ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
- tea_for_two
- Verified User
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 1
ขอแนะนำตัวนิดนึงนะครับ
ผมเป็นแฟนเว็บนี้มานาน อ่านกระทู้ของหลายๆท่าน ได้ความรู้ไปติดตัวเยอะ แต่ไม่เคยตอบหรือเขียนกระทู้เลย
วันนี้เกิดนึกเฮี้ยนอยากตอบแทนที่ได้รับความรู้จากหลายท่าน ด้วยการเอาบทความดีๆมาฝากครับ
เป็นบทความเกี่ยวกับ นโปเลียนฮิลล์ครับ หลายคนอาจรู้จักแล้ว แต่คิดว่ายังมีคนที่ไม่รู้อยู่
ดังนั้นขอเกริ่นเกี่ยวกับ นโปเลียน ฮิลล์นิดนึงนะครับ
นโปเลียน ฮิลล์นั้นศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับผู้ที่ประสบความสำเร็จ แล้วสรุปออกมาเป็นกฏ 17 ข้อ ว่ากันว่าถ้าทำตามทั้ง 17 ข้อได้ล่ะก็รับรองประสบความสำเร็จแน่นอน แล้วในความเป็นจริงก็มีผู้ประสบความสำเร็จเพราะนำกฏทั้ง 17 ข้อไปปฎิบัติในหลากหลายสาขา ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เท็ด เทอร์เนอร์(เจ้าของTBS) ทอม โมนาฮาน (ผู้ก่อต้ง โดมิโน พิซซ่า) แมรี่ เคย์(แชร์แมนบริษัทเครื่องสำอางแมรี่เคย์) นอร์แมน วี พีล(นักศาสนา,นักเขียน)
เหตุที่ทำให้ นโปเลียน ฮิลล์ เริ่มต้นศึกษาค้นคว้าผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นเริ่มจาก นโปเลียน ฮิลล์ ในวัย25ปีนั้นยังเรียนในมหาวิทยาลัย ได้ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวของสำนักพิมพ์เพื่อที่จะหาเงินเป็นค่าเทอมเรียนหนังสือ ได้มีโอกาสพบและสัมภาษณ์ แอนดรู คาร์เนกี้ ผู้ซึ่งในขณะนั้นเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยมหาศาล สร้างเนื้อสร้างตัวจากไม่มีอะไรเลย เริ่มทำงานเป็นผู้ใช้แรงงาน จนกระทั้งรวยในระดับที่เรียกว่าถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงระดับบิล เกตได้กระมัง
ในการสัมภาษณ์ แอนดรู คาร์เนกี้ครั้งนั้น กินเวลาถึง3วัน3คืน ในระหว่าง 3 วัน 3 คืนนั้น แอนดรู คาร์เนกี้ ได้บอกเคล็ดลับในความสำเร็จของตนเองให้ นโปเลียน ฮิลล์ฟัง ในตอนแรก นโปเลียน ฮิลล์ นั้นแปลกใจว่าทำไมผู้ที่ประสบความสำเร็จมหาศาลอย่าง แอนดรู คาร์เนกี้ ถึงได้บอกเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จให้ตนเองฟัง แต่พอในวันที่สามนั้นเอง แอนดรู คาร์เนกี้ ก็ได้ยื่นข้อเสนอแก่นโปเลียนฮิลว่า จะแนะคนรู้จักให้ ให้ นโปเลียน ฮิลล์ไปสัมภาษณ์ ประกอบการค้นคว้าปัจจัยที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ แต่มีข้อแม้ว่าในการค้นคว้านั้นกำหนดเวลาให้ไม่เกิน 20 ปี และ ไม่มีค่าใช้จ่ายช่วยเหลือ หรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น
เหตุผลที่ แอนดรู คาร์เนกี้ ตั้งข้อแม้ว่า 1)ให้กำหนดเวลา 20 ปี เพราะว่า ในเวลานั้นคนที่ แอนดรู คาร์เนกี้ แนะนำให้ นโปเลียน ฮิลล์ไปสัมภาษณ์นั้นส่วนใหญ่ ยังไม่ประสบความสำเร็จ และไม่เป็นที่รู้จักใดๆ กว่าที่เขาเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จรู้ รู้ดำรู้แดงคงใช้เวลาประมาณนั้น คนเหล่านั้นได้แก่ โทมัส เอดิสัน(นักประดิษฐ์) เฮนรี่ ฟอร์ด(ราชารถยนต์)และผู้ประสบความสำเร็จอีกมากมาย (ว่ากันว่าในวันที่ นโปเลียน ฮิลล์ ไปสัมภาษณ์ เฮนรี่ ฟอร์ด นั้น ในขณะนั้น เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักใดๆนั้น เดินออกมาจากโรงงาน เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยคราบน้ำมัน สวมหมวกกะโปโล นั้นตอบคำถามของ นโปเลียน ฮิลล์เพียง 2 คำ คือ เยส กับ โน)
