่ง ในไทยประมาณร้อยละ 60 ของมูลค่าน้ำมันเป็นการบริโภคน้ำมันจากรถยนต์

อันที่จริงไทยตื่นตัวช้ากว่าหลายประเทศเรื่องพลังงานทดแทนที่ได้จากพืชในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งใช้น้ำมันถึงสองในสามของประเทศในเรื่องการขนส่ง

ปัจจุบันได้นำข้าวโพดประมาณร้อยละ 20 ของประเทศไปทำเอทานอลประมาณ 5พันล้านแกลลอน

ในสหภาพยุโรป(อียู) มีเป้าหมายว่าจะทดแทนน้ำมันในภาคคมนาคมขนส่งด้วยพลังงานหมุนเวียนจากพืชให้ได้ร้อยละ 10 ภายในปี 2563

ดังนั้นดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลไทยจะไม่ตกยุคกับเขาแล้ว
และเราผู้ใช้รถยนต์ทั้งส่วนตัวและสาธารณะจะได้ไม่ต้องง้อน้ำมันราคาแพงอีกต่อไป(ยะฮู้)

แต่....การเร่งขยายปลูกพืชพลังงานเพื่อทดแทนเชื้อเพลิงจากน้ำมันอาจจะนำเราไปสู่ขอเสียมากกว่าข้อดี

ข้อแรก คือ ความต้องการใช้น้ำมันปัจจุบันมีปริมาณมหาศาล
เมื่อจะนำพืชมาผลิตพลังงานจึงหมายถึงที่ดินจำนวนมหาศาล
เมื่อจะนำพืชมาผลิตพลังงานจึงหมายถึงที่ดินจำนวนมหาศาลเช่นกัน

จากประสบการณ์ของสหรัฐฯ เอทานอลจากเข้าโพดร้อยละ 20 ในประเทศ
สามารถทดแทนความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงได้ร้อยละ 3 ของความต้องการน้ำมันทั้งหมด
ซึ่งหมายความว่า แม้นจะเอาข้าโพดทั้งหมดที่ปลูกได้ในสหรัฐฯ ไปแปลงเป็นเอทานอล ก็ทดแทนได้แค่ร้อยละ 16 เท่านั้น

ของไทยเองกระทรวงพลังงานตั้งเป้าว่าภายในปีพ.ศ.2555
ปาล์มน้ำมันที่จะมาทำไบโอดีเซล ร้อยละ 100 จำนวน 8.5 ล้านลิตรต่อวันนั้น
จะต้องใช้พื้นที่ 5ล้านไร่โดยจะลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศได้ถึงร้อยละ 1

ดั้งนั้นหากจะลดการนำเข้าสักร้อยละ 50 บวกลบคูณหารแล้วก็ต้องหาพื้นที่ทั้งหมด 250ล้านไร่
เพื่อทำพลังงานเพียงอย่างเดียว ขณะที่ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินในปี 2547
ระบุว่า พื้นที่การเกษรของไทยในปัจจุบันเหลือแค่ 174 ล้านไร่เท่านั้น

เดิมเกษตรกรปลูกพืชสำหรับคนกิน ต่อมาก็ปลูกพืชที่ให้สัตว์กิน
มาถึงยุคนี้ เกษตรกรต้องปลูกพืชให้รถกิน (เป็นเชื้อเพลิง) เป็นคำกล่าวของใครบางคนที่ดูจะไม่ผิดเพี้ยนจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ที่ดินซึ่งเป็นทรัพยากรอันจำกัดกำลังถูกเปลี่ยนเป็นแหล่งผลิตพืชพลังงาน แย่งชิงกับพื้นที่ปลูกพืชเป็นอาหาร

ในเว็บไซด์ของฝ่ายวิจัย องค์กรการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า

การใช้อาหารเพื่อผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอาจทำให้สถานการณ์ของที่ดินเพื่อการเกษตรและน้ำ
ซึ้งตึงเครียดอยู่แล้วรุนแรงเข้าไปอีก จากราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น

รายงานสถาบันวิจัยนโยบายอาหารระหว่างประเทศ(International Food Policy Research Insititute) ในสหรัฐฯ ระบุว่า
ความต้องการเอทานอลที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาข้าวโพดเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และร้อยละ 41

ภายในปีพ.ศ.2553 และพ.ศ.2563 ราคาเมล็ดพืชที่มีน้ำมันเช่น ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 และร้อยละ 76 ภายในปีพ.ศ.2553
และพ.ศ.2563 ในทวีปแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกาซึ่งใช้มันสำปะหลังไปผลิตพลังงานจะทำให้ราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 และร้อยละ 41 ภายในปีพ.ศ.2553 และพ.ศ.2563

ที่ผ่านมาผู้บริโภคไทยได้ชิมลางราคาน้ำมันพืชที่ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้ว
เพราะปัจจัยต้นทุนน้ำมันแพงขึ้น บวกด้วยแรงกดดันจากความต้องการไบโอดีเซล

คนจนจะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะพวกเขาจะใช้เงินจากรายได้ไปกับการซื้ออาหารเป็นสัดส่วนมากกว่าเดิม
ผลกระทบตามมาคือ คนที่มีรายได้น้อยจะรัดเข็มขัดขึ้นโดยการลดการบริโภคของตนเองและครอบครัว
เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายด้านอาหารที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ก็ใช้น้ำมันเก่าทอดอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีกเกิดปัญหาด้านสาธารณะสุขที่ต้องตามแก้กันไม่รู้จบ

นอกจากนี้ ในมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบราซิล
ซึ่งล้วนเป็นผู้ผลิตพืชพลังงานรายใหญ่ของโลก พบว่า
สาเหตุสำคัญของการตัดไม้ทำลายป่าก็มาจากการแสวงหาพื้นที่ใหม่ๆ เพื่อไปปลูกพืชพลังงาน

และที่สำคัญ เป็นความเข้าใจผิดอย่างมากที่ว่าพืชพลังงานช่วยลดโลกร้อน
เพราะเมื่อรวมกระบวนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่การถางป่า การปลูก การแปลงสภาพและการขนส่งแล้ว
เชื้อเพลิงจากพืชพลังงานกับก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากกว่าน้ำมันเสียอีก
เช่น การผลิตน้ำมันปาล์มทุก 1 ตันจะก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 33ตัน
ซึ่งมากกว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากน้ำมันถึง 10 เท่า

เป็นเวลากว่าปีเศษแล้ว ที่ผู้เขียนเฝ้าดูชีวิตบนท้องถนนของผู้คนในกรุงเทพฯ
จากเบาะหลังของยานพาหนะสองล้อที่ไม่ต้องพึ่งพิงน้ำมันเชื้อเพลิงใดๆ

การได้นั่งจักรยานทุกเย็นจากที่ทำงานแถวถนนพญาไทกลับบ้านในฝั่งธนบุรี
ทำให้ผู้เขียนเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางประจำวัน
ซึ่งแต่ก่อนตอนนั่งรถยนต์กลับบ้าน คนเหล่านี้แทบไม่ปรากฏอยู่ในสายตา

