ยุโรป น่าเที่ยว
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
ยุโรป น่าเที่ยว
โพสต์ที่ 1
ยุโรป เป็น "ทวีปที่น่าเที่ยวที่สุดในโลก" ในสายตาของนักท่องเที่ยวผู้ช่ำชอง เพราะยุโรปเป็นทวีปที่รวมซึ่งโลกเก่าที่ไม่เปลี่ยนแปลง และโลกใหม่ของยุคเทคโนโลย ีที่รุดหน้ากว่าใคร เป็นทวีปที่รวมไว้ซึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงที่สุดทางโบราณคดี อารยธรรม และธรรมชาติสารพัด รูปแบบที่แปลกตา ในแต่ละปีช่วงที่น่าเที่ยวที่สุด ของยุโรป อยู่ระหว่าง เดือนเมษายน-ตุลาคม เป็นเวลาที่อากาศดี และสถานที่ท่องเที่ยว ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สวนพฤกษาชาติ หรือพระบรมมหาราชวังต่าง เปิดให้นักท่องเที่ยว เข้าชม (กรุณาเช็คกับทางบริษัทช่วงที่ปิดในฤดูหนาว) อนึ่งในระหว่างฤดูท่องเที่ยวของยุโรป แต่ละประเทศก็มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนับล้านคนมาแล้วทุกปี ที่ควรทราบมี;
ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.) เป็นช่วงเดือนที่ยุโรปกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีความวิเวกวังเวงและเยือกเย็นของฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้วดอกไม้ใบหญ้าเริ่มผลิดอกออกใบ แสงแดดอ่อน ๆ สีทองเรืองรองเริ่มสาดส่องลงมาเสียงนกเจื้อยแจ้วรับฤดูใหม่ อันมีชีวิตชีวาสร้างความกระปี้กระเปร่าให้กับธรรมชาติแวดล้อม อย่างมากมาย นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเรานิยมไปเยือนยุโรปช่วงนี้มากที่สุด เพราะอยู่ระหว่างโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน และที่สำคัญคือเป็นช่วง ที่ดอกไม้ ในยุโรปเบ่งบานงดงามที่สุด โดยเฉพาะในฮอลแลนด์ มีงานเทศกาลดอกทิวลิป และสวนพฤกษชาติ เคอเคนฮอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของ มวลดอกไม้นานาพันธ์สอดสีสวยงาม เปิดให้เข้าชมตอนกลาง เม.ย-กลาง พ.ค. เท่านั้นอากาศกำลังสบายน่าเที่ยว อุณหภูมิเฉลี่ย 12-22 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน. (มิ.ย.-ส.ค.)
ฤดูแห่งความอบอุ่น และมีชีวิตของยุโรป ระหว่าง3-4 เดือนนี้ ทวีปยุโรปจะสว่างไสวไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่นที่สุดในรอบปีในแต่ละวันจะมีแดด ให้เห็นจนถึง 4 ทุ่มจึงพลบค่ำ แม้แต่ชาวยุโรปผู้รักธรรมชาติเองก็พากนลาพักร้อนไปตากอากาศ หรือพักผ่อนกันอย่างมากมาย สถานที่ ท่องเที่ยว อันเป็นที่โปรดปรานที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ เม.ย.-ต.ค.อาทิ เมืองตุ๊กตามาดูโรดัม ในฮอลแลนด์ อุทยานน้ำพุทิโวลี ที่กรุงโรม และเรือล่องแม่น้ำไรน์ ในเยอรมัน อากาศโดยทั่วไปเย็นตอนเช้าตรู่ และหัวค่ำ กลางวันร้อนแต่ไม่อบอ้าว อุณหภูมิเฉลี่ย 18-30 ซ.
ฤดูใบไม้ร่วง.(ก.ย.-พ.ย.)
โดยทั่วไปยังอบอุ่นเช่นเดียวกับฤดูร้อนที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปเปิดตามปกติ เช่น ฤดูร้อนจนกระทั่งปลายเดือน ต.ค. อากาศจึงเริ่มเย็นขึ้น แต่ยังถือเป็นฤดูน่าเที่ยวของยุโรปอยู่ เนื่องจากใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวสด เป็น เหลืองปนน้ำตาลแดง สอดสีเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งทวีป อากาศกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ย 10-18 ซ.
ฤดูหนาว. (ธ.ค.-มี.ค.)
ถึงแม้เดือนแห่งความอบอุ่นของฤดูร้อนจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยุโรปก็ยังเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นเมืองหนาวอย่างน่าชมทีเดียว ประเทศที่มี ภูเขาสูง (อิตาลี, สวิส, ฝรั่งเศส) จะมีหิมะปกคลุมอยู่ขาวนวล ถึงอากาศจะเย็น แต่นักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากก็ยังหลั่งไหลมายุโรป มาเพื่อสัมผัสกับ บรรยากาศอันสุขสงบของหิมะเมืองหนาว ยุโรป ฤดูนี้จะเงียบ ไม่พลุกพล่าน หรือแออัดด้วยนักท่องเที่ยวดังในฤดูร้อนอุณหภูมิเฉลี่ย 1-10 ซ. (-10)
ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค.-พ.ค.) เป็นช่วงเดือนที่ยุโรปกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่มีความวิเวกวังเวงและเยือกเย็นของฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้วดอกไม้ใบหญ้าเริ่มผลิดอกออกใบ แสงแดดอ่อน ๆ สีทองเรืองรองเริ่มสาดส่องลงมาเสียงนกเจื้อยแจ้วรับฤดูใหม่ อันมีชีวิตชีวาสร้างความกระปี้กระเปร่าให้กับธรรมชาติแวดล้อม อย่างมากมาย นักท่องเที่ยวจากประเทศไทยเรานิยมไปเยือนยุโรปช่วงนี้มากที่สุด เพราะอยู่ระหว่างโรงเรียนปิดภาคฤดูร้อน และที่สำคัญคือเป็นช่วง ที่ดอกไม้ ในยุโรปเบ่งบานงดงามที่สุด โดยเฉพาะในฮอลแลนด์ มีงานเทศกาลดอกทิวลิป และสวนพฤกษชาติ เคอเคนฮอฟ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของ มวลดอกไม้นานาพันธ์สอดสีสวยงาม เปิดให้เข้าชมตอนกลาง เม.ย-กลาง พ.ค. เท่านั้นอากาศกำลังสบายน่าเที่ยว อุณหภูมิเฉลี่ย 12-22 องศาเซลเซียส
ฤดูร้อน. (มิ.ย.-ส.ค.)
ฤดูแห่งความอบอุ่น และมีชีวิตของยุโรป ระหว่าง3-4 เดือนนี้ ทวีปยุโรปจะสว่างไสวไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่นที่สุดในรอบปีในแต่ละวันจะมีแดด ให้เห็นจนถึง 4 ทุ่มจึงพลบค่ำ แม้แต่ชาวยุโรปผู้รักธรรมชาติเองก็พากนลาพักร้อนไปตากอากาศ หรือพักผ่อนกันอย่างมากมาย สถานที่ ท่องเที่ยว อันเป็นที่โปรดปรานที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ เม.ย.-ต.ค.อาทิ เมืองตุ๊กตามาดูโรดัม ในฮอลแลนด์ อุทยานน้ำพุทิโวลี ที่กรุงโรม และเรือล่องแม่น้ำไรน์ ในเยอรมัน อากาศโดยทั่วไปเย็นตอนเช้าตรู่ และหัวค่ำ กลางวันร้อนแต่ไม่อบอ้าว อุณหภูมิเฉลี่ย 18-30 ซ.
ฤดูใบไม้ร่วง.(ก.ย.-พ.ย.)
โดยทั่วไปยังอบอุ่นเช่นเดียวกับฤดูร้อนที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปเปิดตามปกติ เช่น ฤดูร้อนจนกระทั่งปลายเดือน ต.ค. อากาศจึงเริ่มเย็นขึ้น แต่ยังถือเป็นฤดูน่าเที่ยวของยุโรปอยู่ เนื่องจากใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวสด เป็น เหลืองปนน้ำตาลแดง สอดสีเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งทวีป อากาศกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ย 10-18 ซ.
ฤดูหนาว. (ธ.ค.-มี.ค.)
