อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน สำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)

สรุปจากโครงการวิจัย คัดเลือกและแนะนำหนังสือดีที่คนไทยควรอ่าน ที่มีอาจารย์วิทยากร เชียงกูล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นหัวหน้าคณะ โดยได้รับทุนอุดหนุน จากสำนักกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในช่วงปี พ.ศ. 2540-41

หลักเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกหนังสือดี


เป็นหนังสือภาษาไทยที่เขียนขึ้น ในช่วงประมาณสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงปี พ.ศ.2519 ในสาขาวิชาความรู้ต่าง ๆ และวรรณกรรมที่ดีเด่น, สำคัญ, เป็นแบบฉบับ ที่มีค่าควรอ่านได้ทุกยุคสมัย เป็นหนังสือที่มีศิลปะในการเขียน และการใช้ภาษาที่ดี มีคุณค่าทางศิลปวรรณกรรม ทั้งในแง่รูปแบบ (ความงาม, ความไพเราะ, ความสะเทือนอารมณ์) และเนื้อหาสาระที่ตีความหมาย, สะท้อนชีวิต และสังคม เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสาระ ที่แสดงออกถึงความริเริ่มสร้างสรรค์ สะท้อนให้เห็นความคิดอ่าน ความรู้ ประสบการณ์ สภาพของสังคม ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านมีทัศนะต่อชีวิต และต่อโลกที่กว้างขึ้น ได้รับความรู้ ความคิดอ่าน ความบันเทิงทางศิลปวัฒนธรรมที่เป็นประโยชน์ ทำให้ผู้อ่านฉลาด และมีความคิดแบบเสรี หรือใจกว้าง (liberal) มากขึ้น เข้าใจชีวิต และสังคมมากขึ้น มีอคติในเรื่องเผ่าพันธุ์, เพศ ฯลฯ ลดลง เป็นหนังสือที่โดดเด่น มีอิทธิพลต่อความคิดอารมณ์ ความรู้สึกของผู้อ่านจำนวนมากในยุคหนึ่งๆ ที่มีผลสะเทือนสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ส่วนหนึ่งของหลักเขตทางประวัติศาสตร์วรรณกรรม คณะผู้วิจัย วิทยากร เชียงกูล, ทวีป วรดิลก, ดร.ชลธิรา สัตยาวัฒนา, ดร.ไชยันต์ รัชชกูล, รศ.พรภิรมณ์ เชียงกูล, ธรรมเกียรติ กันอริ, ธัญญา ผลอนันต์, พิทยา ว่องกุล, กมล กมลตระกูล, พรพิไล เลิศวิชา, พิมล เมฆสวัสดิ์ คณะกรรมการชี้ทิศทาง ดร.เจตนา นาควัชระ, คำสิงห์ ศรีนอก, ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล, นิตยา มาศะวิสุทธิ์, อำพล สุวรรณธาดา


ประเภทบันเทิงคดี (FICTION)

ก. กวีนิพนธ์และบทละคร

1. ประชุมโคลงโลกนิติ - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร
2. เสภาศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง
3. นิราศหนองคาย - หลวงพัฒนพงศ์ภักดี
4. สามัคคีเภทคำฉันท์ - ชิต บุรทัต
5. มัทนะพาธา - พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
6. โคลงกลอนของครูเทพ - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
7. บทละครเรื่องพระลอ - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
8. ขอบฟ้าขลิบทอง - อุชเชนี
9. เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า. - นายผี
10. บทกวีของเปลื้อง วรรณศรี
11. บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ - จิตร ภูมิศักดิ์
12. จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย - ทวีปวร
13. กวีนิพนธ์ - อังคาร กัลยาณพงศ์
14. ขอบกรุง - ราช รังรอง
15. เพียงความเคลื่อนไหว - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์


ข. นิยาย

16. ละครแห่งชีวิต - ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์
17. กามนิต - เสฐียรโกเศศ, นาคะประทีป
18. ดำรงประเทศ - เวทางค์
19. ผู้ชนะสิบทิศ - ยาขอบ
20. หนึ่งในร้อย - ดอกไม้สด
21. บางระจัน - ไม้ เมืองเดิม
22. หญิงคนชั่ว - ก. สุรางคนางค์
23. พล นิกร กิมหงวน - ป. อินทรปาลิต
24. ปักกิ่ง-นครแห่งความหลัง - สด กูรมะโรหิต
25. เราลิขิต-บทหลุมศพวาสิฏฐี - ร.จันทพิมพะ
26. เมืองนิมิตร - ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์
27. แม่สายสะอื้น - อ. ไชยวรศิลป์
28. พัทยา - ดาวหาง
29. แผ่นดินนี้ของใคร - ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์
30. มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร - แย้ม ประพัฒน์ทอง
31. ปีศาจ - เสนีย์ เสาวพงศ์
32. สี่แผ่นดิน - ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
33. ทุ่งมหาราช - มาลัย ชูพินิจ
34. แลไปข้างหน้า - ศรีบูรพา
35. เสเพลบอยชาวไร่ - รงค์ วงษ์สวรรค์
36. จดหมายจากเมืองไทย - โบตั๋น
37. เขาชื่อกานต์ - สุวรรณี สุคนธา
38. สร้างชีวิต - หลวงวิจิตรวาทการ
39. ตะวันตกดิน - กฤษณา อโศกสิน
40. สร้อยทอง - นิมิตร ภูมิถาวร
41. พิราบแดง - สุวัฒน์ วรดิลก
42. ลูกอีสาน - คำพูน บุญทวี


ค. เรื่องสั้น

43. นิทานเวตาล - น.ม.ส.
44. จับตาย : รวมเรื่องเอก - มนัส จรรยงค์
45. เรื่องสั้นของป. บูรณปกรณ์ (ชีวิตจากมุมมืด, ดาวเงิน) - ป. บูรณปกรณ์
46. เสาชิงช้า, เอแลนบารอง และเรื่องสั้นอื่นๆ ของ ส. ธรรมยศ
47. พลายมลิวัลลิ์ และเรื่องสั้นบางเรื่อง ของถนอม มหาเปารยะ
48. ผู้ดับดวงอาทิตย์ และเรื่องสั้นอื่นๆ - จันตรี ศิริบุญรอด
49. ยุคทมิฬ และเรื่องสั้นอื่นๆ ของ อิศรา อมันตกุล
50. เรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ - อาจินต์ ปัญจพรรค์
51. ฟ้าบ่กั้น - ลาว คำหอม
52. ชุดเพื่อนนักเรียนเก่า "เพื่อนเก่า" - เสนอ อินทรสุขศรี
53. รวมเรื่องสั้นบางเรื่องของฮิวเมอร์ริสต์ - ฮิวเมอร์ริสต์
54. ฉันจึงมาหาความหมาย - วิทยากร เชียงกูล
55. คนบนต้นไม้ - นิคม รายวา


ประเภทสารคดี/บทความ (NON FICTION)

ก. ประวัติศาสตร์

56. ประวัติกฎหมายไทย - ร. แลงกาต์
57. นิทานโบราณคดี - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
58. โฉมหน้าศักดินาไทย - จิตร ภูมิศักดิ์
59. กบฏ ร.ศ. 130 - เหรียญ ศรีจันทร์, ร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์
60. เจ้าชีวิต - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์
61. ศาลไทยในอดีต - ประยุทธ สิทธิพันธ์
62. ประวัติศาสตร์ไทยสมัย 2352-2453 ด้านสังคม - ชัย เรืองศิลป์
63. สังคมไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ 2325 - 2416 - ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์


ข. การเมือง,ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย, เศรษฐศาสตร์

64. ทรัพยศาสตร์ - พระยาสุริยานุวัตร
65. เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 - กุหลาบ สายประดิษฐ์
66. ความเป็นอนิจจังของสังคม - ปรีดี พนมยงค์
67. ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก - เดือน บุนนาค
68. โอ้ว่าอาณาประชาราษฎร - สนิท เจริญรัฐ
69. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง - ดิเรก ชัยนาม
70. สันติประชาธรรม - ป๋วย อึ๊งภากรณ์
71. ห้าปีปริทัศน์ - ส. ศิวรักษ์
72. "วันมหาปิติ" วารสาร อมธ.ฉบับพิเศษ 14 ตุลาคม 2516 - องค์การบริหารกิจกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ค. ศิลปะ ภาษาและวรรณกรรม วรรณกรรมวิจารณ์

73. วรรณคดี และวรรณคดีวิจารณ์ - วิทย์ ศิวะศิริยานนท์
74. ประติมากรรมไทย - ศิลป พีระศรี
75. วรรณสาส์นสำนึก - สุภา ศิริมานนท์
76. วิทยาวรรณกรรม - พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
77. ความงามของศิลปไทย - น. ณ ปากน้ำ
78. ภาษากฎหมายไทย - ธานินทร์ กรัยวิเชียร
79. วรรณไวทยากร ชุมนุมบทความทางวิชาการ ฉบับวรรณคดี - เจตนา นาควัชระ และมล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ
80. แสงอรุณ 2 - แสงอรุณ รัตกสิก


ง. สังคมวิทยา, มานุษยวิทยา, ประวัติศาสตร์สังคม

81. พระราชพิธีสิบสองเดือน - พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
82. สาส์นสมเด็จ - สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
83. 30 ชาติในเชียงราย - บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
84. เทียนวรรณ - สงบ สุริยินทร์
85. กาเลหม่านไต - บรรจบ พันธุเมธา
86. นิทานชาวไร่ - น.อ.สวัสดิ์ จันทนี
87. ภารตวิทยา - กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
88. ฟื้นความหลัง - พระยาอนุมานราชธน
89. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ - จิตร ภูมิศักดิ์
90. อัตชีวประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร - หม่อมศรีพรหมา กฤดากร
91. 80 ปีในชีวิตข้าพเจ้า - กาญจนาคพันธ์


จ. ศาสนา, ปรัชญา

92. พระประวัติตรัสเล่า - สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
93. พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน - สุชีพ ปุญญานุภาพ
94. ปัญญาวิวัฒน์ - สมัคร บุราวาศ
95. พุทธธรรม - พระธรรมปิฎก
96. อิทัปปัจจยตา - พุทธทาสภิกขุ


ฉ. ธรรมชาติ, วิทยาศาสตร์

97. หนังสือแสดงกิจจานุกิจ - เจ้าพระยาทิพากรวงษ์
98. แพทยศาสตร์สงเคราะห์ - คณะกรรมการแพทย์หลวงในรัชกาลที่ 5
99. ธรรมชาตินานาสัตว์ - บุญส่ง เลขะกุล
100. ขบวนการแก้จน - ประยูร จรรยาวงษ์

แหล่งข้อมูล : วิทยากร เชียงกูล และ คณะ , สารานุกรมแนะนำหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน -- กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.), 2542. 856 หน้า.

........................................................................

เป็นอย่างไรบ้างครับ เพื่อนๆ เคยอ่านเล่มไหนบ้าง


ผมเคยอ่าน 4 เล่ม :roll: ...


12. จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย - ทวีปวร
16. ละครแห่งชีวิต - ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์
42. ลูกอีสาน - คำพูน บุญทวี
54. ฉันจึงมาหาความหมาย - วิทยากร เชียงกูล



ต้องหาเวลาว่างอ่านเล่มที่เหลือให้ได้ครับ...
:wink:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 2

โพสต์

อ่านมาเกือบหมดแล้วทั้งนั้น  ประมาณ 10 เล่มที่ยังไม่เคยได้อ่านหรือพลิกดูเลย  ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่อ่านสมัยเด็กๆและตอนเรียนเสียเยอะ  มาดูความประทับใจในบางเล่มดีกว่า เอาเฉพาะหมวดนวนิยาย

20. หนึ่งในร้อย ของดอกไม้สด กลายเป็นเพลงฮิต ร้อยเดียวมีหนึ่งเท่านั้นเอง

28. พัทยา ของดาวหาง เป็นวรรณกรรมตลกการเมืองเล่มแรกของเมืองไทย อ่านแล้วสนุกเพลิดเพลินมาก เป็นหนังสือหายากแล้วครับ

29. แผ่นดินนี้ของใคร อ่านตั้งแต่เป็นพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มเล็กๆราคา 5 บาท ว่าด้วยสังคมที่เหลื่อมล้ำเพราะการปกครองของเจ้าใหญ่นายโตในท้องถิ่นหัวเมืองไกลออกไป  ทำให้ตัวละครชาวบ้านต้องลุกฮือป้องกันศักดิ์ศรีและชีวิตของตัวเองด้วยคำถามว่า "แผ่นดินนี้เป็นของใคร (กันแน่โว้ย)"

32. สี่แผ่นดิน เป็นละครโทรทัศน์ตั้งหลายรอบ  ทุก 2 ปี จะหยิบปัดฝุ่นมาอ่านแล้วทบทวนความรู้สึกครั้งที่แล้วว่าเป็นอย่างไร   แล้วก็ได้ความรู้สึกใหม่ๆกลับขึ้นมาทุกที  

36. จดหมายจากเมืองไทย ทุกวันตรุษจีนจะอ่านเรื่องนี้ฉลองตรุษ (เพราะก็เป็นคนจีน) เป็นจดหมายของลูกที่อพยพหนีความกันดารจากเมืองจีนมาอยู่เมืองไทย  เขียนเล่าทุกข์สุขของตัวเองให้มารดาซึ่งยังอยู่เมืองจีนฟัง เขียนมาตลอดเป็นสิบๆปีโดยที่ไม่เคยได้รับจดหมายตอบเลย  เป็นนวนิยายที่ได้รับรางวัล สปอ. สมัยโน้น (ประมาณ ซีไร้ท ตอนนี้)

37. เขาชื่อกานต์   เป็นหนึ่งในนิยายที่สร้างเป็นหนัง(ของท่านมุ้ย)แล้ว รักษาคุณค่าของเนื้อเรื่องได้ดี  เนื้อหาเป็นหมอกานต์ที่กินอุดมการณ์ ไปทำงานในต่างจังหวัดและขัดแย้งกับระบบการปกครองเจ้าใหญ่นายโตจนถูกฆ่าตาย  (ในหนังเปิดฉากท้ายเรื่องขึ้นก่อนและค่อยย้อนกลับ)
ได้รับรางวัล สปอ. เช่นกัน

39. ตะวันตกดิน ความทะเยอทะยานของมนุษย์ไม่สิ้นสุด หวังลาภ ยศ ตำแหน่งถึงกับต้องแลกคนรักให้กับความสุขชั่วคราวของผู้มีอำนาจเหนือกว่า
คนเขียนได้เค้าโครงจากเรื่องจริงในวงการสีกากีนานมาแล้ว อีกเช่นเดียว ได้รับ รางวัล สปอ

เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ให้คนอื่นมาคุยบ้าง  (ถ้าไม่มี ค่อยมาโม้ต่อ อิอิ)
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 3

โพสต์

มารอฟัง เคยอ่านหลายเล่มน่าจะราวหนึ่งในสาม แต่จำเนื้อไม่ค่อยได้แล้ว
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 4

โพสต์

เอ...ยังไม่มีใครมาเสริมเลย  เอ้า ไหนจะฟื้นความทรงจำแล้วก็ขอสักหน่อย เริ่มต้นที่หมวดกวีนิพนธ์ก่อน

ก. กวีนิพนธ์และบทละคร

1. ประชุมโคลงโลกนิติ - สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร
เล่มนี้เป็นบทโคลงที่เราท่องกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะใช้เป็นแบบเรียนภาษาไทยด้วย  เช่น  

ปลาร้าพันห่อด้วย            ใบคา
ใบก็เห็นคาวปลา              คละคลุ้ง
คือคนหมู่ไปหา                คบเพื่อน
ได้แต่ร้ายร้ายฟุ้ง               เฟื่องให้เสียพงศ์      

