ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ
หมอ หรือ ผู้รู้หลายๆท่าน ช่วยมาแนะนำ วิธีปฏิบัติตัว กันดีกว่า
เผื่อจะมีประโยชน์ กับชาว VI เรียกว่า กันไว้ดีกว่าแก้
เล่นหุ้น มีเงินเยอะ จะได้มีเวลาอยู่ใช้เงิน นานๆ

เริ่มจาก เคส คนใกล้ตัวผม ที่เป็นมะเร็ง ผมรู้จักอยู่ 2 ท่าน

คนแรกเป็นรุ่นน้องผม 2 ปี จบวิศวะเคมี จบมาทำงานได้ 2-3 ปี
หน้าตาดี  นิสัยดี เป็นนักกีฬา อยู่ดีๆ ก็ปวดท้อง หมอเจอมะเร็งตับ
จากนั้น อยู่ได้ไม่ถึง 5-6 เดือน เค้าก็จากไป อายุน่าจะสัก 25
ทราบจากแม่เค้าว่า ตอนเด็กๆ เคยเป็นไวรัสตับอักเสบ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุ  :cry:

อีกท่านนึง เป็นเพื่อนแฟน ผู้ชาย แต่งงาน กับเพื่อนสนิทแฟนอีกคน
อายุสัก 35 มีลูก 1 คน  ปีที่แล้ว เค้าฉี่เป็นเลือด หมอพบ มะเร็งที่ไต  
ก็เลยตัดไตไปข้างนึง ข่าวว่า ตอนนี้ดีขึ้น น่าจะหายแล้ว


อยุ่ที่นี่ มีพี่คนนึง กลัวเป็นมะเร็ง อายุสัก 40 กว่า ไปตรวจเป็นประจำ
ไม่ทาน เนื้อสัตว์ เน้นผัก กับ ปลา ไม่ใช้ ภาชนะพลาสติก (ใช้แต่แก้ว)
ทำ detox ทุกเช้า ทำมา 3 ปี หลังๆ แกบอกเริ่มหย่อนๆแล้ว (เริ่มกินเนื้อบ้างแล้ว)

ท่านใด มีอะไรเพิ่มเติม เชิญเลยครับ
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

กินผัก ผลไม้ ไร้สารพิษเยอะๆครับ

หากกินไม่ได้ก็ functional food มากิน

เช่น ตัวใหม่ ก็มี อยู่ในซองเล็กๆกินทีละวัน อย่าง ผลไม้เข้มข้น 17 ชนิด ที่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ 200 ชนิด

ผมเป็นคนใช้ชีวิตเปลืองมาก ระยะหลังน้องๆแซวว่าใช้ร่างเปลือง

ถามว่าผมเคยกินมากี่ยี่ห้อ คำตอบคือเพรียบ อะไรดังๆก็ลองชิมไปหมด

ผมเป็นประเภทบ้าคลั่ง functional food ครับ

อิอิ
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 0

Re: ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

[quote="ปุย"]คนแรกเป็นรุ่นน้องผม 2 ปี จบวิศวะเคมี จบมาทำงานได้ 2-3 ปี
หน้าตาดี
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 4

โพสต์

functional food อืม ไป search เจอมาใน email forward ครับของผมเอง ไม่น่าเชื่อ ไม่เคยอ่าน

-------------------------------------------------------
จาก นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล

พูดถึงสุขภาพ ใครๆก็รักสุขภาพกันทั้งนั้น แต่ครั้นถึงเรื่องราวของการเอาใจใส่สุขภาพนี่ซิ บางทีก็หลงไปกับ
บางกรรมวิธี ซึ่งแทนที่จะให้คุณ กลับให้โทษ หรือทำให้เสื่อมสุขภาพลงกว่าเดิม

กับดักสุขภาพประการที่ 1
ดื่มน้ำยิ่งมาก ยิ่งดี


คนจำนวนไม่น้อยเชื่อกันว่า ให้ดื่มน้ำมากๆ ยิ่งมากยิ่งดี หลายคนถึงกับดื่มน้ำวันละ 3-4 ลิตร บางคนก็ร่ำลือกันว่า หมอจีนสอนให้ตื่นนอนเช้าดื่มน้ำทันที 4 แก้ว เพราะช่วยให้ขับถ่ายดี ก็เลยคิดต่อไปว่า ถ้าดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้ามีประโยชน์ขนาดนั้น ตลอดทั้งวันก็ควรดื่มให้มากที่สุด จนเรียกได้ว่า แค่นดื่ม กันเลยละ พวกเขาดื่มน้ำอย่างไม่จำกัดจำนวน เพราะเชื่อว่าจะได้สุขภาพดี  

คนที่ดื่มน้ำมากเช่นนี้ นานเข้าจะเกิดอาการขึ้นอย่างหนึ่ง คือ เกิดอาการปัสสาวะมาก ปัสสาวะใส มือเท้าเย็น หนาวง่าย นานเข้าจะเกิดภาวะอ่อนเพลียเรื้อรัง ขาอ่อนแรง และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

เหตุผลก็คือ ไตมิใช่เพียงท่อกลวงๆที่ปล่อยให้น้ำผ่านไปเฉยๆ แต่ไตมีหน้าที่เก็บรับเอาสิ่งที่ยังเป็นประโยชน์กับ ร่างกาย ที่ปัสสาวะชะผ่านไป ให้เก็บกลับเข้าสู่ร่างกาย ได้แก่เกลือแร่ชนิดต่างๆ ไตยังทำหน้าที่ปรับความเข้มข้นของปัสสาวะให้พอเหมาะ ด้วยเหตุนี้การปล่อยน้ำผ่านไตมากๆ ไตจึงต้องทำงานหนัก เสียพลังในการทำงานเยอะ นานเข้าก็เกิดอาการอย่างที่หมอจีนเรียกว่า พร่องพลังไต

เปรียบเทียบง่ายๆว่า เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง ที่ปล่อยให้ฝนตกกระหน่ำเอาๆ ฝนย่อมชะเอาฮิวมัสหรือปุ๋ยธรรมชาติ ที่อยู่บนผิวดินออกไปกับน้ำเสียหมด นานๆเข้า เขาลูกนั้นก็กลายเป็นเขาหัวโล้น

แท้ที่จริงวิชาสุขศึกษาบอกว่าดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว แต่ตามปกติเรามีน้ำในมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าจะหักลบน้ำที่ดื่มในมื้ออาหารออก คนเราก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 4 แก้ว สำหรับคนที่พร่องพลังไตอยู่แล้ว ก็ควรดื่มน้ำไม่เกินวันละ 3 แก้ว จึงจะแก้สถานการณ์ได้

ส่วนการที่หมอจีนบอกว่าให้ดื่มน้ำ 4 แก้วตอนเช้านั้น แท้ที่จริงเพื่อช่วยให้ขับถ่าย เพราะเถ้าแก่ทั้งหลาย กินแต่ข้าวขาว กินหมูกินไก่ ผักไม่ค่อยกิน เพราะถือว่าผักเป็นอาหารของคนจน หมอจีนจึงใช้วิธีนี้สอนคนท้องผูก แต่ถ้าเรากินข้าวกล้อง ผักผลไม้มากพอ ก็ไม่จำเป็นต้องแค่นดื่มน้ำเช่นนั้น
-------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพประการที่ 2
นอนดึก ตื่นสาย


คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การนอนแม้จะจำเป็น แต่ดึกๆมักมีเรื่องน่าดูในจอโทรทัศน์ หรือไม่ก็บนจอคอมพิวเตอร์ เลยตากสายตาดูโทรทัศน์ดึกๆ วัยรุ่นเล่นคอมฯ แช็ตกันเพลินจน 5 ทุ่ม สองยาม แล้วเข้านอน กะว่าตื่นเอาสายๆก็ทดแทนจำนวนชั่วโมงการนอนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นที่ต้องรีบไปเรียนหนังสือแต่เช้า หรือวัยทำงานที่ต้องแข่งขันเบียดแทรกตัวเองไปทำงานแต่เช้ามืด  ด้วยเหตุนี้ คนนอนดึก ตื่นเช้ามืด จำนวนชั่วโมงการนอนก็ไม่พออยู่แล้ว สุขภาพย่อมเสียสุดๆ ส่วนคนนอนดึกตื่นสาย ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดี นานเข้าสุขภาพก็เสื่อมสุดๆอีกเหมือนกัน  เหตุผลเพราะ แท้ที่จริงสัตว์ต่างๆล้วนมีโครงสร้างของสรีระร่างกายที่กำหนดว่า สัตว์นั้นเป็นสัตว์กลางวัน  หรือสัตว์กลางคืน อย่างค้างคาว นกฮูก แมวเหมียว ต้องถือเป็นสัตว์กลางคืน เพราะมีเรดาร์ มีตาโต เอาไว้ใช้งานตอนกลางคืน แต่คนเราต้องสังกัดเป็นสัตว์กลางวัน

เดิมทีเดียวสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดแรกของโลกคือตัวซาลาแมนเดอร์มีตาอยู่ 3 ดวง ตาดวงที่สามเป็นเกล็ดอยู่ตรงกลางหน้าผาก คอยทำหน้าที่รับแสงตะวัน เวลากลางวันแสงสว่างจะทำให้เกล็ดนี้สร้างฮอร์โมนซีโรโตนิน ทำให้มันแจ่มใสออกมาหากิน เวลากลางคืนเกล็ดนี้จะสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ทำให้มันง่วงเหงา เข้ารูนอน ครั้นวิวัฒนาการจนมาเป็นคน เกล็ดนี้จมลึกเข้าไปในหน้าผาก กลายเป็นต่อมเหนือสมอง หรือ ต่อมไพเนียล ยังคงสร้างฮอร์โมน 2 ชนิดนี้สลับกันอยู่ หรือเรียกอีกที ต่อมนี้คือนาฬิกาชีวภาพที่ปลุกเราให้ตื่นเช้า และกล่อมเราให้เข้านอนโดยอัตโนมัติ

การตากแสงไฟดึกๆจึงเป็นการรบกวนต่อมไพเนียลซึ่งเป็นนายเหนือต่อมฮอร์โมนทั่วร่างกาย มันส่งคำสั่งไปยังต่อมใต้สมอง ไปไทรอยด์ ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะ ถ้าต่อมไพเนียลทำงานผิดเพี้ยน ฮอร์โมนทั่วร่างกาย ก็ผิดเพี้ยนไปด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งของหมอลลิตา สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ซึ่งอาจารย์ร็อกกี้เฟลเลอร์จูงใจให้ทำ ทดลองให้ส่องไฟให้หนูทดลองตลอดคืน ทำอยู่เช่นนั้นหลายๆวัน ปรากฏว่าหนูทดลองถึงกับแท้งลูก นี่แสดงถึงความสำคัญของต่อมไพเนียลซึ่งถึงกับสร้างความแปรปรวนของระบบฮอร์โมนในร่างกาย เพียงเพราะว่าแสงไฟที่สาดส่องให้อย่างไม่เป็นเวลา

งานวิจัยอีกชิ้นในสหรัฐฯทดลองในพยาบาลเวรดึก กลุ่มหนึ่งให้ออกเวรแล้วเดินผ่านอุโมงค์มืดๆไปเข้านอน อีกกลุ่มให้เดินผ่านแสงตะวันยามเช้า ไปเข้านอน เมื่อเจาะเลือดเปรียบเทียบระดับฮอร์โมนของร่างกาย พบว่าพยาบาลกลุ่มหลังฮอร์โมนแปรปรวนไปหมด ขณะที่กลุ่มแรกฮอร์โมนยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ นี่ก็อิทธิพลของแสงตะวันที่เจ้าตัวรับเข้าไปผิดเวลา

