The Secret
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 2
สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่าน
ผมจะสรุปใจความสำคัญนะครับ
จะได้คุยกันทั่วหน้า
The Secret
เป็นทฤษฏีใหม่ที่เพิ่งปรากฏแพร่หลายในปัจจุบันนี้
แต่โดยไม่แพร่หลายนั้น
เชื่อว่าทฤษฎีนี้เกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว
แต่ถูกถ่ายทอดกันอย่างลับๆ
ให้กับบางกลุ่มเท่านั้น
เราๆท่านๆจึงไม่เคยได้อ่าน
และกลุ่มที่รู้ความลับนี้
ก็ล้วนแล้วแต่ประสบผลสำเร็จในระดับโลกทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นด้านเงินทอง
หรือด้านเกียรติยศในสังคม
เราๆท่านๆที่ไม่รู้ความลับ
จึงยังคงเป็นเราๆท่านๆอยู่นั่นเอง :lol:
เนื้อหาใจความหลักๆนั้นมีสั้นๆว่า
ความคิดเรานั้น
มีแรงดึงดูด
ความสำเร็จหรือล้มเหลว
ล้วนแล้วแต่ถูกแรงดึงดูดของความคิดเรา
ดูดมาทั้งสิ้น
สั้นๆเท่านี้เอง
เชิญวิพากย์วิจารณ์ได้เต็มที่ครับ
ทั้งแง่บวกและแง่ลบ
ผมจะสรุปใจความสำคัญนะครับ
จะได้คุยกันทั่วหน้า
The Secret
เป็นทฤษฏีใหม่ที่เพิ่งปรากฏแพร่หลายในปัจจุบันนี้
แต่โดยไม่แพร่หลายนั้น
เชื่อว่าทฤษฎีนี้เกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว
แต่ถูกถ่ายทอดกันอย่างลับๆ
ให้กับบางกลุ่มเท่านั้น
เราๆท่านๆจึงไม่เคยได้อ่าน
และกลุ่มที่รู้ความลับนี้
ก็ล้วนแล้วแต่ประสบผลสำเร็จในระดับโลกทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นด้านเงินทอง
หรือด้านเกียรติยศในสังคม
เราๆท่านๆที่ไม่รู้ความลับ
จึงยังคงเป็นเราๆท่านๆอยู่นั่นเอง :lol:
เนื้อหาใจความหลักๆนั้นมีสั้นๆว่า
ความคิดเรานั้น
มีแรงดึงดูด
ความสำเร็จหรือล้มเหลว
ล้วนแล้วแต่ถูกแรงดึงดูดของความคิดเรา
ดูดมาทั้งสิ้น
สั้นๆเท่านี้เอง
เชิญวิพากย์วิจารณ์ได้เต็มที่ครับ
ทั้งแง่บวกและแง่ลบ
- ก้อนหิน
- Verified User
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 3
หลักการ Law of Attraction นี่ผมเห็นในหนังสือจิตวิทยาความสำเร็จ หรืออะไรแนวๆนี้ หลายเล่มเลยนะครับ
แปลกใจเหมือนกันครับ
โดยส่วนตัวผมก็คิดว่า มันอาจจะจริงก็ได้มั้ง 55 อาจจะเป็นพวก ถ้าเรา think positive ก็คงดีกว่า คิดว่ามันจะแย่อยู่แล้วมั้งครับ ทั้งด้านการกระทำ และ ผลลัพธ์
แปลกใจเหมือนกันครับ
โดยส่วนตัวผมก็คิดว่า มันอาจจะจริงก็ได้มั้ง 55 อาจจะเป็นพวก ถ้าเรา think positive ก็คงดีกว่า คิดว่ามันจะแย่อยู่แล้วมั้งครับ ทั้งด้านการกระทำ และ ผลลัพธ์
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 4
อาจารย์เสน่ห์เคยกล่าวคำคมไว้ว่า
"เมื่อก่อนนั้น เราเชื่อกันว่า you are what you eat"
นั่นเป็นเพราะว่า คนเราเกิดมา
ก็มีน้ำหนักเพียงสามโลกว่าๆ
ดังนั้น
ที่เราเป็นอะไรในวันนี้
ก็เพราะอาหารที่เรากินนั่นเอง
ถ้าเรากินเยอะ เราก็เป็นหมู
กินน้อย ก็เป็นกุ้งแห้ง
ว่าที่จริงตัวตนของเรา
มีเพียงไข่กับเสปิร์มซึ่งมีน้ำหนักไม่กี่นาโนกรัม
ที่เราโตจนน้ำหนักถึงสามโล
ก็ล้วนแต่เป็นอาหารที่เราได้จากมดลูกนั่นเอง
นั่นเป็นความเชื่อเมื่อก่อน
สาเหตุที่ความเชื่อนี้ ตกไปแล้ว
เราจะไม่พูดถึงมากนัก
ทุกวันนี้อาจารย์เสน่ห์พูดว่า
"you are what you think"
ซึ่งผมเห็นด้วยเต็มๆ คมจริงๆ
ยูอาร์ว็อทยูทิงค์
"เมื่อก่อนนั้น เราเชื่อกันว่า you are what you eat"
นั่นเป็นเพราะว่า คนเราเกิดมา
ก็มีน้ำหนักเพียงสามโลกว่าๆ
ดังนั้น
ที่เราเป็นอะไรในวันนี้
ก็เพราะอาหารที่เรากินนั่นเอง
ถ้าเรากินเยอะ เราก็เป็นหมู
กินน้อย ก็เป็นกุ้งแห้ง
ว่าที่จริงตัวตนของเรา
มีเพียงไข่กับเสปิร์มซึ่งมีน้ำหนักไม่กี่นาโนกรัม
ที่เราโตจนน้ำหนักถึงสามโล
ก็ล้วนแต่เป็นอาหารที่เราได้จากมดลูกนั่นเอง
นั่นเป็นความเชื่อเมื่อก่อน
สาเหตุที่ความเชื่อนี้ ตกไปแล้ว
เราจะไม่พูดถึงมากนัก
ทุกวันนี้อาจารย์เสน่ห์พูดว่า
"you are what you think"
ซึ่งผมเห็นด้วยเต็มๆ คมจริงๆ
ยูอาร์ว็อทยูทิงค์
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 5