หรือ

       
โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง        เมล็ดงา
ปองติฉินนินทา                  ห่อนเว้น
โทษตนเท่าภูผา                  หนักยิ่ง
ป้องปิดคิดซ่อนเร้น                  เรื่องร้ายหายสูญ


คุ้นหรือยังครับ


2. เสภาศรีธนญไชยเชียงเมี่ยง

เล่มนี้พูดถึงเชียงเมี่ยง ซึ่งเป็นตัวละครในตำนานนิทานลาว มีอุปนิสัยเจ้าเล่ห์ เพทุบาย พลิกแพลงเหมือนศรีธนญไชยในบ้านเรา คาดกันว่าคงมีต้นกำเนิดที่เดียวกัน แล้วเผยแพร่ไปตามท้องถิ่นต่างๆ อย่างว่าแหละ คนเจ้าเล่ห์ เล่นลิ้นมีทั่วทุกหนแห่ง

3. นิราศหนองคาย - หลวงพัฒนพงศ์ภักดี
วรรณคดีที่ถูกเผา กล่าวถึงการเดินทางไปหนองคายของข้าราชการผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แทนที่จะกล่าวรำพันถึงนางอันเป็นที่รักตามขนบนิราศทั่วไป กลับสะท้อนถึงความทุกข์ยากของชาวบ้านภายใต้การปกครองของขุนนางท้องถิ่นจนสร้างความโกรธกริ้วแก่ราชสำนัก ถึงกับเผาบันทึกเล่มนี้และลงแส้ผู้ประพันธ์

4. สามัคคีเภทคำฉันท์ - ชิต บุรทัต
เป็นหนังสือเรียนอีกเช่นกันครับ กลเกมของวัสสการะพราหมณ์ที่ต้องการทะลายกำแพงแห่งความสมานฉันท์ของกษัตริย์ลิจฉวี ด้วยการเข้าไปยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแคลงใจกัน กระทั่งเกิดทะเลาะวิวาทกัน เสียเมืองให้ฝ่ายตรงข้ามท้ายสุด  บทกวีทั้งหมดเด่นมากเรื่องรูปแบบ ของฉันท์แทบทุกประเภท  เป็นต้นแบบที่งดงามของฉันทลักษณ์ไทย   (อุบายของพราหมณ์ท่านนี้ยังเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน)

5. มัทนะพาธา - พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ตำนานดอกกุหลาบ ทุกคนคงรู้จักกันดี

6. โคลงกลอนของครูเทพ - เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
ผู้แต่งเพลงกราวกีฬา กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ  อันนี้จำได้เลาๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นโคลงกลอนประเภทไหน

7. บทละครเรื่องพระลอ - พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์
อันนี้คงไม่ต้องเล่า

8. ขอบฟ้าขลิบทอง - อุชเชนี
กวีหญิงโรแมนติคนามกระเดื่อง ผู้เคารพมนุษยชาติเหนืออื่นใด  เจ้าของวลี

เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น       เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา
เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา       เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ

ท่านใช้นามปากกา นิด นรารักษ์ เขียนบทเรียงความ  

9. เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า. - นายผี
ได้แบบฉันทลักษณ์ที่งดงามจาก "สามัคคีเภทคำฉันท์" แต่เนื้อหาสะท้อนถึงชีวิต การต่อสู้ของผู้ยากไร้ กรรมกร และในที่สุดก็ชนะ แต่ผู้เป็นแม่กลับเสียชีวิตก่อน ภาษาและคำสวยมาก

10. บทกวีของเปลื้อง วรรณศรี
วรรคทองที้ใครๆต้องรู้จัก  
ถ้าขาดโดม เจ้าพระยา ท่าพระจันทร์
ก็เหมือนขาดสัญญลักษณ์พิทักษ์ธรรม


11. บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ - จิตร ภูมิศักดิ์
อันนี้คุณลูกอิสานคงเล่าได้

12. จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย - ทวีปวร
เช่นเดียวกันครับ คุณลูกอิสานคงเล่าได้

13. กวีนิพนธ์ - อังคาร กัลยาณพงศ์
รวมบทกลอนที่เป็นขบถต่อฉันทลักษณ์อันเคร่งครัดของกวีจากเมืองคอน ต่อมาได้เป็นกวีซีไร้ท บทที่ดังมากก็คือ
เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง  มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า ซบหน้าติดดินกินทราย


และ ใครดูถูกดูหมิ่นศิลปะ อนารยะชาติสถุลสกุลสัตว์
นอกจากนี้ยังมี "ลำนำภูกระดึง" ที่ทำให้คนอ่านอยากไปปีนป่ายผานกเค้า ซำกกแฮกกันทั้งหมด (แล้วก็ต้องหอบหายใจเหนือยแฮ่ก แฮ่ก)

14. ขอบกรุง - ราช รังรอง อันนี้ไม่เคยอ่านครับ

15. เพียงความเคลื่อนไหว - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
บทบันทึกความเคลื่อนไหวของฝูงชนในช่วง 14  ตุลาคมในรูปแบบของโคลง
และกลอน  จากกวีซีไร้ทร่วมสมัย วรรคทองก็คือ

และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
มันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน
 
พอเสียงร่ำรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย


พิมพ์ไปพิมพ์มา ชักง่วงนอนแล้วครับ

ถ้ายังไม่มีใครมาขยายความให้อีก  ค่อยต่อวันหลังนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 5

โพสต์

1. พล นิกร กิมหงวน
2. สี่แผ่นดิน
3. ลูกอีสาน

นิยายทั้งนั้นเลยแฮะ
นอกนั้นก็พุทธธรรม ยังอ่านไม่จบ เก็บเข้าตู้แล้ว
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ชุดแรกนี่เคยอ่าน

8, 9, 10, 11, 13, 15 แต่ 12. จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย - ทวีปวร นี่ยังจำไม่ได้ว่าเคยอ่านหรือเปล่า

บทกลอนคุณเนาวรัตน์ นี่สวยงามมาก ในขณะที่ของกวีนิพนธ์ ของท่านอังคารนี่ ทรงพลังมาก

มีครั้งหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิด คุณเนาวรัตน์ เคยขึ้นอ่านบทกวี บนเวทีเดียวกับคาราวาน

ผลงานอุชเชนี จำไม่ได้เลย

ส่วนหนังสือของนายผีและของจิตร ภูมิศักดิ์ เล่มแรกๆที่ซื้อจำได้ว่ารูปแบบเหมือนหนังสือ underground จนตอนหลังนี่หนังสือของจิตรนี่จัดพิมพ์แบบเป็นเรื่องเป็นราว

เสียดายที่เดี๋ยวนี้หนังสือหายไปเป็นส่วนใหญ่
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 7

โพสต์

อายพี่กูรู คุณBSL จังครับ :oops:
รู้สึกผมจะอ่านน้อยไปหน่อย

รอปลายปีนี้คงว่างขึ้น จะส่งลูกไปโรงเรียนแล้ว
จะได้ตะลุยอ่านครับ :o

เสียดายไม่มีเล่มโปรดของผม "ปรัชญาชีวิต" ที่แปลโดย ศ.ระวี ภาวิไล
คงเพราะเป็นหนังสือแปล ตั้งแต่อ่านหนังสือมา(ไม่มากเล่ม) เล่มนี้ประทับใจที่สุด มีคำตอบทุกแง่มุมของชีวิต


พี่กูรูไม่ต้องเกรงใจครับ รีวิวได้เลย จะได้หาซื้ออ่านเล่มที่น่าสนใจก่อน แต่ดูแล้วคงหาซื้อยากน่าดูครับ..
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 8

โพสต์

แหะ แหะ ผมมันพวกไม่ได้เรื่อง อ่านแล้วจำไม่ได้ นี่ก็เปรียบเหมือนไม่ได้อ่าน  :oops:  :oops:  :oops:

แต่พี่กูรูนี่สุดยอดจริงๆ ยังจำเนื้อหาต่างๆได้ นับถือจริงๆ

เดี๋ยวรอฟังชุดสองต่อ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 9

โพสต์

อรุณสวัสดิ์เหล่านักอ่านทั้งหลาย  ยังไม่รีวิวชุด 2 นะครับ

เพียงแค่แนะนำหนังสือเรื่องอื่นๆบ้าง
มีอยู่เล่มหนึ่งที่ชอบมากๆอยากให้อ่านกันและยังมีขายอยู่  (กลัวจะหมดเสียก่อนเพราะคงไม่มีใครพิมพ์เพิ่ม) คือ  แผ่นดินของเรา (Terre des Hommes) ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส แต่งโดย Antoine de Saint -Exupery ชาวฝรั่งเศส (คนเดียวกับที่แต่ง เจ้าชายน้อย) แปลโดย  อาจารย์โคทม-พรทิพย์ อารียา ได้รับรางวัล National Book Award 1939

เป็นหนังสือที่คลาสสิคเล่มหนึ่ง  ตัวเอกเป็นนักบินขนส่งพัสดุภัณฑ์คล้ายๆ Courrier ที่ต้องบินผ่านเมฆ หมอก ท้องฟ้าแดนไกลข้ามทวีป ด้วยมุมมองของมนุษย์กะจิดรัดที่มีต่อผืนฟ้าจักรวาล  ให้ความรู้สึกของมนุษย์นิยมดีมาก  (อ่านแล้วจะรักเพื่อนมนุษย์ขึ้นอีกเยอะ อาจจะยิ้มทักทายใครต่อใครก่อน แม้แต่เพื่อนบ้านข้างรั้วที่ไม่เคยสบตากัน)  ลองดูตอนหนึ่งนะครับ

" สิ่งที่ถ่ายทอดกันมาจากวัยหนึ่งสู่วัยหนึ่งอย่างช้าๆราวกับเป็นการเจริญงอกงามของต้นไม้เช่นนี้คือชีวิต  คือจิตสำนึกด้วยเช่นกัน  เป็นการคืบหน้าที่ลึกลับอะไรเช่นนี้ เราเกิดขึ้นจากมวลสารที่หลอมตัว จากสะเก็ดดาว จากเซลส์มีชีวิตที่มีขึ้นได้อย่างมหัศจรรย์ และแล้วทีละเล็กทีละน้อย เราค่อยๆคืบหน้าไปจนกระทั่งเขียนโคลงกลอนและคะเนน้ำหนักของทางช้างเผือก"

" เราจะมีความสุขเมื่อเรารู้สำนึกถึงบทบาทแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดของเรา  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงจะมีชีวิตอยู่อย่างสันติสุข จะตายไปอย่างสันติสุข เพราะว่าสิ่งที่ให้ความหมายต่อชีวิต ก็ให้ความหมายต่อความตาย

ความตายดูจะอ่อนโยนนัก เมื่อเป็นไปตามกฏเกณฑ์ธรรมดา  ชาวนาแก่ๆของโปรวังซ์  เมื่อมาถึงวาระสุดท้ายแห่งการครองสมบัติก็จะมอบส่วนแบ่งของแพะและต้นมะกอกให้แก่ลูกๆ  เพื่อให้พวกเขาส่งต่อไปยังลูกยังหลานต่อๆกันไปอีก  ในตระกูลชาวนาไม่เชิงมีการตายดับหรอก ชีวิตเมื่อถึงเวลาก็จะกระเทาะออกเหมือนฝักถั่ว ให้เป็นเมล็ดพันธุ์ออกมา "


"แผ่นดินของเรา" พิมพ์ครั้งแรก เมื่อปี 2516 โดยชุมนุมวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสคร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (คาดว่าเพราะอาจารย์ โคทม สอนอยู่ที่นั่น  อาจารย์เป็นคนที่น่ารักมาก สอนหนังสือสนุก อ่อนโยน และใจกว้าง )
กูรูได้เก็บเล่มพิมพ์ครั้งแรกไว้ในราคาเพียง 10 บาท และได้หาซื้อเพิ่มอีก สำหรับแจกคนรู้จัก  แต่หายากมากกระทั่งมีการพิมพ์ใหม่

ฉบับพิมพ์ปัจจุบันเป็นการพิมพ์ครั้งที่ 4 โดยสำนักพิมพ์นาคร ราคา 185 บาท

หลายคนที่เคยอ่าน เดินสู่อิสรภาพ ของอาจารย์ ประมวล เพ็งจันทร์  จะถูกกูรูแนะนำให้อ่าน   บินไปสู่ดวงดาว ด้วย แผ่นดินของเรา เล่มนี้

ลองหาดูนะครับ  แล้วคุณจะค้นพบว่า  ชีวิตเราก็แค่นี้ จะเกลียด จะชังไปไย

เอ้า ขอไปทำภารกิจส่วนตัวก่อน
sunrise
Verified User
โพสต์: 2266
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 10

โพสต์

เคยอ่าน

เหมืองแร่
พล นิกร กิมหงวน
ลูกอิสาน
ผู้ชนะสิบทิศ (อ่านไม่จบ)
สิ่แผ่นดิน ( อ่านเรื่องย่อละคร)

แฮ่ะๆ ละอาย

เคยคิดว่าเป็นคนอ่านหนังสือ เห็นแล้วรู้ว่าเรานี่ เบบี๋ๆ จริงๆ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 11

โพสต์

อ่านไปสองเล่มเองครับ พล นิกร กิมหงวน กับ ลูกอีสาน  :oops:
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
march
Verified User
โพสต์: 351
ผู้ติดตาม: 0

march

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ไว้ต้องไปหาอ่านบ้างแล้วครับ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ลูกอีสาน นี่ยอดฮิตเลยนะครับ สงสัยเป็นเพราะอ่านสบายๆสนุกๆ :D
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ลูกอิสาน เขียน:ลูกอีสาน นี่ยอดฮิตเลยนะครับ สงสัยเป็นเพราะอ่านสบายๆสนุกๆ :D
ไม่รู้ว่าคุณลูกอิสานได้ชื่อมาจากนิยายเรื่องนี้หรือเปล่า

เอาล่ะ...พอมีเวลาตอนพักเที่ยงมาขอรีวิวต่อในหมวดที่ 2

. นิยาย

16. ละครแห่งชีวิต - ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์

หลายคนคงเคยผ่านตามาแล้ว เพราะเป็นหนังสือเรียน เรื่องของ วิสูตร ศุภลักษณ์ เจ้าท้ายแถวที่ถูกโชคชะตากลั่นแกล้ง อยุติธรรม จนเจ้าตัวอดน้อยใจไม่ได้ ผู้ประพันธ์ได้สะท้อนชีวิตของตัวเองในฐานะ เจ้าไร้ศักดินาออกมา ในที่สุดก็พยายามอดกลั้นผันตัวเองเป็นนักหนังสือพิมพ์ในตอนหลัง ใช้ชีวิตต่างแดน เจอชะตากรรมต่างๆที่เปลี่ยนมุมมองของตน เลยปลงตก ปรารภว่า โลกนี้คือโรงละครใบใหญ่
( มุมมองเดียวกับเชคสเปียร์ กวีเอกของอังกฤษ  ไว้ว่างๆค่อยเล่าเรื่องตาหอกสั่นคนนี้ให้ฟัง  นอกเหนือจากที่รู้จักในหนังเรื่อง Shakespere In Love)