ข้อแม้ที่ 2 )ที่ว่าในการค้นคว้านั้นจะไม่มีค่าใช้จ่ายช่วยเหลือหรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น นั้น แอนดรู คาร์เนกี้ กล่าวว่า ตนเองได้บอกเคล็ดลับความสำเร็จให้ นโปเลียน ฮิลล์ แล้ว นอกจากนี้ผู้คนทั้งหลายที่จะแนะนำให้ นโปเลียน ฮิลล์นั้น ตลอดช่วงเวลาที่ค้นคว้า นโปเลียน ฮิลล์ยังจะได้ เรียนรู้จากเขาอีกด้วย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ นโปเลียน ฮิลล์ จะไม่ประสบความสำเร็จ (ภายหลัง นโปเลียน ฮิลล์ ก็ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยมหาศาล)
ส่วนกฏทั้ง 17 ข้อที่นโปเลียน ฮิลล์ได้สรุปออกมาหลังจากทำการค้นคว้าผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายนั้น เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังวันหลังครับ
ผมเป็นแฟนเว็บนี้มานาน อ่านกระทู้ของหลายๆท่าน ได้ความรู้ไปติดตัวเยอะ แต่ไม่เคยตอบหรือเขียนกระทู้เลย
วันนี้เกิดนึกเฮี้ยนอยากตอบแทนที่ได้รับความรู้จากหลายท่าน ด้วยการเอาบทความดีๆมาฝากครับ
เป็นบทความเกี่ยวกับ นโปเลียนฮิลล์ครับ หลายคนอาจรู้จักแล้ว แต่คิดว่ายังมีคนที่ไม่รู้อยู่
ดังนั้นขอเกริ่นเกี่ยวกับ นโปเลียน ฮิลล์นิดนึงนะครับ
นโปเลียน ฮิลล์นั้นศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับผู้ที่ประสบความสำเร็จ แล้วสรุปออกมาเป็นกฏ 17 ข้อ ว่ากันว่าถ้าทำตามทั้ง 17 ข้อได้ล่ะก็รับรองประสบความสำเร็จแน่นอน แล้วในความเป็นจริงก็มีผู้ประสบความสำเร็จเพราะนำกฏทั้ง 17 ข้อไปปฎิบัติในหลากหลายสาขา ด้วย ยกตัวอย่างเช่น เท็ด เทอร์เนอร์(เจ้าของTBS) ทอม โมนาฮาน (ผู้ก่อต้ง โดมิโน พิซซ่า) แมรี่ เคย์(แชร์แมนบริษัทเครื่องสำอางแมรี่เคย์) นอร์แมน วี พีล(นักศาสนา,นักเขียน)
เหตุที่ทำให้ นโปเลียน ฮิลล์ เริ่มต้นศึกษาค้นคว้าผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้นเริ่มจาก นโปเลียน ฮิลล์ ในวัย25ปีนั้นยังเรียนในมหาวิทยาลัย ได้ทำงานเป็นผู้สื่อข่าวของสำนักพิมพ์เพื่อที่จะหาเงินเป็นค่าเทอมเรียนหนังสือ ได้มีโอกาสพบและสัมภาษณ์ แอนดรู คาร์เนกี้ ผู้ซึ่งในขณะนั้นเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยมหาศาล สร้างเนื้อสร้างตัวจากไม่มีอะไรเลย เริ่มทำงานเป็นผู้ใช้แรงงาน จนกระทั้งรวยในระดับที่เรียกว่าถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงระดับบิล เกตได้กระมัง
ในการสัมภาษณ์ แอนดรู คาร์เนกี้ครั้งนั้น กินเวลาถึง3วัน3คืน ในระหว่าง 3 วัน 3 คืนนั้น แอนดรู คาร์เนกี้ ได้บอกเคล็ดลับในความสำเร็จของตนเองให้ นโปเลียน ฮิลล์ฟัง ในตอนแรก นโปเลียน ฮิลล์ นั้นแปลกใจว่าทำไมผู้ที่ประสบความสำเร็จมหาศาลอย่าง แอนดรู คาร์เนกี้ ถึงได้บอกเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จให้ตนเองฟัง แต่พอในวันที่สามนั้นเอง แอนดรู คาร์เนกี้ ก็ได้ยื่นข้อเสนอแก่นโปเลียนฮิลว่า จะแนะคนรู้จักให้ ให้ นโปเลียน ฮิลล์ไปสัมภาษณ์ ประกอบการค้นคว้าปัจจัยที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ แต่มีข้อแม้ว่าในการค้นคว้านั้นกำหนดเวลาให้ไม่เกิน 20 ปี และ ไม่มีค่าใช้จ่ายช่วยเหลือ หรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น
เหตุผลที่ แอนดรู คาร์เนกี้ ตั้งข้อแม้ว่า 1)ให้กำหนดเวลา 20 ปี เพราะว่า ในเวลานั้นคนที่ แอนดรู คาร์เนกี้ แนะนำให้ นโปเลียน ฮิลล์ไปสัมภาษณ์นั้นส่วนใหญ่ ยังไม่ประสบความสำเร็จ และไม่เป็นที่รู้จักใดๆ กว่าที่เขาเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จรู้ รู้ดำรู้แดงคงใช้เวลาประมาณนั้น คนเหล่านั้นได้แก่ โทมัส เอดิสัน(นักประดิษฐ์) เฮนรี่ ฟอร์ด(ราชารถยนต์)และผู้ประสบความสำเร็จอีกมากมาย (ว่ากันว่าในวันที่ นโปเลียน ฮิลล์ ไปสัมภาษณ์ เฮนรี่ ฟอร์ด นั้น ในขณะนั้น เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ซึ่งยังไม่เป็นที่รู้จักใดๆนั้น เดินออกมาจากโรงงาน เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยคราบน้ำมัน สวมหมวกกะโปโล นั้นตอบคำถามของ นโปเลียน ฮิลล์เพียง 2 คำ คือ เยส กับ โน)
