***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 1

โพสต์

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 30830.html

****.......FW: เหตุนำ....กรรมส่ง.......****

http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 86293.html

เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง..


ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน


จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ก็ได้ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"




สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
พ่อโกรธมากพ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้  และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด  แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดังและนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ


หลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี


เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน  ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน


สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 3

โพสต์

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า
" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"


ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
"ทำไมถึงคิดโง่ๆอย่างนี้
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ
ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
ใครจะรู้ได้.......


วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
ขณะฉันกำลังหลับ
" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ....
ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น
กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ.......
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3


วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า
"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ???



ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ...
ฉันถามเขาว่า  "ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 6

โพสต์

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า
"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
ฉันค่อยๆเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน


แล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกันผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
ฉันสังเกตเห็นว่า  หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไปได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 7

โพสต์

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"


แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ



น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด"เจ็บมากไหม"

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."



ฉันถาม "ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."



น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปีส่วนฉันอายุ 26 ปี...

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 9

โพสต์

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
ท่านบอกว่าท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...
เขาบอกกับฉันว่า
"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"


สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา




วันหนึ่งน้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 10

โพสต์

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการหา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา


"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับพี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....
ฉันบอกกับน้องว่า
"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
"ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปีส่วนฉันอายุ 29 ปี...


เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 11

โพสต์

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถมโรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง2ชม.
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล


เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ.......นับจากวันนั้น


.

.ผมสาบานกับตัวเอง
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ"
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก.......

"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด
คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
วันในชีวิตของคุณและเขา
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว
และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง


สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 12

โพสต์

Do you know the wet ?(ขำ ๆ แก้เครียด)



ใครยังไม่รู้จัก The wet ก็อ่านไว้นะครับ เผื่อ ฝรั่งถามทางจะได้ตอบถูก

เรื่องมีอยู่ว่า ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปมหา ' ลัย
ก็มีแหม่มฝรั่งอยู่คนหนึ่ง
เป็นนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค เดินเข้ามาถามผมว่า

"Execute me. How can I go to the wet?"

"Hmm? What wet?"

"No. I mean the place."

สถานที่...แล้วสถานที่ไหนเปียกวะ ?

"Pub?" ชื่อผับหรือเปล่าหว่า

"No."

"You mean... WEST?"

"No, I said THE WET not THE WEST!"

"So what would you do on the wet?" จากนั้นแหม่มจึงหยิบแผนที่มาให้ดู

"I'll like to go this place. It's said there's near the wet." เธอชี้ไป
ที่ๆแห่งหนึ่ง ซึ่งผมอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะแผนที่มันบอกเป็นภาษาอังกฤษ
ซึ่งบอกชื่อสถานที่เป็นภาษาคาราโอเกะ แถมลายมือก็สุดยอดด้วยมันอ่านยากโคตรๆ
ขมวดตีลังกาได้ตั้งหลายตลบ

"Do you know how could I go this place?"
"..."

เดินถนนสายนี้มา 5-6 ปี ยังไม่เคยรู้จักเลยว่าเดอะว้งเดอะเว้ดอยู่ที่ไหน
สงสัยแหม่มจะมาผิดที่ซะแล้วล่ะมั้ง น่าสงสาร สวยซะเปล่า
แต่ดันเมาควันพิษในเมืองไทยซะงั้น

ทันใดนั้น จู่ๆสายตาผมก็เหลือบไปมองป้ายจากข้างหลังแหม่ม
ซึ่งอยู่อีกฟากของถนน


" จะบ้าตาย... "

สรุป ผมโง่หรือว่าฝรั่งโง่กันแน่เนี่ย

   ดูภาพประกอบกันเอาเองและกันนะ
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 13

โพสต์

FW: ศาลที่เคารพ

Date: Wed, 14 Nov 2007 18:18:52 -0900
 




Man and his wife were in a court for their divorce case.
สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังฟ้องหย่ากัน

The Problem was who should get custody of the child.
ปํญหาก็คือใครควรจะได้สิทธิดูแลลูก

The wife screamed and jumped up and said: "Your Honor. I brought The child
into the world with all the pain and labor.
ภรรยาพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า"ศาลที่เคารพ,ดิฉันคลอดเด็กออกมาดูโลกด้วยความเจ็บปวดและความ
ลำบากในการอุ้มท้อง

"The child Should be in my custody.""
ลูกควรจะเป็นสิทธิของดิฉันค่ะ

"The judge turned to the husband and said: "What do you have to Say in
your defense?"
ศาลเพ่งไปที่สามีเปิดโอกาสให้เอ่ยวาจาปกป้องตนเองได้

The man sat for a while contemplating...then slowly rose. "Your Honor...
If I put a dollar in a Pepsi Vending Machine and a Pepsi Comes out...
สามีนิ่งไปอยู่ใหญ่แล้วก็เอ่ยนิ่งๆว่า"ศาลที่เคารพถ้าผมหยอดเหรียญใส่ตู้ขายน้ำเป๊ปซี่แล้วเป๊ปซี่ก็กลิ้งออกมา


"Whose Pepsi is it... The mach ine's or mine?"
"เป๊ปซี่ที่ออกมาควรเป็นของใคร ของเครื่องขายน้ำ หรือของผมครับ?"

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 14

โพสต์

เงินประกันสังคม

Date: Wed, 14 Nov 2007 16:53:10 -0900
 




เผื่อไว้...พรุ่งนี้อาจไม่มีเรา...