การขี่จักรยานบนถนนในกรุงเทพไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะที่ทางของยานพาหนะทางเลือกนี้บนท้องถนนเกือบไม่มี
จะขี่บนฟุตบาท เส้นทางจักรยานก็เหมือนไม่เต็มใจให้เกิด ดูขาดๆเกินๆชอบกล
ไหนยังต้องคอยหลีกหนีแฝงลอยหรือรถเข็นขายของ และยังไม่นับรวมถึงมลภาวะทางอากาศที่ต้องเผชิญอีก

อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็พอใจการเดินทางโดยจักรยานพอสมควร
แม้จะเกิดอาการเสียวๆอยู่บ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการเดินทางโดยรถยนต์ในกรุงเทพฯแล้ว

จักรยานทำให้ผู้เขียนลดค่าใช้จ่าย และเครียดจากการจารจรน้อยกว่า และทำให้ผู้เขียนมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ได้ดีขึ้น

ในแง่หนึ่ง การส่งเสริมให้คนเดินทางโดยจักรยานมากขึ้นกับการหาพลังงานทดแทนมีสถานะความเป็นทางเลือกไม่น่าจะด้อยไปกว่ากัน

แต่ดูเหมือนว่าอย่างหลังจะเป็นแก่นสำคัญของนโยบายรัฐไทยเพียงอย่างเดียว

แต่เมื่อดูจากประสบการณ์ต่างประเทศที่บอกเราว่า หลายด้านของพืชพลังงานอาจเป็นสีดำมากว่าสีเขียว
จึงน่าตั้งคำถามว่าก็แล้วทำไมทางเลือกอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้คนปรับเปลี่ยนวิถี

หรือรูปแบบการเดินทางให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป(เช่น การมีนโยบายที่จะสนับสนุนให้การเดินทาง
โดยใช้จักรยานทำได้ง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้น) กลับไม่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนโยบายหลักของประเทศด้วย

ทั้งๆที่ผู้เขียนได้ยินหลายคนพูดถึงการเปลี่ยน ไลฟ์สไตล์ หรือรูปแบบการดำเนินชีวิตว่า
เป็นความจำเป็นในยุคโลกร้อน ซึ่งสอดคล้องเป็นอย่างดีกับการแก้ปัญหาเรื่องน้ำมันราคาแพง...
หรือว่าเป็นเพราะว่า เราสูญเสียความสามารถในการมองทะลุกรอบไปนานแล้ว

( บทความ ทางเลือกของน้ำมัน ศจินทร์ ประชาสันติ์, นิตยสารฉลาดซื้อ, ฉบับที่84, หน้า48-49 )


โดย..streetdog  [วันที่: 10/3/2008 - เวลา:20:16:39 น. ....IP: 58.8.51.186 ....: #24553]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 3

ดูเหมือนการแก้ปัญหาหนึ่งเรากลับสร้างปัญหาอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก(บางครั้งอาจเลวร้ายกว่าเดิม)

ทัศนะคติที่ครอบงำเรามาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสหกรรม,ทุนนิยมเสรี(ผูกขาด), การบริโภคที่ไม่รับผิดชอบ,
ไม่สนใจหาข้อมูลความรู้, ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ฝังรากลึกลงไปในกระบวนการคิดของคนในสังคม

เรากำลังขับรถเปิดแอร์เย็นสบายไปสู่ประตูแห่งหายนะที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า แทนที่จะหยุดรถ
กลับทำลายพื้นป่า ไร่นา เอามาทำพืชพลังงาน เพียงเพื่อเร่งทำลายตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้น

เมืองของเราถูกออกแบบมาเพื่อรองรับรถยนต์มากว่า239ปีหลังจากรถยนต์ถูกประดิษฐ์เมื่อ ค.ศ.1769
และเข้ามาในประเทศไทย รัชกาลที่ 4 ตอนปลาย วัฒนธรรมรถยนต์เข้ามาครอบงำ ในประเทศไทยกว่า ร้อยปี

จนการทำอะไรขัดใจคนขับรถยนต์ดูจะเป็นประหนึ่งความผิดที่ละเมิดมิได้ยิ่งขับรถแพงมากขึ้นขนาดใหญ่มากขึ้นกินน้ำมันมากขึ้น ยิ่งละเมิดมิได้

การเปลี่ยนแปลงถึงขั้นพื้นฐานทางความคิดของผู้คน เป็นสิ่งจำเป็นไม่สามารถรอได้อีกต่อไป

เราไม่สามารถมองแบบแยกส่วน ไม่เชื่อมโยงกัน เมื่อเรามองจักรยานมากไปกว่างานอดิเรก, กีฬา, การออกกำลังกาย, ความรักในวัยเด็ก(กับจักรยาน),

เมื่อเราปั่นจักรยาน จักรยานช่วยให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองไปด้วย ทำให้เรามองโลกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
มีสติมากขึ้น รู้จักถ่อมตัวเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าโลกที่กว้างใหญ่

การเพิ่มปริมาณคนใช้จักรยาน และการเรียกร้องทางจักรยาน มีความจำเป็นที่ต้องทำควบคู่กันไป

นั่นทำให้Critical Mass(การออกมาปั่นจักรยาน)และการเรียกร้องทางจักรยานเป็นเรื่องเดียวกัน

การปั่นCritical mass เกิดขึ้นกว่า325เมือง ทั่วโลกเมื่อถึงจุดวิกฤติ (ไม่จำเป็นต้องเป็นจำนวนที่มากกว่าเสมอไป)
กระบวนการเปลี่ยนแปลงจะต่อเนื่องไปโดยไม่ย้อนกลับไปจุดเดิม

การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อจำนวนคนปั่นบนท้องถนนเพิ่มขึ้น

ทางจักรยานยิ่งเป็นสิ่งจำเป็น ใครปั่นแข็งพอสามารถออกมาบนถนน
ปั่นไปทำงานทำธุระ ก็จูงจักรยานกระโดดขึ้นอานก็ไม่เห็นว่าต้องรออะไรอีกต่อไป

เราไม่สามารถรอจนกว่าน้ำมันจะหมดไปจากโลก เราไม่สามารถรอจนไม่มีพืชผลทางการเกษตรให้มนุษย์กินเพียงพอเพราะต้องเอาไปทำพืชพลังงาน

เราไม่สามารถรอจนคนขับรถในบ้านเรามีมารยาทและมีวัฒนธรรมบนท้องถนน

เราไม่สามารถรอจนทางจักรยานเสร็จสมบูรณ์ ใครที่คิดว่าอันตรายเกินไปยังไม่มีความพร้อม
ก็สามารถสนับสนุนในแนวทางอื่นๆได้ เพราะเราต่างมุ่งมั่น เพื่อการเปลี่ยงแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่ายั่งยืนกว่าของวัฒนธรรมมนุษย์

มาร์กาเร็ต มี้ด นักสังคมวิทยา บอกกับเราว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีมาตลอดประวัติศาสตร์
คือความริเริ่มของชนกลุ่มน้อย และมันย่อมจะต้องเป็นเช่นนั้นเสมอ

(กระทู้03028 : Critical Mass ในบทบาทขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จักรยาน,กฤตย์ ทองคง,

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30 )

ชุมชนจักรยานเล็กๆนี้ละครับ เป็นความหวังแห่งอนาคต มองให้ไกลเกินกว่า Critical Mass และทางจักรยาน