ข้อแม้ที่ 2 )ที่ว่าในการค้นคว้านั้นจะไม่มีค่าใช้จ่ายช่วยเหลือหรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น นั้น แอนดรู คาร์เนกี้ กล่าวว่า ตนเองได้บอกเคล็ดลับความสำเร็จให้ นโปเลียน ฮิลล์ แล้ว นอกจากนี้ผู้คนทั้งหลายที่จะแนะนำให้ นโปเลียน ฮิลล์นั้น ตลอดช่วงเวลาที่ค้นคว้า นโปเลียน ฮิลล์ยังจะได้ เรียนรู้จากเขาอีกด้วย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ นโปเลียน ฮิลล์ จะไม่ประสบความสำเร็จ (ภายหลัง นโปเลียน ฮิลล์ ก็ประสบความสำเร็จ ร่ำรวยมหาศาล)
ส่วนกฏทั้ง 17 ข้อที่นโปเลียน ฮิลล์ได้สรุปออกมาหลังจากทำการค้นคว้าผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายนั้น เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังวันหลังครับ
勝利は苦しさを越えて
-
- Verified User
- โพสต์: 1289
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 3
ดีเลยครับ มารออ่านต่อครับ
^
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
"เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งที่รักแล้ว วันต่อๆไปก็จะไม่ใช่การทำงาน"..Brian Tracy
state exact goal/then analyze what fail the goal/then act/if you don't start/dream still be a dream
หุ้นไม่ใช่แค่เศษกระดาษ มันมีคนทำงานจริง
- NinjaTurtle
- Verified User
- โพสต์: 506
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 4
โหมโรงมาขนาดนี้แล้ว
อย่าช้าครับ รีบมาต่อเลย
อย่าช้าครับ รีบมาต่อเลย
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 6
มารออ่านเช่นกันครับ
รักในหลวงครับ
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 8
เห็นชื่อ นโปเลียน ฮิลล์ แล้วผมก็เดินไปชั้นหนังสือ
หายังไม่เจอ..
จำได้ว่ามีอยู่เล่ม 2 เล่ม
มารออ่านดีกว่า
ผมก็ตอบแทนใครไม่ได้ด้วยสิคับ เพราะรู้น้อย กลัวตอบผิดด้วยอะคับ..
หายังไม่เจอ..
จำได้ว่ามีอยู่เล่ม 2 เล่ม
มารออ่านดีกว่า
ผมก็ตอบแทนใครไม่ได้ด้วยสิคับ เพราะรู้น้อย กลัวตอบผิดด้วยอะคับ..
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 9
ขอบคุณมากๆเลยครับtea_for_two เขียน:ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
ถ้าสังคมเรามีคนคิดแบบนี้เยอะๆ
สังคมเราคงจะน่าอยู่ไม่น้อยเลย
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- tea_for_two
- Verified User
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 10
คุณ mircle + คุณ bsk :miracle เขียน:คุ้นๆว่า จากหนังสือเล่มนี้หรือเปล่า
Think and Grow Rich (คิดอย่างไรให้รวย)
อีกเล่มจำไม่ได้ หนาประมาณ หนึ่งพันหน้าได้
ใช่แล้วครับ Think & Grow Rich นั้นเป็นเล่มแรกที่ นโปเลียน ฮิลล์เขียนไว้ นอกจากนั้นแล้วยังมี
The Master Key to Riches (1945)
How to Raise Your Own Salary (1953)
Success through A Positive Mental Attitude (1960)
Grow Rich! With Peace of Mind (1967)
You Can Work Your Own Miracles (1970)
นอกจาก นโปเลียน ฮิลล์ จะศึกษาจากผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายแล้ว
ในปี1952 เครเมนโต สโตน (เจ้าของบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ระดับโลก ว่ากันว่าในขณะนั้นเขาประสบความสำเร็จมีทรัพย์สินหนึ่งใน 250 คนของอเมริกา) ได้เข้ามาร่วมปรับปรุงงานของ นโปเลียน ฮิลล์ให้กระชับเข้มข้นขึ้น เขียนหนังสือ Success through A Positive Mental Attitude ร่วมกับ ฮิลล์ พร้อมกันนั้นได้จัดตั้ง The Napoleon Foundation ขั้น จนในปัจจุบันมีสาขาอยู่มากมายทั่วโลกครับ
กฎทั้ง 17 ข้อมีดังนี้ครับ
