วาเลนไทน์ ประวัติความรักอันแสนเศร้าที่ทำให้คนทั้งโลกสุขใจ
ผู้เขียน: ศิริรัตน์ ศรีสมบัติ
post ครั้งแรก: Tue 12 February 2008, 2:17 pm
ปรับปรุงล่าสุด: Wed 13 February 2008, 12:22 pm
เข้าชมแล้ว: 2,096 ครั้ง (รวมทุกหน้า)
อยู่ในส่วน:พักผ่อนหย่อนใจ
http://www.vcharkarn.com/varticle/35064
หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา โดยลิขสิทธิเป็นของผู้เขียน ที่ให้เกียรตินำเผยแพร่ผ่าน วิชาการ.คอม เรามีความยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น กรุณาให้เกียรติผู้เขียน โดยอ้างชื่อผู้เขียนและ วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com) ทุกครั้งที่ทำการเผยแพร่ต่อ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อในสื่อที่เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบคุณที่ร่วมกันช่วยสร้างให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา
วาเลนไทน์ ประวัติความรักอันแสนเศร้า
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
วาเลนไทน์ ประวัติความรักอันแสนเศร้า
โพสต์ที่ 1
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
วาเลนไทน์ ประวัติความรักอันแสนเศร้า
โพสต์ที่ 2
ย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากจะมีเทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ที่ส่งความสุขกันตั้งตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ยังมีเทศกาลส่งความสุขมอบความรักรอทุกท่านในช่วงกลางเดือนอีกด้วย ท่านทราบไหมว่ากว่าจะมาเป็นเทศกาลส่งความรักอย่างที่เราๆรู้จักกันดีว่า วันวาเลนไทน์นั้น ประวัติความเป็นมาช่างน่าขื่นขมจนทำให้ต้องมาเผยแพร่เพื่อจะได้รำลึกถึง นักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine) ที่สร้างตำนานความรักให้กับผู้คนทั้งโลกกัน
นอกจากนั้นวันนี้ยังมี "คิวปิด หรือกามเทพ" ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส ( ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ) ภาพของคิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบันคิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็นเครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของการยิงศรรัก ระหว่างหัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กัน
ตำนานของวันวาเลนไทน์ได้มีประวัติว่า ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 ซึ่งอยู่ใน สมัยกษัตริย์ Claudiusที่ 2 แห่งกรุงโรม ในสมัยนั้นกษัตริย์ Claudius ออกกฎห้าม ให้มีการแต่งงานในเมืองของพระองค์ เพราะกษัตริย์ทรงต้องการทำศึกสงครามทรง ต้องการให้ผู้ชายทุกคนไปเป็นทหาร พระองค์เชื่อว่าถ้าไม่มีการแต่งงานผู้ชายจะสน ใจกับการรบมากขึ้น
นักบุญวาเลนไทน์ขัดบทบัญญัติแห่งกฎหมายของกษัตริย์ ด้วยการเป็นบาทหลวง ในพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวที่ต้องการแต่งงานอย่างลับ ๆ และแล้ววันหนึ่งข่าวการทำ พิธีสมรสของนักบุญวาเลนไทน์ก็รู้ถึงหูของพระเจ้าClaudius พระองค์จึงทรงสั่งทหาร ไปจับเขาไปประหารชีวิต