ด้วยความนับถือจิตใจผู้ใช้จักรยานทุกท่าน


โดย..streetdog  [วันที่: 10/3/2008 - เวลา:20:19:06 น. ....IP: 58.8.51.186 ....: #24555]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 9

มหาโหดของน้ำมันหรือการเมือง
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
นสพ.มติชน วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10971

ทำไมน้ำมันจึงราคาแพงมหาโหดอย่างนี้ คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ (เชี่ยวชาญด้านไหนไม่ทราบแน่ ระหว่างการทำเงินจากน้ำมัน และเข้าใจสภาวการณ์ที่เป็นจริงของแหล่งพลังงานนี้) ก็คือ เพราะค่าเงินดอลลาร์กำลังตกอย่างต่อเนื่อง นักเก็งกำไรจึงเทดอลลาร์มาซื้อน้ำมันดิบล่วงหน้า ในขณะเดียวกัน หน้าหนาวของตะวันตกและอเมริกายังต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ จึงมีความต้องการน้ำมันดีเซลสูง

คำอธิบายเช่นนี้อาจจะจริง แล้ววันหนึ่งในอนาคตไม่ไกลข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบก็จะลดลง ซึ่งแปลว่าต้องเทขายน้ำมันดิบที่ซื้อล่วงหน้าออกไปก่อนที่ราคาน้ำมันดิบจะลง เช่น แตะ 120 เหรียญต่อบาร์เรลเมื่อไร ก็ให้รีบเทขายเสีย พวกนี้ก็จะสามารถทำกำไรได้ 10-20% ในช่วงเพียง 2-3 เดือน

แต่ที่ว่าลดลงนั้น จะเหลือบาร์เรลละเท่าไร? ก็อาจประมาณจาก 90 เหรียญต่อบาร์เรลขึ้นไป ก็ยังเป็นราคามหาโหดสำหรับประเทศไทย และประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่ไม่มีปิโตรเลียมของตนเองอยู่นั่นเอง

เพราะสาเหตุสำคัญที่น้ำมันแพงเกิดขึ้นจากการที่ปิโตรเลียมในลักษณะที่จะมากลั่นเป็นน้ำมันได้กำลังจะหมดโลก ข้อมูลนี้ใครๆ ก็รู้ เพราะนักวิทยาศาสตร์บอกเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว อาการที่น้ำมันกำลังจะหมดโลกนั้น แสดงให้เห็นที่แนวโน้มของราคาซึ่งถีบตัวสูงขึ้นตลอดมา อันเป็นอาการปกติของทรัพยากรที่กำลังหมดสิ้นทั่วไป คือไม่ใช่รอจนหยดสุดท้ายจึงจะมีราคาสูงกว่าเพชร แต่ราคาจะไต่ทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ ตามปริมาณของอุปทานซึ่งลดลงไปเรื่อยๆ เหมือนกัน

แม้แต่คาร์เทลหรือการรวมกลุ่มตั้งราคา ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ ตราบเท่าที่สินค้านั้นยังมีเหลือเฟือ เพราะจะมีคู่แข่งนอกกลุ่มคาร์เทลขายในราคาที่ต่ำกว่าเสมอ แต่บัดนี้โอเปคกำหนดราคาได้อย่างเป็นผลทันที แตกต่างจากเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว หรือวิกฤตราคาน้ำมันครั้งแรก (ฉะนั้นการหาแหล่งน้ำมันดิบใหม่เช่นรัสเซีย จึงไม่น่าจะทำให้ไทยได้น้ำมันราคาถูกจากตลาดนานนัก)

มาตรการที่จะเผชิญกับราคาน้ำมันมหาโหดสำหรับประเทศในสถานะอย่างไทย จึงไม่ใช่เพียงอะไรที่เป็นเรื่องชั่วคราว เช่น ลดการหักเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เอาเบนซินมาช่วยดีเซล หรือการประหยัดพลังงานด้วยการปิดไฟปิดปั๊ม ฯลฯ เพื่อรอให้ราคาน้ำมันลดลงเท่านั้น มาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยให้สังคมมีโอกาสปรับตัวก็จำเป็นต้องทำแน่นอน แต่เพียงเท่านี้ไม่เพียงพอที่จะเผชิญกับโลกที่มีน้ำมันน้อยลงได้

มาตรการระยะยาวที่จะทำให้ไทยต้องพึ่งพลังงานจากปิโตรเลียมน้อยลง (และด้วยเหตุดังนั้นจึงถูกกระทบด้วยความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกน้อยลงด้วย) เป็นสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่เกิดวิกฤตน้ำมันครั้งแรก ผู้นำไทยเน้นการแก้ปัญหาไปที่การหาพลังงานทดแทน จากน้ำมันมหัศจรรย์ที่ใช้ได้นิรันดร์กาล มาสู่แหล่งพลังงานอื่นที่มีความเป็นจริงมากกว่า นับตั้งแต่การผสมแอลกอฮอล์กับเบนซิน, ผสมน้ำมันพืชกับดีเซล, ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน, และนิวเคลียร์ ในปัจจุบัน

อันที่จริง การหาและใช้พลังงานทดแทนปิโตรเลียมเป็นสิ่งที่ทำได้ "ง่าย" ในทางการเมือง เพราะทุกคนหรือเกือบทุกคนก็ยังดำเนินชีวิตไปได้ตามปกติ แต่เพื่อให้เกิดผลอย่างจริงจัง ยังจำเป็นต้องทำอื่นๆ เพื่อรองรับพลังงานทดแทนด้วย อันไม่ใช่ทำได้ "ง่าย" ในทางการเมืองอีกต่อไป และด้วยเหตุดังนั้นรัฐบาลไทยเกือบทุกชุดที่ผ่านมาจึงไม่ได้ทำ

เช่นการใช้แก๊สโซฮอล์ จะให้เกิดผลในการลดการนำเข้าน้ำมันอย่างจริงจัง ต้องมาพร้อมการวางแผนอย่างดี นับตั้งแต่ปริมาณการผลิตแอลกอฮอล์ที่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมทั้งด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังมิให้กระทบต่อการผลิตพืชอาหาร จนทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปด้วย ในด้านเครื่องยนต์ของรถยนต์ จำเป็นต้องมีเป้าที่ชัดเจนแน่นอนว่า รถยนต์ที่ประกอบและนำเข้าจะต้องมีมาตรฐานอย่างไร เพื่อจะทำให้สามารถใช้แก๊สโซฮอล์อันมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงขึ้นได้

อุตสาหกรรมรถยนต์ (รวมชิ้นส่วน) มีสัดส่วนในการทำเงินและจ้างงานในประเทศไทยอยู่มาก ในขณะที่ทุนจากอุตสาหกรรมนี้ส่วนหนึ่งไหลเข้าไปเป็นทุนของพรรคการเมืองต่างๆ ด้วย ฉะนั้นจึงมีอำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะอยู่ไม่น้อย คำประกาศของนายกรัฐมนตรีสมัยหนึ่งที่จะส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ไฮบริด จึงเงียบหายไปและไม่ก้าวไปไหน

นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การเตรียมการอื่นๆ เพื่อรองรับพลังงานทดแทนนั้น ไม่ "ง่าย" ทางการเมือง และรัฐบาลไทย (ทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐประหาร) มักขาดเจตนารมณ์ทางการเมือง (political will) ที่จะทำให้ลุล่วงไปได้