1. DEFINITENESS OF PURPOSE("เขียนเป้าหมายว่าจะเอาอะไร
จากนั้นก็วิเคราะห์ว่าอะไรเป็นสิ่งที่คิดว่ามันทำไม่สำเร็จ
จากนั้นก็เริ่มลงมือทำ
ถ้าไม่ลงมือวิเคราะห์และลงมือทำ
ความฝันก็ยังเป็นความฝัน" ของคุณ Miracle นั้นก็ตรงกับหัวข้อนี้ของ ฮิลล์ ครับ คือการกำหนดเป้าหมายให้แน่นอนชัดเจน)
2. THE MASTER MIND
3. APPLIED FAITH
4. GOING THE EXTRA MILE
5. PLEASING PERSONALITY
6. PERSONAL INITIATIVE
7. POSITIVE MENTAL ATTITUDE
8. ENTHUSIASM
9. SELF DISCIPLINE
10. ACCURATE THINKING
11. CONTROLLED ATTENTION
12. TEAM WORK
13. LEARNING FROM ADVERSITY AND DEFEAT
14. CREATIVE VISION
15. MAINTENANCE OF SOUND HEALTH
16. BUDGETING TIME AND MONEY
17. COSMIC HABIT FORCE
ต่อไปนี้เป็นข้อความที่ผมแปลมาจากเอกสารเล่มบางๆที่แจกโดย Napoleon Hill Learning Center ของญี่ปุ่นครับดังนั้นบางตอนอาจมีตัวละครชาวญี่ปุ่นโผล่ออกมาด้วย
อันไหนที่เหมาะกับธาตุไฟของเรา ก็เลือกหยิบเอาไปเป็นหลักในการทำงานก็แล้วกันนะครับ
1. Golden rule
ภายในกฎแห่งความสำเร็จนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ สิ่งใดที่เราต้องการให้ทำสิ่งนั้นให้กับผู้อื่นก่อน
พวกเรารู้จักคำว่า Golden rule กันหรือเปล่า
Golden rule คือการทำสิ่งที่เราต้องการให้กับผู้อื่นก่อน
อันนี้มิใช่เพียงหลักศีลธรรมหรือบรรทัดฐานการดำเนินชีวิตเท่านั้น แต่เป็นพลังของจักรวาลที่ส่งผลกระทบที่ดีต่อชีวิตผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน
ฝึกตนเองให้คิดถึงฝ่ายตรงข้ามก่อนเสมอ ก่อนที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเขา จะทำให้เขาเหล่านั้นเรียนรู้เลียนแบบจากคุณแล้วปฏิบัติเช่นเดียวกันกับคนอื่น ถ้าผู้คนทั้งหลายก็จะประพฤติปฏิบัติตาม Golden rule มากขึ้น ผลสุดท้ายแล้วสิ่งนั้นจะกลับมาหาคุณเองในที่สุด
หากวันใดวันหนึ่งมีคนมาทำสิ่งดีๆให้กับคุณแล้วละก็นั้นอาจจะเป็นเพราะว่านั้นเป็นผลกระทบลูกโซ่จากการที่คุณทำ Golden rule กับใครไว้ก็ได้
Success story
พวกเราคงจะรู้จักคุณลุงผมขาว หนวดขาว สวมทักซิโด้ขาว ผูกเน็กไทด์ ถือไม้เท้ายืนต้อนรับ อยู่ในกว่า 80 ประเทศ 10000 คนเป็นอย่างดี
ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึง ผู้พัน ฮาแลนด์ แซนด์เดอร์(1890-1980) บิดาแห่งฟาสฟู๊ดเรสเตอร์รอง ผู้เผยแพร่ เคนตั๊กกี้ ฟรายด์ ชิกเก้น ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เขาเกิดที่รัฐอินเดียน่าอเมริกา เป็นบุตรคนโตจากพี่น้อง 3 คน ของ เฮนรี่ บิล เมื่อตอน 6 ขวบพ่อของเขาได้เสียชีวิตลง ทำให้แม่ของเขาต้องดูแลเลี้ยงดูครอบครัวด้วยตัวคนเดียว ทำให้เมื่อจบชั้นประถมเขาได้เริ่มทำงานและเพื่อเป็นการช่วยเหลือแม่ของเขา
ถึงแม่ของเขาจะนึกขอบคุณเขาก็ตามแต่ก็เลี้ยงดูเขาอย่างเข้มงวดไม่ให้เขาโกหก กลบเกลื่อน และสอนให้เขามีเมตตาแก่ผู้อื่น
ตั้งแต่จำความได้ถึงอายุ 30 ปี เขาผ่านงานมามากกว่า 13 ประเภท เช่น ทหาร พนักงานรถไฟ พนักงานประกัน เซลล์ขายยาง
เมื่ออายุ 30 กว่าๆ กิจการปั๊มน้ำมันที่เขาออกมาทำเองก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่ทว่า เศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี 1929 ทำให้เขาต้องล้มละลาย เขาสูญเสียสินทรัพย์ไปทั้งหมดเมื่อตอนอายุ 39 ปี
ปีถัดมาเมื่อเขาอายุได้ 40 ปีเขาได้รับความช่วยเหลือให้เปิดกิจการปั๊มน้ำมันได้อีกครั้ง คราวนี้เขาใช้ความผิดพลาดครั้งที่แล้วเป็นบทเรียนจนทำให้กิจการเจริญก้าวหน้า โดยเขามักจะคิดเสมอว่า ทำอย่างไรจะให้ลูกค้าได้รับความพอใจมากที่สุด และจากการที่เขามีความคิดที่ว่า ลูกค้าต้องการอาหารที่อร่อยเช่นเดียวกับรถต้องการน้ำมัน ทำให้ร้านอาหาร แซนเดอร์ คาเฟ่ กำเนิดขึ้น เช่นเดียวกัน เขาคิดว่า นักเดินทางต้องการที่พักที่ปลอดภัยสะดวกสะบาย ทำให้โรงแรม แซนเดอร์ คอร์ด กำเนิดขึ้นมา