17. กามนิต - เสฐียรโกเศศ, นาคะประทีป

อา...หนังสือคลาสสิคจากเสี้ยวหนึ่งของพุทธประวัติ  ขณะดำเนินธรรมเทศนา และได้พบพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่งที่จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยหารู้ไม่ว่าพระพุทธเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว    เรื่องราวของความรักระหว่างกามนิต วาสิษฐี และมีฉากชีวิตขององคุลีมาลปรากฏด้วย ภาคที่เราเรียนคือภาคมนุษย์ มีอีกภาคหนึ่งคืออยู่บนสวรรค์ ทั้งคู่ได้เกิดใหม่และแตกดับอีกครั้งกลายเป็นทางช้างเผือกสถิตคู่ฟ้านิรันดร์  โดยบุคลิกแล้วกามนิตเป็นชายหนุ่มเลือดร้อน คิดไวทำไว เอ...คล้ายๆใครที่รู้จัก  จนเป็นที่มาของสำนวน รวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม แต่ที่จำได้แม่นก็คือเป็นพระเอกในวรรณกรรมเรื่องเดียวที่ถูกควายขวิดตาย พื้นบ้านมากๆ


18. ดำรงประเทศ - เวทางค์

เล่มนี้ไม่มีความรู้เลย เปิดเวปไซค์ค้นข้อมูลดู พบว่าน่าสนใจ เป็นจินตนิยาย ที่นำเสนอปรัชญาการเมืองในแนว "ธรรมาธิปไตย" ในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕  เนื้อหาสาระและบทสนทนาของตัวละครสำคัญ  ชี้ให้เห็นเด่นชัดว่า เป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายของรัฐหรือการปกครองคือธรรมะ "เป็นการปกครองโดยธรรมเพื่อความเป็นธรรมของราษฎร"

19. ผู้ชนะสิบทิศ - ยาขอบ
เล่มนี้ไม่ต้องพูดถึง  จากพงศาวดารเพียงไม่กี่บรรทัดมาเป็น เรื่องราวของจะเด็ด ที่ใครๆก็อยากเป็น  ละครโทรทัศน์ก็นำมาเล่นตั้งหลายครั้ง แต่กูรูชอบบทของมังตรามากกว่า มีความเป็นมนุษย์ ผิด ชอบ ชั่ว ดี ไม่เป็น Hero จนเกินไป

20. หนึ่งในร้อย - ดอกไม้สด
พูดไปแล้ว เรื่องอขงพระเอกคนเดียวในโลกนี้ ที่ดีแสนดี จนแทบจะหาไม่ได้อรกแล้ว น่าจะสต๊าฟหรือเก็บ Stem Cells ไว้นะคร้าบ

21. บางระจัน - ไม้ เมืองเดิม
เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึง หนังก็สร้างไปแล้ว มีน้องควายเป็นพระเอก

22. หญิงคนชั่ว - ก. สุรางคนางค์

นวนิยายเล่มแรกของ ก.สุรางคนางค์ ผู้เขียน พจมาน สว่างวงศ์  เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางสายผิดของผู้หญิงที่ชื่อรื่น เป็นโสเภณี ครั้งแรกเพราะถูกหลอก เป็นครั้งต่อๆไปเพราะอาชีพ เล่ากันว่า ฮือฮามากสมัยนั้น ผู้เขียนเป็นผู้หญิงก็ไม่เคยเข้าไปในซ่องเลย แต่สามารถบรรยายฉากออกมาได้เหมือนเห็น  สร้างแรงดลใจให้กับนิยายซ่องเรื่องอื่นๆ เช่น รอยมลทิน ของทมยันตี และภาพยนตร์เรื่อง แม้เลือกเกิดได้ ของชนะ คราประยูร
ก.สุรางคนางค์ มีชีวิตบั้นปลายอยู่ที่บ้านเพลินจิต ปัจจุบันคือที่ตั้งของอาคาร
Q House ริมสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิตนั่นเอง


23. พล นิกร กิมหงวน - ป. อินทรปาลิต
เล่มนี้ คนอื่นมาเล่าบ้างดีกว่า เพราะอ่านกันเยอะ

24. ปักกิ่ง-นครแห่งความหลัง - สด กูรมะโรหิต

อ่านครั้งแรก (ตอน 10 กว่าขวบ) งุนงงและเลิกอ่าน ไม่เข้าใจในบริบท เมื่อเรียนประวัติศาสตร์รัสเซียแล้ว อ่านครั้งต่อๆมาค่อยสนุกหน่อย เนื้อเรื่องกล่าวถึง ชะตากรรมของชาวรัสเซียขาว(ผ้สูงศักดิ์) หลบหลีกพาชีวิตหนีเงื้อมมือของรัสเซียแดง มาอยู่ที่กรุงปักกิ่ง  สะท้อนเนื้อหาของการไม่ยอมรับความสูญเสีย และการเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวเอง  (คล้ายๆกับตัวละครของ Anton Chekhov นักเขียนบทละครรัสเซีย ) ใช้เวลาเปล่าดายไปวันๆเพียงรำลึกถึงแต่อดีตที่เคยรุ่งโรจน์  กระทั่งในที่สุดก็เกือบจะฆ่าตัวตาย แต่ท้ายเรื่องก็ค่อยๆปรับสมดุลแห่งจิตใจและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในฐานะคนธรรมดาติดดิน

สด กูรมะโรหิต ท่านเสียชีวิตไปแล้ว เคยมีบทบาทชี้นำเรื่อง เศรษฐกิจแบบสหกรณ์มาก จนถูกมองจากผู้นำสมัยนั้นว่าเป็นหนึ่งในขบวนการคอมมิวนิสต์


25. เราลิขิต-บทหลุมศพวาสิฏฐี - ร.จันทพิมพะ
อ่านและจำไม่ได้ รู้แต่ภาษาร้อยแก้วเพราะมาก

26. เมืองนิมิตร - ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์

จินตนิยาย เล่าถึงความฝันของเมืองยูโทเปียแบบไทยๆ ซึ่งไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้เลย แต่ความฝันคือภารกิจของนักอุดมคติและสืบทอดตั้งแต่เกิดจนตาย  ผู้แต่งเป็นหนึ่งในกบฎบวรเดชที่ถูกส่งไปอยู่ ตะรุเตา

27. แม่สายสะอื้น - อ. ไชยวรศิลป์
คลับคล้ายคลับคลามาก ไม่ยืนยันว่าอ่านหรือยัง

28. พัทยา - ดาวหาง
กล่าวไปแล้ว

29. แผ่นดินนี้ของใคร - ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์
กล่าวไปแล้ว

30. มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร - แย้ม ประพัฒน์ทอง
ไม่เคยได้ยินเลยครับ

31. ปีศาจ - เสนีย์ เสาวพงศ์

ทุกคนคงเคยได้อ่าน  ประโยคทองที่จำขึ้นใจ " ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาสร้างขึ้นมาหลอกหลอน" ร้านหนังสือบางแห่งเอา "ปีศาจ"ไปจัดหมวดหมู่ในหนังสือภูติผี ลึกลับ(ฮา) เป็นหนึ่งในนิยายจากผู้ประพันธ์เดียวกันที่ดังพอๆกับ "ความรักของวัลยา" "ชัยชนะของผู้แพ้" "บัวบานในอะเมซอน"

อ้อ เคยสร้างเป็นหนัง เรื่อง "สาย สีมา นักสู้สามัญชน" (เจ๊งสนิท)  เอ..ท่านประธานเวปเราได้แรงบันดาลจากชื่อนี้หรือเปล่าหนอ...(แซวเล่น)


32. สี่แผ่นดิน - ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
กล่าวไปแล้ว

33. ทุ่งมหาราช - มาลัย ชูพินิจ

เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาอีกเช่นกัน เส้นทางชีวิตของลูกผู้ชายที่ล่องแพระหว่างปากน้ำโพถึงกรุงเทพ ผ่านทุ่งนา ป่าเขียว และบาดแผลฉกรรจ์ เป็นนิยายที่สร้างชื่อเสียงให้ผู้แต่งพอๆกับ "แผ่นดินของเรา - แม่อนงค์" และ "ล่องไพร - น้อย อินทนนท์" สะท้อนภาพคสามเป็นอยู่ของชีวิตไทยๆแบบไพรๆได้ดี เริ่มต้นและจบด้วยการรำบทแม่ศรี

34. แลไปข้างหน้า - ศรีบูรพา

หลายคนคงเคยอ่าน เรื่องราวของ จำปา โนนดินแดง ผู้มาจากที่ราบสูง เข้ามาใช้ชีวิตในบ้านท่านขุนมูลนาย แสดงถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างชนชั้น   เล่มที่คัดเลือกมา เป็นเล่มปฐมวัย  ยังมีภาค 2 ภาค 3 อีก

35. เสเพลบอยชาวไร่ - รงค์ วงษ์สวรรค์

อ่านของงานรงษ์ วงษ์สวรรค์ เหมือนฟังเพลงแจ๊ซอ้อยสร้อย เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี๋ยวหวานกล่อม เดี๋ยวสบถเลือดพล่าน  ใครที่อ่านแล้วไม่รัก "แจ้ง ใบตอง"  " เฉ่ มะเขือพวง" "ทอง มะขาม" ก็แสดงว่าไม่ได้เข้าไปนั่งอยู่หัวใจของขนบทไทย

36. จดหมายจากเมืองไทย - โบตั๋น
กล่าวแล้ว

37. เขาชื่อกานต์ - สุวรรณี สุคนธา
กล่าวแล้ว

38. สร้างชีวิต - หลวงวิจิตรวาทการ
อ่านเรื่องอื่นของท่านแทน

39. ตะวันตกดิน - กฤษณา อโศกสิน
กล่าวแล้ว

40. สร้อยทอง - นิมิตร ภูมิถาวร

เรื่องราวของชีวิตการต่อสู้คนของคนชนบท จำได้ว่าใช้สัญลักษณ์คือนกสร้อยทองเป็นตัวเปิดและปิดเรื่อง ตอนหลังนกตายครับ

41. พิราบแดง - สุวัฒน์ วรดิลก

วรรณกรรมในสมัยปฏิวัติของแผ่นดินจีน ถ่ายทอดผ่านสายตาของนักหนังสือพิมพ์ชาวไทยคนหนึ่ง  บทสนทนาลึกซึ้ง คมคาย และเชิดชูอุดมคติของการปฏิวัติ ได้ภาพที่งดงาม สดชื่นของผู้คนในบรรยากาศชักธงแดง ผิดกับ ความมืดมนอนธการใน "ปักกิ่ง นครแห่งความหลัง"เลย

42. ลูกอีสาน - คำพูน บุญทวี

เล่มนี้หลายคนอ่าน ช่วยเล่ากันบ้างครับ เคยสร้างเป็นหนังโดยวิจิตร คุณาวุฒิ

จบแล้ว ทันเวลาทำงานตอนบ่ายพอดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 15

โพสต์

เคยอ่าน 9 เล่มเองครับ (เลขสวย :lol: ) ที่ชอบสุดคงเป็นขบวนการแก้จน  :cool: ถัดมาก็สี่แผ่นดินกับนิทานเวตาล  :lol:

ความจริงอยากอ่านอีกเยอะครับ ติดที่หาซื้อยาก(คนอยากอ่านน่าจะน้อย หลายๆ เล่มพิมพ์มาคงขายไม่ออก) จะถ่อสังขารไปยืมถึงห้องสมุดก็กระไรอยู่ (ขี้เกียจ :ep: ) อย่าง พล นิกร กิมหงวน ก็ดูโบร๊าณ โบราณ เกิดไม่ทันอ่ะ :lol:
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 16

โพสต์

20, 23, 26, 31, 32, 34, 35, 36, 37, 41, 42

อือม์ แต่หลายเรื่องในนี้จำไม่ได้เลย แฮะ

เรื่องสี่แผ่นดินนี่ ท่านฑูตอเมริกาคนปัจจุบันก็เคยอ่าน เพื่อเป็นการเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย

ผมว่า พล นิกร กิมหงวน นี่ก็คล้ายกัน เพราะเป็นหนังสือที่บอกเล่าชีวิตคนเมือง กับบรรยากาศทั่วไปของสังคมไทยและกรุงเทพในยุคสมัยนั้น

แต่แปลกนะ ผมไม่เคยอ่านบางระจันและผู้ชนะสิบทิศเลย อาจเป็นเพราะรู้เรื่องมากพอควรแล้ว แต่หนังสือเล่มหนึ่งคือ นายขนมต้ม ที่น่าจะอยู่ในยุคสมัยเดียวกัน ไม่รู้เคยมีใครอ่านบ้างหรือเปล่า
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 17

โพสต์

นายขนมต้ม ถ้าเป็นนิยายของ คมทวน คันธนู อยู่ในสมัยหลังแล้วครับ ประมาณ 2530 กว่าๆ

จากจำนวนที่ระบุมา  คุณ BSL ก็อ่านเยอะนะครับ
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 18

โพสต์

นักอ่านที่ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นนักลงทุนที่ดี

ไม่รู้จริงหรือเปล่านะครับ แต่ผมเชื่ออย่างนั้นนะ ดร.นิเวศน์เคยบอกว่าจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่รู้ศาสตร์การลงทุนเพียงอย่างเดียว ต้องเรียนรู้ศาตร์อื่นๆด้วย เพราะทุกศาสตร์จะเกี่ยวโยงกันหมด  หนังสือ 100 เล่มนี้ผ่านการคัดกรองมาแล้ว น่าจะมีประโยชน์ และสามารถอ่านเข้าใจได้ทุกคนทุกวัยครับ


ว่าแต่พี่กูรู คุณ BLS ทำไมอ่านหนังสือเยอะจังครับ และนอกจาก 100 เล่มนี้มีเล่มไหนที่พอจะแนะนำบ้างไหมครับ ผมเห็นพี่กูรูเคยโพสต์ถึง ต้นส้มแสนรัก ไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อหนังสือหรือเปล่า... :oops:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
naris
Verified User
โพสต์: 6726
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 19

โพสต์

:shock: คุณกูรู นี่สมชื่อเลยนะครับ นับถือจริงๆ :bow:
ผมนี่นิสัยเสีย อ่านหนังสือแนวทางข้างบนนี่น้อยมาก ผ่านตาคงไม่เกิน3เล่ม

ทำไมไม่มีหนังสือ พี่จิก สามก๊ก โฮมส์ หรือดาร์กอนบอล บ้างครับ จะได้มีเล่มที่มาฝอยให้ฟังบ้าง :P
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 20

โพสต์

[quote="กูรูขอบสนาม"]นายขนมต้ม ถ้าเป็นนิยายของ คมทวน คันธนู อยู่ในสมัยหลังแล้วครับ ประมาณ 2530 กว่าๆ

จากจำนวนที่ระบุมา
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ลูกอิสาน เขียน:นักอ่านที่ดี มีแนวโน้มที่จะเป็นนักลงทุนที่ดี

ว่าแต่พี่กูรู คุณ BLS ทำไมอ่านหนังสือเยอะจังครับ และนอกจาก 100 เล่มนี้มีเล่มไหนที่พอจะแนะนำบ้างไหมครับ ผมเห็นพี่กูรูเคยโพสต์ถึง ต้นส้มแสนรัก ไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อหนังสือหรือเปล่า... :oops:
ส่วนใหญ่หนังสือที่รีวิวมานี่จะอ่านตอนสมัยเรียนหนังสือ เพราะเป็นช่วงเดียวที่มีเวลาว่างมากที่สุด  อีกทั้งอ่านได้ประหยัดสุด เพราะอาศัยห้องสมุดโรงเรียนบ้าง มหาวิทยาลัยบ้าง  ไม่ต้องเสียเงินซื้อหนังสือ

พอมีเงินซื้อหนังสือเองได้ ก็ต้องเลือกครับว่าจะอ่านและเก็บเล่มไหน หรือตกลงกับเพื้อนที่ชอบอ่าน ซื้อกันคนละเล่มแล้วแลกกันอ่าน ถ้าซื้อหมดทุกเล่มคงอดตายแน่  เนื่องจากมีของชอบอื่นอีก เช่น เทปคาสเซทท์ (ยังเรียงเป็นร้อยตลับ แทบไม่ได้เปิดเลย เนื่องจากเคริ่องเล่นสมัยใหม่เป็น CD หมด คุณภาพเนื้อเทปก็แตกพร่าไปหมดแล้ว เก็บให้รกบ้านไปงั้นแหละ)