เราอ่านผ่านๆจบแล้ว เพราะมันง่วง
เราค่อนข้างเห็นด้วยกับกฎนี้นะคะ แต่ประหลาดใจไหม ก็ไม่นะคะ ไม่ได้รู้สึกว่า ว้าว เลิศมาก มันเป็นอะไรๆที่เรามองข้ามไป แต่ใช้ได้ผลจริงถ้าใช้เป็น
กฎนี้ไม่ใช่การคิดดี แต่เป็นการคิดว่า เราอยากเป็นอะไร แล้วมันจะดึงสิ่งนั้นมาหาเรา เพราะจริงๆถ้าเราไม่คิดและมุ่งมั่นเพียงพอ สิ่งดีๆที่กองตรงหน้าก็จะไม่ได้รับการสังเกต
ตัวอย่างง่ายๆ เวลาอยากรวยจากหุ้นสักตัว ถ้าไม่อยากจริงๆไม่คิดถึงมันจริงๆ ก็อาจจะไม่ได้สังเกตโอกาสต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ภาษีกากถั่วเหลืองลดเหลือ 0% ยอดโครงการ BOI พุ่งมา 42% ในเดือนที่ผ่านมา เราว่าพวกนี้ตีประเด็นเป็นหุ้นได้ทั้งนั้นค่ะ กฎถึงบอกว่า เราจะดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามา ยิ่งคิดว่าจะดอยมันก็จะดอยจริงๆ เพราะแทนที่จะหาทางแก้ไขพอร์ทก็มัวแต่ระทมกับคำว่าดอย
เราว่ากฎนี้ใช้ได้จริง แต่จิตใจมุ่งมั่นได้มากแค่ไหนมากกว่า บังคับใจบางทีมันก็ยาก ไม่งั้นคนอกหักบางคนทำไมเสียใจได้เป็นปีปี :lol:
เราค่อนข้างเห็นด้วยกับกฎนี้นะคะ แต่ประหลาดใจไหม ก็ไม่นะคะ ไม่ได้รู้สึกว่า ว้าว เลิศมาก มันเป็นอะไรๆที่เรามองข้ามไป แต่ใช้ได้ผลจริงถ้าใช้เป็น
กฎนี้ไม่ใช่การคิดดี แต่เป็นการคิดว่า เราอยากเป็นอะไร แล้วมันจะดึงสิ่งนั้นมาหาเรา เพราะจริงๆถ้าเราไม่คิดและมุ่งมั่นเพียงพอ สิ่งดีๆที่กองตรงหน้าก็จะไม่ได้รับการสังเกต
ตัวอย่างง่ายๆ เวลาอยากรวยจากหุ้นสักตัว ถ้าไม่อยากจริงๆไม่คิดถึงมันจริงๆ ก็อาจจะไม่ได้สังเกตโอกาสต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต เช่น ภาษีกากถั่วเหลืองลดเหลือ 0% ยอดโครงการ BOI พุ่งมา 42% ในเดือนที่ผ่านมา เราว่าพวกนี้ตีประเด็นเป็นหุ้นได้ทั้งนั้นค่ะ กฎถึงบอกว่า เราจะดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามา ยิ่งคิดว่าจะดอยมันก็จะดอยจริงๆ เพราะแทนที่จะหาทางแก้ไขพอร์ทก็มัวแต่ระทมกับคำว่าดอย
เราว่ากฎนี้ใช้ได้จริง แต่จิตใจมุ่งมั่นได้มากแค่ไหนมากกว่า บังคับใจบางทีมันก็ยาก ไม่งั้นคนอกหักบางคนทำไมเสียใจได้เป็นปีปี :lol:
.....Give Everything but not Give Up.....
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 6
อันนี้ตรงข้ามกับผมเลยครับ :lol:krisy เขียน: เราค่อนข้างเห็นด้วยกับกฎนี้นะคะ แต่ประหลาดใจไหม ก็ไม่นะคะ ไม่ได้รู้สึกว่า ว้าว เลิศมาก มันเป็นอะไรๆที่เรามองข้ามไป แต่ใช้ได้ผลจริงถ้าใช้เป็น
ผมอ่านแล้ว
รู้สึกได้เลยว่า
ว้าว......มันเลิศมาก
และ โอ.....พระเจ้าจอร์ช มันยอดอะไรอย่างนี้
แต่ก็เชื่อว่ามันได้ผลจริงๆเหมือนคุณ krisy ว่า
แต่ผมยังติดใจหลายๆประการสำหรับตัวเนื้อหา
ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเลย
ทำไมมันถึงเลิศมาก
ทำไมคนที่รู้ความลับเหล่านี้
ถึงสร้างสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆให้โลกนี้ได้มากขนาดนั้น
ดึกๆครับ....เดี๋ยวมาคุยกันต่อ
แต่จะพยายามคุยในแง่มุมวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้จริง
ซึ่งผมจะคิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ว่าเนื้อหาในหนังสือ
มีแนวไสยศาสตร์มากเหมือนกัน
อาจจะไม่ไสยศาสตร์ชัดๆประเภทที่ดูปั๊บรู้เลย
แต่ก็มีสิ่งที่เป็นความเชื่อความศรัทธามากกว่าเหตุและผลอยู่พอสมควร
อาจจะเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่ม
เป็นการรวมมุมมองของคนจำนวนมากก็ได้
เนื้อหาจึงออกไปหลากหลายแนวทาง
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 8
เห็นด้วยในประเด็นนี้ครับแผ่วเบา เขียน: แต่ก็มีสิ่งที่เป็นความเชื่อความศรัทธามากกว่าเหตุและผลอยู่พอสมควร
------------------------
ถ้าจะให้วิจารณ์ตรงๆ
ผมว่าหนังสือเล่มนี้ทำการตลาดได้ดีมาก
กระตุ้นให้เกิดความสนใจอยากอ่าน
อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดพอสมควร
โดยเฉพาะในเรื่องทัศนคติและการคิดบวก
แต่หลายๆประเด็นก็รู้สึกเหมือนที่พี่แผ่ว comment ไว้ข้างต้น
