ชีวิตการทำงาน/การเรียนที่แตกต่าง

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Basketman
Verified User
โพสต์: 1208
ผู้ติดตาม: 0

ชีวิตการทำงาน/การเรียนที่แตกต่าง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

รูปภาพ
น่าคิดนะครับ...อย่างแฟนไชน์ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ที่เจ้าของจบแค่ป.4 แต่ขยายร้านไปได้ทั่วประเทศเลย. นี่ก็แสดงว่าการศึกษาของบ้านเรายังไม่ดีพอด้วยรึป่าว? 8)
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

ชีวิตการทำงาน/การเรียนที่แตกต่าง

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ไปรื้อมา เจอครับ จดหมายเก่าๆ นี่ไง เมื่อหลายปีก่อนโน้น ปี 2530
ไม่มีเนตครับ ผมเขียนจดหมายมาหาพ่อ บอกไม่อยากเรียนแล้ว อยากกลับไปทำธุรกิจเอง
สิ่งที่พ่อบอก มีประโยชน์มากครับ เพื่อเป็นประโยชน์กับท่านอื่นด้วย  
............................................
จดหมายตอบกลับพ่อ

สวัสดีลูก

 พ่อได้รับจดหมายของลูกแล้ว ที่ลูกถามพ่อว่า ทำธุรกิจเองมีข้อดีอย่างไร การทำธุรกิจเอง สิ่งที่ได้แน่ๆ คือได้ตัดสินใจเอง ได้ตัดสินใจแทบทุกช่วงเวลาของการทำธุรกิจ การเป็นเถ้าแก่ ต้องเผชิญกับสถานะการณ์แปลก ๆ ที่เราคาดการณ์ไม่ได้ในสถานการณ์ที่เราไม่คุ้นเคย แทบทุกช่วงเราจะต้องตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าผิดหรือถูก เราก็จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราตัดสินใจลงไป ในโลกแห่งความเป็นจริงการตัดสินใจ หรือการใช้ดุลยพินิจของตัวเองว่าจะเลือกเดินทางไหนเป็นเรื่องสำคัญมาก  เพราะการลงทุนไม่ใช่ข้อสอบที่ลูกเรียนในโรงเรียน ที่มีให้เลือก ก ข ค ง ให้กากบาท  และไม่มีครูคอยเฉลยข้อสอบด้วยว่าสิ่งที่เราเลือกไปถูกหรือผิด  ที่สำคัญ บางครั้งจะขอหมุนเวลากลับมาแก้ไขใหม่ก็ไม่ได้ คุลยพินิจการตัดสินใจ และ จังหวะ จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับการเป็นเถ้าแก่  คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่ตัดสินใจถูกมากกว่าผิด ต้องทำบ่อยๆ ทำเป็นประจำ และรู้จักสรุปบทเรียนทุกครั้งที่ตัดสินใจ เพื่อให้ครั้งต่อไปไม่ผิดพลาด เถ้าแก่ด้วยกันพอเห็นอะไรจะไม่ค่อยกังวลว่ามันไม่เวิร์ค คือมันเห็นมาทำมาจนอ่านขาดได้ว่ามันทำได้หรือทำไม่ได้
    ลูกมีสื่งเหล่านี้แล้วหรือ ถ้ายังไม่มีก็เรียนให้จบนะไอ้เบื้อก

      รัก
 
      พ่อ
  ...............................................
mprandy
Verified User
โพสต์: 1992
ผู้ติดตาม: 0

ชีวิตการทำงาน/การเรียนที่แตกต่าง

โพสต์ที่ 3

โพสต์

จริงอยู่ที่เราเห็นคนมีฐานะร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะว่าทำธุรกิจเป็นเจ้าของกิจการ แต่เรากำลังมองแต่ตัวอย่างส่วนน้อยในกลุ่มใหญ่หรือเปล่าครับ

บทความมาจาก กรุงเทพธุรกิจรายสัปดาห์ ราวเดือนมิถุนายน ปีนี้

http://www.bangkokbizweek.com/20070605/ ... 00575.html
เด็กเรียนเป็นลูกจ้าง เด็กแสบเป็นเถ้าแก่

รศ.วิทวัส รุ่งเรืองผล [email protected]

ตอนเรียนหนังสือสมัยเด็กๆ ผู้อ่านจำได้ไหมครับว่า ท่านเป็นเด็กประเภทไหน เป็นตัวแสบของห้องที่โดดเรียนบ่อยๆ ถ้าเข้าห้องเรียนก็จะจองที่หลังห้องเป็นประจำไม่ค่อยตั้งใจเรียน หรือเป็นประเภทนักเรียนทีมชาติ ขยัน ตั้งใจ นั่งแถวหน้าของห้อง

สำหรับผมน่ะหรือครับ ผู้อ่านคงพอจะเดาได้ว่าจัดอยู่ในกลุ่มเด็กเรียนมาตั้งแต่ระดับมัธยมจนถึงปริญญาโท ไม่เช่นนั้นคงจะมาทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไม่ได้และในกลุ่มเพื่อนสนิทของผมที่เป็นเด็กเรียนทั้งสมัยมัธยมและปริญญาตรีที่ปัจจุบันทำงานในสายวิชาการมีอยู่หลายคนด้วยกัน

