***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 1
*****.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....*****
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 44.html#88
อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน)
Date: Mon, 11 Jun 2007 19:59:21 -0800
เมื่อคืนอากาศหนาวเย็นผิดปกติ
นกกาบินออกจากรังไปหากินไปนานแล้ว ตะวันยามรุ่งก็ยังขมุกขมัวอยู่
แต่เถ้าแก่ฮงคนขยัน ก็ยังตื่นมาเปิดประตูร้านขายของชำเหมือนเคย
กระถางต้นโป๊ยเซียน ต้นว่าน และม้านั่งหินหน้าร้าน
ที่แกชอบออกมานั่งเล่นรับลมยามเย็นก็ยังอยู่ที่เดิมของมันตามปกติ
แต่ทว่าภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิอีก 2 คน ที่ก้มเงยๆ
เหนือร่างเล็กในชุดเสื้อผ้าสีดำมอซอที่นอนคุดคู้ อยู่ใต้ม้าหินนั่นไม่ใช่เรื่องปกติ
เถ้าแก่ฮงกระชับเสื้อหนาวให้เข้าที่ กระย่องกระแย่งเข้าไปมุงดูบ้าง
ชายชราขยับร่างอุ้ยอ้ายเบียดคนที่มุงดูอยู่เข้าไปใกล้ๆ
จนเห็นร่างหญิงชราผอมแห้ง แก้มตอบ ผม หงอกขาวโพลน เกรียนติดหนังศรีษะ
ผิวตกกระซีดจนคล้ำเขียว สวมเพียงเสื้อบางๆ กับผ้าถุงปอนๆ อย่างชาวบ้าน
ร่างคู้ งอเข้าหากัน มือเกร็งกำธนบัตร 10 บาท แน่นราวกับมันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่แกมี
"ไอ๋หย๋า"
เสียงอุทานเบาๆ ที่หลุดออกจากปากเถ้าแก่ไม่พ้นความสังเกตของนายร้อยเวรที่มาชันสูตรศพ
"เถ้าแก่รู้จักผู้ตายเหรอครับ"
"ม่ายน่อ แต่อั๊วจำได้ เมื่อคืนยังเห็นอีเป็นๆ อยู่เลย"
"แกเป็นใครมาจากไหนรู้มั้ยครับ" ผู้หมวดเริ่มซักถาม
"อั๊วก็ม่ายรู้ ม่ายช่ายคนแถวนี้ เมื่อคืนตอนดึกๆ อั๊วกำลังปิดร้านอยู่
อีมาเคาะประตูขอซื้อเสื้อหนาวสีลำๆ แต่มีตังค์แค่ 10 บาท
อั๊วเลยม่ายล่ายขายให้ เช้ามาก็เห็งอีซี้เลี้ยวไอ๊หยา"
เถ้าแก่ฮงร่ายยาว ก่อนจะอึ้งไป
ผู้หมวดพยักหน้าหงึกๆ พยักหน้าบอกให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิ
ยกศพขึ้นรถกะบะโกโรโกโส
ที่ฝากะบะข้างท้ายติดสติ๊กเกอร์สวยเก๋ว่า รถนอน VIP
ไม่มีร่องรอยฆาตกรรมใดๆ ผู้ที่พบเห็นคงจะลงความเห็น อย่างไร้ข้อกังขาได้ทันทีว่า
หญิงชราคงหนาวจนแข็งตายไปเอง และเจ้าหน้าที่ก็ต้องไปตามหาญาติ ต่อเพราะในร่างไม่พบหลักฐานอื่นอีก
ตลอดทั้งวัน เถ้าแก่ฮงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ภาพของหญิงชราผมขาวที่มาอ้อนวอนขอซื้อเสื้อหนาวถูกๆ
ที่แกโก่งราคาขายและถูกไล่ตะเพิดออกไป
กับภาพใบหน้าคล้ำเขียวของร่างที่สิ้นลมเพราะความหนาวเหน็บยังติดตาอยู่ไม่วาย
แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ใช่ความผิดอะไรของแกซักหน่อย
แต่ก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนขับไสไล่ส่งหญิงชราไปพบความตายอย่างเลือดเย็น
ขณะกำลังงุ่นง่านอยู่นั้น เถ้าแก่ฮงเหลือบเห็นเสื้อกันหนาวสีดำที่หญิงชรามาร้องขอซื้อแขวนอยู่
ผ้าเนื้อหยาบๆ ไม่น่าสบายแต่ก็คงจะให้ความอบอุ่นแก่หญิงอนาถาคนนี้ได้
อย่างน้อยแกก็อาจจะไม่ต้องมานอนแข็งตายหน้าร้านของแกเมื่อเช้าวันนี้
เถ้าแก่ฮงตัดสินใจปิดร้านแต่วัน
เอ่ยปากฝากบ้าน ให้ซิ้มร้านกาแฟข้างๆ ช่วยดูร้าน
คว้าเสื้อกันหนาวสีดำใส่ถุงโชคดี
ควบมอเตอร์ไซด์คู่ชีพไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งของมูลนิธิที่อยู่ห่างจากร้านของแกออกไปไม่กี่กิโลเมตร ..