ทุกวันนี้พยายามจะอ่านหนังสือให้ได้ อาทิตย์ละ 1 เล่ม   ปีนึงก็ 52 เล่ม 10ปี ก็คูณเข้าไป  ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับแวดวงทำงานครับ  แต่ถ้ามีเวลาก็เอาหนังสือประเภทอื่นๆมาอ่านด้วย  

การได้อ่านหนังสือหลากหลายประเภท ทำให้รู้ลึกข้อมูลและจินตนาการแตกฉาน  ถ้ามีความสามารถ ก็เอามาเชื่อมโยงกันได้ เช่น สามก๊ก  วรรณคดีเล่มหนึ่งแต่แตกเป็น Version ต่างๆมากมาย ทั้งการบริหารธุรกิจ เล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ การเมือง (เอ...รวมถึงเล่นหุ้นด้วย)

ส่วนจะมีผลเกี่ยวกับการลงทุนหรือไม่  ไม่ค่อยแน่ใจ คนอื่นอาจจะไช่ แต่สำหรับตัวเอง...ไม่เลย(ขอ Confirm)

อย่างหนังสือบางเล่มเขียนชื่นชมบางบริษัทว่ามีนวัตกรรมทางความคิด ทำลาย Business Model เดิมๆเสียสิ้นซาก ถอดรูปแบบใหม่ได้สำเร็จ สมควรเอาเยี่ยงอย่าง อย่างที่เรียกว่า Creative Destruction
(หนังสือ Creative Destruction - Richard Foster / Sarah Kaplan ทั้งคู่เป็น Consultant อยู่ในบริษัท McKinsey)
ออกมาไม่เท่าไหร่ บริษัทนั้นก็ล้มตึง ยิ่งกว่าช้างล้ม นั่นก็คือ Enron


กูรูก็เก็บหนังสือไว้  คงไม่มีการพิมพ์ออกมาอีกแล้ว

หนังสือแนวธุรกิจต่างๆมีตีพิมพ์ออกมาเยอะมาก  บางเล่มก็อ่านแล้วได้อะไรบ้าง  บางเล่มอ่านแล้วก็ลืม (บางทีสมาธิตอนอ่านไม่ค่อยดีด้วยล่ะ)
แต่ไปๆมากูรูชอบอ่าน มุมมองของคนที่ผ่านโลกมาชั่วระยะหนึ่ง

ตอนนี้กำลังเก็บหนังสือของ Charles Handy โปรเฟสเซอร์และนักเขียนชาวอังกฤษ อายุเกือบ 70 ปีแล้ว เคยทำงานบริษัทเชลส์แถวๆนี้  เชี่ยวชาญเรื่องการเปลี่ยนแปลงในองค์กรและในตัวตน

ผลงานของเขาคือ The Age of Unreason/ The Age of Paradox/ The Elephant and The Flea ฯลฯ วิธีการเขียนอาจจะน่าเบื่อเพราะเป็นความเรียงยาวพรืด แต่สำนวนอังกฤษแท้ๆ จะได้ช่วยฝึกภาษาเขียนไปในตัว

ทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจของเขาก็คือ ทฤษฎีใบไม้ Hammock ที่มี 3 ชั้น  เช่นเดียวกับการปรับตัวขององค์กรสมัยใหม่ที่ควรมี 3 ชั้นเช่นกัน

ชั้นแรกคือคนทำงานที่เป็นแกนประสานงานกลาง  ชั้นที่ 2 พวกคนทำงาน Part Time และชั้นที่ 3พวกหอกอิสระ Free Lance เมื่อเป็นเช่นนี้องค์กรจะยืดหยุ่น คล่องตัวเร็ว พร้อมรับแรงกระแทกข้างนอกได้


นอกจากนี้เขายังมีมุมมองที่เกี่ยวกับการจัด Portfolio ของชีวิตด้วยว่า ควรจะแบ่งสรรอย่างไร เพื่อให้ชีวิตมีความสุขและคุณภาพ ไว้อ่านจบแล้ว พอสรุปได้ใจความเป็นน้ำเป็นเนื้อ จะโพสให้รับรู้นะครับ

คุณลูกอิสานอยากจะอ่านหนังสือแนวไหนล่ะครับ  จะได้แนะนำถูก

คุณ BSL ชอบประภัสสร เสวิกุล  เหมือนกูรูเลย  เฉพาะยุคแรกๆอย่าง เวลาในขวดแก้ว ชีค  อำนาจ  ลอดลายมังกร  ยุคหลังๆ เขียนเหมือนรู้ว่าจะมีคนเอาไปทำละคร เลยเขียนสั้นๆห้วนๆสลับตัดไปตัดมาเหมือนบทละคร ทั้งๆที่ศิลปะการเขียนนิยายหรือบทละครนี่มันคนละแนวเลย

เขียนมายืดยาว ขอไปกินกาแฟก่อนนะครับ
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ประทานโทษ ปล่อยไก่ไปตัวเบอเร้อ

"ทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจของเขาก็คือ ทฤษฎีใบไม้ Hammock ที่มี 3 ชั้น  เช่นเดียวกับการปรับตัวขององค์กรสมัยใหม่ที่ควรมี 3 ชั้นเช่นกัน "

จริงๆใบไม้นี้คือ Shamrock ครับ เป็นต้นไม้ไอริชตามถิ่นกำเนิดของผู้เขียน เผอิญกำลังนึกถึงเปลญวนอยู่ก็เลยสะกดคำว่า Hammock เข้าไป  เห็นมั้ย จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ ไม่รู้เพราะ ดาวน์ตกหรือเปล่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
pavilion
Verified User
โพสต์: 1766
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 23

โพสต์

เคยอ่าน 3 เล่มจาก 100 เล่มสมัยเรียน
16. ละครแห่งชีวิต - ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์
42. ลูกอีสาน - คำพูน บุญทวี
43. นิทานเวตาล - น.ม.ส.
กูรูขอบสนาม
Verified User
โพสต์: 987
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 24

โพสต์

เอ๋....ทำไมเงียบๆไป ไม่มีคนมาเล่าเรื่องต่อเลยล่ะ

ไม่เป็นไร แค่มีคนอ่านก็พอแล้ว

จากโพสที่แนะนำหนังสือ แผ่นดินของเรา ของ Antoine de Saint  Exupery
เผอิญไปเจอ เวปไซค์ที่แปลไว้เรียบร้อย ลองอ่านชิมลางก่อนนะครับ ว่าชอบหรือไม่

http://olddreamz.com/bookshelf/terre/WSS.html

ตัวหนังสือใหญ่ดี อ่านไม่เมื่อยตา

หรือจะอ่านวรรณกรรมเด็กน่ารักๆอย่าง เจ้าชายน้อย จากนักเขียนคนเดียวกัน ก็เชิญที่
http://olddreamz.com/bookshelf/prince/LP1-13.html
ลูกอิสาน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 6447
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 25

โพสต์

กูรูขอบสนาม เขียน:เอ๋....ทำไมเงียบๆไป ไม่มีคนมาเล่าเรื่องต่อเลยล่ะ

ไม่เป็นไร แค่มีคนอ่านก็พอแล้ว

ช่วงนี้เป็น earning season ของ TVI ครับ  ทุกคนต่างแกะงบเลยไม่ค่อยมีใครมาคุย  หรืออาจจะเป็นเพราะตลาดลงมาค่อนข้างเร็ว ต้องเสียเวลาปรับพอร์ตกันหน่อยครับ ผมเดานะ.. :lol:


ไหนๆก็ 42 เล่มแล้ว ถ้าไม่รบกวนพี่กูรูเกินไปก็อีก 58 เล่มเองครับ... :lol:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 26

โพสต์

เล่มที่อ่านแล้วและมีอยู่ที่บ้านครับ

31. ปีศาจ - เสนีย์ เสาวพงศ์

เสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นนามแฝงของศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (๒๔๖๑ - ) เกิดที่บางปอ สมุทรปราการ เป็นลูกของชาวสวนมะพร้าวและชาวนา ฐานะปานกลางค่อนข้างจน บิดาเสียชีวิต เมื่อศักดิ์ชัย  อายุได้ ๑๙ ปี  ทำให้ไม่มีเงินเรียนมหาวิทยาลัย จึงไปทำงานเป็นผู้แปลข่าวต่างประเทศ และได้เขียนคอลัมน์ให้หนังสือพิมพ์สยามราษฎร ต่อมาก็สมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง แบบเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย  จนจบปริญญาตรี สอบได้ทุนไปเรียนต่อที่เยอรมัน  พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒  เลยไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ กลับมาทำงานหนังสือพิมพ์  และภายหลังได้ไปทำงานกระทรวงต่างประเทศ  

คุณศักดิ์ชัยได้ไปประจำสถานทูตหลายแห่ง  รวมทั้งที่สหภาพโซเวียตอาร์เจนตินา  อินเดีย อังกฤษ ออสเตรเลีย เอธิโอเปีย  พม่า  เกษียณราชการปี ๒๕๒๑ กลับมาอยู่กรุงเทพฯ และเป็นประธานที่ปรึกษาบริษัทมติชน   นอกจากเรื่องปีศาจ (๒๔๙๖- ๒๔๙๗)  แล้วมีผลงาน
นิยายอีกหลายเรื่อง นับตั้งแต่ชัยชนะของคนแพ้ (๒๔๘๖) ชีวิตบนความตาย (๒๔๘๙)
ความรักของวัลยา (๒๔๙๕)  ไฟเย็น (๒๕๐๔)  บัวบานในอะมาซอน (๒๕๐๔)  คนดีศรีอยุธยา (๒๕๒๕)  นอกจากนั้นยังมีงานสารคดี เรื่องแปล รวมเรื่องสั้น และรวมงานเขียน
สั้นๆ อีกหลายเล่ม  ได้รับการยกย่อง นักเขียนรางวัล 'ศรีบูรพา' คนแรก (พ.ศ. 2531) และ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2533

43. นิทานเวตาล - น.ม.ส.

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ หรือพระนามเดิม พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส หรือ น.ม.ส. ทรงเป็นปราชญ์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และเป็น พระบิดาแห่งสหกรณ์ไทย ทรงเป็นต้นราชสกุล "รัชนี"

พระประวัติ
พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสทรงเป็นพระโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (พระองค์เจ้า ยอดยิ่งยศ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) กับ เจ้าจอมมารดาเลี่ยม (เล็ก) ประสูติเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๙ ในพระบวรราชวัง

เมื่อเยาว์วัยเรียนหนังสือกับมารดาที่ตำหนัก เมื่อชันษา ๕ ขวบ ก็ทรงอ่านหนังสือได้คล่อง ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๙ และต่อมาศึกษาภาษาอังกฤษจนถึง พ.ศ. ๒๔๓๖ จึงเข้ารับราชการในตำแหน่งนายเวร กระทรวงธรรมการ ขณะพระชันษาได้ ๑๖ ปี และได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยในกรมศึกษาธิการใน ทรงรับหน้าที่พิเศษเป็นข้าหลวงสอบไล่วิชาหนังสือไทย ทรงเป็นกรรมการพิเศษร่างพระราชบัญญัติพิจารณาความแพ่ง และทรงได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสตามเสด็จด้วย และทรงศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นเวลา ๒ ปี ทรงเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒ ทรงเข้ารับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทรงรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี

พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงย้ายเป็นปลัดกรมธนบัตร และเจริญก้าวหน้าเป็น ผู้แทนเจ้ากรมธนบัตร เจ้ากรมกองที่ปรึกษาอธิบดีกรมประสาปน์สิทธิการ อธิบดีกรมตรวจและกรมสารบาญชี อธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ทรงจัดตั้งและวางรากฐานกิจการสหกรณ์ จนในที่สุดได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองเสนาบดี กระทรวงพาณิชย์

พ.ศ. ๒๔๕๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัสเป็น องคมนตรี และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกรมฯ เป็น กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖

พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ดำรงตำแหน่งอุปนายกกรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนคร ซึ่งต่อมาได้รวมเข้ากับกรมศิลปากร ต่อมาได้เปลี่ยนจากหอสมุดสำหรับพระนครเป็น "ราชบัณฑิตยสภา"

พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงโปรดเล่นกีฬาเทนนิส ทรงพระดำริตั้ง ลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๐

พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ สิ้นพระชนม์เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ด้วยพระโรคหลอดโลหิตในสมองตัน สิริพระชนมายุ ๖๘ ปี ๖ เดือน ๑๓ วัน

พระโอรส-ธิดา
พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงสมรสกับคุณพัฒน์ บุนนาค บุตรีเจ้าพระยาภาศกรวงศ์ และท่านผู้หญิงเปลี่ยน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงมีพระโอรส-ธิดา คือ

หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี
หม่อมเจ้ารัชนีพัฒน์พิทยากรณ์ รัชนี
หม่อมเจ้าศะศิธพัฒนวดี บุนนาค
หม่อมเจ้าจันทร์พัฒน์ รัชนี ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าพรพิมลพรรณ รัชนี (วรวรรณ) พระธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ทรงมีพระโอรส-ธิดา คือ

หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี


54. ฉันจึงมาหาความหมาย - วิทยากร เชียงกูล  

เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน

ดอกหาง นกยูง สีแดงฉาน
บานอยู่เต็มฟากสวรรค์
คนเดินผ่าน ไปมากัน
เขาด้นดั้น หาสิ่งใด

ปัญญา มีขาย ที่นี่หรือ
จะแย่งซื้อ ได้ที่ไหน
อย่างที่โก้ หรูหรา ราคาเท่าใด
จะให้พ่อ ขายนา มาแลกเอา

ฉันมา ฉันเห็น ฉันแพ้
ยินแต่ เสียงด่า ว่าโง่เง่า
เพลงที่นี่ ไม่หวาน เหมือนบ้านเรา
ใครไม่เข้า ถึงพอ เขาเยาะเย้ย

นี่จะให้ อะไร กันบ้างไหม
มหาวิทยาลัย ใหญ่โตเหวย
แม้นท่าน มิอาจให้ อะไรเลย
วานนิ่งเฉย อย่าบ่นอย่าโวยวาย

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว


มืดจริงหนอ สถาบัน อันกว้างขวาง
ปล่อยฉัน อ้างว้าง ขับเคี่ยว
เดินหา ซื้อปัญญา จนหน้าเซียว
เทียวมา เทียวไป ไม่รู้วัน

ดอกหางนกยูง สีแดงฉาน
บานอยู่เต็ม ฟากสวรรค์
เกินพอ ให้เจ้าแบ่งปัน
จงเก็บกัน อย่าเดิน ผ่านเลยไป

(ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ยูงทอง 27 มิถุนายน พ.ศ. 2511)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รองศาสตราจารย์ วิทยากร เชียงกูล เกิดเมื่อ พ.ศ. 2489 ที่อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เรียนจบชั้นมัธยมปลายที่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ. 2512 และปริญญาโท จากสถาบันศึกษาสังคม เมืองเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

วิทยากร เชียงกูล เป็นผู้เขียนบทกลอน "เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน" เมื่อ พ.ศ. 2511 ซึ่งมีท่อนติดปากว่า "ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันจึง มาหา ความหมาย ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว" บทกลอนนี้ได้กลายเป็นข้อเขียนหนึ่งในหลายชิ้น ที่มีอิทธพลต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษาในช่วงนั้น ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตย ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519

การทำงาน
งานประจำที่เคยทำคือ กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, นักเศรษฐศาสตร์ ฝ่ายวิจัยและวางแผน ที่ธนาคารกรุงเทพ, อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ , ผู้ชำนาญการคณะกรรมาธิการ การคลังฯ ประจำรัฐสภา, รองอธิการบดี คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ และคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