แท้ที่จริงแล้ว คนเราจึงควรนอนหัวค่ำ ตื่นเช้า แทนที่จะตากแสงไฟอยู่จนดึกๆ
-------------------------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพประการที่ 3
กลัวโคเลสเตอรอล จนไม่กล้ากินไข่ แต่ไพล่ไปดื่มนม


นิตยสาร Time ในอเมริกาตีพิมพ์ตั้งแต่เดือนกันยายน 1999 บอกว่า "Cholesterol-Good News" ยืนยันว่า โคเลสเตอรอลในเลือดของคนเรา สร้างจากภายในตัวเราเองถึง 90% มีเพียง 10% ที่เป็นผลกระทบจากโคเลสเตอรอลในอาหาร และวัตถุดิบที่สร้างโคเลสเตอรอลคือกรดไขมันอิ่มตัว ดังนั้นไข่ซึ่งเป็นแหล่งของโคเลสเตอรอลจึงได้รับการถอดออกจาก Black list ทางโภชนาการที่อเมริกา แต่ตรงกันข้าม แหล่งของกรดไขมันอิ่มตัวหลายอย่างได้รับการบรรจุให้กลายเป็นตัวที่ถูกเพ่งเล็งทางสุขภาพ
ตัวสำคัญได้แก่ นม เนย ชีส รวมทั้ง peanut butter

ผลยืนยันได้ในเชิงปฏิบัติที่เป็นจริง ดังจะเห็นว่า ประเทศไทยซึ่งถูกประโคมให้กลัวไข่กันมามากกว่า 10 ปี จนปัจจุบันคนไทยกินไข่เพียง 130 ฟอง/คน/ปี แต่คนไทยดื่มนมกันไม่อั้น เพราะถูกประโคมข่าวว่ายิ่งดื่มนมยิ่งสุขภาพดี ผลปรากฏว่าคนไทยมีโรคไขมันเลือดสูงมากขึ้นๆทุกปี รวมทั้งโรคอ้วนทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ไทยมีโรคไขมันเลือดสูง 50% ของประชากรในเมือง แม้แต่เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี พูดง่ายๆว่าอยู่ในวัยอนุบาลก็มีไขมันเลือดสูง 25% ของประชากร เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้กินอย่างอื่นแน่ แต่ถูกป้อนให้ดื่มนมไม่อั้น  

มาดูอย่างประเทศจีนบ้าง จีนกินไข่มากกว่าเรา คือ 330 ฟอง/คน/ปี กินไข่มากกว่าเรา 3 แต่คนจีนมีโรคไขมันเลือดสูงต่ำกว่าคนไทย การดื่มนมจึงเป็นกับดักสุขภาพที่ต้องละเลี่ยง

ที่สนุกไปกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันทั่วโลกในประเทศที่มีการศึกษาสูง กำลังหันมาส่งเสริมการบริโภคไข่ ลดละการดื่มนม ที่เบลเยี่ยมมีประดิษฐกรรมใหม่ เขาสร้างไข่ชนิดใหม่ เรียกว่า ไข่โคลัมบัส ไม่ใช่ไข่ของคนที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสหรอกนะครับ แต่เป็นไข่ที่นอกจากกินแล้วคลอเลสเตอรอลไม่สูง (ซึ่งไข่ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น) แต่ไข่โคลัมบัสใช้กระบวนการเลี้ยงไก่ด้วยอาหารพื้นบ้าน ซึ่งเขาถือว่าอาหารพื้นบ้านจะมีสัดส่วนของโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ถูกต้องโดยธรรมชาติ เมื่อมาเลี้ยงไก่ด้วยวิธีนี้ จะทำให้ไขมันจำเป็นในร่างกายถูกต้องไปด้วย เป็นผลให้กินไข่โคลัมบัสควบคุมโคเลสเตอรอลในเลือดได้อีกต่างหาก

จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องอดกินไข่ ยกเว้นแต่ว่าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว มีนิสัยชอบกินนม กินเนย ก็ขอแนะนำให้งดเนย งดนม กินไข่อย่างเดียวโคเลสเตอรอลจะไม่สูงอย่างแน่นอน
-------------------------------------------------------------------------------------

กับดับสุขภาพ ประการที่ 4
ไม่กินไขมันเลย เพราะกลัวอ้วน


เราถูกรณรงค์ให้หลีกเลี่ยงการกินไขมัน เพราะกลัวอ้วน กลัวไขมันเลือดสูง จนคนจำนวนหนึ่งกลัวไขมันเกินกว่าเหตุ ตนเองยังสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ป่วยเจ็บเป็นโรคอะไร แต่ไม่กินไขมันเลย เป็นเวลาหลายๆปี จนกลายเป็นภาวะพร่องไขมัน

แท้ที่จริงเราต้องรู้ว่า ไขมันเป็นสารอาหารกลุ่มหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ ในร่างกายของเรามีไขมันอยู่ 3 ชนิด ใหญ่ๆ หนึ่งคือโคเลสเตอรอล สองคือไตรกลีเซอไรด์ และสามคือฟอสโฟไลปิด เราใช้โคเลสเตอรอลเป็นแหล่งวัตถุดิบในการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างฮอร์โมนเพศกับฮอร์โมนคอร์ติโซล ส่วนไตรกลีเซอไรด์เป็นแอ่งพลังงานในกระแสเลือด เพื่อหนุนช่วยน้ำตาลในเลือด ส่วนฟอสโฟไลปิดเป็นวัตถุดิบสำหรับสร้างเซลล์ประสาท ฯลฯ

จึงเห็นการหลีกเลี่ยงอาหารไขมัน จนถึงกับไม่กินเลย ทั้งๆที่สุขภาพเป็นปกติอยู่นั้น นานๆเข้าก็จะเกิดโรค จะยกตัวอย่างกรณีสุดขั้วกรณีหนึ่ง ผมเคยพบนิสิตมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เดินเข้ามาหาผมด้วยน้ำหนักตัว 35 กก. จินตนาการเหมือนกับไม้แขวนเสื้อลอยมา อย่างนั้นแหละ แต่เธอเข้ามาหาผม พร้อมกับบอกว่า "หนูต้องการลดน้ำหนักค่ะ"

เธอมีความคิดว่าน้ำหนักตัวขนาดนั้นของเธอยังไม่เป็นที่พอใจ บอกว่าอยากให้หุ่นผอมเพรียวเหมือนสาวที่เดินบนแค็ตวอล์ก ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่กินน้ำมันทุกชนิด ผมมองปราดเดียวที่ใบหน้าและผิวพรรณของเธอก็บอกได้เลยว่า เธอกำลังป่วยด้วยภาวะพร่องไขมัน คือผิวแห้งและหน้าตาหม่นหมองมาก ถามประวัติอีกหน่อยก็พบว่า ผมเธอร่วงเป็นประจำ และที่สำคัญก็คือ เธอขาดประจำเดือนมาได้กว่าปีแล้ว

นั่นเป็นเพราะว่า ภาวะที่พร่องไขมัน ร่างกายก็ขาดวัตถุดิบไปสร้างฮอร์โมนเพศ ทั้งสำหรับสุขภาพของผิวพรรณ และเส้นผมอีกด้วย น่าเสียดายว่า ความเข้าใจผิดๆประการนี้ ทำให้แม้กระทั่งนิสิตปีสี่ของมหาวิทยาลัยอย่างเธอต้องหลงผิดไปตามแสงสีของแฟชั่น คิดดูก็น่าใจหาย

ผมนึกถึงกฎแห่งการอยู่รอดของดาร์วิน ที่บอกถึงการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติ สัตว์ใดแข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ สัตว์ใดที่อ่อนแอกว่าก็สูญพันธุ์ไปในที่สุด สังคมมนุษย์ก็คงเช่นเดียวกัน คนใดฉลาดกว่ารู้จักแสวงหาความรู้ที่ถูกต้อง และดำเนินชีวิตที่ชอบที่ควรก็อยู่รอด แต่คนใดไม่ฉลาดหาความรู้ หรือหลงไปในทางอวิชชา สุดท้ายก็ทำลายสุขภาพตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหมดโอกาสสืบพันธุ์อีกด้วย อย่างกรณีขาดประจำเดือนของสาวหลงรายนี้ ธรรมชาติก็คงบอกว่า "สาวน้อย เธอจงอย่ามีประจำเดือน และอย่าสืบสกุลมีลูกมีหลานเถอะนะ" นี่คือการคัดพันธุ์โดยธรรมชาติตามกฎของดาร์วินอีกเหมือนกัน

มีกรณีตัวอย่างขนาดเบาๆอีกตัวอย่างหนึ่ง คือพี่สาวของผมเอง ซึ่งไปได้ตำแหน่งงานดีๆ ที่วิทยุแห่งชาติ นครปักกิ่ง ประเทศจีนโน่น เธอเป็นผู้รักสุขภาพเช่นเดียวกัน และมักจะดูแลตัวเองและสามีเรื่องระดับโคเลสเตอรอลในเลือดด้วยเหมือนกัน เธอกินข้าวกล้อง กินผัก กินปลาและกินผลไม้สม่ำเสมอ เมื่ออยู่เมืองไทย เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ชอบกินไขมัน

เมื่อไปอยู่ปักกิ่ง เธอก็ยังคงควบคุมอาหารเหมือนเมื่ออยู่เมืองไทย เธอสู้อุตส่าห์หาข้าวกล้องที่เมืองจีนมาหุงกินเป็นประจำ นับเป็นการแสวงหาที่ยากลำบากมาก เพราะคนจีนยังไม่ตื่นตัวเรื่องกินข้าวกล้อง แต่สามีเธอก็สู้อุตส่าห์หามาให้ครอบครัวได้กินกันจนได้

สิ่งที่เธอกังวลก็คือ อาหารปักกิ่งล้วนแต่เป็นอาหารมันๆทั้งนั้น ซึ่งขัดกับนิสัยการคุมไขมันของเธอ เธอจึงพยายามกินอาหารปักกิ่งให้น้อยที่สุด ตื่นเช้าต้มข้าวต้มกินกับกับข้าวง่ายๆ ตอนเที่ยงจำต้องกินอาหารจีน แต่พอตกเย็น บ่อยครั้งที่เธอจะไม่กินข้าว จะกินแต่ผลไม้แทน

ผลปรากฏว่า เมื่อตกเข้าหน้าหนาว เธอมีอาการหนาวจนแทบจะทนไม่ไหว และก็ไม่ค่อยรู้สึกสดชื่นเหมือนเดิม พอดีผมไปเยี่ยมเธอที่ปักกิ่ง และกินอาหารอยู่ในบ้านด้วยกัน ก็เป็นอันถึงบางอ้อ เพราะแท้ที่จริงเธอคุมน้ำมันจนสุดขั้วเกินไปนั่นเอง

ธรรมชาติบำบัดจะบอกว่า "กินอยู่ตามวัฒนธรรมพื้นบ้าน" ผู้คนในเมืองไหนๆ จะมีประเพณีการกินอยู่ตามวัฒนธรรมของตัวเอง การที่ผู้รักสุขภาพอย่างเธอ ไปอยู่เมืองจีนซึ่งมีอากาศหนาวกว่าบ้านเรามากนัก แล้วฝืนตัวเอง ไม่กินอาหารมันๆ ก็ย่อมพร่องแคลอรี จนเสี่ยงที่จะเกิดเจ็บป่วยได้นั่นเอง