การกระทำอันเป็นประโยชน์ของเขาได้รับการยอมรับจาก รัฐเคนตั๊กกี้ จนทำให้เขาได้รับยศ ผู้พัน ความสำเร็จของเขาช่างดูเหมือนว่ากำลังไปได้สวย แต่ทว่า เมื่อเขาอายุ 49 ปีจากเหตุการณ์ไฟไหม้ทำให้เขาต้องสูญเสียทุกอย่างไปอีกครั้งหนึ่ง
เขาได้กลับมาเป็นผู้บริหารร้านอาหารอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้สิ่งที่ช่วยค้ำจุนเขาก็คือไก่ทอดสูตรของแม่เขาที่เขาทำขายเมื่อสมัยทำคาเฟ่ และก็แฟนๆของเขาที่ชื่นชมนิสัยของเขาอย่างเหนียวแน่น ยิ่งเมื่อเขาทำการบริหารร้านอาหารเชี่ยวชาญขึ้น รสชาดของไก่และการให้บริการก็ดีขึ้นตามลำดับทำให้ร้านกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง
แต่ว่าเรื่องราวของเขายังไม่จบเพียงแค่นั้น เมื่อเขาใกล้เกษียนเป็นเศรษฐีอายุ 65 ปีเรื่องเศร้าก็โถมเข้ามาหาอีกครั้ง จนบัดนี้บททดสอบทั้งหมดที่เข้ามาในชีวิตเขาทั้งหมดครั้งนี้ยากแสนเข็ญที่สุด ลูกค้าส่วนใหญ่กว่าครึ่งของเขาจะเดินทางด้วยรถ แต่เมื่อมีการสร้างไฮเวย์ใหม่ขึ้นมา ลูกค้าก็ได้หายไปหมด ท้ายที่สุดทำให้ต้องปิดร้านลง
ความผิดหวังครั้งที่ 3 เมื่อตอนอายุ 65 เงินบำนาญที่จะได้รับเพียง 105 ดอลล่าร์ต่อเดือน ต่อไปนี้จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดี สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็คือ คราวเดีย ภรรยาสุดรักที่พึ่งแต่งงานใหม่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว รถฟอร์ดเก่าๆ และสูตรทำไก่ทอดเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเขาได้ตัดสินใจอีกครั้งเป็นครั้งที่ 4 ชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเขาขอเดิมพันกับไก่ทอดที่ได้รับการถ่ายทอดสูตรจากแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว
เขาได้เอาไก่ทอดใส่รถฟอร์ดเก่าๆแล้วเริ่มจาริกไปทั่วอเมริกา ไม่ได้เพื่อจะขายไก่แต่เพื่อขายสูตรไก่ทอดในระบบรอยัลตี้ที่เมื่อขายได้หนึ่งชิ้นเขาจะได้รับส่วนแบ่งเป็นไม่กี่เซ็น ณ.สมัยที่ที่ระบบแฟรนไชร์ยังไม่เป็นที่นิยมกัน วันคืนผ่านไปเขาต้องเดินจากร้านอาหารร้านหนึ่งไปยังอีกร้านหนึ่งแล้วก็กินแซมเปิ้ลไก่ทอดที่เหลือในวันนั้น จำนวนครั้งที่โดนปฎิเสธก็คือ 1009 ครั้ง สำหรับคู่ชราแล้วคงเป็นเรื่องเหลือทนจริงๆ ท้ายที่สุดเมื่อเขาเคาะประตูร้านที่ 1010 เทพีแห่งโชคก็ยิ้มให้เขา เสมือนกับช่วงเวลานั้นประตูแห่งความมั่งคั่งของชีวิตเขาได้ถูกเปิดให้กับเขา
หลังจากนั้นเพียง 8 ปี ร้านได้ขยายไปกว่า 2000 ร้าน ทั่วอเมริกา ทรัพย์สิน 2 ล้านดอลล่าได้กลับมาหาเขาอีกครั้ง
เมื่อมองย้อนกลับไปมองชีวิตอันลุ่มๆดอนๆของเขาเขาได้พูดว่า สำหรับผมแล้วไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่ได้ดวงดีอะไร สิ่งที่ผมทำก็คือ ทุกๆวัน ทุกๆวัน ทำหน้าที่ได้รับอย่างสุดความสามารถ คือทำให้ผู้อื่นมาความสุข มอบความกล้าให้กับผู้คน แล้วก็ใช้ชีวิตให้เต็มที่
หลักในการประพฤติปฏิบัติของเขามี 2 อย่าง ทำให้ผู้คนมีความสุข เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น คงจะเป็นเพราะสองอย่างนี้เองที่เขาไม่เคยย่อหย่อนในการยึดถือปฏิบัติ ทำให้เทพีแห่งโชคได้แย้มยิ้มให้เขาและเขาได้รับความสำเร็จในที่สุด
[จงให้ความสำคัญกับผู้อื่นแล้วผู้อื่นจะให้ความสำคัญแก่ท่าน] ผู้พันแซนเดอร์
Note: อาจจะไม่ค่อยเกี่ยวกับบทความมากนักแต่ลองคิดกันเล่นๆดูสิว่า หุ้นของกิจการที่เราถืออยู่เพราะคิดว่ากิจการจะเจริญก้าวหน้านั้นผู้บริหาร ในการบริหารงานคำนึงถึงใครเป็นหลัก ลูกค้า? ผู้ถือหุ้น? พนักงาน? ญาติพี่น้องของผู้บริหาร?