มีผลงานเขียนและแปลมาแล้วประมาณ 50 เล่ม ที่เป็นบันเทิงคดี ก็มีเรื่อง ฝันของ เด็กชายชาวนา และฤดูใบไม้ผลิจักต้องมาถึง นอกจากนั้น เป็นงานประเภทบทความ และการ วิเคราะห์เชิงวิชาการ เช่น เราจะไปทางไหนกัน ปัญหาพื้นฐานของประเทศด้อยพัฒนา แนวคิด ใหม่ทางการศึกษา ปัญหาพื้นฐานของชาวนาไทย การพัฒนาทุนนิยมในประเทศไทย ปัญญาชน กับการเปลี่ยนแปลงสังคม ทางออกการเมืองไทย ศึกษาบทบาทและความคิดของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช กุหลาบ สายประดิษฐ์ และ ส. ศิวรักษ์ วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลง สังคมไทย การกอบกู้ฟื้นฟูชาติจากพันธนาการของ IMF

ปัจจุบัน วิทยากร ดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์และคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ได้รับรางวัลศรีบูรพา ประจำปี พ.ศ. 2541

60. เจ้าชีวิต - พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทั้งภาพและเนื้อหา นักประวัติศาสตร์ทุกท่านต้องมีเก็บไว้แน่ๆ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ หรือ พระองค์จุล พระโอรสในจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ กับ หม่อมคัทริน (Cathrine Desniksky) พยาบาลชาวรัสเซีย ประสูติเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ ทรงสมรสกับหม่อมอาลิซาเบท (Elisabeth Hunter) (29 พฤศจิกายน 2458 - 27 พฤศจิกายน 2514) เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๑ มีธิดาคือ หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์

พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ทรงรับการศึกษาที่โรงเรียนราชินี จนพระชันษาครบ ๑๓ เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ศึกษาวิชาการทหารที่มหาวิทยาลัยแฮร์โรว์ จบปริญญาโททางประวัติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จากนั้นทรงรับราชการเป็นนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงลอนดอน

ในช่วง ค.ศ. ๑๙๓๕ - ๑๙๔๐ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงเป็นผู้สนับสนุนพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช ในการแข่งขันรถกรังปรีซ์ในยุโรป ได้รางวัลชนะเลิศหลายครั้ง ทั้งสองพระองค์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในชื่อ Prince Bira และ Prince Chula ขับรถแข่งสีฟ้าสดใส ชื่อ Romulus และ Remus จนเป็นที่เรียกว่าสีพีระ

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงสนพระทัยในงานประพันธ์และประวัติศาสตร์ ทรงนิพนธ์หนังสือไว้ ๑๓ เล่ม โดยเล่มที่สำคัญที่สุดคือ "เกิดวังปารุสก์", "เจ้าชีวิต" และ "ชุมนุมจุลจักรสาร"

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ ด้วยโรคมะเร็ง

95. พุทธธรรม - พระธรรมปิฎก  (เล่มใหญ่มากๆ พ่อเอากลับไปบ้านนอกแล้ว ยัง บ่ได้อ่าน) สุดยอดหนังสือธรรม จากพระอริยะ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เกิดวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ณ บ้านใกล้ริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณบุรี (แม่น้ำท่าจีน) ฝั่งตะวันออก บริเวณตลาดศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี นามเดิมว่า ประยุทธ์ อารยางกูร เป็นบุตรคนที่ ๖ จากบุตรเก้าคน ของนายสำราญ และนางชุนกี อารยางกูร ทางครอบครัวประกอบกิจการค้าขายผ้าแพร ผ้าไหม ขายของชำ และโรงสีไฟ
การศึกษา
เมื่ออายุได้ ๖ ขวบเข้าเรียนอนุบาลในโรงเรียนอนุบาลครูเฉลียวที่ตลาดศรีประจันต์ จบจากระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนประชาบาลชัยศรีประชาราษฎร์ จากนั้นบิดาได้พาเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปเรียนต่อระดับมัธยมที่โรงเรียนวัดปทุมคงคา โดยพักอยู่ที่วัดพระพิเรนทร์ เด็กชายประยุทธ์เป็นเด็กเรียนเก่ง จึงได้รับทุนเรียนดีจากกระทรวงศึกษาธิการจนถึงมัธยมศึกษาตอนต้น และมีความใส่ใจในการเรียนมาก ช่วงเวลาปิดเทอมกลับมาอยู่ที่บ้าน ก็สามารถสอนภาษาอังกฤษแก่น้อง ๆ ได้

การบรรพชา
เนื่องจากเป็นเด็กสุขภาพไม่ใคร่ดีตั้งแต่เล็กจนโต จากคำบอกเล่าของญาติพี่น้องและคนใกล้ชิดกล่าวว่า วัยเยาว์ของท่านจะควบคู่ไปกับการเจ็บป่วยเรื่อยมา เป็นเกือบทุกโรค เป็นต้นว่า หัวใจรั่ว ท้องเสีย ท้องอืด ต้องผ่าตัดถึงสองครั้ง หูเป็นน้ำหนวกอักเสบเข้าไปในกระดูกพรุนถึงโพรงศีรษะ แพ้อากาศ โรคปอด นิ่วในไต หลอดลมอักเสบ กล้ามเนื้อแขนอักเสบ ไวรัสเข้าตา สายเสียงอักเสบ เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองข้างซ้ายเล็กลีบ เป็นต้น จากสุขภาพที่ไม่แข็งแรงเช่นนี้ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียนตามปกติ หลังจากจบมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ทางบ้านจึงสนับสนุนให้ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดบ้านกร่าง ตำบลศรีประจันต์ ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้าน เพราะเล็งเห็นว่าการอยู่ในเพศบรรพชิตจะเอื้ออำนวยต่อการศึกษาได้มากกว่า เพราะไม่ต้องยุ่งยากเดินทางไปโรงเรียน และยังสามารถศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดได้ เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้เริ่มเล่าเรียนทางพระปริยัติธรรม จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาจำพรรษาที่ วัดพระพิเรนทร์ สอบได้นักธรรมเอก และเปรียญธรรม ๙ ประโยค ขณะยังเป็นสามเณร จึงได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รับเป็น นาคหลวง โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาจนกระทั่งได้รับปริญญาพุทธศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ ๑ จาก มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

งาน
หลังจากสอบชุดวิชาครู พ.ม. ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และดำรงตำแหน่งติดต่อกันมาถึง ๑๐ ปี มีบทบาททางด้านการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์ โดยพยายามเชื่อมโยงความรู้ทางธรรมให้เข้ากับปัญหาสังคมร่วมสมัย ในทางด้านการบริหารเคยดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดพระพิเรนทร์ ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๖ และลาออกจากตำแหน่งบริหารหลังจากนั้นในสามปีต่อมา โดยทุ่มเทเวลาและกำลังกายให้กับงานด้านวิชาการ มีผลงานเป็นหนังสือและบทความจำนวนมาก ทั้งร่วมเสวนาและสัมมนาทางวิชาการ กับนักวิชาการและปัญญาชนร่วมสมัยอย่างสม่ำเสมอ หนังสือพุทธธรรม ได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรน้ำเอกของวงการพุทธศาสนา ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ๑๐ กว่าแห่ง และได้รับรางวัล "การศึกษาเพื่อสันติภาพ" จากยูเนสโก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งท่านได้มอบเงินรางวัลทั้งหมดให้แก่กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งกองทุนการศึกษาพระธรรมปิฎกเพื่อสันติภาพ และตีพิมพ์ผลงานหนังสือออกมาอย่างแพร่หลาย พระ ป.อ. ปยุตโต ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นตามลำดับ เป็นพระเทพเวที และพระธรรมปิฎก ซึ่งเป็นนามที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดญานเวศกวัน ตำบลบางระทึก อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และดูแลสำนักสงฆ์สายใจธรรม บนเทือกเขาสำโรงดงยาง ตำบลหนองแหน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา

สมณศักดิ์
พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ "พระศรีวิสุทธิโมลี"
พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นราชที่ "พระราชวรมุนี"
พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นเทพที่ "พระเทพเวที"
พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นธรรม ที่ "พระธรรมปิฎก อดุลญาณนายก ปาพจนดิลกนิวิฐ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
ในมหาวโรกาสที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง ชั้นหิรัณยบัฏ ที่ "พระพรหมคุณาภรณ์ สุนทรธรรมสาธก ตรีปิฎกปริยัติโกศล วิมลศีลาจาร ศาสนภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"

99. ธรรมชาตินานาสัตว์ - บุญส่ง เลขะกุล ชุดนี้มี 3 เล่มนะครับ

หมอบุญส่ง จากนักล่าสุดท้ายของชีวิตมาเป็นนักอนุรักษ์คนสำคัญของประเทศ นักดูนกทุกท่านต้องรู้จักท่านแน่นอน เพราะต้องมีหนังสือ A Guide to The Birds of Thailand เรียบเรียงโดย นายแพทย์ บุญส่ง เลขะกุล และ คุณฟิลลิป ดี.ราวนด์ สุดยอดนักปักษีวิทยาของเมืองไทย  

บุญส่ง เลขะกุล
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

น.พ.บุญส่ง เลขะกุล บนปกนิตยสารเอเชียวีกนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล (15 ธันวาคม พ.ศ. 2450 - 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535) เป็นแพทย์ ช่างภาพ จิตรกร นักเขียน และอาจารย์ มีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิกการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ และสัตว์ป่า ของประเทศไทย

ประวัติ
น.พ.บุญส่ง เกิดที่จังหวัดสงขลา สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ. 2476 และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร

งานอนุรักษ์
ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2480 เป็นต้นมา ซึ่งประเทศไทยได้มีการเร่งรัดสร้างเขื่อนขนาดใหญ่และตัดถนนไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าเป็นอันมาก พ.ศ. 2496 น.พ.บุญส่งและมิตรสหายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้รวมตัวกันจัดตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยน ติดตามสถานการณ์ด้านป่าไม้และสัตว์ป่า โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการที่มีความรู้และประสบการณ์ในการสำรวจป่า

ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 น.พ.บุญส่งและสมาชิกนิยมไพรสมาคมจำนวนหนึ่ง ได้เข้าพบปะกับจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลมีนโยบายและออกกฎหมายคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งจอมพลสฤษดิ์และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามข้อเสนอ จึงได้ออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 (ปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2535) และพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งมีผลบังคับใช้จนปัจจุบัน มีการประกาศผืนป่าขนาดใหญ่หลายแห่งให้เป็นพื้นที่สำคัญ อาทิ ป่าเขาใหญ่ ประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ป่าสลักพระ จ.กาญจนบุรี ประกาศให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และผืนป่าอีกหลายแห่งให้เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ตามกฎหมายดังกล่าว

มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
น.พ.บุญส่งและสมาชิกนิยมไพรสมาคม ยังได้ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์เมื่อ พ.ศ. 2526 โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยเจ้าฟ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินบะระ ทรงเป็นองค์ประธานในงานกาลาดินเนอร์ เนื่องในโอกาสสถาปนามูลนิธิฯ ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพมหานคร

ในปี พ.ศ. 2550 มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพรรณพืชฯ ได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ และองค์กรพันธมิตรด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ขึ้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ณ สยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีและผลงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าของประเทศไทย
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 27

โพสต์

9. เราชะนะแล้ว, แม่จ๋า. - นายผี

ตำนานนายผี ปีศาจบดี มหากวีประชาชน ส่วนหนึ่งจาก
http://www.geocities.com/thaifreeman/pe/pe.html

         อัศนี   พลจันทร เกิดเมื่อวันที่   15   กันยายน   2461  ที่บ้านท่าเสา  ตำบลหน้าเมือง   อำเภอเมือง   จังหวัดราชบุรี   บิดาคือพระมนูญกิจวิมลอรรถ ( เจียร  พลจันทร ) มารดาคือนางสอิ้ง    พลจันทร  ซึ่งหากสืบเชื้อสาย บิดาขึ้นไปจนถึงสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี จะพบว่าต้นตระกูลคือ พระยาพย  เดิมชื่อนายจันทร์  เคยรับกับ พม่าจนได้ชัยชนะ และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รั้งเมืองกาญจนบุรี ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ซึ่งเป็นต้นตระกูลพลจันทร , พลกุล , วงศาไพโรจน          เมื่ออายุได้เพียง 3 เดือน มารดาได้เสียชีวิตไป  เขาถูกทิ้งให้อยู่ในภาระดูแลของย่า ซึ่งเป็นคนเจ้าระเบียบจัด  ส่วนปู่นับเป็นคนมีฐานะระดับเศรษฐี มีกิจการโรงสีและที่นาให้เช่า  นอกจากนั้นยังค้าทอง  ค้าเสาและไม้ฝาง  อัศนีในวัยเด็กจึงเพียบพร้อมด้วยทรัพย์สิน  

ในปี พ.ศ.2464 ได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนประจำจังหวัดราชบุรี   การเดินทาง ไปเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด มีรถม้าส่วนตัวและพี่เลี้ยงคอยรับส่งด้วย
         หลังจากจบชั้นมัธยมปีที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2476 แล้วได้เขามาศึกษาต่อ ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในกรุงเทพมหานคร  จนจบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 8 แผนกภาษา เมื่อปี พ.ศ.2479  จากนั้นจึงเข้าศึกษาวิชากฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง  ได้รับปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิต เมื่อปี พ.ศ.2483

         ความสนใจในศิลปวรรณคดีเริ่มต้นจริงจังในช่วงที่ศึกษาอยู่ที่ธรรมศาสตร์  ปี พ.ศ.2480 ขณะอายุเพียง  19 ปี ได้เขียนบทความโต้ทัศนของ ส.ธรรมยศ เกี่ยวแก่เรื่อง " นิราศลำน้ำน้อย " ( ของพระยาตรัง ) ในชื่อ " นางสาว อัศนี "    นามปากกา " นายผี " ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.2484 ในนิตยสารรายสัปดาห์ เอกชน  ( ก่อตั้งโดยจำกัด  พลางกูร และสด   กูรมะโรหิต  โดยมีจำนง  สิงหเสนีเป็นบรรณาธิการ )  มีงานเขียนบทความใช้นาม "  นายผี   " ในคอลัมน์กวี

       นิตยสารรายสัปดาห์เอกชน ฉบับแรกออกจำหน่ายเมื่อวันที่  11  มกราคม  2484  เพียงช่วง 2-3 เดือน นาม " นายผี " ก็เป็นที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลาย  แม้ว่าจะเป็นเนื้อหา ทางความคิดซึ่งยังคงสะท้อนสังคมในแง่มุมกว้างๆ  กับบทกวี ด่าว่าเสียดสีผู้หญิงที่แต่งตัวไม่เหมาะสม  และการโต้ตอบกับกวีฉันทิชย์  กระแสสินธุ์และหลวงบุญยมานพพาณิชย์ (นายสาง) เกี่ยวกับทัศนในวงการกวีเมืองไทย
         เมื่อวันที่  21 กรกฎาคม ปีเดียวกัน  ผลงานในนามนายผีก็หยุดชะงักลง  เมื่ออัศนี   พลจันทรได้รับการบรรจุเป็น ข้าราชการ ตำแหน่งอัยการฝึกหัด  ชั้นจัตวา อันดับ 7  อัตราเงินเดือน ที่กองคดี  กรมอัยการ  50 บาท