สำหรับคนไทยอยู่เมืองไทยอย่างเรา หลักปฏิบัติง่ายๆในเรื่องไขมันก็คือ กินอาหารแต่ละมื้อให้มีอาหารจานที่มีไขมันสัก 1 อย่าง เช่น มีผัดผัก มีไข่เจียว มีไก่ทอด จานใดจานหนึ่งในแต่ละมื้อ นั่นคือทางสายกลางที่เลือกเดินได้
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพ ประการที่ 5
กินผลไม้จนล้นเกิน น้ำตาลขึ้น ไขมันสูง


ผลไม้น่ะ ดี เพราะเป็นแหล่งของวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และถ้ากินสม่ำเสมอในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ช่วยจรรโลงสุขภาพได้

อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกย่อมมี 2 ด้านอยู่เสมอ ผลไม้ทุกชนิดมีรสหวาน จึงเป็นแหล่งที่มาของน้ำตาลในเลือดชัดๆอยู่แล้ว และคนที่เป็นเบาหวานที่รักษาด้วยยา หมออาจจะอนุโลมให้กินผลไม้ โดยแบ่งกินทีละไม่เกินผลไม้ 2-3 กลีบเป็นต้น แต่สำหรับสูตรรักษาเบาหวาน-กินเนื้อกินผักแบบบัลวี เราก็ไม่ให้กินผลไม้เลย ซึ่งจะคุมเบาหวานลดลงได้เร็วมาก ภายใน 10 วัน

ทีนี้สำหรับคนทั่วไป ผลไม้ย่อมกินได้อย่างเป็นทางสายกลาง แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่กินผลไม้อย่างสุดขั้ว แล้วเกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้

ประการหนึ่ง คนที่กินผลไม้หวานจัด เช่นทุเรียน ขนุน ลำไย เหล่านี้มักจะเกิดอาการร้อนในได้ เรื่องนี้ต้องอธิบายด้วยทฤษฎีแมกโครไบโอติกส์ ซึ่งบอกว่า ผลไม้เป็นสุดขั้วของพลังหยิน กล่าวคือในประเทศเขตร้อน พลังหยางมีมาก ต้นไม้จึงเอาพลังหยินของมันมุดลงดิน แล้วไปผลิออกเป็นผลไม้ หล่อเลี้ยงธรรมชาติด้วยสุดยอดพลังหยินของมัน คน สัตว์กินผลไม้หน้าร้อนก็ชื่นใจ แต่ถ้ากินมากเกินไป พลังหยินที่รับเข้าไปมาก จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางสุดขั้ว จึงเกิดอาการเจ็บคอร้อนในได้ แมกโครไบโอติกส์ชนิดสุดโต่งจึงไม่แนะนำให้กินผลไม้เมืองร้อนเลย แต่ผมมักจะแนะนำว่า เราอยู่เมืองร้อน ย่อมกินได้อย่างทางสายกลาง

ประการที่สอง บางคนกินผลไม้เพราะต้องการคุมอาหารมื้อเย็น คือไม่กินข้าวมื้อเย็น แต่กินผลไม้โดยหวังที่จะลดน้ำหนัก หรือลดไขมันเลือด ผลก็คือ น้ำหนักตัวยิ่งขึ้น ไขมันเลือดยิ่งไม่ลด เหตุผลก็คือ ผลไม้มีความหวาน เมื่อกินแทนข้าว เจ้าตัวก็หลงกินไม่บันยะบันยัง จึงเพิ่มน้ำตาลในเลือด และถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันในเลือด คนกินหวานทุกชนิดก็เสี่ยงต่อไตรกลีเซอไรด์สูง และไตรกลีเซอไรด์มีมาก ก็ถูกเก็บไว้ที่แก้มก้น และพุงกระทิได้ จึงไม่แคล้วอ้วนอยู่ดี
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพประการที่ 6
ถือเอาวิตามิน อาหารเสริม เป็นคำตอบสุขภาพ


ผมจำได้ว่าเมื่อบริษัทวิตามินจากออสเตรเลียจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนซึ่งเป็นเภสัชกร ที่เป็นตัวแทนของบริษัทวิตามินนี้ให้ช่วยเผยแพร่ความคิดเรื่องวิตามินให้แก่ผู้บริโภค ขณะนั้นเมืองไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักประโยชน์ของการกินวิตามิน ยังไม่รู้จักคำว่า free radicals และไม่รู้จักคำว่า anti-oxidant แม้ว่าความรู้ทางธรรมชาติบำบัดในยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียจะมีเรื่องราวเหล่านี้มากมายแล้วก็ตาม เพราะขณะนั้นช่วงห่างระหว่างความรู้ในประเทศตะวันตกกับประเทศไทย จะล่าช้ากว่ากันประมาณ 10 กว่าปี
ความรู้การแพทย์แบบแผนรู้จักวิตามินในฐานะสารตัวเล็กๆ ที่ช่วยป้องกันตาบอดกลางคืน รักษาเหน็บชา ป้องกันลักปิดลักเปิด ซึ่งนับวันโรคเหล่านี้จะหมดไป เมื่อผู้คนในสังคมอยู่ดีกินดีกันมากขึ้น แต่ไม่รู้จักบทบาทใหม่ของวิตามินในอีกด้านหนึ่ง จำได้ว่าขณะนั้นผมเขียนบทความธรรมชาติบำบัดในมติชนสุดสัปดาห์ตั้งแต่ต้นปี 2534 จึงได้แนะนำเรื่องของสาร อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นคำบัญญัติใหม่โดย ศ.ดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และวิตามินก็มีบทบาทเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ มีความรู้เหล่านี้พิมพ์เผยแพร่เป็นพ็อกเก็ตบุ้กโดยสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ และจัดเสวนาสุขภาพเมื่อวันที่
15 มีนาคม 2535 นับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดบรรยายเรื่องราวทางสุขภาพให้ผู้คนมาร่วมกันฟังเป็นจำนวนมากๆ และเป็นที่มาของมหกรรมสุขภาพในขอบเขตต่างๆทั่วประเทศที่มีกันอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ และรวมทรรศน์ก็ได้จักมหกรรมธรรมชาติบำบัดสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ 13 ปี

การบรรยายความรู้เรื่องวิตามินในฐานะแอนติออกซิแดนต์ ทำให้คนไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องโรคเสื่อมของร่างกายและหันมาสนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะแนวคิดของผมก็คือ วิตามินมีอยู่แล้วในพืชผัก ผลไม้ การจะป้องกันรักษาโรคหัวใจหลอดเลือด กระทั่งโรคมะเร็ง ก่อนอื่นให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมากินอยู่อย่างไทยเสียก่อน ส่วนวิตามินที่กินเป็นเม็ดๆนั้น ใช้เมื่อจำเป็น แต่ก็ทำให้วิตามินและอาหารเสริมในเมืองไทยเริ่มขายดี

กระนั้นก็ตาม ก็มีแพทย์จำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่ไม่เข้าใจ ได้กระทบกระเทียบว่า "การกินวิตามิน รังแต่ทำให้น้ำปัสสาวะของคนเราแพงขึ้นเท่านั้นเอง" พูดง่ายๆว่า เปล่าประโยชน์ที่จะกินวิตามิน เนื่องจากพวกเขาในขณะนั้นยังไม่รู้เรื่องของ free radicals กันเลย ครั้งเมื่อเห็นว่าวิตามินซีธรรมชาติกำลังขายดิบขายดี ก็มีแพทย์อีกจำนวนหนึ่งบอกว่า "ระวังกินวิตามินซีมากๆจะเป็นนิ่วในไต"  ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าจะพิจารณากลไกการดูดซึมวิตามินซีเข้าสู่ร่างกาย ตามปกติในลำไส้ของเราจะมี receptor ซึ่งเป็นประตูเปิดรับวิตามินซี ประตูเหล่านี้จะเปิดปิดมากน้อยตามความต้องการของร่างกายในแต่ละขณะ คนปกติต้องการวิตามินซีต้านอนุมูลอิสระวันละประมาณ 1,000 มก. ถ้ากำลังเครียดอาจเพิ่มความต้องการเป็น 2,000 มก. ถ้ากำลังเป็นหวัดความต้องการจะเพิ่มเป็น 4,000-6,000 มก. และถ้าเป็นมะเร็งอาจมีความต้องการเพิ่มเป็น 10 พัน-50 พัน มก. ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการวิตามินในระดับนั้น การกินวิตามินซีมากเกินความต้องการ ก็จะไม่ดูดซึมและถ่ายทิ้งไป ทำให้เกิดอาการท้องเสีย เหมือนอย่างที่ใครสักคนหนึ่งกินมะขามมากๆแล้วท้องเสียนั่นแหละ การเกิดนิ่วในไตจากวิตามินซีจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้

การกินวิตามินแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ภายในระยะเวลา 3 ปีต่อจากนั้น และยิ่งแพร่อย่างรวดเร็วเมื่อมีกิจการขายตรงแบบ MLM ชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่กินวิตามินกันอย่างไม่อั้น ก็คือ ชาวบ้านระดับไฮโซไฮซ้อ นั่นเอง

มิไยว่าผมจะพร่ำบอกให้ ปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร กินอยู่อย่างไทยซะก่อน ก่อนที่จะกินวิตามิน เพราะต้องอยู่ประการหนึ่งว่า สารธรรมชาติเหล่านี้มีมากมายมหาศาล สกัดกลั่นอย่างไรก็เอาออกมาเป็นเม็ดๆไม่ได้หมด  เพียงแค่ฟลาโวนอยด์ก็มีในธรรมชาติแล้ว 4,000 ชนิด แคโรทีนมีอยู่ 600 ชนิด และสารผักมีอีกมากกว่า 10,000 ชนิด แต่ภูมิปัญญามนุษย์นั้นสามารถสกัดออกมาได้เพียง 100 กว่าชนิดเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าจะคอยกินวิตามินโดยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร ก็นับเป็นเรื่องน่าเสียดาย

กระนั้นก็ตามกิเลสของคนเรา ก็ทำให้ผู้คนมิได้สนใจในคำเตือนนี้เท่าไรนัก จะมุ่งเอาแต่วิธีง่ายๆ คือคอยซื้อหาวิตามินมากิน กินแก้อ้วน กินให้หุ่นดี กินให้ผิวสวย กินให้ไม่ท้องผูก มีปรากฏอยู่บ่อยครั้งที่ผมถูกเชิญไปบรรยายให้สโมสรชาวไฮโซทั้งหลายฟัง พิธีกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็แปลก คือเวลาเชิญเราไปบรรยาย เขาจะเร่งให้เรารีบๆกินอาหารให้จบๆไปก่อน แล้วเมื่อสมาชิกของเขามากันพอสมควรแล้ว ทีนี้เขาจะเสิร์ฟอาหารให้สมาชิก แล้วเชิญเราขึ้นพูด นับว่าไฮคลาสพอสมควร คืออย่างน้อยๆเราก็ไม่ใช่ตลกคาเฟ่ ซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ให้ผู้คนกินข้าวเคล้าเรื่องตลก ต่างกันตรงที่ว่าเนื้อหาของเราที่บรรยาย คุณภาพคับแก้ว ประจุไว้ด้วยสาระวิชาการ นั่นต่างหาก