ขณะที่ผมอ่านไป ผมรู้สึกว่าหลักธรรมที่ค้นพบกันมานานแล้ว
อย่าง "อิทธิบาท 4" ซึ่งประกอบไปด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ตรงกับจริตผมมากกว่า "The law of attraction" ในหนังสือ
ซึ่งเน้นเฉพาะหัวข้อ ฉันทะ และ จิตตะ
ส่วนเรื่องราวของคนที่เอามาลงที่ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ (ถึงได้เอามาลง)
ส่วนคนที่ใช้หลักการนี้แล้ว ไม่สำเร็จ ก็น่ามีเป็นจำนวนไม่น้อย (ถึงไม่ได้เอามาลง)
สองสามวันที่แล้วเห็นหนังสือที่แต่งโดยคนไทยก็มี "The top secret"
ผู้แต่งคนเดียวกันกับ "ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"
(รู้สึกว่าจะเน้นการตลาดเหลือเกิน)
ผมหยิบขึ้นมาลูบๆ คลำๆ แล้วก็วาง
ใครอ่านแล้วดีไม่ดียังไงก็เล่าให้ฟังด้วยนะครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 10
คิดเหมือนกันเลยครับ :lol:HVI เขียน: ขณะที่ผมอ่านไป ผมรู้สึกว่าหลักธรรมที่ค้นพบกันมานานแล้ว
อย่าง "อิทธิบาท 4" ซึ่งประกอบไปด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ตรงกับจริตผมมากกว่า "The law of attraction" ในหนังสือ
ซึ่งเน้นเฉพาะหัวข้อ ฉันทะ และ จิตตะ
- gradius173
- Verified User
- โพสต์: 198
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 13
ผมว่าไม่น่าแปลกใจหรอกครับเป็นเรื่องที่เราๆรู้อยู่แล้ว แต่ปฏิบัติจริงค่อนข้างยาก คนที่ทำสำเร็จต้องตั้งใจและมีวินัย หลักการเหมือนVIแหละครับ
กฏของแรงดึงดูดนี่ถ้าดูจริงๆ คล้ายกับPositive Thinking
กฏของแรงดึงดูดนี่ถ้าดูจริงๆ คล้ายกับPositive Thinking
-
- Verified User
- โพสต์: 987
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 14
ยังไม่ได้อ่านครับ เลยยังเข้ามาร่วมวงถกประเด็นได้ไม่เต็มที่
แต่ถามคุณแผ่วเบา เรื่องทำนองคล้ายๆกัน
เจ้าความเชื่อเนี่ย เมื่อมันสิงสถิตในสมองหรือจิตใจของคนเรา
ในทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า
มันสามารถเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสิ่งนั้นได้จริงๆ
หรือเป็นเพียงอนุนานเบื้องต้นที่จะสร้างฐานแห่งกำลังใจเราให้มั่นคงก่อน
แล้วค่อยๆปฎิบัติไต่ขึ้นไปจนบรรลุ
หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจที่นักพูดหลายๆคน
ถึงประสบสำเร็จในการนำจิตวิทยาหมู่
ดังเช่น แอนโทนี รอบบินส์ กับ Program พูดอันโด่งดัง "Unleash the Power Winthin"
Anthony Robbins
หลายๆคนที่รู้จักทั้งคนไทย เทศ ชื่นชมมาก
หรืออย่างโปรแกรมอบรมบางหลักสูตร(ฝรั่ง)เกี่ยวกับการค้นพบตัวเอง
(Self Discovery) เมื่อชั่วโมงอบรมสิ้นสุดลง
มองหน้าแค่ละคน แทบทุกคนเหมือนกับจะผ่านร่ำไห้ออกมา
(เลยยังไม่กล้าเข้าไปฟังเสียที อิอิ)
หรือทั้งหมดนี้เป็นการดึงส่วนของความอ่อนแอของคนเราออกมาตีแผ่
ซึ่งโดยปกติ จะไม่มีใครกล้าออกมายอมรับโต้งๆ
หากด้วยทฤษฎีหรือวิธีการใดๆของคนพูด(ที่เก่งมาก)
สามารถพลิกความอ่อนแอนี้เป็นพลังความเชื่อ เสริมความเข้มแข็ง
เลยทำให้ผู้ฟัง ผู้เข้าร่วม กล้าแสดงภาวะซ่อนเร้นดังกล่าวนี้ออกมา
อย่างไม่หวาดหวั่น
และนี่เองจึงเป็นทฤษฎีที่มาของบรรดา กฏแห่งการคิดบวก
กฏแห่งการดึงดูดทั้งหลาย หรือเปล่าครับ
และที่แน่ๆ รู้สึกบรรดาผู้ประกอบธุรกิจแนว MLM
มักจะใช้ชื่นชอบทฤษฎีในขอบเขตนี้มากๆ
แต่ถามคุณแผ่วเบา เรื่องทำนองคล้ายๆกัน
เจ้าความเชื่อเนี่ย เมื่อมันสิงสถิตในสมองหรือจิตใจของคนเรา
ในทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า
มันสามารถเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสิ่งนั้นได้จริงๆ
หรือเป็นเพียงอนุนานเบื้องต้นที่จะสร้างฐานแห่งกำลังใจเราให้มั่นคงก่อน
แล้วค่อยๆปฎิบัติไต่ขึ้นไปจนบรรลุ
หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจที่นักพูดหลายๆคน
ถึงประสบสำเร็จในการนำจิตวิทยาหมู่
ดังเช่น แอนโทนี รอบบินส์ กับ Program พูดอันโด่งดัง "Unleash the Power Winthin"
Anthony Robbins