มีคนไปขอแบบฟอร์มนี้มา เพราะได้รับเมล์ ที่ว่า ถ้าเกิดเราเสียชีวิตแล้วไม่ได้มีฟอร์มนี้ไปยื่นเพื่อทำเรื่องรับผลประโยชน์กรณีเสียชีวิตกับทางประกันสังคม เงินที่เราสงเคราะห์ที่เราจะได้จากการที่เราเสียเงินประกันสังคมตลอดชีวิตการทำงานจะถูกริบเข้ากองทุนประกันสังคม น่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วยก็เลยส่งต่อมาให้ อย่าลืมส่งให้คนอื่นด้วยนะ
ปล. กรอกแล้วให้พยานลงชื่อรับรองสองคน แล้วเก็บเอาไว้ ไม่ต้องไปยื่นที่ประกันสังคม ทางประกันสังคมบอกว่าให้เก็บเหมือนพินัยกรรม

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 15

โพสต์


Tue, 13 Nov 2007 16:40:37 -0900
 





> > Web อันตรายอย่าเปิด เชียวนะ
> >
> > ยังไงจำๆไว้ หน่อยก็ไม่เสียหาย
> >
> >
> >
> > เว็บ siamstreet.com
> >
> > และ
> >
> > size=7>
> >
> > digithais.com
> >
> > ปล่อยไวรัส อย่า เปิด
> >
> > แถมข้อมูลยัง โดนแฮ็กด้วยบอกต่อด้วย โหดมาก
> >
> > เตือนทุกคน ฟอร์เวิร์ดต่อด้วยนะ
> >
> > Virus ชื่อ kali
> >
> > มันจะมากับเมล์ ชื่อ
> >
> > Let watchTV.
> >
> > อย่าเปิด เพราะ harddisk
> >
> > คุณจะเกลี้ยง ทุกอย่างโดยทันที
> > ส่งต่อด้วยยังไม่มีวิธีแก้ไข
> > ไม่ควรเปิดเว็บ
> >
> > Siamstreet.com
> >
> > และ
> >
> > Digithais.com
> >
> > ***** ขอย้ำ ว่า
> >
> > FORWARD ต่อด้วยนะ
> >
> > ****
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 16

โพสต์

..อย่าถามหาเหตุผลกับผู้ใหญ่..

สองสามวันก่อน แม่ป่วย...
ผู้หญิงใจแข็งคนนี้ ยืนกรานว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด
เธอกินยาจีน พักผ่อนอยู่บ้าน
เสียงบ่นของแม่...หายไป กลับมีเสียงของใครอีกคนขึ้นมาแทน...เสียงของพ่อ

พ่อที่ปกติแล้วลูกๆ ทุกคนลงมติว่า...ดุ และเงียบขรึม
วันนี้พ่อกลายเป็นผู้ชายขี้บ่นไปซะแล้ว...
พ่อบ่นทั้งวันและทุกวัน เรื่องที่บ่นก็มีอยู่เรื่องเดียว...บ่นแม่
พ่อบ่นว่า แม่ไม่ยอมไปหาหมอ
แต่...คนขี้บ่นนี่แหละ ที่ไปปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยา

ซื้อหายาอมแก้เจ็บคอ ยาแก้ไข้ที่แม่ใช้ประจำมาวางไว้ให้ข้างเตียง
พ่อ...ที่ปกติชอบออกไปหากับข้าวแปลกๆ ข้างนอกกิน เป็นกิจวัตร บ่นว่าเบื่อกินข้าวที่บ้าน
แต่...พ่อก็สั่งฉันไปซื้อกับข้าวที่ร้านโปรดของแม่มากินที่บ้าน
เพียงเพราะไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียว

แม่แตะกับข้าวได้คำเดียว...เอาใจพ่อ ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ว่ากับข้าวอร่อยดี
แต่...พ่อกลับว่า วันนี้เชฟฝีมือตก ทำไม่อร่อย...เลยไม่ถูกปากแม่
แล้ววันนี้...แม่อาการดีขึ้น
ลุกขึ้นมาเดินเหินได้นิดหน่อย บ่น...อยากกินแครกเกอร์กับโกโก้ร้อน
แต่...ของแห้งที่บ้านหมด รวมทั้งแครกเกอร์ยี่ห้อโปรดด้วย

พ่อ...ผู้ชายที่แสดงออกตลอดเวลา...ว่าเกลียด การเดินซูเปอร์มาเก็ต
บอกลูก ๆ ว่าน้ำส้มของพ่อหมด ไปซื้อกันเถอะ
พวกเราอมยิ้ม ผู้ชายปากแข็ง...จะบอกว่าไปซื้อของให้แม่ก็ไม่ได้ ต้องอ้างยังโน้นยังงี้
แต่...แค่ย่างเท้าเข้าห้างสรรพสินค้า คนจะซื้อน้ำส้มแต่เดินหา...แครกเกอร์ เฮ้อ...