勝利は苦しさを越えて
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 11
ยังมีอีกเล่มหนึ่งครับ
ดังกว่าเล่มที่ผมบอกและเขียนก่อนเล่ม Think & Grow Rich
คือ law of succes หนาประมาณพันหนาครับ
เล่มสีแดงครับ ซื้อมาตอนงานสัปดาห์หนังสือเมื่อสองปีก่อน
ยังดองอยู่บนหิงอยู่เลย
เสียดายเงินอยู่เนี่ย
เล่ม law of sucess เล่มนี้เป็นเล่มที่เขียนก่อนได้ความรู้จากประสบการณ์ตรงของคนเขียนที่ไปสัมภาษณ์บุคคลต่างๆในยุคนั้นแล้วรวบรวมเขียนออกมาเป็นเล่ม เคร็ดไม่ลับของคนที่ประสบความสำเร็จของบุคคลเหล่านั้นครับ
ดังกว่าเล่มที่ผมบอกและเขียนก่อนเล่ม Think & Grow Rich
คือ law of succes หนาประมาณพันหนาครับ
เล่มสีแดงครับ ซื้อมาตอนงานสัปดาห์หนังสือเมื่อสองปีก่อน
ยังดองอยู่บนหิงอยู่เลย
เสียดายเงินอยู่เนี่ย
เล่ม law of sucess เล่มนี้เป็นเล่มที่เขียนก่อนได้ความรู้จากประสบการณ์ตรงของคนเขียนที่ไปสัมภาษณ์บุคคลต่างๆในยุคนั้นแล้วรวบรวมเขียนออกมาเป็นเล่ม เคร็ดไม่ลับของคนที่ประสบความสำเร็จของบุคคลเหล่านั้นครับ
- tea_for_two
- Verified User
- โพสต์: 216
- ผู้ติดตาม: 0
ได้ความรู้จากเวปนี้มาก อยากตอบแทนครับ
โพสต์ที่ 12
2.The Master mind
Master mind ก็คือกลุ่มของบุคคล 2 คน หรือมากกว่าที่รวมตัวกันอย่างกลมกลืน แล้วใช้ประสบการณ์ ความรู้ ไอเดียของแต่ละคนที่มีเพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีร่วมกัน
ดวงใจของคนเรานั้นเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง เป็นพลังแห่งจิตใจ ถ้าดวงใจอันกลมกลืนของคน 2 คนมารวมกันเป็นหนึ่งแล้วจะเปล่งพลังอันมหาศาลออกมา อันนี้คือที่เราเรียกว่ากฎ Master mind
กฎ Master mind นั้นพวกเราได้รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยของ แอนดรู คาร์เนกี้
Master mind ของแอนดรู คาร์เนกี้นั้นเป็นการรวมตัวกันของสตาฟท์ของเขาประมาณ 50 คน สำหรับตัวคาร์เนกี้นั้นแม้จะไม่มีความรู้ทางด้านธุรกิจเหล็กมาก่อน แต่ว่าสามารถบรรลุเป้าหมายอันชัดเจนเกี่ยวกับ การผลิตและการขายเหล็กได้
เรียกได้เขาสร้างทรัพย์สมบัติอันมหาศาลขึ้นมาได้เพราะเปล่า Master mind ของเขา และหากลองวิเคราะห์ผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายในอดีตแล้วจะพบว่าไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามผู้ที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นก็มี Master mind เช่นกัน
หากลองเปรียบเทียบสมองของมนุษย์กับถ่านไฟฉายแล้วถ่านที่ต่อกันหลายก้อนจะให้พลังงานมากกว่าถ่านก้อนเดียว
เช่นเดียวกันหากรวมมันสมองของคนเราเข้าด้วยกันเช่นเดียวกับถ่านไฟฉาย พลังงานที่ได้ออกมากจะมากตามไปด้วย
มันสมองมากกว่าสองก้อนขึ้นไปหากรวมกันเข้าอย่างกลมกลืมแล้วจะให้กำเนิดพลังงานมากกว่าสมองก้อนเดียว
ผมขอนิยาม Master mind ว่าเป็น การสั่นไหว (Vibration) ของความคิด หาก Master mind ของคุณสำเร็จขึ้นมาแล้วล่ะก็เรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างเช่นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามหลักเหตุผลก็สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ยกตัวอย่างเช่น หาก 1+1 เท่ากับ 2 แล้วล่ะก็ ระหว่างเหล่าผู้คนที่เป็น Master mind กันแล้ว 1+1 จะเป็น 5 ก็ได้ 6 ก็ได้
[บุรุษผู้นอนหลับอย่างสงบ ณ.ที่แห่งนี้สามารถรวบรวมผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเขาให้มาอยู่รอบๆตัวเขาได้]......ข้อความจารึกบนศิลาหลุมศพของ แอนดรู คาร์เนกี้
Success story
วอลท์ เป็นคนฝัน ส่วน รอย เป็นคนจ่ายเพื่อฝันอันนั้น
วอลท์ที่เอ่ยถึงในที่นี้คือผู้ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด มิกกี้เมาส์ และ ดิสนีย์แลนด์ ส่วนรอยนั้นคือ รอย ดิสนีย์ พี่ชายของ วอลท์นั่นเอง
ว่ากันว่าวอลท์นั้นเป็นเลิศ ในการออกไอเดีย ในการวาดภาพ แต่สำหรับการบริหารจัดการแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และผู้คอยจัดการดูเเลตรงนั้นก็คือ พี่ชายของเขาผู้ซึ่งตอนทำงานเป็นนายธนาคาร