เช่นเดียวกับการเตรียมการเพื่อผลิตพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นแก๊สโซฮอล์หรือไบโอดีเซล หากจะทำให้มีประสิทธิภาพจริง ก็ไม่ "ง่าย" ทางการเมืองเช่นกัน

ในขณะที่ปล่อยให้การเตรียมการระดับโครงสร้างเป็นไปตามยถากรรม กลายเป็นช่องทางให้ต่างฝ่ายต่างหาประโยชน์ทางธุรกิจกันตามสะดวก เช่น บริษัทที่กำไรประมาณ 90% ได้จากก๊าซ ย่อมผลักดันให้หันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานทดแทนในรถยนต์ ก๊าซเป็นพลังงานที่จะทดแทนน้ำมันไปได้สักกี่ปียังเป็นปัญหาที่ต้องถกเถียงกันอีกมาก ในขณะที่นโยบายที่จะจัดการกับสำรองก๊าซในอ่าวไทย ไม่ได้มุ่งที่จะใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนน้ำมันในรถยนต์ในระยะยาว แต่มุ่งจะทำเงินจากก๊าซให้มากที่สุด เพื่อไทยจะได้รีบรวยเพื่อมีเงินซื้อน้ำมันแพงได้ต่างหาก

บริษัทถ่านหินทั้งไทยและเทศผลักดันให้ใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้า โดยร่วมมือกับกลุ่มที่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายพลังงาน ไม่ต่างจากบริษัทผลิตเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ซึ่งการก่อสร้างจริงจะเกิดเบี้ยบ้ายรายทางมากมาย นับตั้งแต่กู้เงินเป็นต้นไป

อีกด้านหนึ่งของการเผชิญกับราคาน้ำมันมหาโหดก็คือการใช้มันให้น้อยลง หรือการประหยัดนั่นเอง แต่ประหยัดที่จะมีผลลดการนำเข้าน้ำมันได้เป็นกอบเป็นกำมีมากกว่าเครื่องไฟฟ้าเบอร์ห้า, การดับไฟป้ายโฆษณา, หรือการปิดปั๊ม ปิดทีวี นั่นคือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ซึ่งต้องทำอะไรอื่นอีกหลายอย่างซึ่งไม่ "ง่าย" ทางการเมืองเลย

สถิติการใช้พลังงานของโรงงานไทยไม่น่าดูนัก เมื่อเปรียบเทียบกับโรงงานในหลายประเทศทั่วโลก จำเป็นต้องมีมาตรการส่งเสริมและลงโทษ (ทางภาษีหรืออื่นๆ) ที่จะทำให้โรงงานปรับปรุงการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมีเป้าและระยะเวลาที่ชัดเจนแก่นายทุนเจ้าของโรงงาน

การขนส่งที่ไร้การจัดการที่ดีก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก รถสิบล้อที่วิ่งรถเปล่าเพื่อไปขนสินค้าจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ ยังมีอีกมาก รัฐบาลทักษิณเคยวางเป้าหมายว่าจะมีการปฏิรูปด้านโลจิสติคส์ แต่ก็ยังไม่ได้ดำเนินงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะไม่ "ง่าย" ทางการเมืองดังกล่าว

ไม่เฉพาะแต่ด้านการขนส่งสินค้าโดยตรงเท่านั้น หากคิดเรื่องนี้ไปให้ไกลกว่านั้นจะพบว่า มีการขนส่งที่ไม่จำเป็นในเศรษฐกิจไทยอยู่ไม่น้อย ในพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงครั้งแรกนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสถึงการขนข้าวจากเชียงรายเข้ากรุงเทพฯ แล้วนำข้าวจากกรุงเทพฯ ย้อนกลับไปขายที่เชียงรายอีกทีหนึ่ง นั่นหมายความว่า หากต้องการประหยัดพลังงานจริง ยังจำเป็นต้องเข้ามารื้อการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจที่เกินความจำเป็นอีกมาก แต่การรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจคือผลประโยชน์ของทุนใหญ่ๆ ทั้งหลายในเมืองไทย การกระจายกิจกรรมทางเศรษฐกิจออกไปสู่หน่วยที่เล็กลง จึงหมายถึงขัดผลประโยชน์ของทุนเหล่านั้นโดยตรง ฉะนั้นจึงไม่ "ง่าย" ทางการเมืองเลย

การขนส่งด้วยรถไฟและทางน้ำยังใช้กันน้อยเกินไป ทั้งๆ ที่เป็นการขนส่งที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพกว่ากันมาก จะลงทุนและนำร่องการใช้อย่างไรไม่ใช่เรื่อง "ง่าย" ทางการเมืองอีกเช่นกัน

การลงทุนเพื่อการขนส่งมวลชนในเขตเมืองย่อมมีผลช่วยลดการใช้พลังงานแน่ แต่การเคลื่อนย้ายในเขตเมืองนั้นย่อมหมายถึงการเดินด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมืองของไทยไม่เหมาะแก่การเดินด้วยประการทั้งปวง และสาเหตุใหญ่ไม่ได้มาจากพ่อค้าแม่ค้าบนทางเท้า เท่ากับการให้อภิสิทธิ์แก่รถยนต์ ฉะนั้นหากจะทำให้การขนส่งมวลชนได้ผลจริง นอกจากความสะดวกสบายบนพาหนะสำหรับเดินทางแล้ว ยังจำเป็นต้องทำให้คนเดินถนนเป็นผู้มีอภิสิทธิ์สูงสุด รถส่วนบุคคลอาจสะดวกน้อยลง ซึ่งก็ดีแล้วที่จะผลักให้พวกเขาหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทน

โดย..streetdog  [วันที่: 25/3/2008 - เวลา:16:17:45 น. ....IP: 58.8.44.21 ....: #25722]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 10

ต่อครับ

การลงทุนเพื่อการขนส่งมวลชนในเขตเมืองย่อมมีผลช่วยลดการใช้พลังงานแน่ แต่การเคลื่อนย้ายในเขตเมืองนั้นย่อมหมายถึงการเดินด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมืองของไทยไม่เหมาะแก่การเดินด้วยประการทั้งปวง และสาเหตุใหญ่ไม่ได้มาจากพ่อค้าแม่ค้าบนทางเท้า เท่ากับการให้อภิสิทธิ์แก่รถยนต์ ฉะนั้นหากจะทำให้การขนส่งมวลชนได้ผลจริง นอกจากความสะดวกสบายบนพาหนะสำหรับเดินทางแล้ว ยังจำเป็นต้องทำให้คนเดินถนนเป็นผู้มีอภิสิทธิ์สูงสุด รถส่วนบุคคลอาจสะดวกน้อยลง ซึ่งก็ดีแล้วที่จะผลักให้พวกเขาหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนแทน

ไม่ "ง่าย" ทางการเมืองอีกเช่นกัน

นอกจากการเดินเท้าแล้ว การเคลื่อนย้ายในเขตเมืองยังอาจทำได้ด้วยจักรยาน อันเป็นพาหนะที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ต้องส่งเสริมให้มีการใช้จักรยานได้อย่างปลอดภัยและสะดวกในเขตเมือง แน่นอนว่าย่อมกระทบต่อการใช้รถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ดังที่กล่าวแล้วว่า รถยนต์ส่วนบุคคลควรได้อภิสิทธิ์น้อยที่สุดในการเคลื่อนย้ายในเขตเมือง การทำเช่นนี้ก็ไม่ "ง่าย" ทางการเมืองอีกเช่นกัน