ถึงแม้เดือนแห่งความอบอุ่นของฤดูร้อนจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ยุโรปก็ยังเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นเมืองหนาวอย่างน่าชมทีเดียว ประเทศที่มี ภูเขาสูง (อิตาลี, สวิส, ฝรั่งเศส) จะมีหิมะปกคลุมอยู่ขาวนวล ถึงอากาศจะเย็น แต่นักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากก็ยังหลั่งไหลมายุโรป มาเพื่อสัมผัสกับ บรรยากาศอันสุขสงบของหิมะเมืองหนาว ยุโรป ฤดูนี้จะเงียบ ไม่พลุกพล่าน หรือแออัดด้วยนักท่องเที่ยวดังในฤดูร้อนอุณหภูมิเฉลี่ย 1-10 ซ. (-10)
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
ยุโรป น่าเที่ยว
โพสต์ที่ 2
ฤดูร้อน. (มิ.ย.-ส.ค.)
ฤดูแห่งความอบอุ่น และมีชีวิตของยุโรป ระหว่าง3-4 เดือนนี้ ทวีปยุโรปจะสว่างไสวไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่นที่สุดในรอบปีในแต่ละวันจะมีแดด ให้เห็นจนถึง 4 ทุ่มจึงพลบค่ำ แม้แต่ชาวยุโรปผู้รักธรรมชาติเองก็พากนลาพักร้อนไปตากอากาศ หรือพักผ่อนกันอย่างมากมาย สถานที่ ท่องเที่ยว อันเป็นที่โปรดปรานที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ เม.ย.-ต.ค.อาทิ เมืองตุ๊กตามาดูโรดัม ในฮอลแลนด์ อุทยานน้ำพุทิโวลี ที่กรุงโรม และเรือล่องแม่น้ำไรน์ ในเยอรมัน อากาศโดยทั่วไปเย็นตอนเช้าตรู่ และหัวค่ำ กลางวันร้อนแต่ไม่อบอ้าว อุณหภูมิเฉลี่ย 18-30 ซ.
ฤดูแห่งความอบอุ่น และมีชีวิตของยุโรป ระหว่าง3-4 เดือนนี้ ทวีปยุโรปจะสว่างไสวไปด้วยแสงแดดอันอบอุ่นที่สุดในรอบปีในแต่ละวันจะมีแดด ให้เห็นจนถึง 4 ทุ่มจึงพลบค่ำ แม้แต่ชาวยุโรปผู้รักธรรมชาติเองก็พากนลาพักร้อนไปตากอากาศ หรือพักผ่อนกันอย่างมากมาย สถานที่ ท่องเที่ยว อันเป็นที่โปรดปรานที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ เม.ย.-ต.ค.อาทิ เมืองตุ๊กตามาดูโรดัม ในฮอลแลนด์ อุทยานน้ำพุทิโวลี ที่กรุงโรม และเรือล่องแม่น้ำไรน์ ในเยอรมัน อากาศโดยทั่วไปเย็นตอนเช้าตรู่ และหัวค่ำ กลางวันร้อนแต่ไม่อบอ้าว อุณหภูมิเฉลี่ย 18-30 ซ.
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
ยุโรป น่าเที่ยว
โพสต์ที่ 3
อิตาลีอยู่ในตอนใต้ของทวีปยุโรป และตอนเหนือของแอฟริกา โดยมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พื้นที่ร้อยละ 75 เป็นภูเขาและที่ราบสูง
ทิศเหนือติดประเทศสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ทิศใต้ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลไอโอเนียน ทิศตะวันตกติดประเทศฝรั่งเศสและทะเลไทเรเนียน ทิศตะวันออกติดทะเลอาเดรียติก และอยู่ตรงข้ามกับสโลเวเนีย โครเอเชีย บอสเนีย มอนเตเนโกร และแอลเบเนีย
ออร์เดอร์ออฟมอลตา ซานมาริโน แอลเบเนีย และไซปรัสอยู่ในความดูแลของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม เนื่องจากไทยไม่มีตัวแทนทางการทูตในประเทศดังกล่าว
อิตาลีมีเนื้อที่ 116,303 ตารางไมล์ หรือ 301,225 ตารางกิโลเมตร นอกจากพื้นที่ที่เป็นคาบสมุทรแล้ว อิตาลียังประกอบด้วยเกาะซาร์ดิเนียและซิซิลีด้วย พื้นที่ร้อยละ 57 เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ร้อยละ 21 เป็นป่าและภูเขา
ภูมิอากาศ แบบเมดิเตอร์เรเนียน
ประชากร 58.6 ล้านคน ความหนาแน่นของประชากร 193 คน ต่อ 1 ตารางกม. อัตราการเพิ่ม 0.0% มีประชากรในวัยทำงาน (workforce) 24.3 ล้านคน (โดยอยู่ในภาคบริการ 63 % ภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ 32 % ภาคเกษตร 5% และว่างงาน 7.9%) เชื้อชาติ ส่วนใหญ่คืออิตาเลียน และมีชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอื่นๆคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส สโลเวเนีย และแอลเบเนีย
ผู้หญิงอิตาลีมีบุตรจำนวนน้อยที่สุดในสหภาพยุโรป (1.33 คน โดยเฉลี่ย)
เมืองหลวง โรม (Rome) ประชากร 2.7 ล้านคน
เมืองสำคัญ โรม มิลาน เนเปิลส์ ตูริน เจนัว
ภาษาราชการ อิตาเลียน และมีภาษาเยอรมันเป็นภาษารอง โดยเฉพาะบริเวณแคว้น Trentino-Alto Adige ที่ติดกับออสเตรีย และภาษาฝรั่งเศสในแคว้น Valle dAosta นอกจากนี้ สามารถใช้ภาษาสเปนกับชาวอิตาเลียนได้ อนึ่ง ในอิตาลีมีภาษาท้องถิ่น อาทิ TUSCAN dialect
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (98%) แต่ให้เสรีภาพทุกศาสนาอิตาลีรับรองสถานะพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการตั้งแต่มีนาคม ค.ศ. 2000
สกุลเงิน ยูโร (Euro)
วันหยุดราชการ วันขึ้นปีใหม่, วัน Epiphany (6 ม.ค.), วัน Easter Sunday and Monday วัน Liberation Day (25 เม.ย), วันแรงงาน (1 พ.ค.), วัน Assumption (15 ส.ค.), วัน All Saints Day (1 พ.ย.),วัน Immaculate Conception (8 ธ.ค.), วัน Christmas (25-26 ธ.ค.)
ประธานาธิบดี Mr. Giorgio Napolitano (นายจอร์จิโอ้ นาโปลิตาโน่)
นายกรัฐมนตรี Mr. Romano Prodi (นายโรมาโน โพรดี)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Mr. Massimo D'Alema (นายมาสซิโม่ ดาเลม่า)
ประธานสภาผู้แทนราษฎร Mr. Fausto Bertinotti
อิตาลีเพิ่งมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 9 เมษายน 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งประชากรอิตาลีในประเทศไทยสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของอิตาลีได้เป็นครั้งแรกในปีนี้โดยทางไปรษณีย์
ไทยและอิตาลีมีความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ โดยผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการจะสามารถเดินทางไปราชการที่ประเทศอิตาลีได้ภายในระยะเวลา 90 วัน
การขอวีซ่าไปอิตาลี จะสามารถทำได้โดยโทร 1900 222 344 (Italian Visa Call Center) เพื่อนัดเวลายื่นเอกสารทำวีซ่า โดยจะต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม มิฉะนั้นอาจถูกปฏิเสธและต้องโทรนัดใหม่
เอกสารประกอบการทำวีซ่าอิตาลี มีดังนี้
1. จดหมายรับรองการทำงานจากบริษัทหรือนายจ้าง
2. สำเนายอดบัญชีในธนาคาร 4 เดือนล่าสุด
3. หลักฐานรับรองความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่ประเทศอิตาลี
4. สำเนาการจองตั๋วเครื่องบิน ระบุวันที่เดินทางไปกลับ
5. เอกสารรับรองการจองที่พักหรือจดหมายเชิญ
6. เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เดินทางไปกับบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่ง จะต้องมีหนังสือยินยอมจากบิดาหรือมารดาที่ไม่ได้ไปด้วย ซึ่งเขตหรืออำเภอเป็นผู้ออกเอกสาร
7. ใบอนุญาตทำงาน และวีซ่ากลับเข้าไทย (กรณีคนต่างด้าว)
8. สำเนาการประกันสุขภาพ(ภาษาอังกฤษหรืออิตาเลียน)วงเงินขั้นต่ำ 30,000 ยูโร
World Economic Forum จัดให้อิตาลีอยู่ลำดับที่ 82 ในการจัดลำดับความง่ายในการทำธุรกิจ (Rankings on the Ease of Doing Business หรือ Global Competitiveness Index) ในปี 2550 (ไทยอยู่ลำดับที่ 18)
การเมืองการปกครอง