พ่อ...มีโรคประจำตัว...โรคหัวใจ พ่อต้องเดินช้าๆ เพราะไม่อยากให้หัวใจทำงานหนักเกินไป
แต่ในซุปเปอร์มาเก็ตวันนี้ พ่อเดิน...เข้าช่องโน้น ออกช่องนี้ เพราะแม่กินได้แต่ข้าวต้ม
ข้าวต้มซองชนิดมีเครื่องกับพร้อมปรุงถูกพ่อกวาดมาทุกชนิด
เครื่องข้าวต้ม...ทั้งผักดอง ผักกระป๋อง
พ่อหยิบทุกขวดทุกกระป๋องมาอ่าน...หายี่ห้อที่แม่ชอบ

ความจริงจะสั่งฉัน ให้ไปหาซื้อน่าจะง่ายกว่านะ แต่พ่อก็เลือกที่จะทำเอง
เพราะพ่อเลือกของเหล่านั้น...ด้วยความรัก ฉันทำได้แค่เข็นรถตาม...
แต่แค่นี้ก็ยากแล้วนะ เพราะเข็นตามไม่ทันสักที.....
ถ้าเทียบกับใจที่ไปถึงชั้นวางขวดผักดองเรียบร้อยแล้ว ของผู้ชายตรงหน้า
หลังที่เริ่มคุ้มงอตามวัยของพ่อนำอยู่ข้างหน้าลิ่วๆ

ตาของพ่อ...ที่มีไว้มองผู้หญิงคนเดียวในชีวิต มองหาแต่สรรพสิ่งที่เหมาะกับแม่
ณ วินาทีนั้น ฉันอิจฉา...อิจฉาผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน
อิจฉาแม่ตัวเอง เพราะพ่อที่ลูกๆ คุ้นเคย คือผู้ชายที่ไม่เคยแคร์ใคร...
กับลูกๆ...เรารู้...พ่อรัก เพราะพ่อแสดงออกกับเราเสมอ
หากกับแม่...พวกเราเพิ่งรู้...พ่อห่วงแม่มากมาย

คงเพราะปกติเราเห็นแต่แม่ที่คอยดูแลพ่อ
โรคประจำตัวพ่อเยอะแยะนี่นา
แม่...ซึ่งเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง อึด...ในสายตาพวกเรา

ยามเมื่อได้รับการดูแลจากพ่อ ดูเหมือนจะซึ้งไม่ต่างจากเรา
คนซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดยี่สิบห้าปี ดูแลกันและกันยามป่วยไข้
คงไม่มีอะไรน่าชื่นใจไปกว่านี้แล้วมั้ง

ฉันหันมามองรอบตัว
สักวันข้างหน้า...ยามเมื่อชีวิตได้ผ่านวันเวลา
ทั้งความสุข ความทุกข์ ความโศก

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยืนข้างๆฉัน ดูแล...ยามที่ฉันป่วยไข้
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่จำได้ กับแค่แครกเกอร์ยี่ห้อโปรดของฉัน
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยอมเดินฝ่าฝูงคนพลุกพล่าน ที่ตัวเองแสนเกลียด
เพียงเพื่อเครื่องกระป๋อง... ที่อยากจะเลือกสรรแต่สิ่งดีๆเพื่อคนอันเป็นที่รัก

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ส่งยาอมแก้เจ็บคอให้ฉัน พร้อมกับบอกว่า
คราวก่อนเจ็บคอ กินแล้วหาย นี่ยังเหลือ เอาไปกินสิ
ทั้ง ๆ ที่ยาอมหลอดนั้น มันยังไม่ได้แกะ!!!
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 17

โพสต์

สัจธรรม ตรงกับชีวิต จริง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว........
มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่
ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า
เราจะหาคู่แท้ของเราเจอได้ไงคับอาจารย์  บอกผมหน่อยได้ไหมคับ ?

อาจารย์ : ( เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ) อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ
แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถามที่ง่ายเหมือนกันนะ

ลูกศิษย์ :( นั่งคิดอย่างหนัก)   อืม ?.... งงอะไม่เข้าใจ

อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ
มีหญ้าเยอะแยะเลยใช่ไหม  เธอลองเดินไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด
แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ
แต่ว่าเวลาเธอเดินเนี่ยเธอต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวนะ
ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม

ลูกศิษย์ :ได้เลยครับ จาน รอสักครูน่ะครับ
( ว่าแล้วก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า)  หลังจากนั้นไม่นาน....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน

อาจารย์ :อืม...แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ

ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจาน
ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวยๆเนี่ย
ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยวก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้
ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย
รู้ตัวอีกที    มันก็สุดสนามหญ้าแล้วครับจะเดินกลับก้อไม่ได้
เพราะจานสั่งห้ามไว้

อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา

ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ
ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือคนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ
ทุ่งหญ้าก็คือ เวลา เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 18

โพสต์

อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้วคิดว่าคงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่เปรียบเทียบ
คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
อย่าลืมว่า ' เวลาไม่เคยย้อนกลับ '

ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น
เรื่องนี้ ยังสามารถใช้ได้กับการหาคนที่จะมาทำงานร่วมกับคุณในชีวิต
หรือแม้กระทั่งงานที่เหมาะสมกับคุณ

ดังนั้น มันจึงเป็นสัจธรรมที่ว่า จงรัก และไขว่คว้าโอกาสที่คุณมีในขณะนี้
อย่ามัวแต่เสียเวลา บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

หวังว่าเธอคงจะส่งต่อนะ
ถ้าไม่ส่งต่อจะอกหักไปตลอดชีวิต ไม่มีคัยคิดจะรัก
มีแต่คนเกลียดชัง(ไม่เชื่ออย่าลบหลู่)