พอบรรยายเสร็จ เขาก็เชิญเรานั่งร่วมโต๊ะ ทีนี้ละท่านผู้ไฮโซทั้งหลาย จะพากันมาถามเป็นส่วนตัวว่าวิตามินตัวนั้น ตัวนี้กินได้ ไม่กินดี เป็นต้น หลายๆท่านจะพกกระเป๋ามา 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นกระเป๋าสตางค์ อีกใบหนึ่งเป็นกระเป๋าวิตามิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "จะกินวิตามินเหล่านี้สักแค่ไหน แต่ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาหาร เล่นกินโต๊ะจีน กินอาหารฝรั่งอย่างที่เรากินกันมื้อนี้ กินไปอีกกี่ขวด ก็จะป่วยง่าย ตายเร็วอยู่ดี"  ก็มีคนพยักหน้า เชื่อผมอยู่หลายคน แต่ผู้จัดคงรู้สึกถึงความตรงไปตรงมาของผม จากนั้นก็เคยไม่กล้าเชิญผมไปบรรยายให้ไฮโซไฮซ้อวงนั้นอีกเลย

ครับ ในแนวคิดของบัลวี เราถือว่า คนเราจะหายป่วยเจ็บ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง แต่เมื่อป่วยเจ็บเสียเต็มประดา อย่างใครที่เป็นภูมิแพ้ เป็นมะเร็ง การเอาอาหารที่เขาสกัดมาเป็นเม็ดเข้มข้นมากินเข้าไป และถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บ ก็ไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน


อย่าทำให้ปัสสาวะของท่านแพงขึ้นด้วยวิตามินที่เกินความจำเป็น แค่กินอาหารให้ถูกส่วน กินผักผลไม้เยอะๆ ก็ได้รับวิตามินเพียงพอแล้วละครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพ ประการที่ 7
กินสมุนไพร คิดว่าปลอดภัยเสมอไป


ยุคนี้เป็นยุคของการคืนสู่ธรรมชาติ และเมื่อพูดถึงธรรมชาติใครๆก็มักจะนึกถึงสมุนไพร มีผู้รักสุขภาพจำนวนไม่น้อยที่หนีจากการกินยาแผนปัจจุบัน แล้วหันไปกินยาสมุนไพรโดยคิดอย่างเถรตรงว่า ขึ้นชื่อว่าสมุนไพรแล้ว ย่อมไม่มีผลร้ายแต่ประการใด นั่นนับเป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่ง

แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่ายาสมุนไพรก็หมายถึง สิ่งที่กินเพื่อบำบัดรักษาโรค แต่นำมาจากพืชและสัตว์ ถ้ามาจากสัตว์ก็เรียกว่า สัตว์สมุนไพร ถ้ามาจากพืชก็เรียกว่า พืชสมุนไพร ในสัตว์และพืชย่อมมีสารอินทรีย์จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะออกฤทธิ์ช่วยบำบัดรักษาโรคให้กับคนเรา สารอินทรีย์เหล่านี้ย่อมต้องการปริมาณที่พอเหมาะ ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไปในการออกฤทธิ์รักษาโรค

ทีนี้เมื่อจะใช้สมุนไพรในการรักษาโรค จึงต้องศึกษาวิธีการใช้ และปริมาณการใช้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีกรณีใหญ่ๆที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคอย่างไม่ถูกวิธี จนถึงขั้นเกิดอันตรายร้ายแรงกับผู้ใช้ เช่นการใช้ผลมะเกลือคั้นน้ำกะทิเพื่อถ่ายพยาธิ ถ้าทำอย่างผิดวิธีก็ถึงขั้นทำให้เด็กที่กินถึงกับตาบอดได้  

อีกกรณีหนึ่งคือ การใช้ใบขี้เหล็กรักษาอาการนอนไม่หลับ แกงขี้เหล็กที่คนไทยรู้จักกันดี สามารถกินกันได้อย่างสนิทใจ และมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ ช่วยไม่ให้ท้องผูก และนอนหลับสบายอีกด้วย ต่อมามีการค้นพบว่าใบขี้เหล็กยังมีสารยาซึ่งออกฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับ จึงมีความพยายามที่จะทำใบขี้เหล็กให้เป็นยาสมุนไพรสำเร็จรูปที่ใช้ง่ายเป็นชนิดเม็ด และกระบวนการผลิตก็กระทำกันอย่างง่ายๆโดยใช้ใบขี้เหล็กตากแห้ง บดเป็นผงแล้วทำเป็นเม็ดขึ้นมาเลย ซึ่งแม้แต่องค์กรรัฐวิสาหกิจทางด้านเภสัชกรรมก็ยังเป็นผู้นำหน้าในการผลิตขี้เหล็กเม็ดขึ้นมาวางจำหน่ายในท้องตลาด

อย่างไรก็ดี เมื่อขี้เหล็กแคปซูลเหล่านี้ เข้าถึงผู้บริโภคอยู่พักใหญ่ ก็เริ่มมีข้อสังเกตจากแพทย์ระบบทางเดินอาหารหลายท่านว่า เริ่มพบผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุอื่นนอกจากประวัติที่ว่า ได้กินขี้เหล็กแคปซูลมาพักหนึ่ง   หลังจากได้ติดตามค้นคว้ากันอยู่พักหนึ่ง ก็มีผลยืนยันออกมาว่า ผู้คนที่มีเอนไซม์ตับเพิ่มขึ้นสูงเหล่านั้นต้องพิษจากสารบางอย่างในใบขี้เหล็กนั่นเอง เป็นผลให้ต้องมีการประกาศให้เลิกใช้ยาเม็ดขี้เหล็กไปทั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี คำถามมีว่า เหตุใดคนโบราณจึงกินแกงขี้เหล็กโดยไม่ปรากฏอันตรายขึ้น เหตุผลน่าจะอยู่ที่ว่า บรรพบุรุษของเรากินขี้เหล็กโดยเอามาแกง ความร้อนได้ทำลายสารพิษบางอย่างในขี้เหล็กไปแล้ว จึงปลอดภัยในการกิน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กผงมาทำเป็นเม็ด ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำความร้อน สารพิษจึงยังคงอยู่

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การกินอยู่อย่างบรรพบุรุษ ได้แฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาในการเลือกกินเลือกอยู่ในปลอดภัยไร้โรค แต่เมื่อคนสมัยใหม่คิดจะสุขภาพดีทางลัด โดยลัดภูมิปัญญาของท่านด้วยกรรมวิธีสมัยใหม่ อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพ ประการที่ 8
ไปฟิตเนส แต่เสียเงิน เสียสุขภาพ


สมัยหนึ่งกระทรวงสาธารณสุขนึกสนุกขึ้นมา จะพาคนไทยเต้นแอโรบิกส์ให้ได้จำนวนมากๆเพื่อลงกินเนสบุ๊คก็แห่กันไปเต้นกันย็อกแย็กอยู่วันเดียว เพื่อให้ได้ชื่อว่าลงบันทึกที่สุดในโลกเล่มนั้น งานนั้นเล่นเอาท่านอาจารย์เสม พริ้งพวงแก้ว สร้างความใจหายใจคว่ำให้แก่ลูกๆทั่วประเทศ ด้วยห่วงว่าท่านจะเกิดอาการไม่สบายขึ้นมาอย่างกระทันหัน โชคดีว่าไม่เป็นอะไร แต่เบื้องลึกของงานดังกล่าวเสื้อเหลืองถูกแจกจ่ายไปโดยกะเกณฑ์กันให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมกันไปเต้นกันให้มากๆ ทั้งๆที่คนเต้นจำนวนไม่น้อย เกิดมาในชีวิตก็ไม่เคยออกกำลังกายเลย แต่ไปเพราะใจที่ถูกกะเกณฑ์ และไปเพราะมีเสื้อเหลืองบังคับอยู่

มาในวันนี้เสื้อสีเหลืองถูกเปลี่ยนมือ เปลี่ยนสถานที่สวมไปอยู่แถวสวนลุมพินีเสียแล้ว นั่นแสดงถึงความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดพฤติกรรมเต้นแอโรบิกหมู่ สะท้อนถึงความเห่อตามสมัยนิยมไปอย่างนั้นเอง

คนอีกจำนวนหนึ่ง เข้าฟิตเนสอย่างไม่รู้จักจุดมุ่งหมายของฟิตเนสให้ดีพอ คิดแต่จะไปวิ่งลดน้ำหนัก บางทีอาจเสียเงินแล้วอาจเสียสุขภาพก็ได้

ก่อนอื่นคำว่าฟิตเนสมีความหมายกว้างไกลกว่าการวิ่งสายพานหรือเล่นลูกน้ำหนัก เพราะฟิตเนสหมายถึงความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่ง Garry Null และ Martin Feldman ได้ให้คำนิยามไว้ว่า Fitness ในโลกยุคปัจจุบันประกอบด้วย 3 ประการคือ

1.Cardio-vascular Fitness ความแข็งแรงของหัวใจหลอดเลือด
2.Immunity Fitness ความแข็งแรงของภูมิต้านทาน
3.Anti-oxidant Fitness ความแข็งแรงของการล้างพิษอนุมูลอิสระ

ความแข็งแรงทั้ง 3 ประการจะเกิดขึ้นได้ ต้องประกอบด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม ออกกำลังกายแอโรบิกส์ที่ 60% Maximum heart rate ในระดับดังกล่าวจะได้ทั้งการฝึกฝนหัวใจหลอดเลือด เข้าสู่ภาวะแอโรบิกส์ ขณะเดียวกันอนุมูลอิสระก็เกิดขึ้นไม่มากไม่น้อย โดยอนุมูลอิสระจำนวนพอเหมาะจะกระตุ้นภูมิต้านทานให้แข็งแรงพอดิบพอดี ถ้าออกกำลังมากไปกว่านั้น อนุมูลอิสระจะเกิดขึ้นล้นเกิน ทำให้ภูมิต้านทานลดต่ำ และเป็นเหตุให้ร่างกายสึกหรอเพิ่มขึ้นอีกด้วย

นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผู้ออกกำลังกายยังต้องรู้จักการกินอาหารที่เหมาะสม กินผักผลไม้ให้มากเพื่อลดอนุมูลอิสระ ถ้ากินได้มากเพียงพอ คือ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน ก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอโดยไม่ต้องกินวิตามินชนิดเม็ดแต่ประการใด

การออกกำลังกายยังต้องกระทำทั้งทางร่างกาย และทางจิตด้วย การออกกำลังทางจิตทำได้โดยฝึกลมหายใจ ฝึกลมหายใจให้ยาวจนถึงระดับ 6 ครั้ง/นาที จะนำจิตเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งหรือสมาธิ

การเข้าฟิตเนสนั้นดีอยู่หรอก แต่ควรสนใจใช้อย่างมีคุณภาพ ประการต่างๆดังนี้:

1.ออกกำลังกายตามความสามารถของตน ไม่ใช่เร่งตัวเองไปตามแรงเชียร์ของพนักงาน ปัจจุบันฟิตเนสส่วนหนึ่งจ้างพนักงานโดยจ่ายตามเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานคนนั้นเรียกได้จากลูกค้า จึงเกิดการ "เชียร์แขก" กันสุดขั้วไปข้างหนึ่ง หลายคนกล้ามเนื้อฉีก เอ็นอักเสบ แล้วกลายเป็นจุดอ่อนไม่สามารถออกกำลังกายไปตลอดชีวิต