บริเวณที่เป็นอิตาลีในปัจจุบันมีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ 800 ปีก่อนคริสตกาล และถูกรวมอยู่ในอาณาจักรโรมันตะวันตกในระหว่างศตวรรษที่ 1-5 จากนั้นกลายเป็นสมรภูมิหลายครั้งในความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างสันตปาปาที่กรุงโรมกับจักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (the Holy Roman Empire) ดินแดนภาคกลางและภาคเหนือของอิตาลีเริ่มรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้าในศตวรรษที่ 11 และเสื่อมลงหลังศตวรรษที่ 16 แต่ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 อิตาลีเข้าสู่ยุค Renaissance และได้เป็นแหล่งกำเนิดศิลปวิทยาการตลอดจนวรรณกรรมชิ้นเอกจำนวนมากที่เป็นพื้นฐานของอารยธรรมตะวันตกยุคต่อมา อาทิ ผลงานของ Machiavelli, Boccaccio, Petrash, Tasso, Raphael, Botticelli, Michaelangelo และ Leonardo da Vinci ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เกิดขบวนการชาตินิยมที่นำไปสู่การรวมอิตาลีได้ทั้งหมด ในปี ค.ศ.1870 และจากนั้นมาจนปี ค.ศ. 1922 อิตาลีอยู่ภายใต้ระบบกษัตริย์ที่มีรัฐสภาและการเลือกตั้งแบบจำกัด
ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 อิตาลีเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี แต่กลับมาเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงเกือบสิ้นสุดสงครามในปี ค.ศ. 1915 จึงได้รับดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาอยู่ใต้อิตาลี ในปี ค.ศ. 1922 Benito Mussolini ขึ้นมามีอำนาจกว่า 2 ทศวรรษต่อมา อิตาลีตกอยู่ใต้ระบอบ Fascism ซึ่งเรียกกันว่า Corporate State โดยยังมีกษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐเพียงในนาม
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลีเข้าข้างฝ่ายอักษะ แต่หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ในปี ค.ศ. 1943 มุสโสลินีถูกกษัตริย์ปลดจากตำแหน่ง นายพล Pietro Badaglio ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และอิตาลีหันไปประกาศสงครามกับเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบกษัตริย์ถูกล้มเลิก และอิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1948 ซึ่งยังใช้มาจนปัจจุบัน
ระบบการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญอิตาลีกำหนดให้อิตาลีมีรูปแบบการปกครอง ฅามระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย โดยมีประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ มีนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหาร และมีฝ่ายตุลาการแยกเป็นอิสระ
ประธานาธิบดี ได้รับเลือกตั้งจาก รัฐสภาและผู้แทนภูมิภาค (Regional Representatives) ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 7 ปี
ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นาย Giorgio Napolitano (จอร์จิโอ้ นาโปลิตาโน่) เป็นตำแหน่งประมุขของประเทศ มีอำนาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คัดค้านการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ และยุบสภา
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ นาย Romano Prodi เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปนโยบายการเงินการคลัง เข้ารับหน้าที่เมื่อเดือนมิถุนายน 2549
นายกรัฐมนตรีเป็นผู้จัดตั้งคณะรัฐบาล (Council of Ministers) โดยได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดี ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บางทีเรียกว่า President of the Council of Ministers จึงอาจเกิดความสับสนได้
ระบบการเลือกตั้งของอิตาลีในปัจจุบัน เป็นการลงคะแนนเสียงผสมระหว่างแบบเสียงข้างมาก (first-past-the post) ร้อยละ 75 และแบบสัดส่วนอีกร้อยละ 25 การเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีเมื่อวันที่ 9-10 เม.ย. 49 อิตาลีได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นเวลา 2 วัน โดยมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 37.98 ล้านคน เท่ากับร้อยละ 83.6 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 45.43 ล้านคน โดยในส่วนของการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร กลุ่มพันธมิตรกลางซ้าย นำโดยนายโรมาโน โพรดี (Romano Prodi) ได้รับชัยชนะเหนือกลุ่มพันธมิตรกลางขวา นำโดยนายซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ (Silvio Berlusconi) นายกรัฐมนตรีคนก่อน โดยได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งร้อยละ 49.8 ต่อ ร้อยละ 49.7 ซึ่งมีผลให้กลุ่มพันธมิตรกลางซ้ายได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 348 ที่นั่ง ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรกลางขวาได้ 281 ที่นั่ง และมีพรรคอิสระได้ 1 ที่นั่ง ส่วนผลการเลือกตั้งวุฒิสภาอิตาลี กลุ่มพันธมิตรกลางซ้ายได้รับเลือกตั้งมากกว่ากลุ่มพันธมิตรกลางขวาเพียงสองเสียง โดยได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 50.2 ต่อ ร้อยละ 48.9 นับเป็นที่นั่งในสภา 158 ที่นั่ง ต่อ 156 ที่นั่ง โดยมีพรรคอิสระได้ 1 ที่นั่ง
รวมทั้งได้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ โดยเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสมาชิกรัฐสภาและผู้ว่าการรัฐ แทนนาย Azeglio Ciampi ซึ่งหมดวาระ ผลปรากฏว่านายจอร์จิโอ้ นาโปลิตาโน (Giorgio Napolitano) ได้รับชัยชนะด้วยคะแนน 543 จาก 1010 คะแนน โดยนายนาโปลิตาโนได้ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 49 และประธานาธิบดีคนใหม่ได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคือนายโรมาโน โพรดี ผู้นำกลุ่มพรรคพันธมิตรกลางซ้ายซึ่งเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในระหว่างปี พ.ศ. 2539 -2541 และประธานกรรมาธิการสหภาพยุโรปในระหว่างปีพ.ศ. 2532-2537 การแต่งตั้งนายโพรดีและครม.ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19 และ 23 พ.ค.49 ตามลำดับ
การเลือกตั้งของอิตาลีจะมีขึ้นทุก 5 ปี หรือเร็วกว่านั้น การเลือกตั้งของทั้ง 2 สภาจะมีขึ้นในเวลาเดียวกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี
รัฐสภา รัฐสภาอิตาลีประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ประธานรัฐสภาได้แก่ประธานสภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies) การบัญญัติกฎหมายใดๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภาวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกทั้ง 2 สภาคือ 5 ปี และการเลือกตั้งจะทำพร้อมกันทั้ง 2 สภา โดยจะมีขึ้น ทุก 5 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากประธานาธิบดีไม่อาจสรรหานายกรัฐมนตรีที่สามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลให้ทั้ง 2 สภาให้ความเห็นชอบได้ การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายคือเมื่อวันที่ 9 - 10 เมษายน 2549 (เลือก 2 วันโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนมาลงคะแนนมากขึ้น) สภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies/Camera dei Deputati)
ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 630 คน โดย 475 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอีก 155 คนมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจากแคว้นต่างๆ (regional proportion representation) ผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งจะต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบันคือนาย วุฒิสภา (Senate/Senato della Repubblica) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 326 คน โดย 315 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป (popular vote) จากแคว้น (regions) ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีวุฒิสมาชิกตลอดชีพอีกจำนวนหนึ่ง (ปัจจุบันมี 7 คน) ซึ่งจะแต่งตั้งจากบุคคลชั้นนำของสังคม ประธานวุฒิสภาคนปัจจุบันคือนาย Franco Marini โดยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2549