         วิบากกรรมในเส้นทางข้าราชการของอัศนี   พลจันทรเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกิดคดีหนึ่งที่คนในกรมอัยการ ไม่มีใครกล้าฟ้อง  เพราะจำเลยเป็นน้องชายของผู้เรืองอำนาจ ในทางการเมือง  ที่สุดภาระถูกส่งทอดมาถึงอัศนี    คดีนี้ฝ่ายโจทย์ชนะเหนือความคาดหมาย  เป็นผลให้อัศนีโดนคำสั่งย้ายไปอยู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน อันถือเป็นไซบีเรียของเมืองไทย
         ต่อมาได้ย้ายไปประจำที่จังหวัดปัตตานี  เมื่อวันที่  1  มีนาคม  2485 มีเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็น  80  บาท แต่ช่วงนั้น อยู่ระหว่างสงครามจึงต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียร  ต้องเหวี่ยงแหหาปลามากินเอง  ทั้งที่เหลือยังเผื่อ แผ่เจือจาน เพื่อนบ้าน  ซื้อไก่มาเลี้ยงเอาไข่และซื้อแพะมาเลี้ยงไว้รีดนม
         วันหนึ่งอัศนีนั่งเขียนหนังสือเพลินอยู่  แพะย่องเข้ามากินต้นฉบับหมดไปหลายแผ่น  ในเวลาต่อมาฉายา " อัยการแพะ " จึงเป็นคำติดปากชาวบ้านโดยปริยาย    ที่ปัตตานีนี่เองที่อัศนีได้มีโอกาสลงมาคลุกคลี อยู่กับชาวบ้าน สามัญ  เขาพยายามทั้งการศึกษาและวัฒนธรรม  ฝึกอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน  ตลอดไปถึงการไม่กินหมูตามแบบอย่างมุสลิม  กระทั่งเวลาต่อมาเขาถึงขั้นสวมหมวกกาบีเยาะห์ด้วยซ้ำ
         เวลา 2 ปีในปัตตานีเขายืนหยัดทำหน้าที่เคียงข้างคนสามัญผู้เสียเปรียบโดยตลอดสร้างความครึกโครม ในหลายคดี   โดยเฉพาะการสั่งไม่ฟ้องชาวบ้านกว่า 50 คนที่โดนจับด้วยข้อหาไม่สวมหมวกตามนโยบายของจอมพล ป.   พิบูลสงคราม    กระทั่งที่สุดเขาถูกคำสั่งย้ายอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่าเขาเตรียมเข้าร่วมก่อกบฎร่วมกับคนท้องถิ่น  ในวันที่เขาจากมา  ชาวไทยมุสลิมหลายคนร้องห่มร้องไห้ด้วยความอาลัย

        การต้องรับภาระอัยการ  ทำให้อัศนีแทบไม่มีบทกวีในนามนายผีออกมาอีก   ส่วนหนึ่งก็ด้วยเขาใช้เวลา ไปถึงครึ่งปี ในการแปล ภควัทคีตา  จากภาษาสันสกฤต ( ต่อมาลงพิมพ์ในอักษรสาส์น  นับแต่ฉบับเดือนตุลาคม 2493 )
         ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2484 - 2487  รัฐบาลจอมพล ป. ได้ออกวรรณคดีสาร มาเป็นเครื่องมือโฆษณานโยบาย " เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย "  ในนั้นมีบทกวีกว่าครึ่งเล่ม  มุ่งยกย่องนายกรัฐมนตรีและชักชวนให้ผู้อ่านคล้อย ตามนโยบาย ดังกล่าว    ยิ่งในฉบับที่ตรงกับวันเกิดนายกรัฐมนตรีและภริยา  นิตยสารเล่มนี้จะเต็มไปด้วยบทกวีอวยพรวันเกิดทั้งเล่ม   ที่นี่เกิดกวีนักกลอนขึ้นมามากที่เป็นเจ้าประจำ เช่น  พท.หญิงละเอียด  พิบูลสงคราม ,  อรุณ  บุญยมานพ ,  มนตรี  ตราโมท   ประเสริฐ   ทรัพย์สุนทร
         ขณะที่ในเดือนกุมภาพันธุ์  พ.ศ.2487  นายผีได้เริ่มบทกวี ใน นิกรวันอาทิจ (สะกดตามแบบภาษาวิบัติในสมัยนั้น)  ด้วยบทความที่ชื่อ " ทำไมนายผีจึงหายตัวได้ " โดยแจ้งให้ผู้อ่านทราบว่าเหตุที่นายผี หยุดเขียนไประยะหนึ่ง ก็เพราะเกิดมีนักกลอน " ขนัดถนน " คนที่เป็นกวีที่แท้จริงจึงจำต้องหลบไปเสีย  และออกบทกวีใน นิกรวันอาทิจ มุ่งวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสร้างชาติของท่านผู้นำในน้ำเสียงหยามหยัน  จึงเป็นที่เพ่งเล็งของเจ้าพนักงานการพิมพ์  และโดนคำสั่งห้ามตีพิมพ์อีกในเดือนสิงหาคมของปีนั้นเอง
         อีกหนึ่งเดือนต่อมา    อัศนีถูกคำสั่งย้ายมาเป็นอัยการผู้ช่วยที่สระบุรี  เมื่อวันที่   1   มีนาคม  2487   ใช้ชีวิตร่วมกับ วิมล   พลจันทร ในบ้านพักหลังเก่าซึ่งไม่มีใครกล้ามาอยู่ ด้วยต้นมะขามใหญ่หลังบ้านเคยมีคนผูกคอตาย
         ปี พ.ศ.2488 ครอบครัวพลจันทรก็มีลูกสาวเพิ่มเป็นสมาชิกในครอบครัว  ทำให้ปกติที่เงินเดือนชักหน้า ไม่ถึงหลัง อยู่แล้วกลับยิ่งอัตคัด  ทั้งงานเขียนก็ยากที่จะลงพิมพ์เพื่อหวังเป็นรายได้มาจุนเจือได้อีก   ภรรยาของเขาต้องออกตระเวน ซื้อกล้วย   ถั่วหรือข้าวโพดจากไร่มาขาย  บางครั้งต้องไปไกลถึงพระพุทธบาทซึ่งห่างจากสระบุรี 20 กิโลเมตร

         ในระหว่างปี พ.ศ.2489-2490  ในคอลัมน์ " วรรณมาลา "  หนังสือพิมพ์สยามนิกร " นายผีคือใคร? " อธิบาย ความหมายของนามปากกานี้  ที่มักมีผู้เข้าใจเป็นความหมายถึง " ผี " ว่า

   
     นายผีใช่ภูตเพื่อ        ผลีผลาม
เพราะใช้ชื่อนายผี           ผิดแท้
คือองค์อิศวรสาม           เนตรนั่นนะพ่อ
นายพวกผีเพื่อแก้           เก่งผี
     นายปวงปีศาจต้อง   ภูเต  ศวรแฮ
ปีศาจบดีทวี                  ภูตไหว้
กบาลเหล่ากเล              วรห้อย คอฮา
รุทรากษเล็งร้ายให้         ฉิบหาย
     ผิเป็นผีเพื่อผู้           บาปผละ
เป็นภาพผีฟ้าฝาย          แผ่นฟ้า
ผินโกรยแก่บุณยสะ        สมบาป
คือพวกผีข้าอ้า              อดสู


               ทั้งยังมีคำอธิบายศัพท์ต่างๆ ไว้ในตอนท้าย ของโคลงว่า   ภูเตศวร คือ ภูต(ผี)    อิศวร(เจ้าฤานาย)  ก็คือ  นายแห่งผี   ปีศาจบดี คือ ปีศาจ(ผี)   บดี(เจ้าฤานาย)  ก็คือนายแห่งผีอีก   รุทรากษ  คือ  รุทร(พระอิศวรผู้เป็นนายผี)   อักษ(ตา) ก็คือตาพระอิศวรที่มีอยู่สามตา   หน่วยที่นลาตนั้น เปิดขึ้นเป็นไฟไหม้พิภพได้   จึงได้ชื่อว่าเป็นฤษีตาไฟ และเพราะเหตุที่ได้เผาพระกามมอดไหม้ไปเป็นพระอนงค์   จึงเสียงล้อกันว่า นายผีย่อมทำลายกาม  แต่รูปกาม, อาตมันยังอยู่

         ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม  2489  ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลปรีดี   พนมยงค์ กำลังประสบภาวะวิกฤต ทางการเมืองเนื่องจากกรณ๊สวรรคต  คอลัมน์ " วรรณมาลา " ต้องประสบปัญหาอย่างหนัก จากเจ้าพนักงานตรวจข่าว มากยิ่งขึ้น  จนกระทั่งพลเรือตรีถวัลย์  ธรรมรงค์  จัดตั้งรัฐบาลใหม่   ภาวะดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายลง  นายผีกลับ มาเขียน บทกวีวิพากษ์วิจารณ์สังคมและนโยบายของรัฐด้วยท่วงทำนองที่ค่อนข้างรุนแรงและก้าวร้าว  แสดงให้เห็นถึง ความเป็นนักอนาธิปไตยที่ไม่พอใจสังคมเก่า  แต่ยังขาดเป้าหมายทางการเมืองที่แจ่มชัด

          ในช่วงปี พ.ศ.2490-2491  นายผีย้ายมาเขียนประจำในคอลัมน์ " อักษราวลี " ของหนังสือรายสัปดาห์ สยามสมัย   บทกวียิ่งเพิ่มความแข็งกร้าว  โจมตีบุคคลทางการเมืองเป็นรายตัว  ไม่ว่าจะเป็น จอมพล ป.  พิบูลสงคราม , พลโทผิน   ชุณหวัณ , พลโทกาจ   เก่งสงคราม , มรว.คึกฤทธิ์   ปราโมช  ทำให้ยิ่งถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายบ้านเมือง   ถึงขนาดมีคำสั่งให้กำราบกวีปากกล้าคนนี้เสีย    แต่นายผีกลับไม่หวั่นเกรง  เขียนกวีท้าทายไปบทหนึ่งว่า

          ใครใดในโลกนี้          เป็นไฉน
ใช่พ่อนายผีไย                     ขยาดเว้น
ทำชั่วบ่ชอบใจ                    จักด่า
ทำชอบชนเชยเต้น               แต่งแกล้งกลอนสวย

          ในทางราชการ  อัศนีเองเริ่มมีความคิดโต้แย้งมากขึ้น   กระทั่งในปี พ.ศ.2491  ซึ่งร้อยเอกประเสริฐ    สุดบรรทัดอันคบหากันกับนายผีฉันมิตร ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสระบุรี   แต่ถูกข้าหลวงตัดสิทธิ์  อัศนีได้ร้องเรียนไปถึงกรมอัยการ   แต่แล้วในวันที่   10   พฤษภาคม   2491  เขาก็กลับถูกย้ายไปประจำที่อยุธยา  ด้วยเห็นว่า อาของเขาเป็นหัวหน้าอัยการอยู่ที่นั่น จะได้ช่วยควบคุมดูแลไม่ให้ก่อเรื่องได้   และในปีถัดมา  เมื่อวันที่  1   มีนาคม  2492  อัศนีได้เลื่อนขึ้นเป็นข้าราชการชั้นโท  ขณะเดียวกันบทบาทด้านการเมืองของเขายิ่งก้าวไปไกลยิ่งกว่า   ทั้งโดยเปิดเผยและปิดลับ   เมื่อ เปลื้อง     วรรณศรี จะมาปราศรัยหาเสียงที่อยุธยา  นายผีได้เป็นธุระไปขออนุญาต จากข้าหลวงให้เอง  แต่ครึ้งถึงวันปราศรัย  นายอำเภอกลับไม่ยอม  โดยอ้างว่าข้าหลวงไม่อนุญาตแล้ว   จึงเกิดโต้เถียง กันขึ้น  จังหวะหนึ่งนายผีเอื้อมมือจะเกาหลัง  นายอำเภอตกใจคิดว่าจะชักปืนออกมายิง  รีบปั่นจักรยานออกไป     การปราศรัยจึงมีขึ้นได้

         จากกรณีนั้น   มีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เดินทางมาสอบสวน   นายอำเภอถูกย้าย  เช่นเดียวกับอัศนีซึ่งถูกคำสั่ง ย้ายตามหลังไปเมื่อเดือนกรกฎาคม กลับมาประจำที่กองคดี  กรมอัยการ

         ระหว่างปี พ.ศ.2492-2495   ถือเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของนายผี  เขาใช้เวลาส่วนหนึ่งเข้าไปช่วยทำนิตยสาร อักษรสาส์นรายเดือน   ที่สุภา     ศิริมานนท์  อดีต บก.นิกรวันอาทิจ เปิดขึ้น   เพื่อเป็นเวทีแสดงทัศนะในด้านศิลปวรรณคดีและการเมือง   ทั้งนี้ นายผีก็ยังคงเขียนให้กับสยามนิกรและสยามสมัย ควบคู่กันไปด้วย    บทกวีและเรื่องสั้นของนายผี ช่วงนี้ได้ขยายขอบเขตเนื้อหาจากการวิพากษ์วิจารณ์ การเมืองและรัฐบาลในแนวคิดเกี่ยวกับ  ความแตกต่างระหว่างชนชั้น   การกดขี่ขูดรีด และความอยุติธรรมในสังคม   อับอีกส่วนหนึ่งคือการวิพากษ์วิจารณ์สตรีเพื่อกระตุ้นให้เกิดตระหนักถึงบทบาทและคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง   เสนอแนวความคิด เกี่ยวแก่ความรักในรูปแบบใหม่  คือความรักระหว่างชนชั้น และความรัก ในมวลชน   นอกจากนี้ ยังมีบทกวีแสดงแนวคิด ปลุกเร้าประชาชนผู้ยากไร้ และชนชั้นกรรมชีพ ให้ตระหนักถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของตน มีหลายบทที่โดดเด่น  อาทิ " สันติภาพก่อนเพื่อ "   " ความร้อน "  " กำลังอยู่ที่ไหน "  " ทารุณกรรมกลางที่ราบสูง "  โดยเฉพาะบทกวีที่ชื่อ " อีศาน "   ซึ่งลงพิมพ์ในสยามสมัย   เดือนเมษายน  พ.ศ.2495  นับเป็นบทที่สือเลื่อง ในหมู่คนรุ่นหลัง  กระทั่งกลายเป็นตัวแทนของนายผีไปแล้ว    ยิ่งเฉพาะท่อนท้ายสุด ...

           ในฟ้าบ่อมีน้ำ            ในดินซ้ำมีแต่ทราย
น้ำตาที่ตกราย                     คือเลือดหลั่งลงโลมดิน
สองมือเฮามีแฮง                 เสียงเฮาแย้งมีคนยิน
สงสารอีศานสิ้น                  อย่าซุด,สู้ด้วยสองแขน
พายุยิ่งพัดอื้อ                     ราวป่ารื้อราบทั้งแดน
อีศานนับแสนแสน               สิจะพ่ายผู้ใดหนอ?