พยาบาลเวรทำหน้าแปลกๆ เอื้อมมือไปรับถุงกระดาษ
ที่เถ้าแก่ฮงยื่นมาเพื่อบริจาคให้แก่ศพหญิงชราในโรงทึม
พร้อมได้รับข่าวว่าตำรวจพบญาติของหญิงชราที่มาแจ้งความคนหายไว้
และนัดจะมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลเย็นนี้
เกือบห้าทุ่มแล้ว เสียงเคาะประตูถี่ๆ ทำให้เถ้าแก่ฮงที่นั่งกระวนกระวายใจรออยู่ค่อยยิ้มออกมาได้
ลูกสาวที่เรียนอยู่กรุงเทพฯโทรมาตอนบ่ายๆ บอกว่าจะกลับรถไฟขบวนดึก
นี่คงเสียเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง ถ้ามาถึงดึกกว่านี้อีกสักหน่อยคงไม่มีรถสองแถวเข้าอำเภอแล้ว
นึกว่าไม่ทันรถสองแถวแล้วนะเตี่ย
ลูกสาวเถ้าแก่ว่าพลางยกขวดเป๊ปซี่ซดแก้กระหาย
กลับมาทันก็ดีแล้ว นี่กินข้าวกินปลามารึยังล่ะ
เรียบร้อยมาจากบนรถไฟแล้วหละ รถเสียเวลาตั้งนานแน่ะ
มาเหนื่อยๆ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้เถ้าแก่ฮงลุกขึ้น
จ้ะ ลูกสาวขยับตาม พลันนึกขึ้นได้
เออเตี่ย หนูคงทำกระเป๋าสตางค์หล่นบนรถไฟแหละ มารู้ตัวตอนที่ กระเป๋ารถสองแถวมาเก็บค่าโดยสารน่ะ
โชคดีเจอยายคนหนึ่ง แกช่วยออกค่ารถให้ ยังทักหนูเลยว่าเป็นลูกสาวเถ้าแก่ฮงใช่มั้ย
เตี่ยจำแกได้รึเปล่า ยายคนนั้นแกผอมๆ ผมหงอกขาวเกรียนๆ น่ะ
อะไรนะ ผมขาวเกรียนๆ น่ะเหรอ เถ้าแก่ฮงสะดุ้ง
ใช่จ้ะเตี่ย หนูก็ลืมถามชื่อไป แกว่ามีเงินเหลือ 10 บาทพอดี เลยออกค่ารถให้หนูก่อน
ยังไงถ้าเจออีกเตี่ยช่วยคืนเงินให้ยายแกด้วยนะ ดูท่าทางแกจนออก ลูกสาวเถ้าแก่คว้ากระเป๋าเตรียมขึ้นบนบ้าน
อ้อ แกยังฝากมาขอบคุณที่เตี่ยบริจาคเสื้อกันหนาวให้ด้วยค่ะ เมื่อกี้ยังเห็นแกใส่อยู่เลย สีดำๆ ค่ะเตี่ย
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 44.html#88
อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน)
Date: Mon, 11 Jun 2007 19:59:21 -0800
เมื่อคืนอากาศหนาวเย็นผิดปกติ
นกกาบินออกจากรังไปหากินไปนานแล้ว ตะวันยามรุ่งก็ยังขมุกขมัวอยู่
แต่เถ้าแก่ฮงคนขยัน ก็ยังตื่นมาเปิดประตูร้านขายของชำเหมือนเคย
กระถางต้นโป๊ยเซียน ต้นว่าน และม้านั่งหินหน้าร้าน
ที่แกชอบออกมานั่งเล่นรับลมยามเย็นก็ยังอยู่ที่เดิมของมันตามปกติ
แต่ทว่าภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิอีก 2 คน ที่ก้มเงยๆ
เหนือร่างเล็กในชุดเสื้อผ้าสีดำมอซอที่นอนคุดคู้ อยู่ใต้ม้าหินนั่นไม่ใช่เรื่องปกติ