การปกครองส่วนท้องถิ่น อิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 แคว้น
หรือภูมิภาค (regions) (และแบ่งเป็น 94 จังหวัด) ได้แก่ Abruzzo, Basilicata, Calabria,Campania, Emilia-Romagna,Fuiuli-Venezia Giulia, Lazio,Liguria, Lombardia, Marche,Molise, Piemonte, Puglia,Sardegna (Sardinia), Sicilia (Sicily)Toscana, Trentino-Alto Adige, Umbria, Valle dAosta, Veneto,โดยมี 5 แคว้นคือ Fuiuli-Venezia Giulia,Sardinia, Sicily, Trentino-Alto Adige, และ Valle dAosta ได้รับสถานะพิเศษตามรัฐธรรมนูญให้ปกครองตนเอง
ในแต่ละแคว้นจะมีองค์กรการปกครองหลักอยู่ 3 องค์กร คือ
- คณะมนตรีแคว้น (Regional Council) ทำหน้าที่ตรากฎหมายและระเบียบข้อบังคับในเขตอำนาจ
- คณะมนตรีกรรมการ (The Junta) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร
- ประธานคณะกรรมการ (The President of the Junta) ทำหน้าที่คล้ายนายกรัฐมนตรีในเขตอำนาจ แต่ทั้งนี้ ก็จะมีผู้แทนของรัฐบาลคนหนึ่งอยู่ประจำ ณ นครหลวงของแคว้นนั้นๆ คอยควบคุมดูแลการบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นและทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับรัฐบาลกลาง
บทบาทของอิตาลีในเวทีระหว่างประเทศ
บทบาทของอิตาลีทางด้านการเมืองระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่อิตาลีเป็นประธานสหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 1996 โดยมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาตะวันออกกลาง การส่งกองกำลังเข้าไปรักษาสถานการณ์ในยูโกสลาเวียและแอลเบเนีย การคัดค้านการเสนอขอให้เยอรมนีและญี่ปุ่นเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ การผลักดันให้อิตาลีเข้าสู่สหภาพเศรษฐกิจการเงิน (Economic and Monetary Union - EMU) กลุ่มแรกในปี ค.ศ.1999 นอกจากนี้ อิตาลีได้สนใจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้น โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างภาครัฐบาลและภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายให้มากขึ้น
ในเรื่องการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ อิตาลีไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มจำนวนสมาชิกถาวรอีก 2 ประเทศ (ญี่ปุ่นและเยอรมนี) เพราะจะทำให้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีอภิสิทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก และเห็นว่าคณะมนตรีความมั่นคงฯ ควรปฏิรูปโดยการเพิ่มจำนวนสมาชิกไม่ถาวรฯ และให้ประเทศเล็กได้เข้าเป็นสมาชิก โดยให้เพิ่มจำนวน 8-10 ที่นั่ง และใช้ระบบหมุนเวียนตามสัดส่วนของภูมิภาค (ถ้าเพิ่ม 10 ที่นั่ง 5 ที่นั่งควรเป็นของทวีปแอฟริกาและเอเชีย 2 ที่นั่งเป็นของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา 2 ที่นั่งเป็นของยุโรปตะวันตกและ 1 ที่นั่งเป็นของยุโรปตะวันออก) โดยมีวาระดำรงตำแหน่งครั้งละ 2 ปี แต่ไม่เกิน 4 ปีติดต่อกัน ทั้งนี้ สมัชชาฯ จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเลือกสมาชิกไม่ถาวร โดยผู้รับเลือกจะต้องได้รับคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกสมัชชาฯ และห้ามเลือกตั้งซ้ำและลงสมัครติดต่อกัน
- อิตาลีมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบูรณะ Kosovo และคาบสมุทรบอลข่าน โดยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาว Kosovo ในรูปของโครงการพัฒนาต่างๆ รวมทั้งสร้างที่พักและสถานพยาบาล ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ผู้ลี้ภัย หรือ Operation Rainbow ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากชาวอิตาเลียน นอกจากนี้ยังบริจาคให้การปฏิบัติงานของ UNHCR ให้ความช่วยเหลือสำหรับการฟื้นฟูบูรณะโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ผ่านองค์กรกองทุนระหว่างประเทศสำหรับการพัฒนาการเกษตร (IFAD) และ UNOPS และให้กับโครงการอาหารโลก (WFP) สำหรับผู้ได้รับผลกระทบวิกฤตการณ์ในคาบสมุทรบอลข่าน นอกจากนั้น รัฐบาลอิตาลียังหาทางให้นักธุรกิจอิตาลีมีช่องทางเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนงานและกระบวนการประมูลในโครงการฟื้นฟูบูรณะคาบสมุทรบอลข่านตั้งแต่ต้น รวมทั้งกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้าไปมีบทบาทในการสร้างตลาดการค้าที่ทันสมัยในคาบสมุทรบอลข่าน และรัฐบาลยังเพิ่มบทบาทในการสร้างเครือข่ายในภูมิภาคเพื่อการร่วมมือกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ในภูมิภาค ควบคู่ไปกับการเร่งกระชับความสัมพันธ์
ทวิภาคีกับประเทศในภูมิภาคยุโรปใต้
ทิศเหนือติดประเทศสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ทิศใต้ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลไอโอเนียน ทิศตะวันตกติดประเทศฝรั่งเศสและทะเลไทเรเนียน ทิศตะวันออกติดทะเลอาเดรียติก และอยู่ตรงข้ามกับสโลเวเนีย โครเอเชีย บอสเนีย มอนเตเนโกร และแอลเบเนีย
ออร์เดอร์ออฟมอลตา ซานมาริโน แอลเบเนีย และไซปรัสอยู่ในความดูแลของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม เนื่องจากไทยไม่มีตัวแทนทางการทูตในประเทศดังกล่าว
อิตาลีมีเนื้อที่ 116,303 ตารางไมล์ หรือ 301,225 ตารางกิโลเมตร นอกจากพื้นที่ที่เป็นคาบสมุทรแล้ว อิตาลียังประกอบด้วยเกาะซาร์ดิเนียและซิซิลีด้วย พื้นที่ร้อยละ 57 เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ร้อยละ 21 เป็นป่าและภูเขา
ภูมิอากาศ แบบเมดิเตอร์เรเนียน
ประชากร 58.6 ล้านคน ความหนาแน่นของประชากร 193 คน ต่อ 1 ตารางกม. อัตราการเพิ่ม 0.0% มีประชากรในวัยทำงาน (workforce) 24.3 ล้านคน (โดยอยู่ในภาคบริการ 63 % ภาคอุตสาหกรรมและพาณิชย์ 32 % ภาคเกษตร 5% และว่างงาน 7.9%) เชื้อชาติ ส่วนใหญ่คืออิตาเลียน และมีชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอื่นๆคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส สโลเวเนีย และแอลเบเนีย
ผู้หญิงอิตาลีมีบุตรจำนวนน้อยที่สุดในสหภาพยุโรป (1.33 คน โดยเฉลี่ย)
เมืองหลวง โรม (Rome) ประชากร 2.7 ล้านคน
เมืองสำคัญ โรม มิลาน เนเปิลส์ ตูริน เจนัว
ภาษาราชการ อิตาเลียน และมีภาษาเยอรมันเป็นภาษารอง โดยเฉพาะบริเวณแคว้น Trentino-Alto Adige ที่ติดกับออสเตรีย และภาษาฝรั่งเศสในแคว้น Valle dAosta นอกจากนี้ สามารถใช้ภาษาสเปนกับชาวอิตาเลียนได้ อนึ่ง ในอิตาลีมีภาษาท้องถิ่น อาทิ TUSCAN dialect
ศาสนา คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (98%) แต่ให้เสรีภาพทุกศาสนาอิตาลีรับรองสถานะพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการตั้งแต่มีนาคม ค.ศ. 2000
สกุลเงิน ยูโร (Euro)
วันหยุดราชการ วันขึ้นปีใหม่, วัน Epiphany (6 ม.ค.), วัน Easter Sunday and Monday วัน Liberation Day (25 เม.ย), วันแรงงาน (1 พ.ค.), วัน Assumption (15 ส.ค.), วัน All Saints Day (1 พ.ย.),วัน Immaculate Conception (8 ธ.ค.), วัน Christmas (25-26 ธ.ค.)