         จิตร    ภูมิศักดิ์  ได้เขียนวิจารณ์บทกวีชิ้นนี้ใน ปิตุภูมิ  ฉบับเดือนกุมภาพันธุ์   2500  ในนามปากกา  ศิลป์  พิทักษ์ชน  ว่า ตีแผ่ความยากเข็นของชีวิต และปลุกเร้าวิญญาณการต่อสู้ของประชาชน ได้อย่างเพียบพร้อมมีพลัง ทั้งเชิดชูนายผีเป็น  "   มหากวีของประชาชน   "

         ลุถึงวันที่  10  พฤศจิกายน พ.ศ.2495 รัฐบาลจอมพล ป. ได้จับกุมนักเขียน,นักหนังสือพิมพ์และนักการเมือง จำนวนมากในเหตุการณ์ที่เรียกว่า  "กบฎสันติภาพ" นายผีเองได้ถูกตำรวจไปคอยดักจับที่บ้าน   จึงต้องร่อนเร่หลบซ่อน อยู่นอกบ้าน    กระทั่งเย็นวันหนึ่งเขาแอบเข้าไปเก็บเสื้อผ้าเอาลูกเล็กสองคนมากอด  สั่งภรรยา ให้ซื้อผ้าห่มกันหนาว ให้ลูก   แล้วก็หายตัวไปนับแต่บัดนั้น    ทั้งยังยื่นหนังสือลาป่วยติดต่อกันสามเดือนไปยังหน่วยงานสังกัด  แต่ไม่ทันครบระยะก็ยื่นหนังสือลาออกในวันที่  31  ธันวาคม  พ.ศ.2495

    ในห้วงเวลาที่นายผีหลบซ่อนนี้   นายผีก็ยังวนเวียนอยู่ในกรุงเทพมหานคร  ทั้งยังสร้างผลงานวรรณกรรม ขึ้นมาสองเรื่อง  คือ บทกวียาว " ความเปลี่ยนแปลง "  และเรื่องยาวคำฉันท์  " เราชนะแล้วแม่จ๋า "  และขณะเดียวกัน นายผีก็ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอันเพิ่งก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่  1  ธันวาคม   2485  จึงนับเป็น สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุคแรกๆ  

     ผลงานของนายผีปรากฎอีกครั้งระหว่างเดือนมีนาคม  2496 - พฤษภาคม  2497   เป็นเรื่องสั้นจำนวนสี่เรื่อง   ลงพิมพ์ในสยามสมัย  ต่อมาปี พ.ศ.2501  ได้มีบทความ ปรากฏในนิตยสารสายธาร  และบทกวีในปิยมิตรวันจันทร์  กระทั่งถึงเดือนมีนาคม   2502  ก็หยุดไป และมีเรื่องสั้นส่งมาตีพิมพ์อีกในปี พ.ศ.2503 ก่อนจะหายตัวไปจากพระนคร

         ในปี พ.ศ.2504   ชื่ออัศนี    พลจันทรปรากฏอีกครั้งในฐานะ "   สหายไฟ   " โดยได้รับเลือกเป็น หนึ่งในยี่สิบคน ของ คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย   ต่อมาในปี พ.ศ.2505   ผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์ฯ ระดับสูงในนาม รวมวงศ์     พันธุ์ถูกจับกุมตัวและถูกคำสั่งประหารชีวิต  โดยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์    ธนะรัชต์  ทำให้ศูนย์การนำต้องโยกย้ายออกจากกรุงเทพมหานคร     สหายไฟและสหายลม(ภรรยา)  ถูกส่งไปกรุงฮานอย ก่อนเดินทางเข้าสู่เมืองคุนหมิง  มณฑลยูนานของ ประเทศจีนในเวลาต่อมา

         ชื่อเสียงของนายผีหอมกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง   หลังเหตุการณ์  14  ตุลาคม   2516  เมื่อนักศึกษาหัวก้าวหน้ากลุ่มต่างๆนำผลงาน ทั้งบทกวี  เรื่องสั้น  เรื่องแปลและ บทวิจารณ์วรรณกรรม มารวมเล่ม ออกจำหน่าย   ทำให้ผลงานของนายผีเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย  และขยายขอบเขตรับรู้ออกไปกว้างขวาง

         ในเขตป่าเขา  นายผียังคงเขียนบทกวีและศึกษาศิลปวรรณคดีอย่างแพร่หลายคือ " เพลงคิดถึงบ้าน " หรือ " เดือนเพ็ญ "  นามปากกาซึ่งเคยปรากฏใช้ : นายผี ,  อินทรายุทธ , กุลิศ  อินทุศักดิ์  ,  ประไฟ   วิเศษธานี ,  กินนร  เพลินไพร ,  หง   เกลียวกาม  ,  จิล  พาใจ , อำแดงกล่อม , นางสาวอัศนี  
--------------------------------------------------------------------------------
เดือนเพ็ญกลับบ้าน

         ปี  พ.ศ.2518  ประเทศลาวได้เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยขบวนการคอมมิวนิสต์สายโซเวียต  อันใช้กำลังหลัก จากพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม  พรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทยต้องตัดสินใจ ว่าจะใช้ทฤษฏี " โดมิโน "  สายโซเวียต ที่ยึดแนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วย การใช้กองกำลังต่างชาติเข้าสนับสนุน  หรือจะยึดตามอย่าง สายจีน  ที่เน้นใช้วิธีเปลี่ยนแปลงความคิดประชาชาติ  ปลุกเร้าอุดมการณ์รอจนกว่า  จะเกิดความสุขงอมทางความคิด  ในประชาชาตินั้นๆเอง

         ส่วนหนึ่งรับข้อเสนอของคอมมิวนิสต์สายโซเวียต เตรียมการปฏิวัติโดยกองกำลังตลอดแนวลำน้ำโขง อันเชื่อมต่อประเทศไทย   ในฐานะระดับนำคนหนึ่ง  นายผีได้คัดค้านการใช้กองกำลัง    ยืนยันการเปลี่ยนแปลง ปฏิวัติประเทศต้องเกิดจากเงื่อนไขของสังคมไทย  และโดยคนไทยด้วยกันเอง   จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สหายไฟ ต้องถูกจำกัดการเคลื่อนไหวตลอดเวลาของการอยู่ในลาว   กระทั่งสถานการณ์ขัดแย้ง ระหว่างจีนและเวียดนาม ถึงจุดแตกหัก    พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  ซึ่งถูกระบุว่าเป็น  คอมมิวนิสต์สายจีน   จึงต้องเคลื่อนย้ายผู้คน ออกจากลาว   และนายผีได้กลับเข้ามาที่ฝั่งไทย ในปี พ.ศ.2522

         ปี พ.ศ.2526  หลังวันครบรอบวันเกิดนายผีไม่นาน   ได้เกิดศึกภูเมี่ยงขึ้นในเขตน่านเหนือ    ด้วยความเสียหายอย่างหนัก ทำให้นายผีต้องเดินทาง ข้ามลำน้ำโขงไปเจรจาขอซื้อข้าวกับกรรมการกลางเขตหงสาของลาว     ขณะนั้นเกิดการแตกพ่ายของฐานที่มั่นเขต 4  ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  จังหวัดน่าน ในยุทธการล้อมปราบ ของรัฐบาล    นับตั้งแต่การแตกหนี เข้าสู่ฝั่งลาวในครั้งนั้น   นายผีและพลพรรคสหายที่หนีเข้าสู่ลาว ถูกปลดอาวุธและจำกัดบริเวณ   ขณะที่ป้าลม (วิมล    พลจันทร - ภรรยา)  ติดตามขบวนใหญ่ซึ่งเคลื่ออนลงเขตน่านใต้ เป็นจุดเริ่มต้นของความพลัดพรากตลอดกาล!  และป้าลม จึงได้คืนกลับสู่ นาครในเวลาต่อมา

            นับแต่ปี พ.ศ.2526  ซึ่งพลัดพรากจากกัน  นายผีอยู่ฐานที่มั่นฝั่งลาว   มีบรรดาเยาวกวี  ปัญญาชนหนุ่มสาว ต่างแวะเวียนมาปรับทุกข์   ในความขัดแย้ง สถานการณ์ปฏิวัติ   นายผีผู้เฒ่าจะตรวจงานเขียน   พร้อมคำวิจารณ์และให้กำลังใจ  ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ ภายในพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มส่อเค้าความขัดแย้งทางความคิด   ระอุด้วยบรรยากาศอันเกิดแต่การแย่งชิงการชี้นำ ความคิดทางการเมือง    บรรยากาศ เช่นนั้นเอง  ที่สร้างความเบื่อหน่ายให้แก่เหล่าปัญญาชนปฏิวัติ   กระทั่งแปรมาเป็นการ ตั้งคำถาม  และตรวจสอบเป้าหมาย  จนตัดสินใจคืนสู่นาครในที่สุด
         ที่นั่นนายผีดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง   มักโดนตำหนิวิจารณ์จาก สหายนำด้านทฤษฏีว่า  เป็นศักดินาปฏิวัติ  บ้างก็ว่าเป็น  ปัญญาชนนายทุนน้อย   หรือไม่ก็เป็นวีรชนเอกชน   ด้วยลักษณะเฉพาะตัวของนายผี ที่สุรชัย   จันทิมาธร บันทึกไว้ว่า " เขาเป็นคนหัวแข็งดื้อรั้น  สิ่งใดไม่ถูกเขาจะสู้หัวชนฝา  " ขณะอยู่ที่ลาว นายผีต้องได้รับความเจ็บปวดจากโรครูมาตอย  ช่วงที่มีอากาศหนาวมัก จะล้มหมอนนอนเสื่อ  กระดุกกระดิกไม่ได้ด้วยปวดตามกระดูกข้อต่อ    และเจ็บป่วยด้วย โรคกระเพาะเรื้อรังอันกลายมาเป็นมะเร็งในลำไส้

         กระทั่งเมื่อวันที่  28   พฤศจิกายน  พ.ศ.2530   นายผีได้เสียชีวิตลงที่แขวงอุดมไชย  ประเทศลาว    อีกหลายปี ต่อมาป้าลมได้ข่าวเป็นที่แน่ชัดว่านายผีได้เสียชีวิตแล้วจริง   ป้าลมปรารถนานำกระดูกนายผีกลับมา ประกอบพิธี ศาสนาแต่ก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง   ด้วยฐานะตำแหน่งนายผีในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยนั้น มีความสำคัญ  อีกทั้ง กระบวนทัศนะถูกจัดนับอยู่ฝ่ายโต้แย้ง   ผนวกกับการเมือง ของภูมิภาคอินโดจีน อันซับซ้อน  ถึงแม้ว่านายผี จะละร่างไปแล้ว   ทว่าเพียงกระดูกที่เหลืออยู่ ก็เปรียบเสมือนพลังอันยังบรรจุเต็ม ด้วยศักยภาพมากพอที่จะส่งผล กระทบหรือเกิดปัจจัย เคลื่อนไหวบางอย่าง

         สิบปีต่อมาหลังจากการเสียชีวิตของนายผี คือในปี พ.ศ.2540 ป้าลมร่วมกับกลุ่มมิตรสหายซึ่งศรัทธาในตัวนายผี  เช่น  กลุ่มเครือข่ายเดือนตุลาฯ ,  กลุ่มศิลปินเพลงเพื่อชีวิต , กลุ่มนักเขียน  ได้ติดต่อนำกระดูกนายผีกลับบ้าน ด้วยการติดต่อผ่านสถานทูตและประสานกับสมาคมมิตรภาพไทย-ลาว   ในวันที่  21   พฤศจิกายน   2540  ป้าลม พร้อมด้วย สุรชัย    จันทิมาธรและแสวง    รัตนมงคลมาศ  ข้ามฝั่งลำน้ำโขง  เข้าสู่เวียงจันทน์   จึงได้พบกับภาพถ่าย สุดท้ายของนายผี  เป็นภาพชายชราในลักษณะ อ่อนโรยด้วยอายุ และเชื้อไข้  ผมสีดอกอ้อเพิ่มมากกว่าที่เคยเห็น   ทว่านัยน์ตานั้น ยังเปล่งประกายบริสุทธิ์เยี่ยงเดียวกับคืนวันเก่าก่อน    ซึ่งเป็นภาพถ่าย ที่ถ่ายโดยทางการเวียดนาม เมื่อครั้งเข้า พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลฮานอย ก่อนหน้า การเสียชีวิตไม่ถึงเดือน   คำแรกข้องป้าลม ที่เอ่ยออกมา ต่อรูปถ่ายนายผีคือ " คุณอัศ  กลับบ้าน!! "
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 28

โพสต์

11.บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ - จิตร ภูมิศักดิ์
58. โฉมหน้าศักดินาไทย - จิตร ภูมิศักดิ์
89. ความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ - จิตร ภูมิศักดิ์  


นักคิดนักเขียนคนสำคัญ เสียดายที่ตายตั้งแต่อายุไม่มาก

จากจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จิตร ภูมิศักดิ์ (25 กันยายน พ.ศ. 2473 ต. ประจันตคาม อ. ประจันตคาม จ. ปราจีนบุรี 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 ต. บ้านหนองกุง อ. วาริชภูมิ จ. สกลนคร) เป็นนักคิดด้านการเมือง นักประวัติศาสตร์ และนักภาษาศาสตร์ นับเป็นนักปราชญ์และนักปฏิวัติทางความคิดและวิชาการคนสำคัญของประเทศไทย จิตรเป็นนักวิชาการคนแรกๆ ที่กล้าถกเถียงและคัดค้านปราชญ์คนสำคัญ ด้วยวิธีคิดที่มีเหตุผลและลุ่มลึก มีความโดดเด่นจากผลงานการค้นคว้าทางวิชาการที่แปลกใหม่และลึกซึ้ง ขณะเดียวกันจิตรยังมีความคิดต่อต้านระบบเผด็จการและการใช้อำนาจกดขี่ของชนชั้นสูงมาโดยตลอด

จิตรเป็นบุตรของ นายศิริ ภูมิศักดิ์ และนางแสงเงิน ภูมิศักดิ์ มีชื่อเดิมว่า สมจิตร ภูมิศักดิ์ แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น จิตร เพียงคำเดียว ตามนโยบายตั้งชื่อให้ระบุเพศชายหญิงอย่างชัดเจน ของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม

การศึกษา
เมื่อปี พ.ศ. 2479 จิตรติดตามบิดา ซึ่งรับราชการเป็นนายตรวจสรรพสามิต เดินทางไปรับราชการยังจังหวัดกาญจนบุรี และเข้ารับการศึกษาชั้นประถม ที่โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนั้น จิตรย้ายมาอยู่ที่สมุทรปราการ เมื่อปี พ.ศ. 2483 บิดาของจิตรย้ายไปรับราชการในเมืองพระตะบอง ซึ่งสมัยนั้นเป็นเมืองในการปกครองของไทย (ปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา) จิตรจึงย้ายตามไปด้วย และได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมที่นั่น

ถึงปี พ.ศ. 2490 ประเทศไทย ต้องคืนดินแดนเมืองพระตะบองให้กัมพูชา จิตรจึงอพยพตามมารดากลับเมืองไทย ส่วนบิดานั้นไปเริ่มชีวิตครอบครัวใหม่กับหญิงอื่น ระหว่างที่ครอบครัวภูมิศักดิ์ ยังอยู่ที่พระตะบอง นางแสงเงินเดินทางไปค้าขายที่จังหวัดลพบุรี ขณะที่จิตรและพี่สาว เดินทางมาศึกษาต่อในกรุงเทพมหานคร โดยจิตรเข้าเรียนที่โรงเรียนเบญจมบพิตร และสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในที่สุด


แนวคิดและการต่อสู้
ชื่อเสียงของ จิตร ภูมิศักด์ น่าจะโด่งดังในสาธารณชนวงกว้างเป็นครั้งแรก จากกรณี โยนบก เมื่อครั้งที่เขาเป็นสาราณียากร ให้กับหนังสือประจำปี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2496. ในครั้งนั้นเขาได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่ "ซ้ำ ๆ ซาก ๆ" ของหนังสือประจำปี โดยลงบทความสะท้อนปัญหาสังคม ประณามผู้เอารัดเอาเปรียบในสังคม ซึ่งรวมถึงรัฐบาลด้วย รวมทั้งชี้ให้เห็นค่านิยมอันไม่ถูกต้อง ซึ่งผู้คนนับถือกันมานาน โดยบทความเหล่านั้น มีทั้งที่จิตรเขียนเอง ร่วมแก้ไข หรือเพื่อน ๆ คนอื่นเขียน. ผลก็คือ ระหว่างการพิมพ์หนังสือได้ถูกตำรวจสันติบาลอายัด และมีการ "สอบสวน" จิตรที่หอประชุมใหญ่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในเหตุการณ์นั้น จิตรถูกกลุ่มนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งศาลเตี้ยจับ "โยนบก" ลงจากเวทีหอประชุม ทำให้จิตรได้รับบาดเจ็บต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวอยู่หลายวัน. ต่อมาทางมหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโทษและมีมติให้จิตร ภูมิศักดิ์ถูกพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปี คือในปี พ.ศ. 2497[1]