ระหว่างอยู่ในคุกมีคู่แต่งงานที่ท่านเคยทำพิธีให้หลายคู่ลอบไปเยี่ยมเยียนท่าน อย่างสม่ำเสมอ และที่นั่นท่านยังได้รู้จักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม เธอมักมาพูดคุยกับท่าน และบอกท่านเสมอ ๆ ว่า การกระทำของท่านถูกต้องแล้ว นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในปี 296 A.D. ในคุกแห่งนั้น เอง ก่อนตายท่านได้ฝากโน๊ตสั้น ๆ ถึงเพื่อนของท่าน และลงท้ายว่า "Love from your Valentine
ส่วนอีกตำนานหนึ่งได้กล่าวถึงประวัติวาเลนไทน์ไว้ว่า มีผู้นำคริสตชนคนหนึ่งชื่อ วาเลนตินัส เขาเป็นคนที่มีความรักและความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์มาก โดยทุกๆ วันเขาจะแอบนำอาหารและของใช้ที่จำเป็นไปวางไว้ประตูหน้าบ้านของคนยากจนโดยไม่ให้คนเหล่านั้นรู้ ซึ่งในสมัยนั้น ศาสนาคริสต์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิโรมัน และถือว่าใครที่นับถือศาสนาคริสต์จะมีความผิดร้ายแรงมาก พวกคริสตนชนจึงถูกข่มเหงและทารุณกรรมอย่างหนักเพื่อบังคับให้เลิกเป็นคริสต์ ใครที่ไม่ยอมเลิกนับถือคริสต์จะถูกทรมานและฆ่าทิ้ง วาเลนตินัส ก็รวมอยู่ในกลุ่มขบวนการถูกขู่เข็ญและทรมานบังคับให้เลิกนับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาไม่ยอมจึงถูกจับเข้าคุกในข้อหาเป็นคริสตชน
ในขณะที่วาเลนตินัสถูกจับขังคุกนั้น เขาได้พบรักกับสาวตาบอดซึ่งเธอเป็นลูกสาวของผู้คุมในนั้นและด้วยความรักและคำอธิษฐานของเขาพระเจ้าได้ทรงโปรดรักษาตาของคนรักของเขาให้หายเป็นปกติ จากเหตุการณ์นี้เองจึงทำให้ผู้คุมและครอบครัวของเขาหันมานับเชื่อพระเจ้าของชาวคริสต์ ต่อมาเรื่องนี้รู้ถึงจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ของโรม พระองค์ทรงกริ้วมาก ได้สั่งให้ลงโทษวาเลนตินัสอย่างหนักด้วยการโบยและนำไปประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ในคืนสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกนำไปประหารนั้น วาเลนตินัส ได้เขียนจดหมายสั้นๆ เป็นการอำลาส่งไปให้เพื่อนหญิงคนรักของเขา และลงท้ายในจดหมายว่า จากวาเลนไทน์ของเธอ
รุ่งขึ้นของเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 วาเลนตินัสก็ถูกนำไปตัดศีรษะและเอาศพไปฝังไว้ที่เฟลมิเนี่ยนเวย์ ซึ่งภายหลังมีการสร้างโบสถ์หลังใหญ่คร่อมสุสานของเขาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงชีวิตและความรักอันยิ่งใหญ่ของเขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนทั่วประทับใจกับความรักของเขาจึงยึดถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปีเป็น วันวาเลนไทน์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Saint Valentines Day หรือ Valentine s Day หรือ วันแห่งความรัก ซึ่งต่อมาได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชีย และประเทศไทยด้วย