ประธานาธิบดี Mr. Giorgio Napolitano (นายจอร์จิโอ้ นาโปลิตาโน่)
นายกรัฐมนตรี Mr. Romano Prodi (นายโรมาโน โพรดี)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Mr. Massimo D'Alema (นายมาสซิโม่ ดาเลม่า)
ประธานสภาผู้แทนราษฎร Mr. Fausto Bertinotti
อิตาลีเพิ่งมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 9 เมษายน 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งประชากรอิตาลีในประเทศไทยสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของอิตาลีได้เป็นครั้งแรกในปีนี้โดยทางไปรษณีย์
ไทยและอิตาลีมีความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ โดยผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการจะสามารถเดินทางไปราชการที่ประเทศอิตาลีได้ภายในระยะเวลา 90 วัน
การขอวีซ่าไปอิตาลี จะสามารถทำได้โดยโทร 1900 222 344 (Italian Visa Call Center) เพื่อนัดเวลายื่นเอกสารทำวีซ่า โดยจะต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม มิฉะนั้นอาจถูกปฏิเสธและต้องโทรนัดใหม่
เอกสารประกอบการทำวีซ่าอิตาลี มีดังนี้
1. จดหมายรับรองการทำงานจากบริษัทหรือนายจ้าง
2. สำเนายอดบัญชีในธนาคาร 4 เดือนล่าสุด
3. หลักฐานรับรองความรับผิดชอบด้านค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่ประเทศอิตาลี
4. สำเนาการจองตั๋วเครื่องบิน ระบุวันที่เดินทางไปกลับ
5. เอกสารรับรองการจองที่พักหรือจดหมายเชิญ
6. เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่เดินทางไปกับบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่ง จะต้องมีหนังสือยินยอมจากบิดาหรือมารดาที่ไม่ได้ไปด้วย ซึ่งเขตหรืออำเภอเป็นผู้ออกเอกสาร
7. ใบอนุญาตทำงาน และวีซ่ากลับเข้าไทย (กรณีคนต่างด้าว)
8. สำเนาการประกันสุขภาพ(ภาษาอังกฤษหรืออิตาเลียน)วงเงินขั้นต่ำ 30,000 ยูโร
World Economic Forum จัดให้อิตาลีอยู่ลำดับที่ 82 ในการจัดลำดับความง่ายในการทำธุรกิจ (Rankings on the Ease of Doing Business หรือ Global Competitiveness Index) ในปี 2550 (ไทยอยู่ลำดับที่ 18)
การเมืองการปกครอง
บริเวณที่เป็นอิตาลีในปัจจุบันมีการตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่ 800 ปีก่อนคริสตกาล และถูกรวมอยู่ในอาณาจักรโรมันตะวันตกในระหว่างศตวรรษที่ 1-5 จากนั้นกลายเป็นสมรภูมิหลายครั้งในความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างสันตปาปาที่กรุงโรมกับจักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (the Holy Roman Empire) ดินแดนภาคกลางและภาคเหนือของอิตาลีเริ่มรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้าในศตวรรษที่ 11 และเสื่อมลงหลังศตวรรษที่ 16 แต่ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 อิตาลีเข้าสู่ยุค Renaissance และได้เป็นแหล่งกำเนิดศิลปวิทยาการตลอดจนวรรณกรรมชิ้นเอกจำนวนมากที่เป็นพื้นฐานของอารยธรรมตะวันตกยุคต่อมา อาทิ ผลงานของ Machiavelli, Boccaccio, Petrash, Tasso, Raphael, Botticelli, Michaelangelo และ Leonardo da Vinci ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เกิดขบวนการชาตินิยมที่นำไปสู่การรวมอิตาลีได้ทั้งหมด ในปี ค.ศ.1870 และจากนั้นมาจนปี ค.ศ. 1922 อิตาลีอยู่ภายใต้ระบบกษัตริย์ที่มีรัฐสภาและการเลือกตั้งแบบจำกัด
ในช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 อิตาลีเป็นพันธมิตรกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี แต่กลับมาเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงเกือบสิ้นสุดสงครามในปี ค.ศ. 1915 จึงได้รับดินแดนบางส่วนของออสเตรียมาอยู่ใต้อิตาลี ในปี ค.ศ. 1922 Benito Mussolini ขึ้นมามีอำนาจกว่า 2 ทศวรรษต่อมา อิตาลีตกอยู่ใต้ระบอบ Fascism ซึ่งเรียกกันว่า Corporate State โดยยังมีกษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐเพียงในนาม
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อิตาลีเข้าข้างฝ่ายอักษะ แต่หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรยึดเกาะซิซิลีได้ในปี ค.ศ. 1943 มุสโสลินีถูกกษัตริย์ปลดจากตำแหน่ง นายพล Pietro Badaglio ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน และอิตาลีหันไปประกาศสงครามกับเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบกษัตริย์ถูกล้มเลิก และอิตาลีเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐในระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1946 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1948 ซึ่งยังใช้มาจนปัจจุบัน
ระบบการเมืองการปกครอง รัฐธรรมนูญอิตาลีกำหนดให้อิตาลีมีรูปแบบการปกครอง ฅามระบอบสาธารณรัฐแบบประชาธิปไตย โดยมีประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ มีนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหาร และมีฝ่ายตุลาการแยกเป็นอิสระ
ประธานาธิบดี ได้รับเลือกตั้งจาก รัฐสภาและผู้แทนภูมิภาค (Regional Representatives) ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 7 ปี
ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นาย Giorgio Napolitano (จอร์จิโอ้ นาโปลิตาโน่) เป็นตำแหน่งประมุขของประเทศ มีอำนาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี คัดค้านการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ และยุบสภา
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน คือ นาย Romano Prodi เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักปฏิรูปนโยบายการเงินการคลัง เข้ารับหน้าที่เมื่อเดือนมิถุนายน 2549
นายกรัฐมนตรีเป็นผู้จัดตั้งคณะรัฐบาล (Council of Ministers) โดยได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดี ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บางทีเรียกว่า President of the Council of Ministers จึงอาจเกิดความสับสนได้
ระบบการเลือกตั้งของอิตาลีในปัจจุบัน เป็นการลงคะแนนเสียงผสมระหว่างแบบเสียงข้างมาก (first-past-the post) ร้อยละ 75 และแบบสัดส่วนอีกร้อยละ 25 การเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีเมื่อวันที่ 9-10 เม.ย. 49 อิตาลีได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นเวลา 2 วัน โดยมีประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 37.98 ล้านคน เท่ากับร้อยละ 83.6 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 45.43 ล้านคน โดยในส่วนของการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร กลุ่มพันธมิตรกลางซ้าย นำโดยนายโรมาโน โพรดี (Romano Prodi) ได้รับชัยชนะเหนือกลุ่มพันธมิตรกลางขวา นำโดยนายซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ (Silvio Berlusconi) นายกรัฐมนตรีคนก่อน โดยได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งร้อยละ 49.8 ต่อ ร้อยละ 49.7 ซึ่งมีผลให้กลุ่มพันธมิตรกลางซ้ายได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร 348 ที่นั่ง ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรกลางขวาได้ 281 ที่นั่ง และมีพรรคอิสระได้ 1 ที่นั่ง ส่วนผลการเลือกตั้งวุฒิสภาอิตาลี กลุ่มพันธมิตรกลางซ้ายได้รับเลือกตั้งมากกว่ากลุ่มพันธมิตรกลางขวาเพียงสองเสียง โดยได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 50.2 ต่อ ร้อยละ 48.9 นับเป็นที่นั่งในสภา 158 ที่นั่ง ต่อ 156 ที่นั่ง โดยมีพรรคอิสระได้ 1 ที่นั่ง
รวมทั้งได้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ โดยเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมโดยสมาชิกรัฐสภาและผู้ว่าการรัฐ แทนนาย Azeglio Ciampi ซึ่งหมดวาระ ผลปรากฏว่านายจอร์จิโอ้ นาโปลิตาโน (Giorgio Napolitano) ได้รับชัยชนะด้วยคะแนน 543 จาก 1010 คะแนน โดยนายนาโปลิตาโนได้ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 49 และประธานาธิบดีคนใหม่ได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคือนายโรมาโน โพรดี ผู้นำกลุ่มพรรคพันธมิตรกลางซ้ายซึ่งเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในระหว่างปี พ.ศ. 2539 -2541 และประธานกรรมาธิการสหภาพยุโรปในระหว่างปีพ.ศ. 2532-2537 การแต่งตั้งนายโพรดีและครม.ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 19 และ 23 พ.ค.49 ตามลำดับ
การเลือกตั้งของอิตาลีจะมีขึ้นทุก 5 ปี หรือเร็วกว่านั้น การเลือกตั้งของทั้ง 2 สภาจะมีขึ้นในเวลาเดียวกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี
รัฐสภา รัฐสภาอิตาลีประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ประธานรัฐสภาได้แก่ประธานสภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies) การบัญญัติกฎหมายใดๆ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภาวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกทั้ง 2 สภาคือ 5 ปี และการเลือกตั้งจะทำพร้อมกันทั้ง 2 สภา โดยจะมีขึ้น ทุก 5 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากประธานาธิบดีไม่อาจสรรหานายกรัฐมนตรีที่สามารถจัดตั้งคณะรัฐบาลให้ทั้ง 2 สภาให้ความเห็นชอบได้ การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายคือเมื่อวันที่ 9 - 10 เมษายน 2549 (เลือก 2 วันโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้คนมาลงคะแนนมากขึ้น) สภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Deputies/Camera dei Deputati)
ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 630 คน โดย 475 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และอีก 155 คนมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจากแคว้นต่างๆ (regional proportion representation) ผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้งจะต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนปัจจุบันคือนาย วุฒิสภา (Senate/Senato della Repubblica) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 326 คน โดย 315 คนมาจากการเลือกตั้งทั่วไป (popular vote) จากแคว้น (regions) ต่างๆ ทั่วประเทศ และมีวุฒิสมาชิกตลอดชีพอีกจำนวนหนึ่ง (ปัจจุบันมี 7 คน) ซึ่งจะแต่งตั้งจากบุคคลชั้นนำของสังคม ประธานวุฒิสภาคนปัจจุบันคือนาย Franco Marini โดยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2549
การปกครองส่วนท้องถิ่น อิตาลีแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 20 แคว้น
หรือภูมิภาค (regions) (และแบ่งเป็น 94 จังหวัด) ได้แก่ Abruzzo, Basilicata, Calabria,Campania, Emilia-Romagna,Fuiuli-Venezia Giulia, Lazio,Liguria, Lombardia, Marche,Molise, Piemonte, Puglia,Sardegna (Sardinia), Sicilia (Sicily)Toscana, Trentino-Alto Adige, Umbria, Valle dAosta, Veneto,โดยมี 5 แคว้นคือ Fuiuli-Venezia Giulia,Sardinia, Sicily, Trentino-Alto Adige, และ Valle dAosta ได้รับสถานะพิเศษตามรัฐธรรมนูญให้ปกครองตนเอง
ในแต่ละแคว้นจะมีองค์กรการปกครองหลักอยู่ 3 องค์กร คือ
- คณะมนตรีแคว้น (Regional Council) ทำหน้าที่ตรากฎหมายและระเบียบข้อบังคับในเขตอำนาจ
- คณะมนตรีกรรมการ (The Junta) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหาร
- ประธานคณะกรรมการ (The President of the Junta) ทำหน้าที่คล้ายนายกรัฐมนตรีในเขตอำนาจ แต่ทั้งนี้ ก็จะมีผู้แทนของรัฐบาลคนหนึ่งอยู่ประจำ ณ นครหลวงของแคว้นนั้นๆ คอยควบคุมดูแลการบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นและทำหน้าที่ประสานงานระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นกับรัฐบาลกลาง
บทบาทของอิตาลีในเวทีระหว่างประเทศ
บทบาทของอิตาลีทางด้านการเมืองระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่อิตาลีเป็นประธานสหภาพยุโรปในปี ค.ศ. 1996 โดยมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาตะวันออกกลาง การส่งกองกำลังเข้าไปรักษาสถานการณ์ในยูโกสลาเวียและแอลเบเนีย การคัดค้านการเสนอขอให้เยอรมนีและญี่ปุ่นเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ การผลักดันให้อิตาลีเข้าสู่สหภาพเศรษฐกิจการเงิน (Economic and Monetary Union - EMU) กลุ่มแรกในปี ค.ศ.1999 นอกจากนี้ อิตาลีได้สนใจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมากขึ้น โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างภาครัฐบาลและภาคเอกชนของทั้งสองฝ่ายให้มากขึ้น
ในเรื่องการปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ อิตาลีไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มจำนวนสมาชิกถาวรอีก 2 ประเทศ (ญี่ปุ่นและเยอรมนี) เพราะจะทำให้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีอภิสิทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก และเห็นว่าคณะมนตรีความมั่นคงฯ ควรปฏิรูปโดยการเพิ่มจำนวนสมาชิกไม่ถาวรฯ และให้ประเทศเล็กได้เข้าเป็นสมาชิก โดยให้เพิ่มจำนวน 8-10 ที่นั่ง และใช้ระบบหมุนเวียนตามสัดส่วนของภูมิภาค (ถ้าเพิ่ม 10 ที่นั่ง 5 ที่นั่งควรเป็นของทวีปแอฟริกาและเอเชีย 2 ที่นั่งเป็นของกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา 2 ที่นั่งเป็นของยุโรปตะวันตกและ 1 ที่นั่งเป็นของยุโรปตะวันออก) โดยมีวาระดำรงตำแหน่งครั้งละ 2 ปี แต่ไม่เกิน 4 ปีติดต่อกัน ทั้งนี้ สมัชชาฯ จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเลือกสมาชิกไม่ถาวร โดยผู้รับเลือกจะต้องได้รับคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกสมัชชาฯ และห้ามเลือกตั้งซ้ำและลงสมัครติดต่อกัน
- อิตาลีมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบูรณะ Kosovo และคาบสมุทรบอลข่าน โดยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาว Kosovo ในรูปของโครงการพัฒนาต่างๆ รวมทั้งสร้างที่พักและสถานพยาบาล ให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่ผู้ลี้ภัย หรือ Operation Rainbow ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากชาวอิตาเลียน นอกจากนี้ยังบริจาคให้การปฏิบัติงานของ UNHCR ให้ความช่วยเหลือสำหรับการฟื้นฟูบูรณะโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ผ่านองค์กรกองทุนระหว่างประเทศสำหรับการพัฒนาการเกษตร (IFAD) และ UNOPS และให้กับโครงการอาหารโลก (WFP) สำหรับผู้ได้รับผลกระทบวิกฤตการณ์ในคาบสมุทรบอลข่าน นอกจากนั้น รัฐบาลอิตาลียังหาทางให้นักธุรกิจอิตาลีมีช่องทางเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนงานและกระบวนการประมูลในโครงการฟื้นฟูบูรณะคาบสมุทรบอลข่านตั้งแต่ต้น รวมทั้งกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้าไปมีบทบาทในการสร้างตลาดการค้าที่ทันสมัยในคาบสมุทรบอลข่าน และรัฐบาลยังเพิ่มบทบาทในการสร้างเครือข่ายในภูมิภาคเพื่อการร่วมมือกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่างๆ ในภูมิภาค ควบคู่ไปกับการเร่งกระชับความสัมพันธ์
ทวิภาคีกับประเทศในภูมิภาคยุโรปใต้
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
ยุโรป น่าเที่ยว
โพสต์ที่ 4
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อทางการ สาธารณรัฐฮังการี (Republic of Hungary)
เมืองหลวง กรุงบูดาเปสต์ (ประชากรประมาณ 2 ล้านคน)
ที่ตั้ง บริเวณที่ราบคาร์เปเทียนในยุโรปกลาง ไม่มีทางออกทะเล
ทิศเหนือติดกับสโลวาเกีย และยูเครน
ทิศใต้ติดกับโครเอเชีย และเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
ทิศตะวันออกติดกับโรมาเนีย
ทิศตะวันตกติดกับออสเตรียและสโลวีเนีย
พื้นที่ 93,030 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1 ใน 5 ของประเทศไทย)
เวลา ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน และ 6 ชั่วโมงในช่วงฤดูหนาว
ประชากร 10 ล้านคน (ประมาณ 1 ใน 6 ของประเทศไทย ประกอบด้วยชาวฮังกาเรียน 92.3% โรมา 1.9% และอื่นๆ 5.8%)
ศาสนา โรมันคาทอลิก 67.5% คาลวินิสต์ 20% ลูเธอแรน 5%
ภาษา ฮังกาเรียน (Magyar) 98% อื่นๆ 2%
อัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 99
วันชาติ 20 สิงหาคม
รูปแบบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งเป็นระบบสภาเดียว โดยมีประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศอยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งมีอำนาจในการบริหารงานแผ่นดิน
ระบบรัฐสภาของฮังการี รัฐสภาฮังการีเป็นระบบสภาเดียว มีสมาชิก 386 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระการทำงาน 4 ปี การเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อวันที่ 9 และ 23 เมษายน 2549
ผู้นำสำคัญทางการเมือง
- ประธานาธิบดี นาย Laszlo Solyom (รับตำแหน่ง 5 สิงหาคม ค.ศ. 2005 เลือกตั้งเมื่อ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2005 แทนนาย Ference MADL ซึ่งดำรงตำแหน่งครบวาระ)
- นายกรัฐมนตรี นาย Ferenc Gyurcsany (ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองเมื่อ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2006)
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นาง Kinga Göncz (ได้รับการแต่งตั้งเมื่อ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2006)
รัฐบาลปัจจุบัน รัฐบาลผสมแบบ left-liberal coalition นำโดยพรรคสังคมนิยม (Hungarian Socialist Party - MSZP)
สมาชิกองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญ IAEA, IBRD, IMF, NAM (guest), NATO, OECD, OSCE, UN, UNCTAD, UNESCO, UNMIBH, WtoO (World Tourism Organisaton)
เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เมื่อ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2004
เอกอัครราชทูตไทยประจำฮังการี นายเปี่ยมศักดิ์ มิลินทจินดา
เอกอัครราชทูตฮังการีประจำไทย Dr. Andras BALOGH
การเมืองการปกครอง
ประวัติศาสตร์ฮังการีโดยสังเขป
(1) บทนำ