2.ฟิตเนสมิได้มีไว้ลดน้ำหนักสถานเดียว ต่อให้วิ่งคนลิ้นห้อย อาจเผาพลังงานไปเพียง 120-150 กิโลแคลอรีด้วยเวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งเท่ากับข้าวต้มหมูชามเดียว ใครที่กินราดหน้าก็ต้องวิ่งถึง 45-60 นาทีโดยประมาณ วิ่งสายพานอย่างเดียวจึงไม่ใช่สรณะของการลดน้ำหนัก ต้องปฏิบัติอย่างองค์รวม และผู้ประกอบการฟิตเนสก็ควรแสวงหาความรู้และแนวทางปฏิบัติอย่างองค์รวมเพื่อลูกค้าของตน

3.อุตส่าห์เสียเงินสมัครฟิตเนสแล้ว ก็ควรใช้อย่างสม่ำเสมอ กว่าร้อยละ 80 ของสมาชิกฟิตเนส มักเห่อประเดี๋ยวประด๋าว ใช้เพียงไม่กี่ครั้งก็ทิ้งเงินไป นี่คือบริโภคนิยมอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่น่านิยม เสียทั้งเงินแถมไม่ได้สุขภาพอะไรกลับมา นอกจากบัตรหนึ่งใบที่ได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกฟิตเนส
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพ ประการที่ 9
สวนกาแฟ แก้ได้ทุกโรค


คนไทยเห่ออะไรกันง่ายๆ โดยทำตามกันเป็นกระแส จึงมักจะสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง เรื่องการสวนกาแฟก็เช่นเดียวกัน เกิดเสียงร่ำลือกันว่า สวนกาแฟทำให้ผอมจากคำให้การของดารานางแบบคนหนึ่ง จากนั้นกระแสสวนกาแฟก็เบ่งบาน

แทนที่จะเป็นเรื่องดี กลับทำให้การสวนกาแฟกลายเป็นเรื่องตลกร้ายทางสุขภาพมาตลอดปี คือ สวนกาแฟผิดวัตถุประสงค์ เข้าใจว่าสวนเพื่อลดความอ้วน สวนเพื่อแก้ท้องผูก บางคนใช้กาแฟเกินพิกัด สวนแล้วตาสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน บ้างก็สวนพร่ำเพรื่อจนกลายเป็นการเสพติดการสวนกาแฟ แถมเมื่อเกิดอาการมือสั่น ใจสั่นหลังสวนกาแฟ ยังไปร่ำลือผิดๆว่า เป็นเพราะกาแฟกำลังช่วยให้เกิดการ ดีท็อกซ์ อยู่ หารู้ไม่ว่านั่นคือ อาการต้องพิษกาแฟ บางคนสวนแล้วสวนอีกวันละ 2-3 ครั้ง ก็กลับสนับสนุนกันไปใหญ่ แท้ที่จริงการที่คนเหล่านั้นต้องสวนบ่อยมาก เพราะเกิดอาการ เสี้ยนยา เพราะเสพติดกาแฟทางก้นนั่นเอง

แท้ที่จริง การสวนกาแฟเป็นเทคนิคดีๆของการแพทย์แผนธรรมชาติประการหนึ่งที่เอื้ออำนวยแก่กระบวนการล้างพิษจากร่างกาย โดยอาศัยคาเฟอีนที่ดูดซึมจากลำไส้ใหญ่ผ่านเข้าสู่ตับ ไปกระตุ้นให้ตับขับพิษได้ดีขึ้น  แต่ต้องรู้ว่า การสวนกาแฟไม่ใช่ยาครอบจักรวาลที่จะบำบัดสารพัดโรค และยิ่งไม่ใช่กรรมวิธีเพื่อการลดน้ำหนัก หรือแม้กระทั่งถือเป็นสรณะในการรักษาอาการท้องผูก


ข้อบ่งชี้ของการสวนกาแฟ
- ใช้คู่กับการอดเพื่อสุขภาพ ช่วยล้างพิษจากร่างกายให้ดีขึ้น
- สำหรับคนที่ถูกพิษมาเฉียบพลัน เช่น ผงชูรส ควันรถยนต์ ควันบุหรี่
- รักษาภูมิแพ้ ไมเกรน ภูมิเพี้ยน เช่น SLE รูมาตอยด์ หอบหืด
- อาการที่แสดงถึงภาวะสะสมสารพิษในร่างกาย
- ผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อลดสารก่อไข้ที่ก้อนมะเร็งซึมซ่านออกมา ช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีและรังสีบำบัด


สวนกาแฟผิด ...คิดไปอีกนาน
อันตรายของการสวนกาแฟไม่ถูกวิธีคือ
- ติดเชื้อ จากการใช้อุปกรณ์ประเภทถุงพลาสติกที่อมคราบความชื้นอยู่ภายใน
- ต้องพิษกาแฟ เพราะใช้กาแฟมากเกินไป ใช้ถึงครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ พิษเฉียบพลันทำให้ใจสั่น พิษระยะยาวทำให้เสพติดกาแฟ และอาจทำให้ตับทำงานหนักจนเกินขอบเขต
- เสียเวลาต้มกาแฟ
- อันตรายจากน้ำร้อนลวกลำไส้ เนื่องจากการใช้กาแฟชนิดต้ม และเนื่องจากการใช้ถุงสวน ถุงที่เป็นพลาสติกเป็นฉนวนกั้นความร้อน ทำให้เมื่อสัมผัสภายนอกแล้ว ไม่รู้อุณหภูมิที่แท้จริงของน้ำในถุง คนที่ถูกน้ำร้อนลวกลำไส้จะมีอาการต่อไปนี้คือ
- ปวดมวนท้อง
- ปวดถ่วงอยากถ่าย
- ถ่ายเป็นมูก บางคนถ่ายหลายๆครั้งติดๆกัน
- การสวนกาแฟในคนที่ร่างกายมีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอ เช่นวัยรุ่นที่กินแต่อาหารขยะ แล้วสวนกาแฟตามแฟชั่น จะเกิดอาการคั่งพิษในตับ เกิดอาการเปลี้ยเพลีย มึนหัว การสวนกาแฟจึงพึงสงวนไว้ใช้ในหมู่ผู้รักสุขภาพเท่านั้น วัยรุ่นกินแต่ Junk food จึงไม่ควรมาสวนกาแฟให้เสียสถาบัน  เพื่อป้องกันปัญหาคั่งพิษในตับ ก่อนสวนจึงควรกินขมิ้นชัน 5 เม็ดลูกกลอน (หรือ 3 แคปซูล) ร่วมกับโสม 1 เม็ด

ใครบ้างไม่ควรสวนกาแฟ
- เด็กวัยเจริญเติบโต
- หญิงมีครรภ์
- ผู้แพ้กาแฟ จะเกิดอาการปวดมวนท้อง
- ผู้ที่ความดันเลือดสูงวิกฤต และยังควบคุมไม่ได้ เช่นสูงเกิน 160/100 มม.ปรอท
- ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดลำไส้มายังไม่ถึง 1 เดือน ควรรอให้รอยผ่าตัดลำไส้ได้สมานคืนดีๆเสียก่อน
- ผู้ที่ถูกฉายรังสีบริเวณท้องน้อย เยื่อบุลำไส้อาจได้รับผลกระทบทำให้มีความระคายเคืองมากอยู่แล้ว


อุปกรณ์การสวน ...ข้อพึงสังวรณ์
- ชุดสวนแบบถุงพลาสติก อาจมีอันตรายจากความชื้นที่หมักหมม ทำให้เกิดเชื้อรา
- ชุดสวนแบบเป็นกระเป๋าน้ำร้อนดัดแปลง อาจมีสารโลหะหนักหลุดออกมาจากเนื้อยางเข้าสู่ลำไส้
- ชุดสวนที่ทำจากขวดน้ำพลาสติกใสๆ (ขวด PET) เคยมีข่าวส่งกันทางอินเตอร์เนต พบว่าเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งใช้ขวด PET กรอกน้ำดื่มเพื่อใช้ซ้ำๆ ในภายหลังเด็กคนนี้เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ
การใช้ขวด PET จึงมีข้อพึงสังวรณ์
- ชุดสวนมาตรฐานแบบสเตนเลส ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ ใช้ได้ทนทานตลอดชีพ
- ชุดสวนมาตรฐานแบบพลาสติก ล้างทำความสะอาดให้แห้งได้ เบาสบาย พกสะดวก โปร่งใสสามารถกะปริมาณน้ำกาแฟได้


กาแฟใช้สวน...อย่างไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ
- กาแฟบดธรรมชาติซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ต้องต้มเสียเวลา และมัก Overdose เพราะปกติคนเราชงกาแฟเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา  การใช้ครั้งละซองคือ 1 ช้อนโต๊ะเสี่ยงที่จะเกิดการต้องพิษกาแฟ
- กาแฟผงธรรมดา ซองละ 2 ช้อนโต๊ะ ใช้แช่น้ำร้อน ยิ่งคุมโด๊สได้ลำบาก
- ปัจจุบันมี 'แฟสวน ชนิดใหม่ สำเร็จรูปชนิดซองละ 2.5 กรัม ใช้สะดวก ใช้น้ำอุ่นอาบน้ำธรรมดาละลายน้ำใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องต้ม


สวนกาแฟต้องต่อย Vitamin B ใส่ลงไปหรือไม่
คนเราจะทำอะไรก็ต้องหาความรู้และใช้อย่างสมเหตุผล ใครที่ทำเช่นนั้นเคยถามเจ้าของตำรับหรือไม่ว่า ต่อยลงไปเพื่ออะไร ถ้าจะบอกว่าเพื่อให้ดูดซึมไปให้ตับได้ใช้ ปัญหามีอยู่ว่าวิตามินบีที่ทางเภสัชกรรมเขาทำไว้สำหรับฉีด เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่ายาหลอดนั้นจะมีอัตราการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายทางลำไส้ใหญ่ได้ขนาดไหน และเมื่อมันถูกเจือจางอยู่ในน้ำทั้ง 1 ลิตร จะมีโอกาสสัมผัสลำไส้เพื่อดูดซึมได้เพียงใด เพราะบางคนกลั้นไว้ได้ครู่เดียวก็ต้องลุกขึ้นถ่ายทิ้งเสียแล้ว ก็เหมือนเอาวิตามินบีมากลั้วคอแล้วบ้วนทิ้ง จะมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องการวิตามินบี ก็ใช้ชนิดเม็ด กินเข้าไปทางปาก ทางเภสัชกรรมทำไว้พร้อมสำหรับการดูดซึมทางกระเพาะอยู่แล้ว แถมถูกสตางค์กว่ากันมากมาย

การต่อยวิตามินบีใส่น้ำกาแฟเพื่อสวน ก็เป็นเพียงการ ทำเท่ ประการหนึ่งเท่านั้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

กับดักสุขภาพประการที่ 10
กินอาหาร 5 หมู่ อาจป่วยง่าย ตายเร็ว


คำว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" ดูเหมือนจะกลายเป็นป้ายโฆษณา ที่ใครต่อใครซึ่งสอนคนให้สุขภาพดีจะต้องแขวนไว้ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว เนื้อหาของคำว่ากินอาหาร 5 หมู่ เกือบจะไม่ต่างไปกับ "เชิญกินไปตามสบาย ปล่อยให้สุขภาพเป็นไปตามยถากรรม"