ขยะของเมืองและชุมชนก็เป็นปัญหาด้านพลังงานเช่นกัน การฝังกลบสิ้นเปลืองพลังงานขนส่งขยะมหาศาล อีกทั้งขยะเองก็เป็นแหล่งพลังงานที่ไม่ควรนำไปฝังกลบง่ายๆ โรงผลิตพลังงานขนาดเล็กจากขยะ (และการแยกขยะเพื่อนำกลับมาใช้หรือหมุนเวียนใหม่) ควรตั้งกระจายทั่วไป เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนสายและขนเก็บขยะได้โดยไม่สิ้นเปลืองพลังงาน แต่การขจัดขยะด้วยวิธีฝังกลบหรือโรงงานขนาดใหญ่เป็นแหล่งรายได้ของนักการเมืองและผู้สนับสนุน จึงไม่ "ง่าย" ทางการเมืองอีกเช่นกัน

เพื่อเผชิญกับราคาน้ำมันมหาโหด มีสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำอีกมากเพื่อทำให้เศรษฐกิจไทยรอดพ้นจากต้นทุนพลังงานที่สูงเกินไป และจากความผันผวนของราคาน้ำมัน แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ "ง่าย" ทางการเมืองทั้งสิ้น จึงถูกปล่อยปละละเลยตลอดมา ไม่ว่าจะภายใต้รัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบ, ระบอบเลือกตั้ง, หรือรัฐประหาร

นอกจากเรื่องพลังงานแล้ว เงื่อนปมที่คลายไม่ออกอีกหลายอย่างของไทยติดอยู่ที่ "การเมือง

โดย..streetdog  [วันที่: 25/3/2008 - เวลา:16:19:13 น. ....IP: 58.8.44.21 ....: #25723]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 12

ผลวิจัยชี้โหมผลิตเอธานอลทำทะเลเน่า
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 มีนาคม 2551 15:31 น.
ข่าวต่างประเทศ - เอธานอลอาจเป็นความหวังสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ด้วยการเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ในยุคน้ำมันแพง แต่การเร่งโหมผลิตเพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดกำลังจะก่อให้เกิดผลร้ายกับสิ่งแวดล้อม เมื่องานวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบียระบุว่าน้ำทะเลในอ่าวเม็กซิโกกำลังมีคุณภาพแย่ขึ้นเรื่อยๆ และเขตอันตรายสำหรับสัตว์น้ำ หรือ Dead Zone ในทะเลกำลังขยายวงกว้างขึ้น
เว็บไซต์แคนาเดี้ยนไดร์ฟเวอร์เปิดเผยคำกล่าวของไซมอน ดอนเนอร์ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย และคริส คุชชาริคแห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ที่ชี้ให้เห็นว่า นโยบายในการเร่งผลักดันให้มีการผลิตเอธานอลที่แปรรูปมาจากข้าวโพดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทางเลือกใหม่อย่าง E85 ในยุคน้ำมันแพง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลพิษในอ่าวเม็กซิโก และทำให้สิ่งมีชิวีตบริเวณชายฝั่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ก่อนหน้านี้ทางสภาสูงของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศนโยบายพลังงานแห่งชาติในการเร่งผลิตเอธานอลด้วยกำลังการผลิต 36,000 ล้านแกลลอนจนถึงปี 2022 โดย 15 ล้านแกลลอนเป็นเอธานอลที่มาจากการใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบ

จากการสำรวจของนักวิจัยทั้ง 2 ระบุว่ามีการตรวจพบระดับที่สูงเกินจากปกติของไนโตรเจนและฟอสฟอรัสที่มาจากปุ๋ยซึ่งใช้ในการปลูกพืชสำหรับเป็นวัตถุดิบในการผลิตเอธานอลในสาหร่ายที่อยู่ใต้น้ำของบริเวณใกล้เคียงพื้นที่เพาะปลูก

เป็นผลให้สาหร่ายเหล่านี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากระดับปกติ และแย่งออกซิเจนที่อยู่ในน้ำจากสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำทะเลเกิดการเน่าเสียอย่างรวดเร็ว เพราะมีระดับออกซิเจนในน้ำลดลง

ขณะเดียวกันปุ๋ยที่ใช้ในการปลูกข้าวโพดซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกอยู่กลางประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นอีกตัวการที่ทำให้เกิดปัญหามลพิษอันเนื่องมาจากระดับของไนโตรเจนในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้สูงเกินจนส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และน้ำจากแม่น้ำแห่งนี้ก็ไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติอีกแห่งที่อยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการเกิดมลพิษ

รายงานฉบับบี้ระบุว่าในช่วงฤดูร้อนของแต่ละปี ไนโตรเจนที่เกิดจากผลผลิตของการเพาะปลูกข้าวโพดจะทำให้เกิดการขยายตัวของ พื้นที่อันตราย หรือ Dead Zone ในแม่น้ำและอ่าวเม็กซิโก ซึ่งบริเวณนี้จะมีระดับของออกซิเจนในน้ำต่ำมาก และทำให้สัตว์น้ำไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งในปีที่แล้ว เขตอันตรายนี้มีพื้นที่ครอบคลุมถึง 20,000 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว

นอกจากนั้น ดอนเนอร์และคุชชาริคยังได้กล่าวอีกว่าถ้ารัฐบาลต้องการที่จะเร่งดำเนินนโยบายด้านเอธานอลให้บรรลุตามเป้าหมายที่ทางสภาสูงวางไว้ ทั้งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้และอ่าวเม็กซิโกจะต้องรับภาระของไนโตรเจนที่สูงเกินจากระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีกประมาณ 10-19% และจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อแหล่งน้ำธรรมชาติเหล่านี้อย่างแน่นอน


โดย..streetdog  [วันที่: 30/3/2008 - เวลา:8:18:34 น. ....IP: 58.8.47.202 ....: #25992]
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 25

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 13

"โลกร้อน"...เพราะเราเป็นเพียงกาฝากเกาะกินโลก ?
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 มีนาคม 2551 00:26 น.