ส่วนสาเหตุที่ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์สำหรับวาเลนไทน์นั้น มีเหตุมาจากในศาสนาคริสต์เชื่อกันว่า ในสมัยที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนอยู่นั้น พระโลหิตได้ไหลหยดลงบนต้นหญ้ามอสส์และได้บังเกิดเป็นต้นกุหลาบที่มีดอกสีแดงสด จึงมีการเรียกขานกุหลาบชนิดนี้ว่า "กุหลาบมอสส์" นอกจากนี้ยังมีการสู้รบกันระหว่าง 2 ตระกูลใหญ่ คือราชวงศ์ยอร์ค ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็นดอกกุหลาบขาว และราชวงศ์แลงแคสเตอร์ ใช้ดอก
กุหลาบแดงเป็นสัญลักษณ์ และได้เรียกสงครามครั้งนี้ว่า "สงครามกุหลาบ" ซึ่งเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1948-2028 และในสมัยต่อมา พวกกุหลาบแดงได้มาแต่งงานกับพวกกุหลาบขาว ซึ่งในปัจจุบันกุหลาบได้ถือเป็นดอกไม้ประจำชาติของชาวอังกฤษไป
บางตำนานนั้นได้กล่าวถึงดอกกุหลาบไว้ว่าด้วยความที่กุหลาบมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว จึงทำให้ความสวยงามของดอกและกลิ่นอันชวนพิสมัยของราชินีแห่งดอกไม้นี้ เป็นที่เลื่องลือมาช้านาน และล้วนกล่าวถึงความงามเป็นสื่อที่แสดงถึงความสุข ความมีไมตรีจิต ความน่ารักความสวยงาม การบูชา และการเกี้ยวพาราสี ดังนั้น กุหลาบจึงเป็นเสมือนตัวแทนแห่งความรัก และความอมตะ จนมีตำนานกล่าวขานกันต่าง ๆ นานา ตั้งแต่สมัยกรีก ตำนานเล่าว่า "คลอรีส" เทพธิดาแห่งดอกไม้ ได้บันดาลให้ร่างของนางไม้กลายเป็นกุหลาบ และยกให้เป็นราชินีของดอกไม้ จากนั้นต่อมาก็มีการมอบดอกกุหลาบแก่ "อีรอส" ลูกชาย ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก
โดยในประเทศไทยนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่า มีกุหลาบมาตั้งแต่สมัยใด หากแต่มีการบันทึกของราชทูตฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ว่าได้เห็นดอกกุหลาบอยู่ในกรุงศรีอยุธยา และอีกหลายแห่งที่ปรากฎหลักฐานว่า มีกุหลาบเข้ามาเมืองไทยแล้วก็คือ กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ที่ได้กล่าวถึงความงามของดอกกุหลาบไว้ด้วย นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวเล่าขานถึงความงดงามของดอกกุหลาบไว้โดยปรากฏอยู่ในพระราชนิพนธ์ ของพระมหาธีราชเจ้า รัชกาลที่ 6 ในเรื่อง "มัทนะพาธา" หรือ "ตำนานดอกกุหลาบ" ซึ่งได้ปรากฏชัดว่าดอกกุหลาบได้กลายเป็นดอกไม้ที่นิยมไปทั่วโลก
ซึ่งหากเราจะแปลความหมายจากสีของดอกกุหลาบแล้วนั้นจะพบว่าแต่ละสีมีความหมายที่แตกต่างกันไปดังนี้
กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของคิวปิดและอีรอส (คุณกามเทพไง) เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ
กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง
กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด
กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข
นอกจากนี้ ยังมีดอกไม้อื่นๆ ที่ถูกมาใช้แทนความหมายแห่งความรักนั้นก็คือ
ดอกทิวลิบสีแดง (red tulib) ชาวตะวันตกใช้มันแทนการประกาศความรักอย่างเปิดเผย คล้าย ๆ กับดอกกุหลาบแดง
ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู(pink carnation) ใช้สื่อความหมายว่า ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ หรือ คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ
ดอกลิลลี่สีขาว (white lilly) แสดงความรักแบบบริสุทธ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบขาว นอกจากนั้นลิลลี่สีขาวยังแสดงถึงความรักแบบอ่อนหวานจริงใจ และเทอดทูน และมักถูกใช้แทนประโยคที่ว่า ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้ได้รู้จัก และอยู่ใกล้คุณ
ดอก forget-menot มีความหมายตรงตัวคือได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน
และดอกไม้ที่เห็นได้ทั่วไปในประเทศไทยเช่น ดอกทานตะวัน นั้น ก็ยังนิยมนำมามอบเพื่อแสดงความรักต่อกัน โดยหมายความว่าเป็นความรักแบบคลั่งไคล้ ความรักแบบบูชา
แต่สำหรับชาวตะวันตก ดอกทานตะวันจะหมายถึงความเข้มแข็งอดทน จึงสามารถใช้แทนความรักที่ต้องฝ่าฟันกว่าจะได้ความรักมา
นอกจากดอกไม้ที่นำมามอบให้กันเพื่อแสดงถึงความรักแล้วนั้น โดยประเพณีของหนุ่ม-สาวชาวอาทิตย์อุทัย หรือชาวญี่ปุ่นนั่นเองจะแตกต่างกับ ชาติอื่น ๆ คือในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือ วันวาเลนไทน์ สาว ๆ จะเป็นคนให้ ช็อกโกเลต (Chocolate) รูปหัวใจขนาดเล็ก-ใหญ่ แล้วแต่ความชอบน้อย-มาก โดยตัวเองจะเป็นคนทำ๙อกโกเลตเองเพื่อมอบแก่หนุ่ม ๆ ที่เธอชอบ ซึ่งวันนั้นหนุ่ม ๆ ยิ้มกันแก้มปริกันเป็นแถวเลย หลังจากวันนั้นอีกหนึ่งเดือนคือวันที่ 14 มีนาคมหนุ่ม ๆ ก็จะมอบดอกกุหลาบ เพื่อเป็นการขอบคุณสาวผู้ให้เป็นการตอบแทน
ประวัติวาเลนไทน์ของแต่ละประเทศก็จะมีเรื่องราวตำนานที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งประเพณีปฏิบัติจากเดิม พอถึงวันวานเลนไทน์ก็มีช่อดอกกุหลาบมามอบให้แก่คนที่คุณรัก ต่อมา ดอกกุหลาบที่เป็นช่อก็กลายเป็นดอกกุหลาบก้านยาวซึ่งมีราคาแพงนำมามอบเป็นของขวัญแก่กัน วาเลนไทน์ปีนี้นอกจากจะมีดอกไม้ที่สวยงามแล้ว ทางวิชาการดอทคอมขอแนะนำว่าในภาวะเศรษฐกิจที่ทุกคนต้องประหยัด ทุกท่านลองส่งการ์ดที่ตนเองทำพร้อมกับของขวัญเล็กๆน้อยๆส่งอวยพรคนที่คุณรัก รับรองว่าผู้ที่ได้รับต้องดีใจมากกว่าได้รับดอกกุหลาบดอกเดียวแต่ราคาหลายพันเป็นไหนๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1667
- ผู้ติดตาม: 0
วาเลนไทน์ ประวัติความรักอันแสนเศร้า
โพสต์ที่ 5
กุหลาบ
กุ กร่อนเสียง มากจาก กู
หลาบ คือ หลาบจำ
กุหลาบ = กูหลาบจำ
เห็นกุหลาบมากมาย นึกถึงเงินที่หมดไปกับกุหลาบเหล่านั้น
ถ้าเอาไปซื้อขนมเลี้ยงเด็กน่าจะดีกว่า
กุ กร่อนเสียง มากจาก กู
หลาบ คือ หลาบจำ
กุหลาบ = กูหลาบจำ
เห็นกุหลาบมากมาย นึกถึงเงินที่หมดไปกับกุหลาบเหล่านั้น
ถ้าเอาไปซื้อขนมเลี้ยงเด็กน่าจะดีกว่า
คงไม่มีใคร หาเงินมากมาย ไว้ยัดใส่โลงศพตัวเอง
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
-
- Verified User
- โพสต์: 987
- ผู้ติดตาม: 0
วาเลนไทน์ ประวัติความรักอันแสนเศร้า
โพสต์ที่ 6
เป็นวันเดียวที่หนุ่มๆถือดอกกุหลาบช่อใหญ่เล็กได้ไม่เคอะเขิน
เอ๋...เห็นผู้ชายบางคนถือตุ๊กตาหมี Teddy Bear ตัวเบ่อเร้อสีแดงด้วย
เอ๋...เห็นผู้ชายบางคนถือตุ๊กตาหมี Teddy Bear ตัวเบ่อเร้อสีแดงด้วย