หลายๆคนที่รู้จักทั้งคนไทย เทศ ชื่นชมมาก
หรืออย่างโปรแกรมอบรมบางหลักสูตร(ฝรั่ง)เกี่ยวกับการค้นพบตัวเอง
(Self Discovery) เมื่อชั่วโมงอบรมสิ้นสุดลง
มองหน้าแค่ละคน แทบทุกคนเหมือนกับจะผ่านร่ำไห้ออกมา
(เลยยังไม่กล้าเข้าไปฟังเสียที อิอิ)
หรือทั้งหมดนี้เป็นการดึงส่วนของความอ่อนแอของคนเราออกมาตีแผ่
ซึ่งโดยปกติ จะไม่มีใครกล้าออกมายอมรับโต้งๆ
หากด้วยทฤษฎีหรือวิธีการใดๆของคนพูด(ที่เก่งมาก)
สามารถพลิกความอ่อนแอนี้เป็นพลังความเชื่อ เสริมความเข้มแข็ง
เลยทำให้ผู้ฟัง ผู้เข้าร่วม กล้าแสดงภาวะซ่อนเร้นดังกล่าวนี้ออกมา
อย่างไม่หวาดหวั่น
และนี่เองจึงเป็นทฤษฎีที่มาของบรรดา กฏแห่งการคิดบวก
กฏแห่งการดึงดูดทั้งหลาย หรือเปล่าครับ
และที่แน่ๆ รู้สึกบรรดาผู้ประกอบธุรกิจแนว MLM
มักจะใช้ชื่นชอบทฤษฎีในขอบเขตนี้มากๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 15
เห็นด้วยเรื่อง อิทธิบาท 4 ครับHVI เขียน: เห็นด้วยในประเด็นนี้ครับ
------------------------
ถ้าจะให้วิจารณ์ตรงๆ
ผมว่าหนังสือเล่มนี้ทำการตลาดได้ดีมาก
กระตุ้นให้เกิดความสนใจอยากอ่าน
อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดพอสมควร
โดยเฉพาะในเรื่องทัศนคติและการคิดบวก
แต่หลายๆประเด็นก็รู้สึกเหมือนที่พี่แผ่ว comment ไว้ข้างต้น
ขณะที่ผมอ่านไป ผมรู้สึกว่าหลักธรรมที่ค้นพบกันมานานแล้ว
อย่าง "อิทธิบาท 4" ซึ่งประกอบไปด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ตรงกับจริตผมมากกว่า "The law of attraction" ในหนังสือ
ซึ่งเน้นเฉพาะหัวข้อ ฉันทะ และ จิตตะ
ส่วนเรื่องราวของคนที่เอามาลงที่ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ (ถึงได้เอามาลง)
ส่วนคนที่ใช้หลักการนี้แล้ว ไม่สำเร็จ ก็น่ามีเป็นจำนวนไม่น้อย (ถึงไม่ได้เอามาลง)
สองสามวันที่แล้วเห็นหนังสือที่แต่งโดยคนไทยก็มี "The top secret"
ผู้แต่งคนเดียวกันกับ "ไอสไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"
(รู้สึกว่าจะเน้นการตลาดเหลือเกิน)
ผมหยิบขึ้นมาลูบๆ คลำๆ แล้วก็วาง
ใครอ่านแล้วดีไม่ดียังไงก็เล่าให้ฟังด้วยนะครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- krisy
- Verified User
- โพสต์: 736
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 16
เราว่าสิ่งที่ jack canfield อยากสื่อน่าจะเป็น ให้เราตั้งเป้า คิดถึงสิ่งที่อยากได้ อยากเป็นจริงๆมากกว่า เหมือนเป็นการตั้ง vision ที่จะมองอนาคตข้างหน้าได้ไกลกว่าเดิม เพราะมันมีหลายวิธีที่จะได้เป้าหมายเดียวกัน เปิดใจเท่ากับเปิดโอกาสให้ตัวเองค่ะ
ถ้าจะเปรียบเทียบกับการขับรถไป new york จริงๆแล้ว new york คือเป้าหมายท้ายสุดที่เค้าพยายามจะสื่อนะคะ เพราะงั้นถ้าเราจะไปจริงๆ ถึงหลงทางให้ตาย เสียเวลายังไง เราก็ไปถึง เพราะเรารู้ว่าเราจะไปไหน แต่มันต่างจากการที่เราขับโดยไม่รู้จุดหมายท้ายสุด เพราะเป้าหมายเราจะเปลี่ยนเป็นเมืองที่เราผ่านเรื่อยๆ อาจมีการหลงทางไปหลงไปไกลหลุดโลกได้ เพราะเราไม่ได้อยากไป new york เราแค่อยากไปที่ไหนที่สักที่ เอามาเปรียบกับการเดินทางดูไม่เหมาะ เพราะส่วนมากเรามันจะรู้ก่อนว่าเราอยากไปไหนค่ะ
อายจัง แต่อิทธิบาท 4 เนี่ยเราจำความหมายไม่ได้ มันแปลว่าไงแล้วนะคะ :oops:
ถ้าจะเปรียบเทียบกับการขับรถไป new york จริงๆแล้ว new york คือเป้าหมายท้ายสุดที่เค้าพยายามจะสื่อนะคะ เพราะงั้นถ้าเราจะไปจริงๆ ถึงหลงทางให้ตาย เสียเวลายังไง เราก็ไปถึง เพราะเรารู้ว่าเราจะไปไหน แต่มันต่างจากการที่เราขับโดยไม่รู้จุดหมายท้ายสุด เพราะเป้าหมายเราจะเปลี่ยนเป็นเมืองที่เราผ่านเรื่อยๆ อาจมีการหลงทางไปหลงไปไกลหลุดโลกได้ เพราะเราไม่ได้อยากไป new york เราแค่อยากไปที่ไหนที่สักที่ เอามาเปรียบกับการเดินทางดูไม่เหมาะ เพราะส่วนมากเรามันจะรู้ก่อนว่าเราอยากไปไหนค่ะ
อายจัง แต่อิทธิบาท 4 เนี่ยเราจำความหมายไม่ได้ มันแปลว่าไงแล้วนะคะ :oops:
.....Give Everything but not Give Up.....