ในแต่ละปี มีการมอบเงินอุดหนุนถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมประมง...ท้องทะเล กำลังจะว่างเปล่า

ถุงพลาสติก 1 ใบ ใช้เวลาผลิตแค่ 1 วินาที นำมาใช้งานเพียง 20 นาที แต่ต้องใช้เวลาถึง 100-400 ปี ในการย่อยสลายไปตามธรรมชาติ...ในแต่ละปี คนทั่วโลกใช้ถุงพลาสติก 500,000 ถึง 1,000,000 ล้านใบ

ปริมาณน้ำกำลังจะกลายเป็นประเด็นหลักในระดับโลก เมื่อผู้คน 1,000 ถึง 2,000 ล้านชีวิต ต้องดิ้นรนหาน้ำวันละ 20-50 ลิตรมาไว้ดื่มกิน หุงหาอาหาร และทำความสะอาด

ภายในปี 2015 คาดกันว่าความต้องการน้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้น
จนแตะระดับ 99 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงราคาถูก หาง่าย และสกปรกที่สุด ในแต่ละปี เรานำเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดนี้มาใช้มากกว่า 6,000 ล้านตัน

ผู้คน 6,600 ล้านคนทั่วโลก กำลังอพยพเข้าสู่เขตเมืองและแถบชานเมือง

คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน มีเงินมากกว่าค่าจีดีพีของประเทศยากจนที่สุด 45 ประเทศรวมกัน

ประชากรโลก 3,000 ล้านคน มีเงินใช้ไม่ถึงวันละ 2 ดอลลาร์สหรัฐ

ช่องว่างระหว่างคนรวย-คนจน ถ่างกว้างมากขึ้น


...สถิติเหล่านี้เป็นเพียงเสี้ยวธุลีของปัจจัยสำคัญและผลกระทบมหาศาลอันเนื่องมาจากวิกฤติโลกร้อน รวมถึงภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงจากสภาวะเรือนกระจก
จุดกำเนิดของภาวะวิกฤติอันน่าตระหนกดังกล่าว อาจมิได้มาจากปัจจัยภายนอกอื่นใดเลย หากเกิดจากจิตสำนึกอันบกพร่องของมนุษย์เรานี่เอง จิตสำนึกที่มุ่งแต่จะตักตวง กอบโกย เรียกร้องเอาจาก โลก โดยมิไยดีถึงการรักษา เยียวยาบาดแผลที่เราต่างร่วมสังฆกรรมขุดเจาะ ถอนรากถอนโคน ในทุกๆ ทรัพยากรอันมีค่าที่โลกมอบให้เพื่อนำมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว

ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นดำรงอยู่เพื่อทุกสรรพชีวิต มิใช่ของใคร หรือของ เผ่าพันธุ์ใด เผ่าพันธุ์หนึ่ง แต่มนุษย์ก็เสนอหน้าขอรับสิทธิดังกล่าว โดยสิ่งมีชีวิตอื่นมิอาจคัดค้านต้านทาน


กระทั่งวันนี้ บทลงทัณฑ์เดินทางมาถึง ธรรมชาติกำลังเอ่ยปากเรียกร้องทวงสิทธิ์ให้ มนุษย์ หันกลับมามองการกระทำอันเลวร้ายของตน ทำความเข้าใจ เพื่อหาหนทางรักษา เยียวยา


ปรากฏการณ์น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง, โรคระบาด, น้ำท่วมครั้งใหญ่, ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย, ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูง, ปะการังเกิดการฟอกขาว, สัตว์ป่าหลายชนิดสูญพันธุ์ รวมถึงปัญหาด้านระบบนิเวศน์อีกเกินจะนับที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่เพียงกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในอาณาบริเวณนั้นๆ หากทว่า มันคือ ผีเสื้อขยับปีก ที่ส่งผลสะเทือนถึงทุกๆ วิถีชีวิตที่กำลังดำเนินอยู่บนโลกใบนี้
ดังเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ใน "ชีพจรโลก ท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" จาก NATIONAL GEOGRAPHIC หนังสือซึ่งรวบรวมภาพและข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้อย่างเจาะลึก นับแต่สภาพความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์ เรื่อยไปถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติ ก่อนจะนำไปสู่ยุคสมัยที่โลกทั้งใบเชื่อมโยงถึงกัน


ภาวะวิกฤติที่ถูกเอ่ยถึง คล้ายจะเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงที่ว่า เราทุกคนล้วนถูกโยงใยไว้ด้วยกัน ทุกๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกจึงย่อมได้รับผลจากการกระทำของเรา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่


ภาพความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ นับแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย แม้จะบอกกล่าวถึงข้อมูลอันน่าหวาดหวั่น แต่โลกใบนี้ก็กำลังรอคอยการแต้มสีลงไปอีกครั้งด้วยความหวังและการร่วมมือกันเยียวยาอย่างจริงจังจากเราทุกคน


ดังคำนิยมในเล่ม ที่ ดร. อ้อย กาญจนะวนิชย์ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียว ฝากไว้ น่าจะกระตุกจิตสำนึกของคนในสังคมได้ไม่มากก็น้อย
คนไทยโดย เฉพาะคนกรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดอนาคตโลก เพราะคนกรุงเทพฯ เรา ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ยต่อหัวต่อปีถึงคนละ 7.3 ตัน เท่าๆ กับชาวนิวยอร์ก (7.1 ตัน) และมากกว่าชาวลอนดอน ( 5.9 ตัน) กับชาวโตเกียว (5.7 ตัน) เมื่อพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะร้อยละ 50 มาจากการเผาน้ำมันไปกับการจราจรที่ขาดระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ อีกร้อยละ 33 มาจากการใช้ไฟฟ้า ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งหมดไปกับเครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้าทั้งหลายที่เราใช้ส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ถ่านหิน และเขื่อน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและชีวิตของคนชนบท
แม้สถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกจะดูหดหู่ แต่มันเป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ศักยภาพพลังสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างเต็มที่ เพราะเราไม่ใช่กาฝากเกาะกินโลกไปวันๆ ชีวิตเรามีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภค เรารับสถานการณ์ท้าทายนี้ได้ แต่เราต้องทำกันทันที


.................


สำคัญกว่านั้น ต้องเป็นการลงมือทำอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่เพียงป่าวประกาศผ่านงานอีเวนท์อลังการ, รณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกแล้วผลิตถุงผ้าอย่างบ้าคลั่ง-ขณะที่ข้างในถุงผ้าก็ซ้อนถุงพลาสติกไว้อีกชั้นหนึ่ง,
จัดแคมเปญปิดไฟ 1 ชั่วโมง จากนั้น...ก็แล้วกันไป ปล่อยให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่ยักษ์ใจกลางเมืองยังใช้ไฟฟ้ามหาศาลราวกับหลุมดำที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง


การกระทำเพียงเปลือกนอกเพื่อโหนกระแส ไม่ได้ช่วยให้โลกใบนี้ฟื้นขึ้นจากความป่วยไข้...


จิตสำนึกและการร่วมมือ-ลงมือทำอย่างจริงจังต่างหาก...
ที่จะช่วยชะลอกาลอวสานของโลก...ให้มาถึงช้าลง

...............