มีใครบ้างในสมัยนี้ไม่กินอาหาร 5 หมู่? ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ว่า กินอย่างไหนในสัดส่วนเท่าไหร่ต่างหากเล่า
ความเป็นมาของการชูคำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" มีประวัติความเป็นมาที่เข้าใจได้ กล่าวคือ สมัยที่ประเทศไทยยังด้อยพัฒนา คนบ้านนอกยังมีอาหารไม่พอกิน แถมมีความเชื่อเรื่องห้ามกินของแสลง เช่น หญิงหลังคลอดให้กินแต่ข้าวกับเกลือ จึงบังเกิดผลให้คนไทยขาดอาหาร เด็กเล็กมีอาการพุงโรก้นปอด บ้างก็ตัวบวม ขาดทั้งแคลอรีทั้งโปรตีน บ้างขาดวิตามิน ป่วยเป็นโรคเหน็บชา ตาบอดกลางคืน ลักปิดลักเปิด ด้วยเหตุฉะนี้จึงมีความจำเป็นในสมัยนั้นที่จะต้องระดมให้คนไทยกินโปรตีน และอาหารอุดมวิตามินเพิ่มขึ้น ครั้นจะเน้นแต่สารอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงชนิดเดียวย่อมไม่ถูกต้อง จึงเกิดเป็นคำขวัญให้คนไทย "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่"   นั่นเป็นคำขวัญที่สอดคล้องกับยุคสมัยที่คนไทยส่วนข้างมากป่วยเป็นโรคขาดอาหาร

ทีนี้พอสังคมเปลี่ยนไป การพัฒนาประเทศทำให้เราผลิตอาหารจนส่งออกไปเลี้ยงคนทั่วโลก เรากลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ การค้าพาณิชย์เจริญขึ้น เกิดศูนย์การค้า เกิดอาหารสำเร็จรูป เกิด food center แล้วก็เกิดค่านิยมแบบบริโภคนิยม กินกันไม่อั้น เวลาพบปะสังสรรค์ก็เจอกันที่ร้านอาหาร การเจรจาธุรกิจบางทีก็อาศัยโต๊ะอาหารเป็นที่เจรจา อาการป่วยเจ็บด้วยบริโภคนิยมจึงตามมา ได้แก่โรคอ้วน ไขมันเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ แม้กระทั่งมะเร็ง และโรคสำคัญๆกลุ่มนี้กลายเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆของประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย

การยังคงมุ่งชูแต่คำขวัญ "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่" จึงไม่น่าจะสอดคล้องกับปัญหาสุขภาพแห่งยุคสมัยอีกต่อไป เพราะนักธุรกิจกินสเต็กเนื้อสัน นายห้างกินโต๊ะจีน วัยรุ่นกินฟ๊าสต์ฟู้ด ชาวหอกินบะหมี่ซอง ต่างก็คิดว่าตนเองกำลังกินอาหาร 5 หมู่กันทั้งนั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว พฤติกรรมดังกล่าวล้วนนำพาพวกเขาไปสู่ภาวะ "ป่วยง่าย ตายเร็ว"

เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้ประมาณ 15-20 ปี และนั่นเป็นสาเหตุให้ชาวอเมริกันตื่นเต้นกันมากที่มีชาวตะวันออกบางคน เข้าไปในอเมริกาบอกให้กินอาหารแนวอื่น ที่หักหัวเลี้ยวความเชื่อของชาวตะวันตก แต่กลับทำให้สุขภาพดี เช่นแล้วบอกให้กินสาหร่าย กินปลา กินเต้าหู้ นั่นคือความโด่งดังของอาหารแม็คโครไบโอติกส์ โดยมิชิโอ คูชิ ชาวอินเดียอีกบางคนเช่นมหาริชชี มเหสโยคะได้ไปโน้มนำอเมริกันให้กินมังสวิรัติ ฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ก็เป็นที่ต้อนรับ จนกระทั่งเกิดผู้นำสุขภาพคนอื่นๆเช่น นอร์แมน วอล์กเกอร์ แอน วิคมอร์ โรเบิร์ต เกรย์ เลสลี เคนตัน ซึ่งเสนอกินเพิ่มผักผลไม้ในมื้ออาหารกระทั่งการอดเพื่อสุขภาพ เพื่อล้างพิษจากร่างกาย แพทย์อีกหลายคนในอเมริกา เช่น นพ.ดีน ออร์นิช นพ.ดีภักดิ์ ชูพระ นพ.แอนดรู ไวล์ เสนอหนทางสุขภาพอันหลากหลายซึ่งแตกความคิดไปจากการกินอาหาร 5 หมู่ แต่กลับพิสูจน์ว่ามิเพียงป้องกันโรค แต่รักษาโรคได้ด้วยซ้ำ

ในที่สุดสถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกัน หรือกระทรวงสาธารณสุขของเขาก็ทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นมาเสนอหลักชั่งตวงวัดปริมาณอาหารแต่ละหมู่เพื่อสุขภาพ อย่างแคเธอรีน โวเตกีเสนอให้กินผักสดผลไม้ให้ได้ 5 ส่วนบริโภคต่อวัน เพื่อจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอเพื่อป้องกันโรคเสื่อม ความคิดใหม่ๆเหล่านี้ทำให้คำขวัญที่ว่า "กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อสุขภาพดี" เสื่อมความหมายลง

ท่านผู้อ่านลองตรองดูง่ายๆก็ได้ว่า
ตัวเราเองอาจกินอาหารครบ 5 หมู่ แต่กินไปกินมา ทำไมเกิดโรคไขมันเลือดสูงขึ้นได้  
คุณพ่อของเรา กินอาหารก็ครบ 5 หมู่ แต่กินไปกินมาทำไมกลายเป็นโรคหัวใจได้ล่ะ
คุณแม่ของเรากินอาหารครบ 5 หมู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นเบาหวานไปซะแล้ว
ส่วนคุณลุงข้างบ้าน ก็ท่องจำการจำแนกอาหาร 5 หมู่จนขึ้นใจ แต่กินไปกินมา ไหวกลายเป็นมะเร็งไปซะแล้ว

แสดงว่า "การกินอาหารครบ 5 หมู่" ไม่ได้ช่วยให้คนเราสุขภาพดีอย่างแท้จริง
ดร.เจฟฟรี บรานด์ ผู้นำสุขภาพอีกคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเคยมาบรรยายที่เมืองไทยเมื่อ7 ปีก่อน เขาบรรยายท่ามกลางแพทย์พยาบาลทั้งหลายว่า "ขอโทษทีเถอะครับ ถ้าผมจำต้องกล่าวว่า คำว่ากินอาหาร ครบ 5 หมู่นั้นไม่เป็นที่พูดถึงกันอีกต่อไปแล้วในสหรัฐอเมริกา แต่ทุกวันนี้ชาวอเมริกันกำลังพูดถึง functional food ต่างหาก"

Functional food หมายถึงสิ่งที่กินเข้าไปแล้ว เกิดผลมีปฏิสัมพันธ์กับร่างกาย ทำให้เกิดการบำบัดโรคอาหาร functional food เป็นอาหารที่อุดมด้วยผัก ผลไม้ ซึ่งมีแอนติออกซิแดนต์ในความเข้มข้นสูง แถมพืชผักอีกหลายตัวยังมีสารกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า phyto-nutrient ซึ่งกินเข้าไปแล้ว เข้าไปออกฤทธิ์ 3 ประการกับร่างกาย


1.เป็น immuno stimulator กระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกาย
2.เป็น cancer blocker ยับยั้งการออกฤทธิ์ของสารก่อมะเร็ง
3.เป็น anti mutagenic agent ป้องกันไม่ให้เซลล์ดีๆกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง


สำหรับประสบการณ์ของศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี เราค้นคว้าเรื่องแนวทางการกินอาหารสุขภาพมาเกือบ 30 ปีแล้วพบว่า ยุคสมัยนี้การกินอาหารเพื่อสุขภาพต้องกินให้สอดคล้องกับสภาพสุขภาพเฉพาะของแต่ละคน รวมเรียกว่า "อาหารธรรมชาติบำบัด" จำแนกได้ดังนี้คือ:

1.สำหรับบุคคลทั่วไป การกินอยู่อย่างไทย ได้แก่กินข้าวกล้อง กินผัก กินปลา กินน้ำพริก ช่วยสร้างเสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี

2.สำหรับคนอ้วน ไขมันเลือดสูง นอกจากกินอยู่อย่างไทยแล้ว ให้รู้จักการอดเพื่อสุขภาพเป็นระยะๆ เช่น อดล้างพิษ 10 วันทุก 6 เดือน สลับกับการอดล้างพิษ 1 วัน ทุก 1 หรือ 2 สัปดาห์ ช่วยลดความอ้วน ลดไขมันเลือดได้

3.สำหรับคนเป็นเบาหวาน ใช้หลักกินเนื้อกินผัก งดข้าว งดผลไม้ ด้วยเวลา 3 เดือน เพื่อให้ตับอ่อนได้พัก แล้วค่อยปรับเพิ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต ก็ช่วยบำบัดเบาหวานได้

4.สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ใช้อาหารต้านมะเร็ง กินข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ งดเนื้อสัตว์ ไขมัน 6 เดือน ถึง 2 ปี เป็นปัจจัยหนึ่งในการรักษามะเร็ง โดยตวงปริมาณโปรตีนด้วยเต้าหู้หรือไข่ขาวเป็นรายๆไป

เหล่านี้ต้องปรับเปลี่ยนไม่ให้ตายตัว ภายใต้การดูแลแนะนำของแพทย์ธรรมชาติบำบัด ก็ช่วยรักษาแต่ละโรคได้
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Anunta
Verified User
โพสต์: 137
ผู้ติดตาม: 0

Re: ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 5

โพสต์

mprandy เขียน:
มีคนบอกไว้ตั้งกะสมัยเป็นนักเรียนมัธยมไปดูงานสัปดาห์มะเร็งที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ... ถ้าคนเรายิ่งมีอายุยืนขึ้นเท่าไหร่ จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้นเท่านั้น...

มะเร็งมีต้นกำเนิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมในเซลล์ ทำให้เซลล์นั้นมีความได้เปรียบเซลล์ปกติในการเจริญเติบโตได้เร็วกว่า โตไม่หยุด และมีอาหารการกิน (หาน้ำเลี้ยง) อุดมสมบูรณ์เพราะสร้างเส้นเลือดได้เอง (อุปมา.. เหมือน PTT และเครือในตลท.ตอนนี้ โตเร็วกว่าชาวบ้านในขนาดพอ ๆ กันจน take over ตลาดไปตั้งหลายสิบเปอร์เซ็นต์)

ความผิดปกติทางพันธุกรรมเหล่านี้ เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในเซลล์เพียงเซลล์เดียว (ต้นกำเนิดมะเร็ง) แล้วก้อนมะเร็งทั้งก้อน ก็มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์นี้ (เป็นลูก หลาน เหลน โหลน ประมาณนั้น) ซึ่งสาเหตุมีเยอะครับ ทั้งที่เกิดขึ้นมาเอง (เซลล์มันอยู่นาน แบ่งตัวหลายหนก็ต้องมีพลาดมั่ง), โดนสิ่งกระตุ้นภายนอก (สารพิษ, อนุมูลอิสระ, ฯลฯ), การติดเชื้อ (ไวรัสตับอักเสบ บี)

แต่บางคน ก็มีความผิดปกติทางพันธุกรรมมาตั้งแต่กำเนิด เป็นการถ่ายทอดในครอบครัว เป็นผลให้เกิดมะเร็งในอายุน้อยกว่าปกติมาก กรณีอย่างนี้ต้องระวังเพราะ

1. มีโอกาสเป็นมะเร็งได้หลายที่ หลายอวัยวะ
2. เป็นซ้ำได้อีก แม้จะรักษาไปแล้ว
3. คนในครอบครัวมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นเหมือนกัน