ที่งานเลี้ยงรุ่นของมหาวิทยาลัย มีเจ้าหน้าที่อาวุโสของมหาวิทยาลัยท่านหนึ่งที่สนิทกับผมตั้งแต่สมัยผมยังเป็นนักศึกษาอยู่ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อเวลาผ่านไป 10 กว่าปีนักศึกษาที่เรียนเก่งๆ ส่วนใหญ่จะทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทหรือรับราชการ แต่พวกแสบๆ จบเกรดเฉลี่ย 2 กว่าๆ แบบคาบเส้น ส่วนใหญ่จะไปเป็นเจ้าของกิจการแล้วร่ำรวยกว่าพวกที่เรียนเก่งๆ ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้นครับ

พอพวกผมถามพี่เขาว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบที่ได้ก็ คือ เพราะพวกที่เรียนเก่งๆ จะตกอยู่ใน "หลุมพราง" ของความสำเร็จและขาดความกล้าเสี่ยงในการทำงาน คนที่เรียนเก่งได้เกรดสูงๆ จบไปก็มีบริษัทดีๆ มั่นคงอ้าแขนรับ ด้วยความขยันและตั้งใจทำงาน ประกอบกับที่เรียนเก่งมาก่อนก็จะทำงานได้ดี มีความก้าวหน้าในฐานะลูกจ้างที่ดีของนายจ้าง (เช่นเดียวกับที่เคยเป็นนักเรียนที่ดีของโรงเรียน)

พองานมั่นคง มีเงินเดือนและตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยพอใจกับชีวิตลูกจ้าง เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ไม่รวยเสียที แต่ก็ไม่อยากออกไปเป็นเจ้าของกิจการเพราะเสียดายเงินเดือนและความมั่นคงที่มีอยู่

ตรงกันข้ามกับพวกเด็กแสบ ที่จบมาด้วยเกรดคาบเส้น สมัครงานที่ไหนก็ไม่ค่อยมีคนอยากรับ ส่วนใหญ่จะได้งานบริษัทเล็กๆ ที่บริหารแบบเถ้าแก่ การที่ได้ทำงานกับบริษัทขนาดเล็กพวกเด็กแสบต้องทำงานหลายๆ หน้าที่และต้องใช้กลยุทธ์นอกตำราเอาตัวรอด ซึ่งก็เป็นแนวทางเดียวกับที่เคยทำสมัยเรียน คนกลุ่มนี้มีความคล่องตัวสูงกว่า ชินกับการทำงานที่ไม่มีรูปแบบแน่นอน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ทำงานได้หลายหน้าที่และเรียนรู้การทำงานจากเถ้าแก่โดยตรง เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งคนกลุ่มนี้จะมีความพร้อมที่จะก้าวออกมาเป็นเจ้าของกิจการเองเพราะถึงจะอยู่ต่อไปในบริษัทเล็กๆ ก็ไม่มีตำแหน่งให้โตต่อ (เว้นแต่จะได้แต่งงานกับเจ้าของหรือทายาทเจ้าของบริษัท)

แน่นอนว่าเป็นเจ้าของกิจการมีโอกาสที่จะรวยได้ง่ายกว่าลูกจ้างอยู่แล้วเพราะเจ้าของธุรกิจหาเงินได้ไม่จำกัด ขณะที่ลูกจ้างมีเพดานเงินเดือนจำกัดอยู่ ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป 10 กว่าปี ในงานเลี้ยงรุ่นพวกเด็กแสบดูจะประสบความสำเร็จในด้านฐานะการเงินมากกว่าเด็กเรียน

แต่ผมก็มีข้อขัดแย้งแนวคิดนี้ จริงอยู่ที่ว่าพวกเด็กเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างแต่ก็เป็นลูกจ้างที่วันนี้โดยมากแล้วประสบความสำเร็จตั้งปานกลางถึงสูงในสายอาชีพของตนเอง เรียกได้ว่า เด็กเรียน 8 ใน 10 คน ประสบความสำเร็จในอาชีพลูกจ้าง ขณะที่พวกเด็กแสบจะมี 2-3 คนจาก 10 คนที่เป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่อีก 7-8 คนที่เหลือ บางคนก็เป็นเถ้าแก่ที่ยังไม่รวยเสียที (รายได้อาจน้อยกว่าเพื่อนที่เป็นลูกจ้างบริษัทด้วยซ้ำ) และหลายคนที่เป็นลูกจ้างที่ดูจะไม่ค่อยก้าวหน้านักเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่น

ผมเห็นว่าความสำเร็จของเด็กแสบ 10-15% ที่ร่ำรวยดูจะเปล่งรัศมีข่มกลุ่มเด็กเรียนที่เป็นลูกจ้าง ทำให้เจ้าหน้าที่คณะด่วนสรุปว่าเด็กแสบประสบความสำเร็จมากกว่า

สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อว่ามนุษย์พันธุ์ลูกจ้างและมนุษย์พันธุ์เถ้าแก่ 2 พันธุ์นี้มีอุปนิสัยต่างกัน รับความเสี่ยงได้ต่างกัน ถึงเลือกใช้ชีวิตและทำงานต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนเกิดมาเป็นเจ้าของกิจการที่ดีได้และไม่ใช่ทุกคนเกิดมาเป็นลูกจ้างที่ดีได้ เพียงแต่เรารู้จักตัวเราเองว่าเราเป็นมนุษย์พันธุ์ไหนและทำงานให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างหรือเถ้าแก่
โพสต์โพสต์