วอลล์ได้กล่าวไว้ว่า เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุด ที่สามารถดึงรอยซึ่งตอนนั้นเป็นนายธนาคารมาร่วมงานด้วยได้ และก็เป็นตามนั้นจริงๆ รอยซึ่งคลุกคลีกับงานด้านการเงินมานานช่วยให้จินตนาการบรรเจิดของวอลท์สำเร็จเป็นรูปร่างและดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อย สำหรับวอลท์แล้ว Master mindของเขามีหลายคนได้แก่เพื่อนๆสมัยที่เขาเริ่มตั้งบริษัทของเขาเองตอนอายุ 18 อันได้แก่ Ub Iwerks (อนิเมทครีเอเตอร์) หรือจะเป็น ฮาร์วาร์ท แห่งบริษัทบันทึกเสียง แต่ท้ายที่สุดแล้วตัววอลท์นั้นมักจะโดนผู้คนหักหลังเสมอ
คนที่เป็น Master mind ของวอลท์จนถึงที่สุดของที่สุดก็คือตัวรอยพี่ชายของเขานั้นเอง แม้ว่าในตอนที่มีแผนการจะสร้าง ดีสนีย์แลนด์ ดีสนีย์เวิล์ด รอยจะค้านหัวชนฝาก็ตาม แต่ก็เป็นตัวรอยพี่ชายของเขานั้นเองที่ยอมออกเงินส่วนตัวของเขาเอามาลงทุน นอกจากนี้แล้วยังยอมเป็นประกันเงินกู้ พร้อมทั้งยอมขายบ้านพักเพื่อลงทุนเดิมพันกับฝันของน้องชายเขา เมื่อดิสนีย์เวิล์ดสร้างได้ครึ่งทาง ตัววอลท์ก็เสียชีวิตลงด้วยมะเร็งเมื่ออายุ 65 ปี คนที่สานเจตนารมของวอลท์จนสามารถเสร็จสมบูรณ์เปิดให้บริการดิสนีย์เวิลด์ในปี 1971 ได้ก็คือรอยพี่ชายของเขานั้นเอง ใครจะรู้บ้างว่าเมื่อตอนที่ตัดริบบิ้นเปิดดิสนีย์เวิล์ดนั้นในอกรอยจะเต็มตื้นเพียงใด
เพียง 2 เดือนเมื่อดิสนีย์เวิล์ดเปิดให้บริการรอยก็ได้จากโลกนี้ตามน้องชายของเขาไป
ฮอนดะโซอิจิโร (ผู้ก่อตั้งบริษัทฮอนด้า) มี ฟุจิซาวะทาเกะโอะ , อิบุกะ มาซารุ (ผู้ก่อตั้งบริษัทโซนี่)มี โมริตะ อะกิโอะ(ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโซนี่) , เอดิสันมีภรรยาของขา , โทมัส วัตสัน (ผู้ก่อตั้งไอบีเอ็ม) มีวัตสันจูเนียร์ , ร็อคเฟลเลอร์มี ร็อคเฟลเลอร์จูเนียร์ เป็น Master mind
Master mind นั้นมีมากมายหลายแบบ ดังนั้นในที่นี้ที่เราพูดได้เเค่เพียงว่าไม่ว่าจะเป็นด้านการงาน หรือชีวิตส่วนตัวคนเราไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
แล้วคุณล่ะ ในการที่คุณจะประสบความสำเร็จนั้นยังขาดความรู้ความสามารถอะไร และใครล่ะที่มีความรู้ความสามารถนั้นและพร้อมจะใช้ความรู้ความสามารถนั้นเพื่อคุณได้
เมื่อยามที่คุณประสบเหตุการณ์คับขันคนที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือคุณคือใคร
[ถ้าหากสองคนนั้นไม่ใช่พี่น้องกันแล้วละก็ งานนี้คงจะพังภายใน 10 นาทีแน่นอน].........................รอย เอ็ดเวิร์ด ดิสนีย์(ลูกชายรอย)
คำถามประจำวัน : สำหรับ Buffet ต้นแบบชาว VI นั้นผมคิดว่า Master mind คนแรกคงจะเป็นพ่อของเขา ต่อมาคงจะเป็น เกรแฮม ฟิชเชอร์ เหล่า ซีอีโอทั้งหลายของเขา ฯลฯ แล้วพวกเราละในการลงทุน Master mind ของเราเป็นใคร???????
Master mind ก็คือกลุ่มของบุคคล 2 คน หรือมากกว่าที่รวมตัวกันอย่างกลมกลืน แล้วใช้ประสบการณ์ ความรู้ ไอเดียของแต่ละคนที่มีเพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีร่วมกัน
ดวงใจของคนเรานั้นเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง เป็นพลังแห่งจิตใจ ถ้าดวงใจอันกลมกลืนของคน 2 คนมารวมกันเป็นหนึ่งแล้วจะเปล่งพลังอันมหาศาลออกมา อันนี้คือที่เราเรียกว่ากฎ Master mind
กฎ Master mind นั้นพวกเราได้รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยของ แอนดรู คาร์เนกี้
Master mind ของแอนดรู คาร์เนกี้นั้นเป็นการรวมตัวกันของสตาฟท์ของเขาประมาณ 50 คน สำหรับตัวคาร์เนกี้นั้นแม้จะไม่มีความรู้ทางด้านธุรกิจเหล็กมาก่อน แต่ว่าสามารถบรรลุเป้าหมายอันชัดเจนเกี่ยวกับ การผลิตและการขายเหล็กได้
เรียกได้เขาสร้างทรัพย์สมบัติอันมหาศาลขึ้นมาได้เพราะเปล่า Master mind ของเขา และหากลองวิเคราะห์ผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายในอดีตแล้วจะพบว่าไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามผู้ที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นก็มี Master mind เช่นกัน
หากลองเปรียบเทียบสมองของมนุษย์กับถ่านไฟฉายแล้วถ่านที่ต่อกันหลายก้อนจะให้พลังงานมากกว่าถ่านก้อนเดียว
เช่นเดียวกันหากรวมมันสมองของคนเราเข้าด้วยกันเช่นเดียวกับถ่านไฟฉาย พลังงานที่ได้ออกมากจะมากตามไปด้วย