การค้นหาผู้ป่วยและครอบครัวมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการค้นพบมะเร็งแต่เนิ่น ๆ สามารถให้การรักษาได้ผลดีมาก ๆ และที่ต้องระวังคือ คนทั่วไป (รวมถึงหมอด้วย แม้แต่หมอรักษามะเร็งนั่นแหละ) ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ในการมองหา หรือแม้กระทั่งถามประวัติครอบครัว

คนไข้ที่ผมเจอ บางคนผ่าไปแล้ว 4 รอบ 4 รพ. ถึงรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งพันธุกรรม บางครอบครัวหาแล้วเจอคนเป็นอีก 8 คน

ถ้าเจอก่อน เหมือนทำบุญใหญ่เลย... ช่วยชีวิตคนได้อีกเยอะ
สงสัยครับ
1. คนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมมาตั้งแต่กำเนิด จะรู้ได้อย่างไร ?
2. คนที่คนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็ง ถือว่ามีความผิดปกติมาแต่กำเนิดหรือเปล่า ?
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 6

โพสต์

สงสัย เหมือนคุณ Anunta ครับ

และขอบคุณ สำหรับ บทความ ของคุณ Copywriter  
เคยอ่านผ่านๆ เกี่ยวกับ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี
เลยไปค้นต่อ เจอเวบไซด์เค้า http://www.balavi.com/content_th/service/service1.asp

ดีครับ ว่าจะลองไปทำ detox อยู่เหมือนกัน ไม่เคยทำมาก่อน
ลึกๆ แล้วผมก็กลัวเหมือนกันครับ เพราะปีที่แล้วเป็นตับอักเสบ
(แต่ไม่เจอไวรัส ABC - มีภูมิไวรัส B อยู่ เลยฉีดวัคซีนไวรัส A เพิ่ม)

หมอที่นี่ บอกว่า มาจากการทานเหล้า ตอนรับน้องนี่ เริ่มหัด ยกขวดเหมือนทานน้ำเปล่าเลย แล้วก็ ทานต่อเนื่องมาเป็น สิบปี  :?

น้องๆพี่ๆ ที่ยังทานอยู่หนักๆ เพลาได้ก็เพลาบ้างนะครับ   :)
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 0

Re: ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 7

โพสต์

Anunta เขียน: สงสัยครับ
1. คนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมมาตั้งแต่กำเนิด จะรู้ได้อย่างไร ?
2. คนที่คนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็ง ถือว่ามีความผิดปกติมาแต่กำเนิดหรือเปล่า ?
1. เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับมะเร็งกรรมพันธุ์ครับที่ยังไม่มีวิธีรู้ล่วงหน้าจนกว่าจะมีสมาชิกในครอบครัวอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นโรค แม้ความผิดปกติทางพันธุกรรมจะเป็นมาตั้งแต่กำเนิด แต่เขาจะเกิดมาปกติดี จนกระทั่งเกิดมะเร็งขึ้นเมื่อโต

2. ไม่เสมอไปครับ มะเร็งส่วนใหญ่ที่พบในประชากรเป็นชนิดที่ไม่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ อย่างไรก็ดีมีการศึกษายืนยันแล้วว่าแม้จะไม่ถ่ายทอด แต่คนที่มีญาติเป็นมะเร็งจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนที่ไม่มีประวัติครอบครัวเลย (แต่ความเสี่ยงไม่มากนัก เช่นประมาณ 1.5-3 เท่า)
Anunta
Verified User
โพสต์: 137
ผู้ติดตาม: 0

เฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โพสต์ที่ 8

โพสต์

สรุปความจาก dvd สัมมนา มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ป้องกันได้ รักษาได้ เอาชนะได้  
วันที่ 10 มิย 2550 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ปลอดภัยจากมะเร็งชนิดนี้คือการตรวจคัดกรอง  จะทำให้พบกับต้นตอของมะเร็งได้ในระยะแรกๆ และรักษาให้หายขาดได้  เนื่องจากมะเร็งจะใช้เวลาในการก่อตัวบนติ่งเนื้อในลำใส้ 5-10 ปี  และอายุเฉลี่ยของผู้เป็นมะเร็งนี้คือ 60 ปี  อายุของผู้ที่ควรตรวจหามะเร็งนี้คือประมาณ 50 ปี    (แต่ถ้าผู้ที่มีความเสี่ยง  ก็อาจตรวจที่อายุน้อยกว่า) ตรวจครั้งนึงจึงมั่นใจว่าปลอดภัยไปประมาณ 5 ปี   ฉะนั้น ผู้ที่อายุ 50 ขึ้นไปควรไปตรวจทุกๆ  5  ปี

ข้อปฏิบัติอีกอย่างหนึ่งคือ ควรกินผักผลไม้เยอะๆ  จะช่วยชะล้างสารพิษที่ตกค้างในลำไส้ในการขับถ่าย

อนึ่ง มะเร็งชนิดนี้มีสาเหตุจากพันธุกรรมน้อยครับ
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 0

Re: เฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก

โพสต์ที่ 9

โพสต์

Anunta เขียน: อนึ่ง มะเร็งชนิดนี้มีสาเหตุจากพันธุกรรมน้อยครับ
น้อยไม่น้อยอันนี้แล้วแต่คนจะมองครับ ตัวเลขโดยทั่วไปคือ 5-10% จะเป็นพันธุกรรม คือมีการถ่ายทอดในครอบครัว
ภาพประจำตัวสมาชิก
preecha_w
Verified User
โพสต์: 94
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ผมกินแบบ แมคโครไบโอติกส์ มาสิบกว่าปีแล้ว
เริ่มจากฟังรายการวิทยุของเครือผู้จัดการ
ขออภัยนึกชื่อดีเจไม่ออก
ก็ปฏิบัติเท่าที่จะทำได้ครับ
หลักๆก็
1.งดเนื้อวัว เนื้อหมู เพราะมีไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย
2.กินข้าวซ้อมมือ ธัญพืชครบรูปไม่ขัดสี
3.งดน้ำตาล อันนี้ผมยังทำใจไม่ได้ ได้แค่เท่าที่ได้ บางทีก็ซัดไอติม มันอร่อยนะ
4.กินน้ำเต้าหู้แบบจืดสนิท
5.กินผักกินถั่วไป ไม่กินหญ้านะ ฮิๆ
แต่ระวังขาดสารอาหารนะครับ มีช่วงนึงกินข้าวขาวกับผัดผักเป็นมื้อเที่ยงไม่มีกุ้งไก่เลย ไม่นานเป็นภูมิแพ้อาหารทะเล เซ็งเลย ปัจจุบันก็ยังแพ้ปูทะเลอยู่บ้าง แต่ดีขึ้นเยอะมากแล้ว
ตั้งแต่กินแบบนี้มาสิบกว่าปีไม่เคยเป็นหวัดใหญ่ๆแบบปวดเนื้อเมี่อยตัวเลย หาหมอน้อยมาก ปีๆไม่ค่อยลาป่วย ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอควบคู่กันไปด้วย จะดียิ่ง มีหนังสือขายอยู่ลองหาอ่านดูครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 11

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ผมเป็นคนใช้ชีวิตเปลืองมาก ระยะหลังน้องๆแซวว่าใช้ร่างเปลือง 
เอ...น้องที่แซวนี่....ใช่น้องๆ....ที่ทำความสะอาดร่างกายให้คุณเจ๋ง รึป่าวครับ เนี่ย

เอ  ชักอยากรู้แล้วอ่ะครับ ว่า  วันลอยกระทงที่ผ่านมานี่   อิอิอิ  น้องๆ  เค้าว่าไงบ้างหล่ะครับ  คุณเจ๋ง

ยังดี....ว่า.....ใช้ร่างเปลือง......ตอนแรกกระพ้มมม   อ่านว่า  ร่างเปลือย
เลยรีบไปเอาแว่นตามาใส่    กะจะมาดูร่างเปลือยคุณเจ๋งซักหน่อย

แฮ่ะๆๆ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ทำเถอะครับ  อย่างที่หลายๆคนว่า  สิ่งที่มองย้อนแล้วเราไม่เสียใจว่าไม่ได้ทำ

หลังจากจบโทได้  1  ปี
กำลังเก็บเงิน  ตั้งตัว

ก่อนแม่ผมเสียด้วยโรคมะเร็งลำใส้ใหญ่   ที่แสนฮิต
ผมลาออกจากงานไปเฝ้าแม่  ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ    ไม่งั้นจะมีใครดูแลแก  ไม่มีใครเป็นเพื่อนแก
มีทั้ง  ตะลอนๆ  นั่งรถทัวร์ไปเมืองชล  เพื่อเอายันต์  ฮู้  ของศาลเจ้า.....มาเผาแล้วให้แกกิน  แกจะได้มีกำลังใจ  นอนหลับได้  ปรากฏว่า  แกกระชุ่มกระชวย ขึ้น
มีทั้งตะลอนไปหาหมอชาวบ้าน  โดนหมอชาวบ้านหลอกให้เอายามา 1 ห่อ  เปิดออกมา ผงะเลย  มีแต่ใบไม้แห้ง เขาบอกว่าเป็นยา  เลยต้มไม่ลง
แกซม  ทรุดหนัก  ลงเร็วมาก   หลังจากหมอหลุดปากออกมาว่า  แกเป็นมะเร็ง      แกได้ยิน  แกรู้  ทั้งๆที่แกมาอยู่เมืองไทยนานมากแล้ว    แต่แกก็พูดไทยไม่ได้  ก็ไม่อยากจะโทษหมอ
พอเงินที่ผมเก็บ.หมด    ก็ต้องกลับไปทำงานหาเงินมารักษาแกต่อ  แล้วให้พี่ชายมาเฝ้าแทน  ตอนนั้นแกยังไม่หมดลม
ก่อนแกหมดลม..แกยังห่วงคนอื่น  สั่งเสียให้เราดูแลพี่คนที่อ่อนแอกว่าเราอีก  ก่อนแกเสียไม่กี่วัน    แกบอกว่า  อาม่ามาแล้ว  


เสียใจตรงที่ว่า   ยามเมื่อเรามี  เราตั้งตัวได้    แกกลับไม่อยู่แล้ว.