ตัวหนอนบนกองหนังสือ


-หมายเหตุ
ข้อมูลสถิติที่ยกมาไว้ข้างต้น รวมถึงภาพประกอบบทความ คือข้อมูลจากหนังสือ
"ชีพจรโลกท่ามกลางวิกฤติโลกร้อน" เขียนโดย ทอมัส เฮย์เดน
แปลโดย ลลิตา ผลผลา


โดย..streetdog  [วันที่: 30/3/2008 - เวลา:8:24:25 น. ....IP: 58.8.47.202 ....: #25993]

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ความคิดเห็นที่ 14

บทความข้างบนตกไปครับ ทำอักษรสีแดงแล้วไม่ครบ

คนไทยโดย เฉพาะคนกรุงเทพฯ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกำหนดอนาคตโลก เพราะคนกรุงเทพฯ เรา ปล่อยคาร์บอนเฉลี่ยต่อหัวต่อปีถึงคนละ 7.3 ตัน เท่าๆ กับชาวนิวยอร์ก (7.1 ตัน) และมากกว่าชาวลอนดอน ( 5.9 ตัน) กับชาวโตเกียว (5.7 ตัน) เมื่อพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะร้อยละ 50 มาจากการเผาน้ำมันไปกับการจราจรที่ขาดระบบขนส่งมวลชนที่ดีพอ อีกร้อยละ 33 มาจากการใช้ไฟฟ้า ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งหมดไปกับเครื่องปรับอากาศ ไฟฟ้าทั้งหลายที่เราใช้ส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ถ่านหิน และเขื่อน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและชีวิตของคนชนบท


"พวกเขาต้องสูญเสียอาชีพ สูญเสียป่าริมน้ำซึ่งเป็นระบบนิเวศน์เฉพาะ สูญเสียพันธุ์ปลาที่ต้องเดินทางอพยพขึ้นลงลำน้ำเพื่อหากิน ผสมพันธุ์ และวางไข่ แลกกับการใช้ไฟฟ้าตามห้างสรรพสินค้าและตึกสำนักงานขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่ใช้ไฟกันเฉลี่ยรายละกว่า 15,000 เมกะวัตต์ชั่วโมง เทียบกับบ้านเรือนที่ใช้กัน เฉลี่ย 6 เมกะวัตต์ชั่วโมง


"เมื่อ 50 ปีก่อน ประเทศไทยมีพื้นที่ป่ามากกว่าร้อยละ 50 และประชากรเพียง 20 ล้านคน ในวันนี้ เราเหลือป่าน้อยกว่าร้อยละ 20 ขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 65 ล้านคน....


โดย..streetdog  [วันที่: 30/3/2008 - เวลา:8:26:16 น. ....IP: 58.8.47.202 ....: #25994]

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 27

โพสต์

สวัสดีค่ะ คุณ  yai-cho ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณ samsam ขอบคุณ ค่ะ
วันศุกร์นี้ จะไปปั่นด้วยเพราะจุดนัดพบไม่ไกลจากบ้านเลยไปได้
พอปั่นจักรยานเป็น ก็คำนึงถึงความปลอดภัยอันดับแรก
อยากมีทางจักรยานเพื่อเดินทางไปได้ทุกแห่งได้อย่างปลอดภัย

เซฟค่าเดินทางไปไหนๆด้วยรถเมล์ รถตุ๊กๆ และแท๊กซ๊ ได้เงินหยอดกระปุกเยอะเหมือนกัน
สุขภาพดีกว่าก่อนมาก ก็คิดว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในวัยนี้
ไปวิ่งไปกระโดดคงไม่ไหวแล้ว เข่าเสื่อม ปวดตามข้อ
ก็ได้แต่ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานอย่างเดียว

ไปออกทริปเดินทางไกลกับขมรมฯสนุกดีค่ะ

http://www.thaicycling.com/messageboard.asp


**....ปั่นจักรยานแล้วหายป่วยได้....**


http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30


....ทั้งปี..มีความสุขกับการไปท่องเที่ยวออกทริปกับชมรมฯ....

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=28522


รู้สึกประทับใจอะไรบ้างในทริปนครนา!!!

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

ชอบทริปนี้มากที่สุด โหดมันโฮ...ทรหดที่สุดค่ะ

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 28

โพสต์

เช้านี้ไปประชุมผู้ถือหุ้นบล.แอ๊คคินซันมาไป8.00น.ที่นนะโนโวแทล สุขุมวิท33
.เพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้ เขาเลี้ยงกาแฟและแซนวิช
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไปฟัง
ก็ไม่มีอะไร ปีนี้กำไรนิดหน่อย แต่จ่ายปันผลไม่ได้ ก็ตลกดี ก็ไม่รู้จะว่าไรดี
ต้นทุน16บาท3000หุ้น ถือมาหลายๆปีจนแตกกระจายเป็น 30000หุ้น เขาจะเอาไงก็ต้อง..ช่างเขาเถอะ..อิอิ..

เข้ามาสวัสดี คุณ d.hunt  ขอบคุณมากค่ะ

ขอบคุณ คุณ boonsomch  ที่เล่าเรื่องราวและประสบการณ์ที่ผ่านมาให้อ่าน
ดีมากๆเลย ที่ให้ข้อคิดดีๆในขณะที่ขับขี่ยวดยานและปั่นจักรยานบนท้องถนน
เห็นด้วยทุกประการ ถึงข้อผิดพลาดต่างๆ
ซี่เหล็กช่องไฟกรงฝาท่อ ทำไว้กว้างเท่าวงล้อจักรยาน
หากไม่ระวังล้อจะติดที่วี่กรงเหล็กได้
บางครั้งมัวแต่ระวัง ก็จะอันตรายจนลืมมองรถที่สวนไปมาได้

ไปท่องเที่ยวกับชมรมฯ

ตามไปดูเขาฉลองวันเกิด 17 ปี ชมรมจักรยาน Tcc

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

ได้ไปทดลองใช้เส้นทางจักรยานระหว่างทาง บางแห่งก็ตลกดี
ยังทำไม่ได้ดีตลอดเส้นทาง เพราะบางแห่งไปไม่ได้ ติดสะพานข้าม
การตีเส้นทางก็ตลกดี คือตามห้องแถวร้านค้า
ลูกเล็กเด็กแดง วิ่งไปมาที่หน้าบ้าน  อันตรายกับทุกๆฝ่าย

ได้ขึ้นสะพานลอยที่ทางกทม.เขาสร้าง อันนี้ก็ตลกดี
เห็นแล้วเหนื่อยตั้งแต่อยู่ตีนสะพาน แค่ข้ามไปคนเดียวยังถอดใจเลย
หากต้องเข็นจักรยานขึ้นไปด้วย  คงไม่ไหวแน่ๆ
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 29

โพสต์

**...วันอาทิตย์ที่9 มีนาคม51 นำจักรยานขึ้นรถไฟ..ไปเที่ยวตลาดน้ำบางคล้า ...**

ทริปนี้ตลอดเส้นทางถนนสะอาด ต่างจังหวัดการจารจรไม่ติดขัด ไปไหนก็สะดวก
ปั่นจักรยานไปได้เรื่อยๆตลอดจังหวัด คุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นดูๆไปเขามีความสุขมากๆ
หน้าตาสดชื่น ไม่เร่งรีบเหมือนอย่างคนกรุง
การปั่นจักรยานไปต่างจังหวัด ถือว่าเป็นการพักผ่อนทางใจที่ดีมากๆเลยค่ะ

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

ไปปั่นออกทริปที่ต่างจังหวัด อย่างเส้นทางเขื่อนนครนายกฯ เขาตีทางจักรยานสวยงามได้มาตรฐานมากๆ
แต่ก็อย่างว่าอ่ะนะ ระน้อย จะตีเส้นทางให้สวยงามกว้างๆก็ได้ แต่ที่กทม.พื้นที่ขับขี่ยวดยานถนนแคบ
รถมีมากกว่าถนน หากทุกคนนำรถยนต์ออกมาขี่พร้อมๆกัน มีหวังรถคงต้องซ้อนๆกันเป็นชั้นๆตลอดทุกถนนแน่ๆ