- ก้อนหิน
- Verified User
- โพสต์: 2344
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 17
ฉันทะ คือ ความพอใจkrisy เขียน:
อายจัง แต่อิทธิบาท 4 เนี่ยเราจำความหมายไม่ได้ มันแปลว่าไงแล้วนะคะ :oops:
วิริยะ คือ ความขยัน
จิตตะ คือ ความมุ่งมั่น ตั้งใจ
วิมังสา คือ หมั่นนึกตรึกตรอง ทบทวน
แหะแหะ ความรู้ทางพุทธ งูๆปลาๆ ครับ ถ้าผิดก็รบกวนผู้รู้แก้ไขให้ด้วยนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 19
ตอบพี่กูรูกูรูขอบสนาม เขียน: แต่ถามคุณแผ่วเบา เรื่องทำนองคล้ายๆกัน
เจ้าความเชื่อเนี่ย เมื่อมันสิงสถิตในสมองหรือจิตใจของคนเรา
ในทางวิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่า
มันสามารถเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นสิ่งนั้นได้จริงๆ
หรือเป็นเพียงอนุนานเบื้องต้นที่จะสร้างฐานแห่งกำลังใจเราให้มั่นคงก่อน
แล้วค่อยๆปฎิบัติไต่ขึ้นไปจนบรรลุ
ความเชื่อนี้ ในทางการแพทย์ได้พิสูจน์และนำไปใช้จริงได้แล้ว
โดยเฉพาะในสาขาจิตเวชและจิตวิทยา
จิตของคนเรานั้นแบ่งหยาบๆเป็นสามระดับ
1. unconscious จิตไร้สำนึก
เช่นเจ้าชายนิทรา ถือว่าสมองได้ตายไปแล้ว
จิตในขั้นนี้ไม่สามารถนำมาใช้งานใดๆได้
ถ้าเจ้าชายสามารถฟื้นมาได้
ก็แปลว่าจิตของเขายังไม่ถึงขั้น unconscious จริง
2. conscious จิตสำนึกปกติ หรือจิตที่ทำให้เรารู้ตัวเองดี จะเรียกว่า "สติ" ก็ได้
เราสั่งงานแขนขาเราได้ก็ด้วยจิตนี้ เราบวกลบเลขได้ก็ด้วยจิตนี้
ในทางกายวิภาคนั้น สมองส่วนที่ทำงานในเรื่องนี้คือ สมองใหญ่(cerebrum)
3. subconscious จิตใต้สำนึก อันนี้เราไม่ค่อยจะรู้ตัว ยังลึกลับพอสมควรและนำมาใช้งานไม่ค่อยได้
เราถึงเรียกว่า"ใต้"สำนึก
เป็นจิตที่ติดตัวพวกเรามาเนื่องจากวิวัฒนาการที่ยาวนานหลายร้อยล้านปี ตั้งแต่ยังไม่มีมนุษย์
จิตนี้ตั้งอยู่ที่สมองส่วนอื่นที่ไม่ใช่สมองใหญ่ เช่น ก้านสมอง พอนด์ สมองเล็ก เป็นต้น ซึ่งสมองนี้พบได้ในสัตว์เป็นส่วนใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 20
ความสำคัญอยู่ตรงที่ จิตใต้สำนึกนี้ เป็นจิตที่มีอานุภาพสูงมาก
ที่เราเคยได้ยินกันว่า
เวลามีไฟไหม้ บางคนสามารถยกโอ่งน้ำที่มีน้ำเต็มได้สบายๆ
แต่พอหายตกใจแล้วทำไม่ได้ ก็เป็นอานุภาพอย่างหนึ่งของจิตใต้สำนึก
จิตนี้รับผิดชอบกิจกรรมที่สำคัญๆของมนุษย์และทำให้มนุษย์อยู่รอดได้จนบัดนี้ อย่างเช่น
โดยปกติ จิตสำนึกจะสามารถสั่งการการหายใจได้
จะให้หายใจยาวก็ได้ หายใจสั้นก็ได้
แต่พอจิตสำนึกเกิดลืมสั่ง
ก็ไม่ใช่ว่าร่างกายเราจะหยุดหายใจและตายไป
เพราะจิตใต้สำนึกจะเป็นผู้รับช่วงสั่งงานแทน
และหลายๆงานที่ทำให้เราอยู่รอดได้
โดยที่จิตสำนึกสั่งงานไม่ได้ ก็เช่น การเต้นของหัวใจ
จิตสำนึกไม่สามารถสั่งให้เต้นเร็วช้าได้
ผู้รับผิดชอบหลักก็คือ จิตใต้สำนึกนี่เอง
จิตใต้สำนึกลึกลับและสำคัญขนาดนี้
แต่ก็ไม่ถึงกับลึกลับจนนำมาฝึกปรือไม่ได้
หลายๆกิจกรรมเราก็ฝึกจิตใต้สำนึกได้ อย่างเช่น
เราหัดขับรถ
ตอนแรกเราก็ต้องสั่งมือสั่งเท้าเราให้ทำงานประสานกันทั้งพวงมาลัยทั้งเบรคทั้งคลัช ทั้งหมดนี้จิตสำนึกเป็นผู้สั่งการเองทั้งนั้น
แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ
จิตใต้สำนึกเองก็แอบจำไปด้วย
พอเราขับได้ชำนาญถึงระดับหนึ่ง
โดยที่เราไม่ต้องสั่งงานด้วยจิตสำนึก
เจ้าตัวจิตใต้สำนึกก็กระทำแทนได้โดยอัตโนมัติ
และได้ประสิทธิภาพดีกว่าเสียด้วยซ้ำในบางเรื่อง
เราเห็นสุนัขวิ่งตัดหน้ารถ
จิตใต้นึกก็สั่งขาเราให้แตะเบรคไปก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก
ที่เราเคยได้ยินกันว่า
เวลามีไฟไหม้ บางคนสามารถยกโอ่งน้ำที่มีน้ำเต็มได้สบายๆ
แต่พอหายตกใจแล้วทำไม่ได้ ก็เป็นอานุภาพอย่างหนึ่งของจิตใต้สำนึก
จิตนี้รับผิดชอบกิจกรรมที่สำคัญๆของมนุษย์และทำให้มนุษย์อยู่รอดได้จนบัดนี้ อย่างเช่น
โดยปกติ จิตสำนึกจะสามารถสั่งการการหายใจได้
จะให้หายใจยาวก็ได้ หายใจสั้นก็ได้
แต่พอจิตสำนึกเกิดลืมสั่ง
ก็ไม่ใช่ว่าร่างกายเราจะหยุดหายใจและตายไป
เพราะจิตใต้สำนึกจะเป็นผู้รับช่วงสั่งงานแทน
และหลายๆงานที่ทำให้เราอยู่รอดได้
โดยที่จิตสำนึกสั่งงานไม่ได้ ก็เช่น การเต้นของหัวใจ
จิตสำนึกไม่สามารถสั่งให้เต้นเร็วช้าได้
ผู้รับผิดชอบหลักก็คือ จิตใต้สำนึกนี่เอง
จิตใต้สำนึกลึกลับและสำคัญขนาดนี้
แต่ก็ไม่ถึงกับลึกลับจนนำมาฝึกปรือไม่ได้
หลายๆกิจกรรมเราก็ฝึกจิตใต้สำนึกได้ อย่างเช่น
เราหัดขับรถ
ตอนแรกเราก็ต้องสั่งมือสั่งเท้าเราให้ทำงานประสานกันทั้งพวงมาลัยทั้งเบรคทั้งคลัช ทั้งหมดนี้จิตสำนึกเป็นผู้สั่งการเองทั้งนั้น
แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ
จิตใต้สำนึกเองก็แอบจำไปด้วย
พอเราขับได้ชำนาญถึงระดับหนึ่ง
โดยที่เราไม่ต้องสั่งงานด้วยจิตสำนึก
เจ้าตัวจิตใต้สำนึกก็กระทำแทนได้โดยอัตโนมัติ
และได้ประสิทธิภาพดีกว่าเสียด้วยซ้ำในบางเรื่อง
เราเห็นสุนัขวิ่งตัดหน้ารถ
จิตใต้นึกก็สั่งขาเราให้แตะเบรคไปก่อนที่เราจะรู้ตัวเสียอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 21
จิตใต้สำนึกยังส่งอิทธิพลอย่างสูงต่อร่างกายทุกๆส่วน
จิตสำนึกเรายังมีเวลาง่วง ตกกลางคืนจิตสำนึกเราก็หลับ
แต่ที่ไม่เคยหลับเลยตั้งแต่เราเกิดมาก็คือ จิตใต้สำนึกนี่เอง
จิตใต้สำนึกมีกำลังและอิทธิพลสูงมาก แต่มีความฉลาดน้อยกว่าจิตสำนึก
เวลาจิตสำนึกหยุดทำงาน(หลับ)
เจ้าจิตใต้สำนึกก็ทำงานแทน
เวลาเราฝัน ซึ่งก็เป็นผลงานอย่างหนึ่งของจิตใต้สำนึก
เราจะพบว่า ในความฝันนั้น ตัวเราช่างเรื่องอีเดียตเสียจริงๆ
ไม่ค่อยมีเหตุผลไม่ค่อยสมาร์ทเอาเสียเลย
ก็เพราะความฉลาดของจิตใต้สำนึกมีเท่านั้นเอง :lol:
จิตใต้สำนึกยังส่งผลต่อพฤติกรรมหลายๆอย่าง
ทั้งดีและร้าย ขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกเราเป็นอย่างไร
จิตแพทย์สามารถรักษาโรคนอนกรนได้โดยเข้าไปแก้ที่จิตใต้สำนึก
สามารถรักษาโรคอื่นๆได้อีกมากมายโอยเข้าไปแก้ที่จิตใต้สำนึก
จิตสำนึกเรายังมีเวลาง่วง ตกกลางคืนจิตสำนึกเราก็หลับ
แต่ที่ไม่เคยหลับเลยตั้งแต่เราเกิดมาก็คือ จิตใต้สำนึกนี่เอง
จิตใต้สำนึกมีกำลังและอิทธิพลสูงมาก แต่มีความฉลาดน้อยกว่าจิตสำนึก
เวลาจิตสำนึกหยุดทำงาน(หลับ)
เจ้าจิตใต้สำนึกก็ทำงานแทน
เวลาเราฝัน ซึ่งก็เป็นผลงานอย่างหนึ่งของจิตใต้สำนึก
เราจะพบว่า ในความฝันนั้น ตัวเราช่างเรื่องอีเดียตเสียจริงๆ
ไม่ค่อยมีเหตุผลไม่ค่อยสมาร์ทเอาเสียเลย
ก็เพราะความฉลาดของจิตใต้สำนึกมีเท่านั้นเอง :lol:
จิตใต้สำนึกยังส่งผลต่อพฤติกรรมหลายๆอย่าง
ทั้งดีและร้าย ขึ้นอยู่กับจิตใต้สำนึกเราเป็นอย่างไร
จิตแพทย์สามารถรักษาโรคนอนกรนได้โดยเข้าไปแก้ที่จิตใต้สำนึก
สามารถรักษาโรคอื่นๆได้อีกมากมายโอยเข้าไปแก้ที่จิตใต้สำนึก
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 22
ความตั้งใจหรือความเชื่อของเราจะส่งผลไปที่ร่างกายและระบบอื่นๆโดยที่เราไม่รู้ตัว
และร่างกายจะจัดการเตรียมพร้อมให้เราเองโดยที่เราไม่ต้องสั่ง เช่น
เราตั้งใจจะตื่นนอนตอนหกโมงเช้า คนที่ฝึกบ่อยๆจะสามารถตื่นนอนได้ตอนหกโมงเช้าจริงๆและถูกเป๊ะๆไม่พลาดแม้แต่นาทีเดียวด้วย