> โง่ ที่คิดว่า.....ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
> โง่ที่คิดว่า.....ใครบางคนให้ความสำคัญกับตัวเรามากกว่าคน อื่น
> โง่ที่คิดว่า..... คนที่เรารัก เค้าจะรักเราคนเดียว
> โง่ที่คิดว่า..... คนที่เราดีใจเมื่ออยู่ใกล้เค้า
> จะไม่ใช่คนเดียวกันกับคนที่ทำให้เราเสียใจที่ สุด
> โง่ที่คิดว่า..... เรามีความสำคัญกับใครคนหนึ่งมากจนเค้าขาดเราไม่ได้
> โง่ที่คิดว่า..... การโกหกจะไม่เกิดขึ้นระหว่างคู่รักที่รักกันจริงๆ
> โง่ที่คิดว่า..... คำหวานจากปากเค้า เค้าพูดเพราะเป็นห่วงเราจริงๆ
> โง่ที่คิดว่า..... เวลาที่เราต้องการเค้าที่สุด เค้าจะอยู่กับเราเสมอ
>
> อยากฉลาดม๊ะ.....
>
> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า.......ความพยายามบางครั้งมันก้อเป็นแค่ความพยายาม
> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......อย่าหวังว่าใครจะเห็นเราสำคัญมากไปกว่าตัวเค้าเอง
> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คนที่เรารัก....บางทีเค้าก็มีคนที่เค้ารัก
> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คนที่เราอยู่ใกล้เค้าแล้วมีความสุขอาจ
> เป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำให้เราเสียใจที่สุด
> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คำหวานจากปากเค้า
> เค้าพูดเพียงเพราะเค้าชอบพูดคำหวานกับใครๆ เสมอ...

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 19

โพสต์

> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......การโกหกเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าใคร
> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......คนที่เรารักอาจเป็นคนเดียวกันกับคนที่ไม่เคยรักเรา
> ฉลาดพอที่จะเข้าใจ ว่า......เวลาที่เราต้องการเค้าที่สุดอาจ
> เป็นเวลาเดียวกันกับเวลาที่เค้าหมดรักเรา แล้ว
>
> จง...เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
> จง...อ่อนแอพอที่จะรับรู้ว่าลำพังเรานั้นทำอะไรไม่ได้ทุกอย่าง
> จง...ฟุ่มเฟือย น้ำใจ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ
> จง...ประหยัดสิ่ง ที่จำเป็นไว้
> จงคิดก่อนทุกครั้ง ที่จะปล่อยเงินออกจากมือ
> จง...ฉลาดพอที่จะ รู้ว่าเราไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
> จง...โง่พอที่จะ เชื่อในปาฏิหาริย์
> จง...เต็มใจจะแบ่ง ปันความสุขของตัวเอง
> จง...เต็มใจที่จะ แบ่งรับความทุกข์ของผู้อื่น
> จง...เป็นผู้นำหาก ทางที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นั้นเลือนราง
> จง...เป็นผู้ตามหาก ตกอยู่ในวงล้อมแห่งความไม่แน่นอน
> จง...เป็นคนแรกที่ แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของคู่แข่ง
> จง...เป็นคนสุดท้าย ที่จะวิจารณ์ความผิดพลาดของเพื่อน
> จง...มองเพียงแค่ ก้าวถัดไปเพราะมันจะทำให้เราไม่ล้ม
> จง...มองไปยังจุด หมายปลายทางให้แน่ใจ ว่าไม่ได้กำลังเดินผิดทาง
>
> จงใช้เวลามอง หรือ ให้โอกาสกับตัวเองที่จะเรียนรู้คนที่เขาบอกรักคุณ
> จง...รักคนที่รัก คุณ แม้อีก 5 ปี 10 ปี หรือ 50 เขาก็ยังรักคุณ
> จง...รักคนที่ไม่ รักคุณแล้ว...สักวันนึงเค้าอาจจะเปลี่ยนใจมารักคุณ
> จงอย่าปล่อยให้คน ที่รักคุณหลุดลอยไป
>
> สุดท้าย จงอย่าหลอกตัวเอง
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 20

โพสต์

FW: Tips for Your Good Health
Date: Tue, 6 Nov 2007 23:31:44 -0900
 






1. ทำอย่างไรจึงจะไม่แก่ และอายุยืน
           
     คำตอบคือกินสายกลาง   กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง   งดมื้อเย็น   เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์    ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน
หรือกินมื้อเช้า    รถจึงจะวิ่งได้    ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด    เติมอีกครั้ง       ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้    สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ
มีไข่แดงหนัก 50 กรัม   ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม   ให้พลังงาน 9 แคลอรี่   ฉะนั้น 50 กรัม   ให้พลังงาน 450 แคลอรี่  
จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้    โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้  1.3   ก . ก .   ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน   60   รอบต่อนาที     ขี่อยู่นาน 60 นาที
จะเหนื่อยหอบ    เหงื่อไหลท่วมตัว    แต่ใช้พลังงานไปเพียง   300 แคลอรี่    ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด    ฉะนั้นถ้า กินมื้อเช้า   มื้อเที่ยง    จนถึงเย็น
พลังงานยังเหลือแน่นอน   ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก   เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ     โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้
ถ้าพลังงานเหลือมาก   การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก   ทำให้อ้วน   และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ    จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด
ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด     รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน   เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง   อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น
ถ้าวันไหนอุดตัน   เช่นถ้าตันที่สมอง   จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก   ถ้าอุดตันที่ไต   ต้องล้างไต   เปลี่ยนไต   ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง
ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ    ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร       ฉะนั้น การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก
มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย    เป็นมื้อตายผ่อนส่ง    ยิ่งกินมื้อเย็นมาก    ยิ่งผ่อนส่งมาก    ตายเร็ว    ถ้าไม่กินมื้อเย็น    ก็จะแก่ช้า    เสื่อมช้า    อายุยืน

                การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก    ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส     สุขภาพดี    อายุยืน    และมีสมาธิดี
ความมุ่งมั่นสูง    ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ    แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน     วิธีฝึกมี 4 วิธี

             1.   ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น   ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน    เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน   โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหาร
เย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน   ต่อไปครึ่งจาน   ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ   ต่อไปกินผักผลไม้
สุดท้ายงดอาหารเย็น
             2.   ร่นเวลากินอาหารเย็น   เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม    ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น   5 โมงเย็น   4 โมงเย็น  3 โมงเย็น ฯ
              3.   กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น    ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที    ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
             4.   กินมังสะวิรัตมื้อเย็น   การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ   ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์
                    พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้    ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช . ม .   กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า    มื้อเที่ยงได้ทัน

              ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็น    จึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด    ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน
       

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อ คือ เช้า กับ เพล

2. โรค Attention Deficit Trait

โดย ผศ . ดร . พสุ เดชะรินทร์     [email protected]

ท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า

ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด

แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก

ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่ ?
ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ

Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น

ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมี ผู้ใหญ่ เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้ เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก

ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน ( แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 22

โพสต์

โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา    ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว

การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง (Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ? ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น

โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ( เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า )

ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม " ปิดประตู " เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง

*** ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน ( เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน ) ***

สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 23

โพสต์

3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง

เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง    ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก    เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่    ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก    มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะ เป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ   เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย    โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์   กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด

เลือดเราจะข้นหนืด   ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง

จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี . ซี . เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้   และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน   รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย

เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน   มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้   น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้    ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือด เราอีก    เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด

ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่   เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุง   ร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่    การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด  

ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต   ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่    ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด    ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง    ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน   ขับออกมาทางประจำเดือน

เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น    สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น    ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา   ก็ ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย    ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ เหมือนรุกใต้ดิน   โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว ...
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 24

โพสต์

Mon, 5 Nov 2007 16:30:40 -0900
สั่งปิด 29 อุทยานฯ เหตุเสี่ยงน้ำป่าไหลหลาก

         รายงาน ข่าว แจ้งว่า กรมอุทยานแห่งชาติ ประกาศปิด 29 อุทยานฯ ทั่วประเทศถาวร ในช่วง ฤดูฝน ตั้งแต่ พ.ค. ถึง พ.ย. ของทุกปี หลังเกิดเหตุการณ์ น้ำป่า ไหลหลาก ถ้ำน้ำลอด เพื่อความ ปลอดภัยของ นัก ท่องเที่ยว อาทิ เขาแหลมหญ้า หมู่ เกาะเสม็ด ดอยภูคา หมู่ เกาะสุรินทร์ หมู่ เกาะสิมิลัน ตะลุเตา ภูกระดึง เขาใหญ่ ห้วยน้ำดัง

'กรมอุทยานฯ' ประกาศปิด 29 อุทยานฯทั่วประเทศถาวรในช่วงฤดูฝนตั้งแต่ พ.ค.- ธ.ค. ของทุกปี เหตุน้ำตกเสี่ยงจากน้ำป่าไหลหลาก
          นายปรีชา จันทร์ศิริตานนท์ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า เนื่องจากในช่วงเดือนพ.ค.-พ.ย. ของทุกปีเป็น ช่วงฤดูฝน ทำให้การเดินทางเข้าไปในแหล่งท่องเที่ยวของพื้นที่อุทยานแห่งชาติไม่สะดวก และอาจไม่ปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยวได้  โดยกรมอุทยานฯ จะมีประกาศปิดการท่องเที่ยว และพักแรมในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่เป็นประจำทุกปีแล้ว ซึ่งปี 2550 มีประกาศปิดการท่องเที่ยวรวม 29 อุทยาน  ในจำนวนนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวประเภท น้ำตก และแหล่งท่องเที่ยวประเภทถ้ำที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงจากน้ำป่าไหลหลาก ดินถล่ม ประมาณ 202 แห่ง
          รองอธิบดีกรมอุทยานฯ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตในแหล่งท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เกิดจากการฝ่าฝืนของนักท่องเที่ยว รวมทั้งบริษัททัวร์ที่มักจะนำลูกทัวร์ฝ่าฝืนเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่ได้เปิด และบางแห่งก็ประกาศปิดในช่วงหน้าฝน โดยเมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ก็มีบริษัททัวร์พา นักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูปะการังที่เกาะพีพี และประสบอุบัติเหตุ มีคนเสียชีวิต และอีกรายถูกใบจักรเรือตัดแขนขาด จึงแจ้งขอความช่วยเหลือมาที่อุทยานแห่งชาติเกาะพีพี ที่ต้องประ สานขอความช่วยเหลือจากกองทัพเรือออกไปกู้ภัยทันที ทั้งที่ทะเลกำลังมีมรสุม
          และกรณีที่น้ำตกถ้ำน้ำลอด มาจากการฝ่าฝืน แต่ข่าวที่ออกมาเหมือนกับว่าเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่ ที่ไม่ดูแลนักท่องเที่ยว ซึ่ง เรื่องนี้ถ้าจะใช้มาตรการเข้มงวดอุทยานฯ ก็กลัวจะกระทบบรรยากาศการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการปรับตามกฎหมายที่มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
          ยืนยันว่าที่ผ่านมามีการประกาศปิดการท่องเที่ยวอย่างถาวรในช่วงหน้าฝนเป็นประจำทุกปี ส่วนบางพื้นที่จะพิจารณาตามความเหมาะสม เช่น ตามประกาศเตือนของกรมอุตุนิยม กรมทรัพยากรธรณีอยู่แล้ว นายปรีชา กล่าว
          รวมทั้งขณะนี้ แหล่งท่องเที่ยวประเภทน้ำตกก็มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอดเวลาแล้ว ยังมีการจัดเตรียมอุปกรณ์กู้ชีพ เช่น ห่วงยาง เสื้อชูชีพ เปลสนาม เชือกเอาไว้แล้ว เช่น น้ำตกสายรุ้ง จ.ตรังน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ที่อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนคิรนทร์ เป็นต้น ดังนั้น จึงอยากให้นักท่องเที่ยวปฏิบัติ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดจะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก
          สำหรับรายชื่อเขตอุทยานแห่งชาติ ที่ถูกปิดการท่องเที่ยวและพักแรมประจำปี 2550 ตั้งแต่ เดือนพ.ค.-พ.ย. 2550 ดังนี้
          1. เขาแหลมหญ้าหมู่เกาะเสม็ด บริเวณกางเต็นท์เกาะกุฎี ระยะเวลาที่ปิด 1 พ.ค.- 31 สิงหาคมของทุกปี  