ชาวฮังกาเรียน หรือชาวแม็กยาร์ อพยพมาจากแถบแม่น้ำโวลกา และทะเลสาบแคสเปียน ในคริสตศตวรรษที่ 5 จนกระทั่งมาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบคาร์เปเทียน และรับเอาคริสตศาสนาแบบตะวันตกเข้ามาตั้งแต่ ค.ศ. 1000 แม้ฮังการีจะมีการปกครองแบบราชวงศ์กษัตริย์เป็นเวลาเกือบ 1,000 ปี แต่ฮังการีมีรัฐธรรมนูญก่อนหน้าประเทศอื่นๆ ในยุโรปหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการพ่ายแพ้ของจักรวรรดิออสโตร-ฮังการี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮังการีสูญเสียพื้นที่ไปราว 2 ใน 3 และตั้งแต่นั้นมา ชนกลุ่มน้อยฮังการีก็เริ่มอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
(2) ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮังการีถูกกองทัพเยอรมนีเข้ายึดครองในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1944 แต่กองทัพโซเวียตได้ปลดปล่อยและมีอำนาจเหนือฮังการีแทน เมื่อสิ้นสุดสงคราม
(3) การแผ่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮังการีมีการปกครองแบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ และเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact Treaty Organisation) ในปี ค.ศ. 1955 มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮังกาเรียนตกต่ำลง จนกระทั่งมีการปฏิวัติต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการ ในปี ค.ศ. 1956 แต่ก็ถูกกองทัพโซเวียตปราบปราม ในปี ค.ศ. 1965 ฮังการีเริ่มนโยบายปฏิรูปทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง ทำให้เศรษฐกิจฮังการีมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นในโลก และมาตรฐานชีวิตของชาวฮังกาเรียนเริ่มดีขึ้น
(4) การเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
ฮังการีเป็นประเทศแรกที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และราบรื่นที่สุดในกลุ่มประเทศภายใต้สหภาพโซเวียต ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ฮังการีเริ่มนโยบายต่างประเทศที่หันไปทำการค้ากับตะวันตกมากขึ้น และเริ่มเปลี่ยนระบอบการปกครองในปี ค.ศ. 1988 กองทัพโซเวียตถอนกำลังออกจากฮังการีในปี ค.ศ. 1990 และการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาได้เริ่มต้นขึ้น
พัฒนาการทางการเมืองภายหลังการปฏิรูประบบการเมืองปี ค.ศ. 1989
ฮังการีเป็นหนึ่งในผู้นำของกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก ในการปฏิรูปการเมืองตาม แนวทางประชาธิปไตยแบบตะวันตกเช่นเดียวกับโปแลนด์ พรรคคอมมิวนิสต์ได้ประกาศให้มีพรรคการเมืองหลายพรรคในระบบการเมืองของฮังการี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 ซึ่งนับเป็นการยอมรับ เป็นครั้งแรก ต่อมาในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน พรรคคอมมิวนิสต์ได้แต่งตั้งคณะเปรซิเดียมขึ้นเป็นองค์กรสูงสุดของพรรค นับเป็นการลดบทบาทของเลขาธิการพรรค และนำระบบผู้นำร่วมมาใช้แทน
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในพรรคคอมมิวนิสต์ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงการประชุมสมัชชาพรรคสมัยวิสามัญในเดือน ตุลาคม ค.ศ. 1989 จึงประกาศยุบพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมกับจัดตั้งพรรคใหม่โดยใช้ชื่อว่า Hungarian Socialist Party (เป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายแบบพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยของตะวันตก มีฐานะเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง มีนายเรโซ ไนเออร์ส เป็นประธานพรรค) และประกาศให้ฮังการีเป็นรัฐประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยใช้หลักการประชาธิปไตยแบบตะวันตกผสมกับแนวทางสังคมประชาธิปไตย ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนับเป็นการยกเลิกการผูกขาดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยหันมาใช้ระบบการเมืองประชาธิปไตยแบบหลายพรรค (multi party system) แทน และในปี ค.ศ.1990 กองทัพโซเวียตได้ถอนกำลังออกจากฮังการี และการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาได้เริ่มต้นขึ้น
ผลการเลือกตั้งทั่วไป
นับตั้งแต่ฮังการีเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี ค.ศ.1989 ฮังการีมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว 5 ครั้ง โดยการเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 กล่าวคือ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2549 ฮังการีได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในรอบที่สอง ผลปรากฏว่า พรรคสังคมนิยม (MSZP) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลได้รับชัยชนะเหนือพรรค Hungarian Civic Union (Fidesz) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอนุรักษ์นิยม โดยได้คะแนนเสียงถึงร้อยละ 98 และได้ที่นั่งในสภา 210 ที่นั่งจาก 386 ที่นั่งเมื่อรวมกับพรรค Alliance of Free Democrats ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2549 ผลการเลือกตั้งทั่วไปในรอบแรก พรรค MSZP มีคะแนนนำหน้าพรรค Fidesz เพียงร้อยละ 1.2 เท่านั้น
ทั้งนี้ เป็นที่คาดการณ์ว่า นโยบายของรัฐบาลในสมัยที่สองของนาย Ferenc Gyurcsany นายกรัฐมนตรี คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยภารกิจหลัก คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณในขณะนี้สูงถึงร้อยละ 8 ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ ซึ่งมากที่สุดในบรรดาสมาชิกสหภาพยุโรป และอาจจะมีผลให้ฮังการีไม่สามารถเข้าในระบบเงินสกุลยูโรได้ภายในปี 2553 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
อนึ่ง การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของฮังการีภายหลังการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ในเดือนพฤษภาคม 2547 และชัยชนะของพรรค MSZP ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่พรรค แกนนำของรัฐบาลได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง นับตั้งแต่การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในฮังการีเมื่อปี 2532
เศรษฐกิจการค้า
หน่วยเงินตรา โฟรินท์ (Forint)
อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ (USD) = 215.92 Forint
GDP 103.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2549)
GDP per capita 10,298 ดอลลาร์สหรัฐ (2549)
อัตราการเจริญเติบโต ร้อยละ 3.9
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3.8
อัตราการว่างงาน ร้อยละ 7.7
การค้าระหว่างประเทศ 137.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก 68.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการนำเข้า 69.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทรัพยากรธรรมชาติ บอกไซต์ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ปุ๋ย
สินค้าส่งออกที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์อาหาร น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรและอุปกรณ์ ไฟฟ้า
ตลาดส่งออกที่สำคัญ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สวีเดน เนเธอร์แลนด์
สินค้านำเข้าที่สำคัญ เครื่องจักรและอุปกรณ์ น้ำมันเชื้อเพลิง ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อาหาร และวัตถุดิบ
ตลาดนำเข้าที่สำคัญ เยอรมนี อิตาลี ออสเตรีย รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น
ชื่อทางการ สาธารณรัฐฮังการี (Republic of Hungary)
เมืองหลวง กรุงบูดาเปสต์ (ประชากรประมาณ 2 ล้านคน)
ที่ตั้ง บริเวณที่ราบคาร์เปเทียนในยุโรปกลาง ไม่มีทางออกทะเล
ทิศเหนือติดกับสโลวาเกีย และยูเครน
ทิศใต้ติดกับโครเอเชีย และเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
ทิศตะวันออกติดกับโรมาเนีย
ทิศตะวันตกติดกับออสเตรียและสโลวีเนีย
พื้นที่ 93,030 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1 ใน 5 ของประเทศไทย)
เวลา ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมงในช่วงฤดูร้อน และ 6 ชั่วโมงในช่วงฤดูหนาว
ประชากร 10 ล้านคน (ประมาณ 1 ใน 6 ของประเทศไทย ประกอบด้วยชาวฮังกาเรียน 92.3% โรมา 1.9% และอื่นๆ 5.8%)
ศาสนา โรมันคาทอลิก 67.5% คาลวินิสต์ 20% ลูเธอแรน 5%
ภาษา ฮังกาเรียน (Magyar) 98% อื่นๆ 2%
อัตราการรู้หนังสือ ร้อยละ 99
วันชาติ 20 สิงหาคม
รูปแบบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งเป็นระบบสภาเดียว โดยมีประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศอยู่ในตำแหน่งวาระละ 5 ปี ดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งมีอำนาจในการบริหารงานแผ่นดิน
ระบบรัฐสภาของฮังการี รัฐสภาฮังการีเป็นระบบสภาเดียว มีสมาชิก 386 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระการทำงาน 4 ปี การเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อวันที่ 9 และ 23 เมษายน 2549
ผู้นำสำคัญทางการเมือง
- ประธานาธิบดี นาย Laszlo Solyom (รับตำแหน่ง 5 สิงหาคม ค.ศ. 2005 เลือกตั้งเมื่อ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2005 แทนนาย Ference MADL ซึ่งดำรงตำแหน่งครบวาระ)