เถ้าแก่ฮงกระชับเสื้อหนาวให้เข้าที่ กระย่องกระแย่งเข้าไปมุงดูบ้าง
ชายชราขยับร่างอุ้ยอ้ายเบียดคนที่มุงดูอยู่เข้าไปใกล้ๆ
จนเห็นร่างหญิงชราผอมแห้ง แก้มตอบ ผม หงอกขาวโพลน เกรียนติดหนังศรีษะ
ผิวตกกระซีดจนคล้ำเขียว สวมเพียงเสื้อบางๆ กับผ้าถุงปอนๆ อย่างชาวบ้าน
ร่างคู้ งอเข้าหากัน มือเกร็งกำธนบัตร 10 บาท แน่นราวกับมันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่แกมี
"ไอ๋หย๋า"
เสียงอุทานเบาๆ ที่หลุดออกจากปากเถ้าแก่ไม่พ้นความสังเกตของนายร้อยเวรที่มาชันสูตรศพ
"เถ้าแก่รู้จักผู้ตายเหรอครับ"
"ม่ายน่อ แต่อั๊วจำได้ เมื่อคืนยังเห็นอีเป็นๆ อยู่เลย"
"แกเป็นใครมาจากไหนรู้มั้ยครับ" ผู้หมวดเริ่มซักถาม
"อั๊วก็ม่ายรู้ ม่ายช่ายคนแถวนี้ เมื่อคืนตอนดึกๆ อั๊วกำลังปิดร้านอยู่
อีมาเคาะประตูขอซื้อเสื้อหนาวสีลำๆ แต่มีตังค์แค่ 10 บาท
อั๊วเลยม่ายล่ายขายให้ เช้ามาก็เห็งอีซี้เลี้ยวไอ๊หยา"
เถ้าแก่ฮงร่ายยาว ก่อนจะอึ้งไป
ผู้หมวดพยักหน้าหงึกๆ พยักหน้าบอกให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิ
ยกศพขึ้นรถกะบะโกโรโกโส
ที่ฝากะบะข้างท้ายติดสติ๊กเกอร์สวยเก๋ว่า รถนอน VIP
ไม่มีร่องรอยฆาตกรรมใดๆ ผู้ที่พบเห็นคงจะลงความเห็น อย่างไร้ข้อกังขาได้ทันทีว่า
หญิงชราคงหนาวจนแข็งตายไปเอง และเจ้าหน้าที่ก็ต้องไปตามหาญาติ ต่อเพราะในร่างไม่พบหลักฐานอื่นอีก
ตลอดทั้งวัน เถ้าแก่ฮงจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ภาพของหญิงชราผมขาวที่มาอ้อนวอนขอซื้อเสื้อหนาวถูกๆ
ที่แกโก่งราคาขายและถูกไล่ตะเพิดออกไป
กับภาพใบหน้าคล้ำเขียวของร่างที่สิ้นลมเพราะความหนาวเหน็บยังติดตาอยู่ไม่วาย
แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่าไม่ใช่ความผิดอะไรของแกซักหน่อย
แต่ก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนขับไสไล่ส่งหญิงชราไปพบความตายอย่างเลือดเย็น
ขณะกำลังงุ่นง่านอยู่นั้น เถ้าแก่ฮงเหลือบเห็นเสื้อกันหนาวสีดำที่หญิงชรามาร้องขอซื้อแขวนอยู่
ผ้าเนื้อหยาบๆ ไม่น่าสบายแต่ก็คงจะให้ความอบอุ่นแก่หญิงอนาถาคนนี้ได้
อย่างน้อยแกก็อาจจะไม่ต้องมานอนแข็งตายหน้าร้านของแกเมื่อเช้าวันนี้
เถ้าแก่ฮงตัดสินใจปิดร้านแต่วัน
เอ่ยปากฝากบ้าน ให้ซิ้มร้านกาแฟข้างๆ ช่วยดูร้าน
คว้าเสื้อกันหนาวสีดำใส่ถุงโชคดี
ควบมอเตอร์ไซด์คู่ชีพไปยังโรงพยาบาลที่ตั้งของมูลนิธิที่อยู่ห่างจากร้านของแกออกไปไม่กี่กิโลเมตร ..