ระหว่างถูกพักการเรียน จิตรได้ไปสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนอินทรศึกษา แต่สอนได้ไม่นาน ก็ถูกให้ออก เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีหัวก้าวหน้ามากเกินไป. จิตรจึงไปทำงานกับหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เอง ที่จิตรได้สร้างสรรค์ผลงานการวิจารณ์ที่มีคุณค่าต่อวงวิชาการไทยหลายเรื่อง เช่น การวิจารณ์วรรณศิลป์ วิจารณ์หนังสือ วิจารณ์ภาพยนตร์ โดยใช้นามปากกา "บุ๊คแมน" และ "มูฟวี่แมน"

เดือนตุลาคม พ.ศ. 2508 จิตรได้เดินทางสู่ชนบทภาคอีสาน เพื่อเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในนาม สหายปรีชา และถูกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 ที่ ตำบลบ้านหนองกุง อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร


ผลงาน
จิตรมีความสามารถในด้านภาษาศาสตร์อย่างมาก และยังมีความสามารถระดับสูงในด้านอื่น ๆ เช่น ประวัติศาสตร์ ถือว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลของไทยคนหนึ่ง. ในด้านภาษาศาสตร์นั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญในภาษาฝรั่งเศส ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาเขมร โดยเฉพาะภาษาเขมรนั้น จิตรมีความเชี่ยวชาญทั้งภาษาเขมรปัจจุบันและภาษาเขมรโบราณด้วย นอกจากนี้ จิตรได้เขียนพจนานุกรมภาษาละหุ (มูเซอ) โดยเรียนรู้กับชาวมูเซอขณะอยู่ในคุกลาดยาว. ในตอนแรก ชาวมูเซอไม่สามารถพูดภาษาไทยได้, จิตรเองก็ไม่สามารถพูดภาษามูเซอได้เช่นกัน. แต่ด้วยความสามารถ เขาสามารถเรียนรู้ระบบของภาษา และนำมาใช้ได้อย่างน่าอัศจรรย์.


งานเขียนชิ้นเด่น
หนังสือ "ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาวและขอม และลักษณะทางสังคม ของชื่อชนชาติ" *
หนังสือ "โฉมหน้าศักดินาไทย" *

หนังสือ "ภาษาและนิรุกติศาสตร์"
หนังสือ "โองการแช่งน้ำ และ ข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา"
หนังสือ "ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม"
เพลง "ภูพานปฏิวัติ"
เพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา"
บทกวี "เธอคือหญิงรับจ้างแท้ใช่แม่คน"
บทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ *
ผลงานที่มี * ข้างท้าย หมายถึงถูกคัดเลือกให้อยู่ใน รายชื่อหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน


นามปากกา
นามปากกาของจิตรมีเป็นจำนวนมาก เช่น นาคราช1, ศูลภูวดล1, ศรีนาคร, ทีปกร, สมสมัย ศรีศูทรพรรณ1, ศิลป์ พิทักษ์ชน, สมชาย ปรีชาเจริญ, สุธรรม บุญรุ่ง, ขวัญนรา, สิทธิ ศรีสยาม1, กวีการเมือง, กวี ศรีสยาม, บุคแมน, มูฟวี่แมน (มูวี่แมน), ศิริศิลป์ อุดมทรรศน์1, จักร ภูมิสิทธิ์2

หมายเหตุ: 1 หมายถึง ใช้เพียงครั้งเดียว, 2 เป็นคำผวนของชื่อ จิตร ภูมิศักดิ์
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 29

โพสต์

12. จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย - ทวีปวร

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันเสาร์ที่ 9 เมษายน 2548 หน้า 1,15.

นายทวีป วรดิลก เจ้าของนามปากกา "ทวีปวร" และ "กฤษณ์ วรางกูร" เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2471 ที่บ้านริมคลองวัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของอำมาตย์โท พระทวีปธุรประศาสน์(วร วรดิลก นามสกุลเดิม พรหมบุตร) อดีตเจ้าเมืองกระบี่และชลบุรี กับนางทวีปธุรประศาสน์(จำรัส ชีวกานนท์) เป็นน้องชายของสุวัฒน์ วรดิลก ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ.2534 สมรสกับกานดา วรดิลก เจ้าของนามปากกา "นารียา" ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในวรรณคดีของจีนผู้หนึ่ง

นายทวีปเข้าเรียนเตรียมปริญญา มธก.รุ่นที่ 6 ในปี พ.ศ.2486 และศึกษาต่อวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยเดียวกัน โดยในปี พ.ศ.2488 ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการนักศึกษา และทำหน้าที่บรรณาธิกรของวารสารธรรมจักรของสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวัย 21 ปี เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของจิตร ภูมิศักดิ์ กวีคนสำคัญของยุคสมัย ในช่วงดังกล่าวได้เขียนบทกวีชื่อ "เหนือนิรันดร" ซึ่ง ร.จันทรพิมพะ นักประพันธ์มีชื่อในยุคนั้นได้ส่งไปให้สุภา ศิริมานนท์ บรรณาธิการนิตยสารอักษรสาส์น พิจารณา ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารอักษรสาส์นทันที หลังจากนั้นบทกวีของ "ทวีปวร" ในแนวกวีเพื่อชีวิต เพื่อประชาชน จึงเริ่มเป็นที่รู้จัก และวรรคทองจากบทกลอนบางชิ้นได้รับการจดจำไปใช้ในการปลุกใจ เช่น "ชัยชนะจะสมปองต้องต่อสู้"

ช่วง พ.ศ.2494-2495 นายทวีป วรดิลก รับหน้าที่บรรณาธิการแผนกวรรณคดีของอักษรสาส์นแทน อัศนี พลจันทร์ หรือ "นายผี" ซึ่งช่วงนี้เองที่บทกวีของเขาได้มีส่วนโน้มนำให้คนคิดถึงอุดมคติในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม พูดถึงความรักความเมตตาปรานีต่อกัน อันเป็นสะพานทอดไปสู่สันติสุขในโลก จนทำให้เขาเกือบถูกจับในข้อหากบฏ ที่เรียกว่า "กบฏสันติภาพ" ในปี พ.ศ.2495 ในช่วงต่อมาเขาได้เข้าสู่วงการนักหนังสือพิมพ์เต็มตัว ทั้งที่หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย สยามนิกร สุภาพบุรุษ-ประชามิตร และเสียงอ่างทอง จนเมื่อมีการกวาดจับนักคิด นักเขียน และนักการเมืองในช่วงต้นทศวรรษ 2500 นายทวีปก็ถูกจับข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ.2503 โดยที่เรือนจำลาดยาวนี่เอง ที่นายทวีปได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงอันกึกก้องชิ้นหนึ่งคือ มาร์ช "เทิดสิทธิมนุษยชน" โดยมี จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นผู้แต่งทำนอง

หลังจากได้รับการปลดปล่อย นายทวีป วรดิลก หันมาประกอบวิชาชีพทนายความ และตำแหน่งสุดท้ายเป็นกรรมการที่ปรึกษาบริษัท มติชน จำกัด(มหาชน)

ผลงานของ นายทวีป วรดิลก มีหลากหลายประเภท อาทิ ประเภทกวีนิพนธ์ในนามปากกา "ทวีปวร" มีรวมอยู่ใน เพลงแห่งอรุณ ทะเลชีวิต จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย ประเภทชีวประวัติ เช่น ชีวิตและงาน 30 ผู้นำสำคัญของโลก, คนของโลก, ประวัติศาสตร์จีนหลังสงครามฝิ่นถึงปฏิวัติซินไฮ่ ประเภทรวมกวีนิพนธ์แปล เช่น งานของหลู่ซิ่น, เหมา เจ๋อ ตุง, โจว เอน ไหล ประเภทงานแปล เช่น บทละคร "จูเลียต ซีซาร์", "แฮมเล็ท" ของเช็คสเปียร์ "คนขี่เสือ", "พระแม่เจ้าทองคำ" ของภวานี ภัฏฏาจารย์(อินเดีย) รวมเรื่องสั้นของ แมกซิม กอร์กี้(รัสเซีย ) เป็นต้น

นอกจากนี้ก็ยังมีข้อเขียนเชิงวิชาการ และบทความอื่นๆ อีกจำนวนมากโดยผลงานชิ้นสุดท้ายคือ "จิตร ภูมิศักดิ์ ที่ข้าพเจ้ารู้จัก" และผลงานสำคัญในยุคหลังอีกเล่มคือ "ประวัติศาสตร์จีน" ทั้งนี้เป็นผู้ที่มีความรู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนมากที่สุดคนหนึ่ง

ทั้งนี้ นายทวีป วรดิลก ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปีพุทธศักราช 2538
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

อ่านกันไปแล้วกี่เล่มครับ.. 100 หนังสือที่คนไทยควรอ่าน

โพสต์ที่ 30

โพสต์

แนะนำ หนังสือ 1 เล่ม ครับ เล่มนี้มีอยู่ที่บ้าน อ่านไปนิดๆหน่อยๆ

หนังสือชื่อ นักเขียนเก่าไม่มีวันตาย อนุสรณ์ "96 ปี กุหลาบ สายประดิษฐ์-72 ปีคณะสุภาพบุรุษ"

อ่านเล่มนี้แล้วจะรู้จักนักเขียนมากมายครับ เพราะหนังสือ 100 เล่ม เหล่านี้ มีจำนวนมากที่เป็นผลิตผลอันยอดเยี่ยม ของเหล่าสุภาพบุรุษครับ

ว่าไปแล้วผมรู้จักนักเขียนมากมาย จากหนังสือ  ต่วย'ตูน ในยุคเก่าๆ ยุคนี้เคยลองซื้อมาอ่านแล้วไม่ถูกใจครับ ชอบของเก่าๆ คือ เป็นหนังสือที่เยี่ยมมากๆ สมัยเรียน ป.ตรี เมื่อก่อนผมชอบอ่านระหว่างเข้าห้องน้ำ หรือเป็นหนังสืออ่านเล่น เวลาเบื่อหนังสือเรียน ช่วงเวลาอ่านหนังสือสอบ

เริ่มแรกเลยไม่ได้ซื้อครับ เป็นหนังสือที่เขามาทิ้งไว้ข้างกองขยะในหอพัก ผมเก็บมาได้เป็นกอง เขาก็เอามาทิ้งเรื่อยๆ ผมก็ตามเก็บ ส่วนใหญ่เป็นฉบับเก่าๆ ยุดแรกๆ กลางๆก็มีครับ แต่ข้อมูลในเล่มไม่เก่าเลยครับ สุดยอดความรู้ทั้งนั้น หลังๆเขาไม่ทิ้งแล้วผมก็ซื้อเองบ้าง แต่อ่านนักเขียนยุคหลังแล้วไม่มันเท่ายุคนู้นครับ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วนะครับ บริจาคไปหมดแล้วเสียดายเหมือนกัน อ่านมันมาก วางไม่ลงเลยครับ


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ต่วยตูน เป็นนิตยสารพ็อกเกตบุ๊กรายปักษ์ รวมเรื่องสั้นและขำขัน ก่อตั้งโดย วาทิน ปิ่นเฉลียว หรือ "ต่วย" เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2514 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันบริหารงานโดยบุตรของวาทิน คือ ดาว ปิ่นเฉลียว และ ดุลย์ ปิ่นเฉลียว

เมื่อ พ.ศ. 2509 วาทิน ปิ่นเฉลียว และ ประเสริฐ พิจารณ์โสภณ นักเขียนจากนิตยสารชาวกรุง ร่วมกันตั้งสำนักพิมพ์ชื่อ "สำนักพิมพ์ประเสริฐ-วาทิน" และรวบรวมการ์ตูนที่วาทินวาดในนิตยสารชาวกรุง รวมเล่มเป็นพ็อกเกตบุ๊กในชื่อ "รวมการ์ตูนของต่วย" พิมพ์ออกมาขายเป็นชุดๆ ต่อมาจึงพิมพ์เรื่องสั้น โดยขอต้นฉบับจากบรรดานักเขียนอาวุโส และเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เป็นนักเขียนในสมัยนั้น เช่น หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, รัตนะ ยาวะประภาษ, นพพร บุญยฤทธิ์, วสิษฐ เดชกุญชร รวมกับการ์ตูนของวาทิน ออกเป็นนิตยสารรายสะดวก ใช้ชื่อว่า "รวมการ์ตูนต่วยและเรื่องขำขันจากชาวกรุง"

รวมการ์ตูนต่วยและเรื่องขำขันจากชาวกรุง ต้นกำเนิดของ ต่วยตูนต่อมามีคนท้วงติงว่า ชื่อหนังสือยาวเกินไปเรียกยากจำยาก จึงตัดชื่อหนังสือเหลือ ต่วยตูน และเริ่มพิมพ์เป็นรายเดือนฉบับแรกเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2514 และพิมพ์ ต่วยตูน พิเศษ เป็นนิตยสารรายเดือน มีเนื้อหาเกี่ยวเกร็ดประวัติศาสตร์ เรื่องน่ารู้ เรื่องลึกลับ เรื่องแปลกและเรื่องผี ฉบับแรกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2517

งานเขียนในต่วยตูน ค่อนข้างหลากหลาย ประกอบด้วยนักเขียนจากหลายวิชาชีพ ทั้งแพทย์ ครู วิศวกร ทหาร ตำรวจ นักการเมือง ข้าราชการ แบ่งออกได้เป็นหลายยุค

ยุคแรก ประกอบด้วยนักเขียน ได้แก่ ประมูล อุณหธูป (ทองคำเปลว), หลวงเมือง, กระจกฝ้า, ลาวัลย์ โชตามระ (จอหงวน อัมพร หาญนภา), 'รงค์ วงษ์สวรรค์, ระวี พรเลิศ, ชิน ดนุชา,รัตนะ ยาวะประภาษ, นพพร บุญยฤทธิ์, วสิษฐ เดชกุญชร และนักเขียนอาวุโส เช่น ฮิวเมอร์ริสต์ (อบ ไชยวสุ), หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช, พลอากาศเอกหะริน หงสกุล, ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์

ยุคที่สอง เป็นนักเขียนมีชื่อจากนิตยสารชาวกรุง มาจากหลายสาขาอาชีพ ได้แก่ ปัญญา ฤกษ์อุไร, ชาตรี อนุเธียร, ประเทือง ศรีสุข, วิชัย สนธิชัย, ประจักษ์ ประภาวิทยากร , โอภาส โพธิ์แพทย์, อุดร จารุรัตน์, เสรี ชมภูมิ่ง, อนันต์ แจ้งกลีบ

ยุคที่สาม เตชะพิทย์ แสงสิงห์แก้ว เขียนเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่น, ชัยชนะ โพธิวาระ เขียนเรื่องเกี่ยวกับอินเดีย, ฉุ่ย มาลี, พัฒนพงศ์ พ่วงลาภ

ยุคที่สี่ เริ่มใช้นักเขียนรุ่นใหม่ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เยาวชนรักการอ่าน และสร้างนักเขียนใหม่ขึ้นมา เช่น พล.อ.โอภาส โพธิแพทย์, สุขุม นวลสกุล, ทัศน์ทรง ชมภูมิ่ง, ขุนสรรพันเรือง, โปรดเถิดดวงใจ ฯลฯ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
โพสต์โพสต์