- นายกรัฐมนตรี นาย Ferenc Gyurcsany (ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองเมื่อ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2006)
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นาง Kinga Göncz (ได้รับการแต่งตั้งเมื่อ 2 มิถุนายน ค.ศ. 2006)
รัฐบาลปัจจุบัน รัฐบาลผสมแบบ left-liberal coalition นำโดยพรรคสังคมนิยม (Hungarian Socialist Party - MSZP)
สมาชิกองค์การระหว่างประเทศที่สำคัญ IAEA, IBRD, IMF, NAM (guest), NATO, OECD, OSCE, UN, UNCTAD, UNESCO, UNMIBH, WtoO (World Tourism Organisaton)
เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เมื่อ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 2004
เอกอัครราชทูตไทยประจำฮังการี นายเปี่ยมศักดิ์ มิลินทจินดา
เอกอัครราชทูตฮังการีประจำไทย Dr. Andras BALOGH
การเมืองการปกครอง
ประวัติศาสตร์ฮังการีโดยสังเขป
(1) บทนำ
ชาวฮังกาเรียน หรือชาวแม็กยาร์ อพยพมาจากแถบแม่น้ำโวลกา และทะเลสาบแคสเปียน ในคริสตศตวรรษที่ 5 จนกระทั่งมาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบคาร์เปเทียน และรับเอาคริสตศาสนาแบบตะวันตกเข้ามาตั้งแต่ ค.ศ. 1000 แม้ฮังการีจะมีการปกครองแบบราชวงศ์กษัตริย์เป็นเวลาเกือบ 1,000 ปี แต่ฮังการีมีรัฐธรรมนูญก่อนหน้าประเทศอื่นๆ ในยุโรปหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการพ่ายแพ้ของจักรวรรดิออสโตร-ฮังการี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ฮังการีสูญเสียพื้นที่ไปราว 2 ใน 3 และตั้งแต่นั้นมา ชนกลุ่มน้อยฮังการีก็เริ่มอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
(2) ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮังการีถูกกองทัพเยอรมนีเข้ายึดครองในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1944 แต่กองทัพโซเวียตได้ปลดปล่อยและมีอำนาจเหนือฮังการีแทน เมื่อสิ้นสุดสงคราม
(3) การแผ่อำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฮังการีมีการปกครองแบบเผด็จการคอมมิวนิสต์ และเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Pact Treaty Organisation) ในปี ค.ศ. 1955 มาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮังกาเรียนตกต่ำลง จนกระทั่งมีการปฏิวัติต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการ ในปี ค.ศ. 1956 แต่ก็ถูกกองทัพโซเวียตปราบปราม ในปี ค.ศ. 1965 ฮังการีเริ่มนโยบายปฏิรูปทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังเป็นไปอย่างระมัดระวัง ทำให้เศรษฐกิจฮังการีมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นในโลก และมาตรฐานชีวิตของชาวฮังกาเรียนเริ่มดีขึ้น
(4) การเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
ฮังการีเป็นประเทศแรกที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และราบรื่นที่สุดในกลุ่มประเทศภายใต้สหภาพโซเวียต ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ฮังการีเริ่มนโยบายต่างประเทศที่หันไปทำการค้ากับตะวันตกมากขึ้น และเริ่มเปลี่ยนระบอบการปกครองในปี ค.ศ. 1988 กองทัพโซเวียตถอนกำลังออกจากฮังการีในปี ค.ศ. 1990 และการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาได้เริ่มต้นขึ้น
พัฒนาการทางการเมืองภายหลังการปฏิรูประบบการเมืองปี ค.ศ. 1989
ฮังการีเป็นหนึ่งในผู้นำของกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก ในการปฏิรูปการเมืองตาม แนวทางประชาธิปไตยแบบตะวันตกเช่นเดียวกับโปแลนด์ พรรคคอมมิวนิสต์ได้ประกาศให้มีพรรคการเมืองหลายพรรคในระบบการเมืองของฮังการี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989 ซึ่งนับเป็นการยอมรับ เป็นครั้งแรก ต่อมาในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน พรรคคอมมิวนิสต์ได้แต่งตั้งคณะเปรซิเดียมขึ้นเป็นองค์กรสูงสุดของพรรค นับเป็นการลดบทบาทของเลขาธิการพรรค และนำระบบผู้นำร่วมมาใช้แทน
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในพรรคคอมมิวนิสต์ได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงการประชุมสมัชชาพรรคสมัยวิสามัญในเดือน ตุลาคม ค.ศ. 1989 จึงประกาศยุบพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมกับจัดตั้งพรรคใหม่โดยใช้ชื่อว่า Hungarian Socialist Party (เป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายแบบพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยของตะวันตก มีฐานะเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง มีนายเรโซ ไนเออร์ส เป็นประธานพรรค) และประกาศให้ฮังการีเป็นรัฐประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยใช้หลักการประชาธิปไตยแบบตะวันตกผสมกับแนวทางสังคมประชาธิปไตย ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนับเป็นการยกเลิกการผูกขาดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยหันมาใช้ระบบการเมืองประชาธิปไตยแบบหลายพรรค (multi party system) แทน และในปี ค.ศ.1990 กองทัพโซเวียตได้ถอนกำลังออกจากฮังการี และการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาได้เริ่มต้นขึ้น
ผลการเลือกตั้งทั่วไป
นับตั้งแต่ฮังการีเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี ค.ศ.1989 ฮังการีมีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว 5 ครั้ง โดยการเลือกตั้งครั้งล่าสุดมีขึ้นเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 กล่าวคือ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2549 ฮังการีได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในรอบที่สอง ผลปรากฏว่า พรรคสังคมนิยม (MSZP) ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลได้รับชัยชนะเหนือพรรค Hungarian Civic Union (Fidesz) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอนุรักษ์นิยม โดยได้คะแนนเสียงถึงร้อยละ 98 และได้ที่นั่งในสภา 210 ที่นั่งจาก 386 ที่นั่งเมื่อรวมกับพรรค Alliance of Free Democrats ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2549 ผลการเลือกตั้งทั่วไปในรอบแรก พรรค MSZP มีคะแนนนำหน้าพรรค Fidesz เพียงร้อยละ 1.2 เท่านั้น
ทั้งนี้ เป็นที่คาดการณ์ว่า นโยบายของรัฐบาลในสมัยที่สองของนาย Ferenc Gyurcsany นายกรัฐมนตรี คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยภารกิจหลัก คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติ เนื่องจากการขาดดุลงบประมาณในขณะนี้สูงถึงร้อยละ 8 ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ ซึ่งมากที่สุดในบรรดาสมาชิกสหภาพยุโรป และอาจจะมีผลให้ฮังการีไม่สามารถเข้าในระบบเงินสกุลยูโรได้ภายในปี 2553 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
อนึ่ง การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของฮังการีภายหลังการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ในเดือนพฤษภาคม 2547 และชัยชนะของพรรค MSZP ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่พรรค แกนนำของรัฐบาลได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งที่สอง นับตั้งแต่การล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในฮังการีเมื่อปี 2532
เศรษฐกิจการค้า
หน่วยเงินตรา โฟรินท์ (Forint)
อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ (USD) = 215.92 Forint
GDP 103.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2549)
GDP per capita 10,298 ดอลลาร์สหรัฐ (2549)
อัตราการเจริญเติบโต ร้อยละ 3.9
อัตราเงินเฟ้อ ร้อยละ 3.8
อัตราการว่างงาน ร้อยละ 7.7
การค้าระหว่างประเทศ 137.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการส่งออก 68.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
มูลค่าการนำเข้า 69.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทรัพยากรธรรมชาติ บอกไซต์ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ปุ๋ย
สินค้าส่งออกที่สำคัญ ผลิตภัณฑ์อาหาร น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรและอุปกรณ์ ไฟฟ้า
ตลาดส่งออกที่สำคัญ เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สวีเดน เนเธอร์แลนด์
สินค้านำเข้าที่สำคัญ เครื่องจักรและอุปกรณ์ น้ำมันเชื้อเพลิง ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อาหาร และวัตถุดิบ
ตลาดนำเข้าที่สำคัญ เยอรมนี อิตาลี ออสเตรีย รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
ยุโรป น่าเที่ยว
โพสต์ที่ 5
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
- san
- Verified User
- โพสต์: 1675
- ผู้ติดตาม: 0
ยุโรป น่าเที่ยว
โพสต์ที่ 7
คุณ hot.....
มีคนเขาบอกว่า สาวโปแลนด์ สวยที่สุด
จริงรึป่าวครับ
มีคนเขาบอกว่า สาวโปแลนด์ สวยที่สุด
จริงรึป่าวครับ
ขอบคุณ รุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆ ครูบา อาจารย์ ในนี้ ที่แนะนำเรื่อง วิธีการลงทุนที่ดี นะครับ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ
อ. โจ กับ พี่พอใจ ยังเป็นขวัญใจ เสมอครับ
วันนี้ อ. โจ ได้ลง นสพ ด้วย .....อิอิอิ