นั่นแปลว่านอกจากจิตใต้สำนึกจะเตรียมร่างกายให้เราแล้ว
จิตใต้สำนึกยังมีนาฬิกาอยู่ในตัวด้วย
ส่วนผู้ที่ทำอย่างนั้นไม่ได้
ถ้าฝึกบ่อยๆก็จะสามารถทำได้จริง
หรือถ้าฝึกหนักๆแล้วก็ยังทำไม่ได้
ก็ไม่ได้หมายความว่าทฤษฎีนี้ไม่จริง
แต่เป็นเพราะตัวเขาเองยังขาดอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างต่างหาก
ผมเองเชื่อว่าเซียนสนุ๊กเกอร์สามารถตบหมดโต๊ะภายในไม้เดียวได้จริง
แม้ว่าตัวผมเองไม่เคยทำได้เลยไม่ว่าจะฝึกหนักอย่างไรก็ตาม :lol:
นั่นคือความสำคัญของความเชื่อมั่น
ความเชื่อมั่นที่หนักแน่น
จะส่งผลไปที่จิตใต้สำนึก
และผลจากจิตใต้สำนึกจะส่งผลไปที่กาย
และเรื่องจิตนี้ในศาสนาพุทธเอง
ก็ยกความสำคัญไว้สูงมาก
ที่วัดถ้ำยายปริกเกาะสีชังนั้น
เขียนไว้ชัดเจนเลยครับว่า
ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
และร่างกายจะจัดการเตรียมพร้อมให้เราเองโดยที่เราไม่ต้องสั่ง เช่น
เราตั้งใจจะตื่นนอนตอนหกโมงเช้า คนที่ฝึกบ่อยๆจะสามารถตื่นนอนได้ตอนหกโมงเช้าจริงๆและถูกเป๊ะๆไม่พลาดแม้แต่นาทีเดียวด้วย
นั่นแปลว่านอกจากจิตใต้สำนึกจะเตรียมร่างกายให้เราแล้ว
จิตใต้สำนึกยังมีนาฬิกาอยู่ในตัวด้วย
ส่วนผู้ที่ทำอย่างนั้นไม่ได้
ถ้าฝึกบ่อยๆก็จะสามารถทำได้จริง
หรือถ้าฝึกหนักๆแล้วก็ยังทำไม่ได้
ก็ไม่ได้หมายความว่าทฤษฎีนี้ไม่จริง
แต่เป็นเพราะตัวเขาเองยังขาดอะไรบางอย่างหรือหลายอย่างต่างหาก
ผมเองเชื่อว่าเซียนสนุ๊กเกอร์สามารถตบหมดโต๊ะภายในไม้เดียวได้จริง
แม้ว่าตัวผมเองไม่เคยทำได้เลยไม่ว่าจะฝึกหนักอย่างไรก็ตาม :lol:
นั่นคือความสำคัญของความเชื่อมั่น
ความเชื่อมั่นที่หนักแน่น
จะส่งผลไปที่จิตใต้สำนึก
และผลจากจิตใต้สำนึกจะส่งผลไปที่กาย
และเรื่องจิตนี้ในศาสนาพุทธเอง
ก็ยกความสำคัญไว้สูงมาก
ที่วัดถ้ำยายปริกเกาะสีชังนั้น
เขียนไว้ชัดเจนเลยครับว่า
ผู้ใดเห็นจิต ผู้นั้นเห็นธรรม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 23
ทีนี้มาเรื่องอิทธิบาทสี่ ดร.โจ วิเทล บอกว่า
ผมก็ไม่เห็นด้วย
เพราะถ้ามีแต่ฉันทะและจิตตะ โดยไม่มีวิริยะและวิมังสา
ก็ทำใจให้เชื่อได้ยากจริงๆ
เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เติบโตมาด้วยหลักการเพียงเท่านั้น
อย่างน้อยๆ เราจะทำอะไรให้สำเร็จได้ ก็จะต้องมีวิริยะและวิมังสาเข้าไปประกอบ
และที่สำคัญอย่างน้อยๆเราต้องรู้กระบวนการ(process)ที่ถูกต้องด้วย
ถ้าอาศัย "ความเชื่อและความมั่นใจ"อย่างเดียว
ผมว่าไม่มีทาง
ตรงนี้ตอนที่ผมอ่านเผินๆในตอนแรกคุณไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ว่าสิ่งนั้นๆจะเกิดขึ้นได้อย่างไร คุณไม่จำเป็นต้องรู้เลยว่า จักรวาลจะจัดวางตัวเองใหม่อย่างไร สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไร จักรวาลจะนำพาสิ่งนั้นมาหาคุณด้วยวิธีไหน นั่นไม่ใช่ธุระหรือหน้าที่ของคุณ ปล่อยให้จักรวาลทำหน้าที่นี้ให้คุณดีกว่า
ผมก็ไม่เห็นด้วย
เพราะถ้ามีแต่ฉันทะและจิตตะ โดยไม่มีวิริยะและวิมังสา
ก็ทำใจให้เชื่อได้ยากจริงๆ
เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เติบโตมาด้วยหลักการเพียงเท่านั้น
อย่างน้อยๆ เราจะทำอะไรให้สำเร็จได้ ก็จะต้องมีวิริยะและวิมังสาเข้าไปประกอบ
และที่สำคัญอย่างน้อยๆเราต้องรู้กระบวนการ(process)ที่ถูกต้องด้วย
ถ้าอาศัย "ความเชื่อและความมั่นใจ"อย่างเดียว
ผมว่าไม่มีทาง
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 24
แต่พออ่านไปถึงหน้า 55 ก็เลยถึงบางอ้อ (โดยเฉพาะในขั้นที่ 2.)