ดีใจที่คุณ boonsomch ใช้จักรยานในการปั่นออกกำลังกาย
พรุ่งนี้เจอกันนะคะ


อย่างน้องผู้หญิงในลิ้งค์นี้ เธอใจเด็ดมากๆ อ่านแล้วประทับใจมาก ก้าวไปไกลกว่าที่คิดเลย
เป็นเราๆคงทำไม่ได้อย่างนี้..

http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30

จักรยาน..คือ เพื่อนร่วมทางที่ดีในยามนี้ค่ะ
ดูแลง่าย ไม่จู้จี้จุกจิก เหมือนรถที่ใช้เครื่องจักรทั่วๆไป
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
และทำให้เราเกิดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นด้วยค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 1.html#125

ไม่รู้ล่ะ ได้ของเล่นที่ถูกใจเมื่อยามเบื่อหน่ายสิ่งจำเจ
ทำให้ชีวิตที่หลงเหลืออยู่มีความหมายมากยิ่งขึ้น
การลงทุนในหุ้น...พลอยค่อยๆลดความสำคัญลงไปจากใจ..ไปทีละน้อย
ใจไม่กังวล  ความเครียดจึงค่อยๆหาย..ไป

ปั่นกันเถอะเรา นั้น ไปเพราะอยู่ใกล้บ้าน  ไม่อันตรายก็จะไปกะเขาด้วย
ไปเพราะ ปั่นจักรยานเป็นแล้ว อยากไปร่วมกิจกรรมดีๆที่เขาจัดขึ้น
อยากรู้ว่าเขาทำอะไรกัน ทำแล้วได้สิ่งดีๆกลับมา ก็น่ายินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะเป็นผลพลอยได้ ของคนที่รักการออกกำลังกายด้วยจักรยาน

สุขภาพดี จิตใจพลอยมีความสุขไปด้วย
ไม่อ่อนแอและท้อแท้ กับเรื่องราวที่ผ่านไปอีกแล้ว

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

......" ปั่นกันเถอะเรา ครั้งที่ 3 "......

โพสต์ที่ 30

โพสต์

รูปจากไทยเอ็มทีบีค่ะ

http://thaimtb.com/cgi-bin/viewkatoo.pl?id=226700

สนุกดีค่ะ ปั่นท่ามกลางสายฝนที่โปรยลงมาเรื่อยๆ
ตกๆหยุดๆ ไม่ใช่เปียกชุ่มฉ่ำจนเหมือนหมาน่อยตกน้ำ
หากแต่ฝนตกแบบละอองฝนตลอดทาง
การจารจรติดขัด ก็ไม่เป็นปัญหาในการปั่นจักรยาน

ได้พบปะพี่ๆน้องๆที่คุ้นเคยกัน เคยออกทริปร่วมกันหลายๆทริป
ต่างดูและความปลอดภัยให้กันและกันอย่างดี
ไม่มีหลุด บางคันติดไฟแดงนานหลายนาที
กลุ่มหน้าที่ไปก่อน ต่างหยุดรอกลุ่มหลังที่ปั่นมาสมทบ

วิวรอบข้างท่ามกลางสายฝน ดูเปลี่ยนและแตกต่างกับเคยนั่ง
รถประจำทาง แท๊กซี่ ตุ๊กๆ และรถเก๋งส่วนตัว
เพราะพวกเราปั่นซิกแซกหลบน้ำเจิ่งนองตามฟุตบาทได้สะดวก
และที่สำคัญคือไปกันเป็นขบวน เกาะกลุ่มตามกันไป

คิดว่าภาพนักปั่นที่ปั่นไปได้อย่างอิสระเสรีนั้น
คนที่นั่งโดยสารบนรถคงมองแล้วเพลิดเพลินดี
และท่ามกลางสายฝน ทุกคนคงเบื่อหน่ายในการรอรถเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นแน่
อย่างน้อยๆภาพนักปั่นจักรยานที่ผ่านไปคันแล้วคันเล่า

คงเป็นภาพที่ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการได้ลงมาปั่นจักรยานกะเขาอ่ะนะ
หากคนชอบกีใป่นจักรยาน ก็คงมีสักหลายๆคนที่คิดอย่างนี้
เห็นรถติดตลอดเส้นทางที่พวกเราผ่านไป
ทำให้คิดถึงตอนมีนัด ต้องเผื่อเวลาในการออกเดินทางอีก1ชั่วโมงกัน

พวกเราปั่นไปหลายๆแห่ง จนมาถึงจุดมุ่งหมายชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ฝนหยุดพอดี ลมพัดเย็นสบาย เรือล่องไปมา มีคนมาหยุดนั่งพักผ่อนหย่อนใจกันมาก
ที่นี่มีม้านั่งหลบฝนตามศาลาพักด้วย แต่พวกเรายืนชมวิวทิวทัศน์รอบด้าน
พูดคุยเรื่องราวต่างๆกลุ่มใครกลุ่มเค๊าผลัดเปลี่ยนกันแลกเปลี่ยนความคิดสนุกดี

พอได้เวลาก็เตรียมตัวปั่นกลับ อ่ะ ฝนโปรยลงมาอีกแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเดินทางเลยสักนิด
กลับทำให้ได้ใช้ไหวพริบยามเดินทางปั่นท่ามกลางสายฝน
ผ่านไปถนนแล้วถนนเล่า เกาะกลุ่มกันไป

เฮียสุวิทย์และพี่ๆอีกหลายๆคน เขาปั่นเก่งและชำนาญ
ตั้งแต่เริ่มต้นและขากลับ จะคอยแจกใบปลิวรณรงค์ประหยัดพลังงาน
หันมาปั่นจักรยานออกกำลังกาย และการได้ทางจักรยานเพื่อเดินทางอย่างปลอดภัย
ได้อ่านทุกตัวอักษร ก็เห็นว่ามีประโยชน์แก่ส่วนรวมจริงๆ

ในที่สุดก็ปั่นกลับถึงจุดนัดพบ พวกเราสนุกสนานกับการได้มาปั่นครั้งนี้มาก
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แล้วแบ่งกลุ่มกันเดินทางกลับ หลายๆกลุ่มมีคนนำทาง
กลุ่มดิฉันมีน้าเป็ด และหนุ่มๆสาวๆหน้าตาน่ารักชุดสีฟ้าเกาะกลุ่มกันนำทาง
มาถึงทางแยก4แยกราชเทวี ถึงบ้านแล้ว เพชรดีและดิฉันก็บ๋ายบาย

ขอบคุณหลายๆทุกๆคน ที่ทำให้เราสองคนสาวเหลือน้อย
ได้ตื่นเต้นท่องเมืองยามราตรี ลุยท่ามกลางสายฝนนั้นเป็นอย่างไร
ผ่านมาแล้ว ประทับใจและสนุกดีค่ะ ตื่นมาก็สบายดี ไม่เป็นหวัดเลย
แข็งแรงและมีภูมิมากกว่าเดิม วันอาทิตย์ตอนเช้าก็ไป

ร่วมรณรงค์ลดโลกร้อนวันอาทิตย์ที่ 27เม.ย.2551 ตอนเช้า9.00น.กะเขาด้วย
http://www.thaicycling.com/messageboard ... axreply=30
โพสต์โพสต์