พยาบาลเวรทำหน้าแปลกๆ เอื้อมมือไปรับถุงกระดาษ
ที่เถ้าแก่ฮงยื่นมาเพื่อบริจาคให้แก่ศพหญิงชราในโรงทึม
พร้อมได้รับข่าวว่าตำรวจพบญาติของหญิงชราที่มาแจ้งความคนหายไว้
และนัดจะมารับศพกลับไปบำเพ็ญกุศลเย็นนี้
เกือบห้าทุ่มแล้ว เสียงเคาะประตูถี่ๆ ทำให้เถ้าแก่ฮงที่นั่งกระวนกระวายใจรออยู่ค่อยยิ้มออกมาได้
ลูกสาวที่เรียนอยู่กรุงเทพฯโทรมาตอนบ่ายๆ บอกว่าจะกลับรถไฟขบวนดึก
นี่คงเสียเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง ถ้ามาถึงดึกกว่านี้อีกสักหน่อยคงไม่มีรถสองแถวเข้าอำเภอแล้ว
นึกว่าไม่ทันรถสองแถวแล้วนะเตี่ย
ลูกสาวเถ้าแก่ว่าพลางยกขวดเป๊ปซี่ซดแก้กระหาย
กลับมาทันก็ดีแล้ว นี่กินข้าวกินปลามารึยังล่ะ
เรียบร้อยมาจากบนรถไฟแล้วหละ รถเสียเวลาตั้งนานแน่ะ
มาเหนื่อยๆ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้เถ้าแก่ฮงลุกขึ้น
จ้ะ ลูกสาวขยับตาม พลันนึกขึ้นได้
เออเตี่ย หนูคงทำกระเป๋าสตางค์หล่นบนรถไฟแหละ มารู้ตัวตอนที่ กระเป๋ารถสองแถวมาเก็บค่าโดยสารน่ะ
โชคดีเจอยายคนหนึ่ง แกช่วยออกค่ารถให้ ยังทักหนูเลยว่าเป็นลูกสาวเถ้าแก่ฮงใช่มั้ย
เตี่ยจำแกได้รึเปล่า ยายคนนั้นแกผอมๆ ผมหงอกขาวเกรียนๆ น่ะ
อะไรนะ ผมขาวเกรียนๆ น่ะเหรอ เถ้าแก่ฮงสะดุ้ง
ใช่จ้ะเตี่ย หนูก็ลืมถามชื่อไป แกว่ามีเงินเหลือ 10 บาทพอดี เลยออกค่ารถให้หนูก่อน
ยังไงถ้าเจออีกเตี่ยช่วยคืนเงินให้ยายแกด้วยนะ ดูท่าทางแกจนออก ลูกสาวเถ้าแก่คว้ากระเป๋าเตรียมขึ้นบนบ้าน
อ้อ แกยังฝากมาขอบคุณที่เตี่ยบริจาคเสื้อกันหนาวให้ด้วยค่ะ เมื่อกี้ยังเห็นแกใส่อยู่เลย สีดำๆ ค่ะเตี่ย
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 2
เติมเต็ม หัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่ วันนี้...........
คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้น ซะแล้ว
ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆเท่ากันหมดเลย
แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนนึง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์
ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและสังเกต ว่า เขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่
ว่าเสื้อผ้าของเขาสกปรก และ เค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ
และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไป หนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ
ที่โรงเรียนที่คุณครู ทอมป์สัน สอน คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย
และครูก็ไม่ยอม ตรวจประวัติ ของเท็ดดี้จนกระทั่ง เหลือแฟ้มสุดท้าย แต่เมื่อคุณครูตรวจแฟ้ม เข้า ครู ทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลยครับ
เมื่อพบว่าครูชั้น ป. 1 ของ เท็ดดี้ วิจารณ์ มาว่า "น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่ น่ารักมากทีเดียว"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ ตอน ป.2 เขียน ว่า "เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากเพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมี ปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนักและ ชีวิตทางบ้านต้องลำบาก มาก แน่ๆ"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่า "เขาเสียใจมากที่ เสียแม่ ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว
แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขา เท่า ไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆถ้าไม่มีคนยื่นมือ เข้า มาช่วยเหลือ"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า "เท็ดดี้ไม่ ยอม เข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อน และหลับใน ห้อง เรียน
ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอาย ในการ กระทำของ ตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก
เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของ ขวัญวัน คริสต์มาสมาให้ ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี
ยกเว้นแต่ของเท็ด ดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว
ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดู กลางกองของขวัญอื่นๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะ
เมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูก ปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ
แต่ครูก็หยุด เสียง หัวเราะของเด็ก ๆ
เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่า กำไลเส้นนั้นสวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย
เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ อยู่เย็นให้นาน พอที่จะพูดว่า "ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ ผมเคยหอมเลย ครับ"
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สัน ก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง
วันนั้นเองคุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียน และ เลิกสอนเลขคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน
คุุณครูทอมป์สันเอา ใจใส่เท็ดดี้ เป็นพิเศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมา
มี ชีวิตชีวาอีก ครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็ว ขึ้นเท่านั้น
ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน
เท็ดดี้ก็ได้กลายไป เป็น" ศิษย์โปรด" ของครู หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู
จดหมาย นั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียน จบ ม.ปลายแล้ว ได้ที่ สาม ในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาใน ชีวิต
สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่า ชีวิตเขา จะลำบากบ้าง เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ
และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วย เกียรติ นิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง)
และยังย้ำกับครูทอมป์สัน ว่า คุณ ครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา
จาก นั้นสี่ปีผ่านไปแต่ จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้วเขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด
จดหมายนั้น อธิบายว่าคุณครูยัง เป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย
จดหมาย นั้นลงชื่อว่า นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์
เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้ บอกว่า
เขาได้เจอสาวคนนึง และก็จะแต่งงานกันเขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไป เมื่อสองสามปีก่อนและ
เขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่ง สำหรับ พ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่
แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไร ขึ้น
คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัด หายไปหลายลูก และ ต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลอง เทศกาลคริสต์มาสครั้ง
สุดท้ายด้วยกัน
ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณ หมอเท็ดก็กระซิบในหู คุณครูทอมป์สันว่า
"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัว ผมขอบคุณมากที่ทำ ให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะ เปลี่ยนแปลง สิ่งต่างๆ ได้"
ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้า ว่า "หมอเท็ด เธอเข้าใจ ผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครู
ว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ ได้รู้จักเธอ นั่นแหละ"
เติมเต็ม หัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่ วันนี้...........
ส่งต่อเรื่องนี้ไปให้คนอื่นได้อ่านด้วยและโปรดจำว่า ไม่ ว่าคุณจะไปไหน
หรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะ สัมผัสและ/หรือเปลี่ยนอนาคตของ คนอื่นเสมอ
ขอให้คุณสัมผัสและเปลี่ยนอนาคตของ คนอื่นในทางทีดีด้วยล่ะ..
คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้น ซะแล้ว
ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆเท่ากันหมดเลย
แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนนึง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์
ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและสังเกต ว่า เขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่
ว่าเสื้อผ้าของเขาสกปรก และ เค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ
และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไป หนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ
ที่โรงเรียนที่คุณครู ทอมป์สัน สอน คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย
และครูก็ไม่ยอม ตรวจประวัติ ของเท็ดดี้จนกระทั่ง เหลือแฟ้มสุดท้าย แต่เมื่อคุณครูตรวจแฟ้ม เข้า ครู ทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลยครับ
เมื่อพบว่าครูชั้น ป. 1 ของ เท็ดดี้ วิจารณ์ มาว่า "น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่ น่ารักมากทีเดียว"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ ตอน ป.2 เขียน ว่า "เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมากเพื่อนๆ ชอบกันทุกคน
แต่กำลังมี ปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนักและ ชีวิตทางบ้านต้องลำบาก มาก แน่ๆ"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่า "เขาเสียใจมากที่ เสียแม่ ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว
แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขา เท่า ไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆถ้าไม่มีคนยื่นมือ เข้า มาช่วยเหลือ"
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า "เท็ดดี้ไม่ ยอม เข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อน และหลับใน ห้อง เรียน
ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอาย ในการ กระทำของ ตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก
เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของ ขวัญวัน คริสต์มาสมาให้ ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี
ยกเว้นแต่ของเท็ด ดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว
ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดู กลางกองของขวัญอื่นๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะ
เมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูก ปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ
แต่ครูก็หยุด เสียง หัวเราะของเด็ก ๆ
เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่า กำไลเส้นนั้นสวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย
เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ อยู่เย็นให้นาน พอที่จะพูดว่า "ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ ผมเคยหอมเลย ครับ"
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สัน ก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง
วันนั้นเองคุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียน และ เลิกสอนเลขคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน
คุุณครูทอมป์สันเอา ใจใส่เท็ดดี้ เป็นพิเศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมา
มี ชีวิตชีวาอีก ครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็ว ขึ้นเท่านั้น
ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน
เท็ดดี้ก็ได้กลายไป เป็น" ศิษย์โปรด" ของครู หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู
จดหมาย นั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี
หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียน จบ ม.ปลายแล้ว ได้ที่ สาม ในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาใน ชีวิต
สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่า ชีวิตเขา จะลำบากบ้าง เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ
และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วย เกียรติ นิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง)
และยังย้ำกับครูทอมป์สัน ว่า คุณ ครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา
จาก นั้นสี่ปีผ่านไปแต่ จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้วเขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด
จดหมายนั้น อธิบายว่าคุณครูยัง เป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย
จดหมาย นั้นลงชื่อว่า นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์
เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้ บอกว่า
เขาได้เจอสาวคนนึง และก็จะแต่งงานกันเขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไป เมื่อสองสามปีก่อนและ
เขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่ง สำหรับ พ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่
แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไร ขึ้น
คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัด หายไปหลายลูก และ ต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลอง เทศกาลคริสต์มาสครั้ง
สุดท้ายด้วยกัน
ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณ หมอเท็ดก็กระซิบในหู คุณครูทอมป์สันว่า
"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัว ผมขอบคุณมากที่ทำ ให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะ เปลี่ยนแปลง สิ่งต่างๆ ได้"
ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้า ว่า "หมอเท็ด เธอเข้าใจ ผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครู
ว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ ได้รู้จักเธอ นั่นแหละ"
เติมเต็ม หัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่ วันนี้...........
ส่งต่อเรื่องนี้ไปให้คนอื่นได้อ่านด้วยและโปรดจำว่า ไม่ ว่าคุณจะไปไหน
หรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะ สัมผัสและ/หรือเปลี่ยนอนาคตของ คนอื่นเสมอ
ขอให้คุณสัมผัสและเปลี่ยนอนาคตของ คนอื่นในทางทีดีด้วยล่ะ..
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 3
ขำขำ
Date: Thu, 7 Jun 2007 23:13:00 -0800
บักเดช..เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่เครื่องหนึ่ง เล่นไปซักพัก..ก็เจอปัญหา
บักเดช..เลยลองกดที่ HELP บนแป้น F1
ผ่านไปพักใหญ่... บักเดชหงุดหงิดมาก
เลยโทรไปต่อว่า..ร้านที่เขาซื้อคอมมา
"ผมกด F1 ตามที่เครื่องบอก.. เวลาที่มีปัญหา แล้วก็รออยู่เป็นชั่วโมง.. ยังไม่เห็นมีใครมาช่วย เลย"
คนขาย : "(**...)" (!!)
วันรุ่งขึ้น
บักเดช : เครื่องคอมพิวเตอร์ คุณนี่ห่วยมากอีกแล้ว น่ะ ผมเสียเงินซื้อไปตั้งเยอะมีแต่ปัญหาไม่รู้จบ หน่ำซ้ำ พอโทรมาสอบถามพนักงานงานขายของคุณ ก็ดันตอบไม่รู้ เรื่อง
ผู้จัดการ : มีปัญหาอะไรให้ดิฉันรับใช้ได้ค่ะ ( เสียงสั่นเครือมากด้วยอาการที่หวาดกลัวจะถูกลูกค้าด่ากลับ
บักเดช : ก็หน้าจอคอมพิวเตอร์ ของคุณน่ะ รายงานผลว่า ซีตุ๊ป - ซีตุ๊ป ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง
ผู้จัดการ : บอกว่า เธอก็ไม่รู้ว่า ไอ้ซีตุ๊ป-ซีตุ๊ปเนี่ยมันคืออะไร ช่วงนั้นก็น้ำตาเกือบไหล เพราะกะว่าถ้าตอบปัญหาลูกค้าไม่ได้ ต้องถูกไล่ออกแน่เลยตู
จนกระทั่ง.....
ผู้จัดการ : คุณลองสะกดคำว่า " ซีตุ๊ป- ซีตุ๊ป " หน่อยสิคะ ว่าสะกดอย่างไร
บักเดช : S - E - T - U-P - S - E - T - U - P
ผู้จัดการ : คุณนี่ สุดยอด จริง ๆ อ่านได้งัย ซีตุ๊ป ซีตุ๊ป 555!