ก็ดีใจที่ได้ทำอะไรให้แกบ้าง    สระผมให้แกตอนแกนอนซม  แกยังบอกว่ารู้สึกว่าดีมากๆที่ได้สระผมบ้าง    เช็ดขี้  เช็ดเยี่ยวให้    คงยังไม่ได้กับเสี้ยวนึงที่แกเช็ดให้ผมตอนเด็กมังครับ

หลังจากแม่ผมเสียแล้ว  อยากเจอแกมาก  อยากจริงๆ  แต่ไม่เคยได้เจอ.
ทำไมหว่า..
มีอยู่วันนึง  คิดถึงแกมาก  มากจนไม่ไหว..ต้องไปไหว้เจ้าที่    บอก  ขอเจอหน่อยเถอะ  คืนนั้นแกก็มานั่งให้ดู  พร้อมกับเสื้อที่แกชอบ

จิตหนอจิต    ใจหนอใจ

ยามไม่มีพ่อมีแม่   ก็เหมือนไม่มีเทวดาคุ้มครองตัวเรา
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 13

โพสต์

มาเสียใจอีกครั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับมะเร็ง
หลายปีก่อน
มีงานที่ทำอยู่   เร่งมาก    ไม่เสร็จไม่ได้   ผลกระทบต่อเนื่องเยอะมาก   งานระดับพันล้าน   ตารางเวลาชัดเจน  ต้องเสร็จเท่านั้น  ไม่อยากเป็นหัวหน้าทีมเลย  ทีมเล็กๆ  นายให้ลูกทีมมาแค่  2  คน  มีแต่ความเครียด    
ลูกน้องในทีมที่ทำงานด้วยกัน  แม่ไม่สบาย  เป็นมะเร็ง  อยู่โรงพยาบาล
วันนั้นทำงานกันวันหยุด  เย็นแล้ว  งานยังไม่เสร็จ
ลูกน้องเก็บของ   ขอกลับไปดูแลแม่ที่  โรงพยาบาลก่อน

สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวมีแต่งาน    คือ  เล่ะแน่..งานยังเหลืออีกเยอะ
วันนั้น  ตัดสินใจถามย้ำว่างานเสร็จแน่เหรอ  ย้ำอยู่หลายครั้ง
ทั้งๆที่รู้ว่าเขา..ไปทำหน้าที่ลูกที่ดี   ดูแลแม่ตัวเอง  ที่เป็นมะเร็ง  
สุดท้ายน้องเขาก็ไปดูแลแม่ตัวเอง  น้องเขาคิดถูก  เราสิคิดผิด

มองจากแววตาน้องเขา    คำถามนี้คงจะสะเทือนใจน้องเขา     คนถามก็สะเทือนใจไม่น้อย
ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดมากครั้งนึง     คำถามนี้ไม่ควรเกิดซะด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นไม่นาน  แม่ของน้องคนนี้ก็เสีย
เฮ้อ..

เอาเรื่องนี้ไประบายกลับหัวหน้า
หัวหน้าบอกได้แค่ว่า  มันเป็นวิถีชีวิตของลูกจ้าง

น้องคนนี้เก่ง       ไปสอบข้อเขียน  เพื่อเลื่อนชั้นเป็น   สามัญวิศวกร  
ผลสอบออกมาในวิชา โครงสร้าง  แกได้  97 เต็ม 100
เจ้าหน้าที่  ถามแกตรงๆว่า  แกไปรู้ข้อสอบมาเหรอ  รู้มาจากไหน
สำหรับคนที่ทำงานกับแกแล้ว  จะรู้ว่าแกเก่งมาก

มะเร็งทางร่างกายนี่ก็น่ากลัวแล้ว
มะเร็งทางจิตใจยิ่งน่ากลัวใหญ่
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ณ วันที่ไปเฝ้าแม่ เมื่อ 10 กว่าปีก่อนโน้น

สิ่งที่ได้เจอที่ สถาบันมะเร็ง แห่งชาติ

- คุณหมอทุกท่านเหนื่อยมาก  น่าสงสารแล้วก็น่าขอบคุณจริงๆ  จำนวนคนไข้มีมากกกกก  จนล้น

- วันนึงเจอคนไข้คนนึง  อายุเท่าผมนี่แหล่ะ ตอนนั้น 30 กว่าปี เอง ท่าทางเป็นคนมีการศึกษา  มาปรับทุกข์ว่า  ตรวจสุขภาพทุกปี   แต่ว่า ยังมีปัญหา เจอก้อนที่ตับขนาด 1 ซม  แต่ว่ากระบวนการตรวจที่สถาบัน  คนเยอะ กินเวลานาน    กว่าจะได้ตรวจละเอียดก็ผ่านไปอีก 1 เดือน  คราวนี้ ขนาดมันเปลี่ยนจาก 1ซม  เป็น  3-4 ซม  เท่านั้นแหล่ะครับ คนไข้  ใจตก เลย  น่าเห็นใจครับ

- เด็ก ญ   อายุ  13  เป็นมะเร็งที่มดลูก  คนนี้อยู่เตียงข้างๆ แม่ผม  น่าสงสารมาก  เพราะว่าไปฉายแสงทีไร  ไข้สูงปรี๊ดทุกที    อายุ แค่  13 เอง  เฮ้อ.

- ยายคนนึง ตาเหลืองมากๆๆ    ถามว่า  ยายครับ เป็นอะไรเหรอครับ  รู้ทั้งรู้ว่าเกี่ยวกับตับ  แต่อยากคุยกับยายมากกว่า  ยายบอกว่ามันเป็นที่ขั้วตับ  โอนไปที่ รามา  รามา  บอกว่าผ่าตัดไม่ได้  ยายเลยรอเวลาอย่างเดียวเท่านั้น  เฮ้อ

- อยู่ใน ลิฟท์  เห็นสาวคนไข้อายุ   30-40   คนนึง บ่น  เป้นมะเร็งก็แย่อยู่แล้ว   แต่ว่าเงินใกล้หมด  เพราะว่าค่ายานี่แหล่ะ  ยิ่งชีช้ำ

- เจอเตียงข้างๆ บอกว่า  สามีมาเยี่ยม  1 ครั้ง ต่อ วีค   หมดกำลังใจแล้ว   ก็เลยถามว่า  สามีอยู่ไหนเหรอ  เธอบอกว่า  เขารับราชการอยู่  กทม  นี่แหล่ะ  เฮ้อ

- พ่อตาเจ้านาย  เป็นมะเร็งที่ปอด  พอรู้ว่าเป็นปุ๊บ  1 วีค  ไปเลย  กรณีนี้  ผมว่า สบายดีแฮ่ะ

- อันนี้จากในเวบ  เป็นทหาร  ถ่ายบ่อยๆต่อวัน มา  2 ปี  แฟนเข้า  รพ  ไปหาหมอ  แฟนเลยให้สามี ตรวจร่างกายด้วย  เจอ  มะเร็ง ที่ลำใส้ใหญ่   รายนี้เห็นว่า 2 วีค  ไปแล้ว  ใจไปก่อน กายเลยตามไป

- เพื่อน  ญ  อายุ แค่  30 กว่า เอง  มีถุงน้ำในมดลูก  ผ่าออกแล้ว  แต่มันมาอีก  คราวนี้มันมาแบบ มะเร็ง  ไปเยี่ยมแก  เฮ้อ..บอกไม่ถูก  เพราะว่าเป็น  เพื่อน  ญ  เรียนอยู่ห้องเดียวกันตั้งแต่ชั้นประถม    ตอนมัธยม   เธอมาขอนั่งโต๊ะติดกัน   คนเดียวและคนสุดท้าย  อิอิอิ  บอกว่านั่งติดกับผมแล้ว  ไม่มีภัย  555   เอาเป็นไม้กันหมา ว่างั้นเถอะ

ระยะหลัง เรื่องการเสียชีวิตจากคนรอบข้างนี่  
เกินร้อยละ  80  มะเร็ง ครับ

ตอนทำงานกับพวก นอร์วีเจียนและสวีดิช   5 โมง ปุ๊บ   มันเก็บของ     เร็วมาก ไม่เกิน 10  นาที  มันเผ่นออกจากห้องไปแล้ว  ทั้งๆที่งานเร่งจัดๆ   มองมันแบบยังไงดีหว่า  เฮ้ย  ทำไมทำแบบนี้ว่ะ  .. มองบ่อยๆเข้า  มันบอกว่า  LIFE  IS  TOO  SHORT  อิอิอิ  แล้วมันก็ไปโฉบแถวพัฒน์พงศ์  มารู้จักคำว่า  concubine  เพราะคนพวกนี้สอนแหล่ะครับ  อิอิอิ

ชีวิตนี้สั้นนัก  ทำงาน  พักผ่อน  เที่ยว บ้างนะครับ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
san
Verified User
โพสต์: 1675
ผู้ติดตาม: 0

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ปีนี้  ผมเชียร์ ที่เส้นระหว่าง  พิษณุโลก เพชรบูรณ์  ครับ  สวยมากครับ  อย่าเอาแต่เคร่งเครียดงานกันนะครับ  
หรือว่า ทางเหนือ  ที่ไหนก็สวยทั้งนั้น  ถ้าใจเราปลดปล่อย   นะครับ  อิอิอิ

เก็บแต่เงิน  เก็บแต่หุ้น  ระวังเก็บ.....แต่ไม่ได้ในครับ  อิอิอิ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Linzhi
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1464
ผู้ติดตาม: 1

ทำตัวอย่างไร ในการป้องกัน มะเร็ง

โพสต์ที่ 16

โพสต์

กระทู้ดี ขอเสริมด้วยครับ ข้อมูลรวบรวมโดยคุณหมอท่านหนึ่งครับ (หาชื่อท่านไม่ได้แล้ว)

ข้อควรรู้เกี่ยวกับเนื้อร้าย 15 ประการ

1. ทุกคนมีเซลล์เนื้อร้ายอยู่ในร่างกาย เซลล์จำพวกนี้จะไม่สามารถตรวจหาพบโดยเครื่องมือทางการแพทย์จนกว่าจะมีปริมาณเซลล์เป็น 2-3 ร้อยล้านเซลล์ หากไปพบหมอ แล้วหมอบอกว่าคุณไม่มีเซลล์เนื้อร้ายในร่างกายหลังจากการตรวจ นั่นแค่หมายความว่าเครื่องมือทางการแพทย์ไม่สามารถตรวจพบเซลล์เนื้อร้ายได้ เนื่องจากขนาดของเซลล์เนื้อร้ายยังไม่มากพอ หรือขนาดยังไม่ใหญ่พอให้เครื่องมือตรวจเจอ

2. เมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรง เซลล์เนื้อร้ายก็จะถูกทำลาย เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์เนื้อร้ายขยายตัว และสร้างก้อนเนื้อร้าย

3. เมื่อคนไข้ถูกบ่งชี้ว่าเป็นเนื้อร้าย แสดงให้เห็นว่ามีการขาดสารอาหารบางชนิด โภชนาการไม่ดี กรรมพันธุ์  สิ่งแวดล้อม  อาหาร หรือปัจจัยอื่นในการดำรงชีวิต

4. การเอาชนะเซลล์เนื้อร้าย สามารถทำได้โดยการสร้างความแข็งแกร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

5. วิธีที่มีประสิทธิภาพที่จะต่อสู้กับเซลล์เนื้อร้าย คือหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้าย โดยการหยุดให้อาหารที่เซลล์เนื้อร้ายจำเป็นต้องนำไปใช้

อาหารที่เซลล์เนื้อร้ายต้องการ

6. น้ำตาล เช่นน้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลเทียมเช่น Equal ให้ใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ใช้ในปริมาณที่น้อยมาก และเกลือมีสารจำเป็นที่เซลล์เนื้อร้ายนำไปใช้ ควรงด หรือทานในปริมาณน้อย

7. นม ควรดื่มน้ำนมถั่วเหลืองทดแทน

8. เซลล์เนื้อร้าย เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพที่เป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์มีแบคทีเรียใช้ฮอร์โมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นเนื้อร้าย

9. 80% ของผักและน้ำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญญาพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและน้ำผลไม้สดจะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน เพราะเอนไซม์จะถูกทำลายที 40c

10. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ชอคโกแลต ที่มีคาเฟอีนสูง เปลี่ยนเป็นชาเขียวที่มีสารต้านเนื้อร้าย ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปาแบะเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ที่มีสภาพเป็นกรด

11. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมดจะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง

12. เซลล์เนื้อร้ายมีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์เนื้อร้ายได้ง่ายขึ้น

13. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์เนื้อร้าย เช่นวิตามินอี วิตามินซี

14. เซลล์เนื้อร้าย เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ ขมขื่น หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรักและให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชิวิต

15. เซลล์เนื้อร้ายไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึก ๆ จะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์เนื้อร้าย
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
โพสต์โพสต์