เขาบอกว่า เริ่มจาก
บ่อยครั้งมากๆที่มีความขัดแย้งกันเองในความต้องการของเรา
อยากได้อย่างหนึ่งแต่ไม่อยากได้อีกอย่างหนึ่งที่เป็นผลพวงของความอยากอย่างแรกก็มี
หรืออื่นๆที่ขัดแย้งกันอีรุงตุงนังทั้งที่เรารู้ตัวและส่วนใหญ่ที่เราไม่รู้ตัว
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็แปลว่า เรายังทำขั้นที่ 1. ไม่สำเร็จ
ซึ่งผลก็ย่อมจะไม่สำเร็จตามไปด้วย
เขาบอกว่า เริ่มจาก
ตรงนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากขั้นที่ 1. ขอ
คิดให้ชัดว่าเราจะขออะไร
บ่อยครั้งมากๆที่มีความขัดแย้งกันเองในความต้องการของเรา
อยากได้อย่างหนึ่งแต่ไม่อยากได้อีกอย่างหนึ่งที่เป็นผลพวงของความอยากอย่างแรกก็มี
หรืออื่นๆที่ขัดแย้งกันอีรุงตุงนังทั้งที่เรารู้ตัวและส่วนใหญ่ที่เราไม่รู้ตัว
ถ้าเป็นแบบนี้ ก็แปลว่า เรายังทำขั้นที่ 1. ไม่สำเร็จ
ซึ่งผลก็ย่อมจะไม่สำเร็จตามไปด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 25
ผมคิดว่ากระบวนการที่จะทำให้เรา "เชื่อ" ได้สำเร็จนั้นขั้นที่2. เชื่อ
คุณต้องเชื่อว่าคุณจะได้รับ จงมีศรัทธาในสิ่งที่คุณเชื่อ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
อย่างตัวผมนั้น ผมเชื่อว่า ถ้าผมไม่รู้ process ผมย่อมไม่มีวันเชื่อแน่ๆ
ขนาดรู้ process ชัดๆแล้ว product ยังออกทะเลก็มีบ่อยไป ฮ่า....
และเมื่อผมไม่เชื่อ ก็แปลว่า ขั้นที่2. นี้ ผมเองเป็นฝ่ายที่ทำไม่สำเร็จ
ผมย่อมไม่มีสิทธิไปบอกว่าทฤษฎีเขาไม่ถูก
และถ้าหากว่าผมจะทำขั้น2.นี้ให้สำเร็จ
คือเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ผมจะต้องรู้ process และรู้ปัจจัยอื่นๆที่จำเป็น รวมทั้งผมจะต้องมีวิริยะและวิมังสาด้วย ไม่ใช่มีเพียงฉันทะและจิตตะ
ไม่อย่างนั้นผมไม่เชื่อเด็ดขาด
เมื่อเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่า ที่ดร.โจพูดนั้น
เขาได้พ่วงเอาสิ่งเหล่านี้ไปด้วยแล้ว
และผมก็คิดว่า
คนปกติโดยทั่วไปย่อมไม่สามารถที่จะเชื่อได้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆถ้าขาดซึ่งเหตุผลที่พอเหมาะพอควร
อาจจะเชื่อแต่ปากเท่านั้นเอง
ซึ่งการเชื่อแต่ปากนั้น ย่อมเป็นการหลอกตัวเอง
แต่ย่อมไม่สามารถหลอกจิตใต้สำนึกได้
และผลสำเร็จย่อมไม่บังเกิด
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 26
ขั้นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขั้นที่3. รับ
คุณต้องรู้สึกดี และรู้สึกจริงๆว่าคุณได้รับสิ่งนั้นไปแล้ว
เพราะเมื่อเรายังไม่สิ่งนั้นจริง เราย่อมยังมีความคลางแคลงใจอยู่
ความรู้สึกของมนุษย์ปุถุชนย่อมไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายๆ
ขนาดดาราดังๆที่สวมบทบาทได้เนียนจริงๆก็ยังทำไม่ได้
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น
ผมกวาดสนุ๊กหมดโต๊ะไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเซียนสนุ๊กจะทำไม่ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 27
[quote="แผ่วเบา"]ผมกวาดสนุ๊กหมดโต๊ะไม่ได้
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 987
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 28
คุณแผ่วตอบได้จะแจ้งและละเอียดอีกเช่นเคย
ขอบคุณมากครับ
ดูเวลาที่คุณแผ่วโพสก็ล่วงเข้าวันใหม่แล้ว
ไม่รู้ใช้พลังแห่งจิตใต้สำนึกทำงานหรือเปล่า
เพราะจิตสำนึกบอกว่า น่าจะง่วงเต็มทนแล้ว
ขอบคุณมากครับ
ดูเวลาที่คุณแผ่วโพสก็ล่วงเข้าวันใหม่แล้ว
ไม่รู้ใช้พลังแห่งจิตใต้สำนึกทำงานหรือเปล่า
เพราะจิตสำนึกบอกว่า น่าจะง่วงเต็มทนแล้ว

-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
The Secret
โพสต์ที่ 30
แผ่วเบา เขียน: ฮ่า....พี่หวีลาดพร้าว
ยินดีรับเกียรติดวลครับ

แถวบ้านผมนะ ร้านสนุ๊กก็มี
ร้านคาราโอเกะ แบบที่พี่แผ่วชอบก็มี (หลายร้านด้วย)
ผ่านที่ไร ใจหวิวๆทุกที แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าข้างในมันมีอะไร
ดึกๆ บางทีคุณเธอคึกๆ ออกไปเต้นๆขอบถนน
ผมกลัวว่าเธอจะเป็นสาเหตุให้รถชนจริงๆ :shock:
พูดถึงหนังสือเล่มนี้
ผมเห็นหนังสือแปลอีกเล่มนึง
รู้สึกจะเป็น "The secret of the secret"
ไม่รู้ว่าเป็นไง
แต่รู้สึกคล้ายๆ ยุคที่หนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" ดังๆ
หนังสือแนวๆนี้ หรือหนังสือเลียนแบบจะออกมาเต็มไปหมด
"Winners never quit, and quitters never win."