          2. ดอยภูคา บริเวณถ้ำผามอง ถ้ำผาแดง สุสานหอย ยอดดอยภูแว และ น้ำตกวังเปียน ปิดตั้งแต่ 1 พ.ค.- 30 ก.ย.ของทุกปี
          3. ออบขาน บริเวณลานกางเต็นท์ ตั้งแต่ 1 พ.ค.- 31 ส.ค. ของทุกปี
          4. หมู่เกาะเภตรา บริเวณเกาะลิดี ปิดตั้งแต่ 1 พ.ค.- 31 ส.ค. ของทุกปี

 5. บริเวณหมู่เกาะสุรินทร์
          6. หมู่เกาะสิมิลัน ปิดตั้งแต่ 16 พ.ค.- 16 พ.ย. ของทุกปี
          7. หมู่เกาะลันดา บริเวณ หมู่เกาะรอก กองหินแดง ปิดตั้งแต่ 16 พ.ค.-15พ.ย. และกองหินม่วง เกาะห้าปิดตั้งแต่ 1 ก.ค.-30 พ.ย. ของทุกปี
          8. หมู่เกาะตะลุเตา บริเวณหมู่เกาะอาดัง-ราวี ปิดตั้งแต่ 16 พ.ค.-15 พ.ย.ของทุกปี
          9. ภูกระดึง บริเวณยอดภูกระดึง ปิดตั้งแต่1 มิ.ย.- 31 ส.ค.ของทุกปี
          10. เขาสิบห้าชั้น บริเวณกางเต็นท์ มะเดื่อคู่ จุดชมวิวเขาลอย น้ำตกอีเกก ปิดตั้งแต่ 1ก.ค.-30 ก.ย. ของทุกปี
          11. เขาใหญ่ บริเวณเขาสมอปูน ปิดตั้งแต่ 1ก.ค.-30 ก.ย. ของทุกปี
          12. ห้วยน้ำดัง บริเวณลานกางเต็นท์ ที่ 1-5 หน่วยพิทักษ์อุทยานส่วนกลาง เส้นทางเดินป่าล่องแพ น้ำแม่แตง เส้นทางศึกษา ธรรมชาติ(ดอยช้าง) และเส้นทางศึกษาธรรมชาติ(เอื้องเงิน) ปิดตั้งแต่ 1 ก.ค.- 30 ก.ย. ของทุกปี
          13. แม่วงศ์ บริเวณเขาโมโกจู น้ำตกแม่กระสาและน้ำตกแม่เรวา
          14. ดอยเชียงดาว บริเวณดอยค้ำฟ้า น้ำตก ห้วยหก น้ำตกป่า
          15. ศรีลานนาบริเวณน้ำตกม่อนหินไหล
          16. แม่ฝางบริเวณดอยผ้าห่มปก
          17. ขุนสถาน บริเวณถ้ำโอ่ง
          18. น้ำตกผาแดง
          19. อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา
          20. อุทยานแห่งชาติขุนแจ บริเวณยอดดอยลังกา ดอยมด

21. อุทยานแห่งชาติเขาหลวง
          22. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะพยาม บริเวณ อ่าวไข่เต่า เกาะช้าง
          23. อุทยานแห่งชาติธารโบกธรณี บริเวณหมู่เกาะห้อง 24 อุทยานแห่งชาติหาดเจ้า ไหม ถ้ำมรกต เกาะกระดาน เกาะเชือก เกาะแหวน
          25. อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา ปิดเส้นทางศึกษาธรรมชาติบริเวณยอดดอยเวียงผา ตั้งแต่ 1 ก.ค.-31 ต.ค.ของทุกปี
          26. อุทยานแห่งชาติน้ำตกยกโยง เส้นทางศึกษาธรรมชาติเดินป่าระยะ ไกลยอดเขาเหมน ตั้งแต่ 1 ก.ค.-30 พ.ย.ของทุกปี
          27. อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน แหล่งท่องเที่ยว บริเวณบ้านกร่างและเขาพะเนินทุ่ง ตั้งแต่ 1 ส.ค.-31 ต.ค.ของทุกปี
          28. อุทยานแห่งชาติดอยหลวง บริเวณน้ำตกวังแก้ว น้ำตกภูแกง และน้ำตกจำปาทอง ช่วง 1 ก.ย.-31 ต.ค.ของทุกปี
          29. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ช่วง1 พ.ย. 23 ธ.ค.ของทุกปี
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 25