มันสมองมากกว่าสองก้อนขึ้นไปหากรวมกันเข้าอย่างกลมกลืมแล้วจะให้กำเนิดพลังงานมากกว่าสมองก้อนเดียว
ผมขอนิยาม Master mind ว่าเป็น การสั่นไหว (Vibration) ของความคิด หาก Master mind ของคุณสำเร็จขึ้นมาแล้วล่ะก็เรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างเช่นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามหลักเหตุผลก็สามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ยกตัวอย่างเช่น หาก 1+1 เท่ากับ 2 แล้วล่ะก็ ระหว่างเหล่าผู้คนที่เป็น Master mind กันแล้ว 1+1 จะเป็น 5 ก็ได้ 6 ก็ได้
[บุรุษผู้นอนหลับอย่างสงบ ณ.ที่แห่งนี้สามารถรวบรวมผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเขาให้มาอยู่รอบๆตัวเขาได้]......ข้อความจารึกบนศิลาหลุมศพของ แอนดรู คาร์เนกี้
Success story
วอลท์ เป็นคนฝัน ส่วน รอย เป็นคนจ่ายเพื่อฝันอันนั้น
วอลท์ที่เอ่ยถึงในที่นี้คือผู้ที่เรารู้จักกันดีว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิด มิกกี้เมาส์ และ ดิสนีย์แลนด์ ส่วนรอยนั้นคือ รอย ดิสนีย์ พี่ชายของ วอลท์นั่นเอง
ว่ากันว่าวอลท์นั้นเป็นเลิศ ในการออกไอเดีย ในการวาดภาพ แต่สำหรับการบริหารจัดการแล้วดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา และผู้คอยจัดการดูเเลตรงนั้นก็คือ พี่ชายของเขาผู้ซึ่งตอนทำงานเป็นนายธนาคาร
วอลล์ได้กล่าวไว้ว่า เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุด ที่สามารถดึงรอยซึ่งตอนนั้นเป็นนายธนาคารมาร่วมงานด้วยได้ และก็เป็นตามนั้นจริงๆ รอยซึ่งคลุกคลีกับงานด้านการเงินมานานช่วยให้จินตนาการบรรเจิดของวอลท์สำเร็จเป็นรูปร่างและดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อย สำหรับวอลท์แล้ว Master mindของเขามีหลายคนได้แก่เพื่อนๆสมัยที่เขาเริ่มตั้งบริษัทของเขาเองตอนอายุ 18 อันได้แก่ Ub Iwerks (อนิเมทครีเอเตอร์) หรือจะเป็น ฮาร์วาร์ท แห่งบริษัทบันทึกเสียง แต่ท้ายที่สุดแล้วตัววอลท์นั้นมักจะโดนผู้คนหักหลังเสมอ
คนที่เป็น Master mind ของวอลท์จนถึงที่สุดของที่สุดก็คือตัวรอยพี่ชายของเขานั้นเอง แม้ว่าในตอนที่มีแผนการจะสร้าง ดีสนีย์แลนด์ ดีสนีย์เวิล์ด รอยจะค้านหัวชนฝาก็ตาม แต่ก็เป็นตัวรอยพี่ชายของเขานั้นเองที่ยอมออกเงินส่วนตัวของเขาเอามาลงทุน นอกจากนี้แล้วยังยอมเป็นประกันเงินกู้ พร้อมทั้งยอมขายบ้านพักเพื่อลงทุนเดิมพันกับฝันของน้องชายเขา เมื่อดิสนีย์เวิล์ดสร้างได้ครึ่งทาง ตัววอลท์ก็เสียชีวิตลงด้วยมะเร็งเมื่ออายุ 65 ปี คนที่สานเจตนารมของวอลท์จนสามารถเสร็จสมบูรณ์เปิดให้บริการดิสนีย์เวิลด์ในปี 1971 ได้ก็คือรอยพี่ชายของเขานั้นเอง ใครจะรู้บ้างว่าเมื่อตอนที่ตัดริบบิ้นเปิดดิสนีย์เวิล์ดนั้นในอกรอยจะเต็มตื้นเพียงใด
เพียง 2 เดือนเมื่อดิสนีย์เวิล์ดเปิดให้บริการรอยก็ได้จากโลกนี้ตามน้องชายของเขาไป
ฮอนดะโซอิจิโร (ผู้ก่อตั้งบริษัทฮอนด้า) มี ฟุจิซาวะทาเกะโอะ , อิบุกะ มาซารุ (ผู้ก่อตั้งบริษัทโซนี่)มี โมริตะ อะกิโอะ(ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโซนี่) , เอดิสันมีภรรยาของขา , โทมัส วัตสัน (ผู้ก่อตั้งไอบีเอ็ม) มีวัตสันจูเนียร์ , ร็อคเฟลเลอร์มี ร็อคเฟลเลอร์จูเนียร์ เป็น Master mind
Master mind นั้นมีมากมายหลายแบบ ดังนั้นในที่นี้ที่เราพูดได้เเค่เพียงว่าไม่ว่าจะเป็นด้านการงาน หรือชีวิตส่วนตัวคนเราไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
แล้วคุณล่ะ ในการที่คุณจะประสบความสำเร็จนั้นยังขาดความรู้ความสามารถอะไร และใครล่ะที่มีความรู้ความสามารถนั้นและพร้อมจะใช้ความรู้ความสามารถนั้นเพื่อคุณได้
เมื่อยามที่คุณประสบเหตุการณ์คับขันคนที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือคุณคือใคร
[ถ้าหากสองคนนั้นไม่ใช่พี่น้องกันแล้วละก็ งานนี้คงจะพังภายใน 10 นาทีแน่นอน].........................รอย เอ็ดเวิร์ด ดิสนีย์(ลูกชายรอย)
คำถามประจำวัน : สำหรับ Buffet ต้นแบบชาว VI นั้นผมคิดว่า Master mind คนแรกคงจะเป็นพ่อของเขา ต่อมาคงจะเป็น เกรแฮม ฟิชเชอร์ เหล่า ซีอีโอทั้งหลายของเขา ฯลฯ แล้วพวกเราละในการลงทุน Master mind ของเราเป็นใคร???????
勝利は苦しさを越えて