โพสต์

เพราะไฟแช็กอันเดีย ว
Date: Sun, 4 Nov 2007 17:36:29 -0900
 




อันตรายจากแบตเตอรี่.....เพราะไฟแช็กอันเดียว

สาเหตุมาจากน้องผมขับรถอยู่แล้วเครื่องดับ ก็เลยลงไปเปิดฝากระโปรงรถดู
แต่ด้วยความซวย มันมืดครับมองไม่เห็นก็เลยนำไฟแช็กมาจุดดู
และแล้วน้องผมก็สงสัยว่าน้ำกลั่นหมดหรือเปล่าเลยเปิดฝาน้ำกลั่นดูเท่านั้นแหละครับ
ตูมเลย แบตระเบิดออกทางด้านข้างปรากฏว่าน้องผมถูกน้ำกรดกระเด็นเข้าตาทั้ง
2 ข้าง ส่วนเพื่อนก็โดนเข้า 1 ข้าง ตอนนี้รักษาตัวอยู่โรงพยาบาลกรุงไทย
แถวๆปากเกร็ด ซึ่งบาดแผลตอนนี้แพทย์ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตาจะบอดหรือไม่จึงอยากจะเตือนเพื่อนๆว่ามันเป็นอะไรที่คิดไม่ถึงจริงๆไม่น่าเลยครับ

... เอาไฟไปจ่อ ก็เจอ ก๊าซไฮโดรเจน ที่ออกมาจากแบตฯ สิครับ

ในน้ำกรด มีไฮโดจเจนเป็นส่วนประกอบครับ เมื่อมีการทำปฏิกริยา
จะทำให้มี ก๊าซบ้านี่ออกมาได้ครับผม แล้วที่สำคัญ เจ้าก๊าซนี่ก็ไว
ไฟที่สุดในโลกด้วยครับ
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 26

โพสต์

แค่ 2 นาทีใน ไมโครเวฟ เครื่องฆ่าเชื้อชั้นดีในห้องครัว

เพียงแค่ 2 นาทีในเตาไมโครเวฟก็ทำให้ฟองน้ำและแผ่นขัดที่เช็ดล้างสิ่งต่างในครัวซึ่งเป็นแหล่งหมักหมมเชื้อร้ายต่างๆ ได้อย่างสะอาดหมดจด ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต เตาไมโครเวฟสามารถกำจัดได้มากกว่า 99% เลยทีเดียว

กาเบรียล บิตตอน (Gabriel Bitton) ศาสตราจารย์วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา (University of Florida) ผู้นำการวิจัยได้เขียนรายงานลงในวารสารเอนไวรันเม็นทัลเฮลธ์ (Journal of Environmental Health) ถึงการทดลองที่เขาและทีมงานได้นำฟองน้ำเปียกและที่ขัดล้างจานแช่ไว้ในน้ำทิ้งที่ยังไม่ได้บำบัด ซึ่งในน้ำสกปรกนั้นประกอบด้วยมูลแบคทีเรียอย่างอีโคไล ไวรัส ปราสิตเซลล์เดียว และตัวอ่อนของแบคทีเรีย

จากนั้นพวกเขาทดลองใช้เตาไมโครเวฟที่ประจำอยู่ตามครัวทั่วไปอบฟองน้ำ ตั้งเวลาอบฟองน้ำไว้ตั้งแต่ 4-10 นาที ออกมาฟองน้ำสะอาดเอี่ยมไร้เชื้อต่างๆ ที่ฝังตัวอยู่ แต่ทีมวิจัยระบุว่าเชื้อทั้งหมดในฟองน้ำโดนฆ่าหลัง 2 นาทีแรกแล้ว

โดยปกติเมื่อใช้ฟองน้ำทำความสะอาดสิ่งต่างๆ ในครัวแล้ว ผู้คนมักจะล้างฟองน้ำและเอาวางไว้ที่อ่างล้างจาน ซึ่งถ้าต้องการทำความสะอาดฟองน้ำแบบฆ่าเชื้อหมดจดจริงๆ ก็ควรจะนำไปอบในไมโครเวฟ นับเป็นเครื่องฆ่าเชื้อโรคที่ทรงประสิทธิภาพและราคาถูก บิตตอนกล่าว

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (U.S. Centers for Disease Control and Prevention) สำรวจพบว่าชาวอเมริกันเจ็บป่วยจากเชื้อโรคในอาหารมากกว่า 76 ล้านรายในแต่ละปี และมีผู้เสียชีวิตเพราะอาหารเฉลี่ยถึง 5,000 คน ห้องครัวแม้จะเป็นห้องปรุงอาหารแต่กลับเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคและนำไปสู่การเจ็บไข้ได้ป่วยไม่น้อย







ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2550





                                         ด้วยรัก ห่วงใยและใส่ใจสุขภาพของท่าน

                                      สถานพยาบาล นบบ. ฝทบ.
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 27

โพสต์

:bow:  :bow:  ขอบคุณครับ  :bow:  :bow:

หลายเรื่อง ซึ้งมาก น้ำตาแทบซึม  :cry:

พี่สาว น้องชาย คนเกาหลี
พ่อที่แข็งกระด้าง แต่รักจริงๆ

เกร็ดเรื่องสุขภาพ  :bow:  :bow:
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 28

โพสต์

จะรอดู Series ชุดนี้นะครับ
พูดไปแล้ว เกาหลีเก่งขึ้นเรื่อยๆ
ในการหาวิธีการเผยแพร่ประวัติศาสตร์อย่างเนียนๆ
ผ่านสื่อวัฒนธรรม ให้ชาวโลกประจักษ์ในวิถีเกาหลี
คล้ายๆครั้งหนึ่งที่ "โอชิน" ดังระเบิด
ทำให้เห็นตำนานการต่อสู้ของเจ้าของห้างสรรพสินค้า"เยาฮัน"

ขอบคุณคุณสุเกียงมาก
แดดจัดของเช้าวันนี้ ดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ
สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ขอบคุณ คุณ ปุยและคุณ กูรูขอบสนาม ค่ะ
จริงค่ะ เดี๋ยวนี้ชิรี่ย์เกาหลี นำมาฉายเยอะมากๆ
พัฒนาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตีตลาดหนังชิรี่ย์ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น ซะหลุดลอยไปเลย
เดี๋ยวนี้ออกมาเยอะจนดูไม่ทันด้วยซ้ำ บางเรื่องดูเพลินจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็มี

ดาราแต่ละคนเล่นเก่งมาก เป็นธรรมชาติดี
แม้บางเรื่องพระนางจะไม่หล่อไม่สวยเท่าดาราฮ่องกง ไต้หวันก็ตาม
แต่เนื้อหาดูได้เรื่อยๆไม่เบื่อ ชอบดูวิวและความเป็นอยู่ของคนเกาหลี

สมัยก่อน ก็ชอบดูชิรี่ย์ของญี่ปุ่น โอชิน ซันชิโร่ สมัยก่อนสร้างดีมากๆ
ติดตามดูตลอดจนไม่กล้าไปไหน กลับจากโรงเรียนก็รีบทำการบ้านแล้วรอดู
เดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีละครฟอร์มใหญ่ให้ดูเหมือนเมื่อก่อน

เศรษฐกิจไม่ดี ทำการค้าลำบาก ร้านค้าตอนนี้ขาดทุนจนจะไม่รอดอยู่แล้ว
ขืนเป็นอย่างนี้มีหวังต้อง ปิดกิจการยิ่งเร็วยิ่งดี ไม่งั้นขาดทุนบานปลายจนกลายเป็นหนี้จนได้
เวลานี้ต้องอยู่เฉยๆและประหยัด รัดเข็มขัดให้มากที่สุด

ร้อนแดดยังไม่เท่าไหร่ พอทนได้
ร้อนเงินเนี่ย ใจแทบมลายด่าวดิ้นเลยค่ะ

ขอบคุณเช่นกันค่ะ


สุเกียง
Verified User
โพสต์: 891
ผู้ติดตาม: 0

***...เขาค้อ ทะเลหมอก น่าไปจัง...***

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ลุงแจวเรือจ้าง...กับหนุ่มนักเรียนนอก...

Mon, 10 Sep 2007 16:53:26 -0800



เด็กหนุ่มคนหนึ่ง...เป็นชาวสงขลา...

เรียนเก่งมาก...
ได้ทุนไปเรียนอเมริกา...ตั้งแต่เด็ก...จนจบด็อกเตอร์...
จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน...

บ้านของเด็กหนุ่ม...
อยู่อีกฟากหนึ่ง...ของทะเลสาบสงขลา...
ต้องนั่งเรือแจว...ข้ามไป...ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง...

เรือที่ติดเครื่องยนต์...ไม่มีเหรอ...ลุง... ?
ไม่มีหรอกหลาน...ที่นี่มันบ้านนอก...
มันห่างไกลความเจริญ...มีแต่เรือแจว...

โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง...โบราณมาก...
ที่อเมริกา....เขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง...ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก...

ไปส่งผมฝั่งโน้น...เอาเท่าไร...ลุง... ?
80 บาท...
OK ...ไปเลยลุง...

ในขณะที่ลุงแจวเรือ...
หนุ่มนักเรียนนอก...ก็เล่าเรื่องความทันสมัย...
ความก้าวหน้า...ความศิวิไลช์...ของอเมริกาให้ลุงฟัง...

เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว...ล้าสมัยมาก...
ไม่รู้คนไทย...อยู่กันได้ยังไง... ?

ทำไมไม่พัฒนา...ทำไมไม่ทำตามเขา...เลียนแบบเขาให้ทัน... ?
ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์...ใช้อินเตอร์เน็ต...เป็นไหม... ?
ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น...
โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ....ชีวิตลุงหายไปแล้ว...25 %... .

แล้วลุงรู้ไหมว่า...เศรษฐกิจของโลก...ตอนนี้เป็นยังไง... ?
ลุงไม่รู้หรอก...
ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ...ชีวิตของลุงหายไป...50 %

ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหม...ลุง... ?
ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหม...ลุง... ?
ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย...
ชีวิตของลุง...ลุงรู้อยู่อย่างเดียว...
ว่าจะทำยังไง...ถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น...
ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้...ชีวิตของลุง...หายไปแล้ว...75 %

พอดีช่วงนั้น...
เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง...คลื่นลูกใหญ่มาก...ท้องฟ้ามืดครึ้ม...
นี่พ่อหนุ่ม...เรียนหนังสือมาเยอะ...จบดอกเตอร์จากต่างประเทศ...
ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม... ?
ได้...จะถามอะไรหรือลุง... ?

เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม... ?
ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง....

ชีวิตของเอ็ง...กำลังจะหายไป 100 % ...แล้วพ่อหนุ่ม...
โพสต์โพสต์