Date: Thu, 7 Jun 2007 23:13:00 -0800
บักเดช..เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่เครื่องหนึ่ง เล่นไปซักพัก..ก็เจอปัญหา
บักเดช..เลยลองกดที่ HELP บนแป้น F1
ผ่านไปพักใหญ่... บักเดชหงุดหงิดมาก
เลยโทรไปต่อว่า..ร้านที่เขาซื้อคอมมา
"ผมกด F1 ตามที่เครื่องบอก.. เวลาที่มีปัญหา แล้วก็รออยู่เป็นชั่วโมง.. ยังไม่เห็นมีใครมาช่วย เลย"
คนขาย : "(**...)" (!!)
วันรุ่งขึ้น
บักเดช : เครื่องคอมพิวเตอร์ คุณนี่ห่วยมากอีกแล้ว น่ะ ผมเสียเงินซื้อไปตั้งเยอะมีแต่ปัญหาไม่รู้จบ หน่ำซ้ำ พอโทรมาสอบถามพนักงานงานขายของคุณ ก็ดันตอบไม่รู้ เรื่อง
ผู้จัดการ : มีปัญหาอะไรให้ดิฉันรับใช้ได้ค่ะ ( เสียงสั่นเครือมากด้วยอาการที่หวาดกลัวจะถูกลูกค้าด่ากลับ
บักเดช : ก็หน้าจอคอมพิวเตอร์ ของคุณน่ะ รายงานผลว่า ซีตุ๊ป - ซีตุ๊ป ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง
ผู้จัดการ : บอกว่า เธอก็ไม่รู้ว่า ไอ้ซีตุ๊ป-ซีตุ๊ปเนี่ยมันคืออะไร ช่วงนั้นก็น้ำตาเกือบไหล เพราะกะว่าถ้าตอบปัญหาลูกค้าไม่ได้ ต้องถูกไล่ออกแน่เลยตู
จนกระทั่ง.....
ผู้จัดการ : คุณลองสะกดคำว่า " ซีตุ๊ป- ซีตุ๊ป " หน่อยสิคะ ว่าสะกดอย่างไร
บักเดช : S - E - T - U-P - S - E - T - U - P
ผู้จัดการ : คุณนี่ สุดยอด จริง ๆ อ่านได้งัย ซีตุ๊ป ซีตุ๊ป 555!
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 4
สัญญาณเตือนเมื่อโภชนาการชำรุด
ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะก็
แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ
วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมาฝากกัน
1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม
ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้
2. ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก
ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก
และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน
3. ท้องผูก เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย
เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย
4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น) แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป
หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่ว
หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ
วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ
ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น
ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม
ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะก็
แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ
วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมาฝากกัน
1. ผิวหนังมีปัญหา เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม
ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้
2. ผมไม่เงางาม ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก
ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม
เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก
และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่วเหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน
3. ท้องผูก เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย
เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย
4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น) แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป
หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่ว
หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ
วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ
ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น
ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 5
5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ
อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมันประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา
เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ
6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ
อาจเป็นไปได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการศึกษาพบว่า
วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston
แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน
โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน
7. หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน
คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล
ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง
คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม
สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู
สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง
และผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ
8. ปวดเหงือก ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก
แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย
ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุกวัน
9. กระดูกแตก ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่
อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม
ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง
เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น
อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ดี)
10. ขี้ลืม อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston
นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด
จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่
และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง
ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด
และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล
หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด
แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร
อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมันประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา
เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ
6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ
อาจเป็นไปได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจากการศึกษาพบว่า
วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston
แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน
โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน
7. หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน
คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล
ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง
คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียมหรือโปแตสเซียม
สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู
สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง
และผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ
8. ปวดเหงือก ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก
แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย
ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุกวัน
9. กระดูกแตก ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่
อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม
ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง
เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น
อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ดี)
10. ขี้ลืม อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston
นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด
จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่
และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง
ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด
และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล
หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด
แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 6
ขอบคุณค่ะพี่สุเกียง รูปสวยจัง
ตะกี๊ตามไปอ่านที่สินธรมา
ชอบเรื่อง "คุณหมอทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์"
กับ "โทษที เราจำเจ้าไม่ได้"
ตรงใจมากๆ กำลังพยายามไปทำหน้าใสปิ๊งอยู่ค่ะ :lol:
ตะกี๊ตามไปอ่านที่สินธรมา
ชอบเรื่อง "คุณหมอทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์"
กับ "โทษที เราจำเจ้าไม่ได้"
ตรงใจมากๆ กำลังพยายามไปทำหน้าใสปิ๊งอยู่ค่ะ :lol:
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 7
เรื่องขำๆๆ
Last update:2006-07-26 Source :Blog
เรื่องที่ 1 "ทัพพีที่หายไป"
เมื่อวินัยเชิญแม่ของเขามากินมื้อค่ำที่อพาร์ทเมนท์
ซึ่งเขาอยู่กับสาวสวยชื่อนิสา
คุณแม่จึงอดเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้
ระหว่างร่วมโต๊ะมื้อเย็นนั้นเอง
คุณแม่ของวินัยเฝ้าสังเกตสายตาที่ทั้งคู่มองสบกัน
จนลูกชายชักเดาใจออก จึงรีบพูดขึ้นว่า
ผมรู้นะว่าแม่กำลังคิดอะไร .. แต่ผมยืนยันได้แน่ว่า
ผมกับนิสาเป็นแค่รูมเมทเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลยจริงๆ
หลังจากแม่ของวินัยกลับไปได้ 1 อาทิตย์ นิสาจึงบอกวินัยว่า
ตั้งแต่แม่ของคุณมาเยี่ยมเราคราวนั้น ฉันก็หาทัพพีคันโปรดไม่เจอเลย
ที่จริง..ฉันก็ไม่คิดว่าแม่ของคุณจะเอาไปหรอกนะคะ หรือคุณว่ายังไง
วินัยจึงตอบว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะลองเขียนจดหมายไปถามคุณแม่ดู
วินัยจึงนั่งลงเขียนจดหมาย เนื้อความว่า..
เรียน คุณแม่สุดที่รัก..
ผมไม่ได้คิดว่าคุณแม่จะเผลอเอาทัพพีที่บ้านผมไปหรอกนะครับ
แต่จะว่าแม่ไม่ได้เอาไป..... ก็ยังไงอยู่ เพราะทัพพีสวย ๆ
คันหนึ่งหายไปตั้งแต่วันที่คุณแม่มาทานข้าวเย็นที่บ้าน
ขอแสดงความนับถือ
วินัย
หลายวันต่อมา วินัยได้รับจดหมายตอบจากแม่ของเขา เนื้อความว่า..
ถึง ลูกชายสุดที่รักของแม่
แม่ไม่เคยพูดว่าลูกมีอะไรกับนิสา
แต่แม่ก็ไม่ได้คิดว่าลูกจะไม่มีอะไรกับเธอ
เพราะความจริงมีอยู่ว่า ถ้านิสานอนที่ห้องตัวเอง ก็คงเจอทัพพีนั่นไปตั้งนานแล้ว
รักมาก
แม่
Last update:2006-07-26 Source :Blog
เรื่องที่ 1 "ทัพพีที่หายไป"
เมื่อวินัยเชิญแม่ของเขามากินมื้อค่ำที่อพาร์ทเมนท์
ซึ่งเขาอยู่กับสาวสวยชื่อนิสา
คุณแม่จึงอดเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้
ระหว่างร่วมโต๊ะมื้อเย็นนั้นเอง
คุณแม่ของวินัยเฝ้าสังเกตสายตาที่ทั้งคู่มองสบกัน
จนลูกชายชักเดาใจออก จึงรีบพูดขึ้นว่า
ผมรู้นะว่าแม่กำลังคิดอะไร .. แต่ผมยืนยันได้แน่ว่า
ผมกับนิสาเป็นแค่รูมเมทเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลยจริงๆ
หลังจากแม่ของวินัยกลับไปได้ 1 อาทิตย์ นิสาจึงบอกวินัยว่า
ตั้งแต่แม่ของคุณมาเยี่ยมเราคราวนั้น ฉันก็หาทัพพีคันโปรดไม่เจอเลย
ที่จริง..ฉันก็ไม่คิดว่าแม่ของคุณจะเอาไปหรอกนะคะ หรือคุณว่ายังไง
วินัยจึงตอบว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะลองเขียนจดหมายไปถามคุณแม่ดู
วินัยจึงนั่งลงเขียนจดหมาย เนื้อความว่า..
เรียน คุณแม่สุดที่รัก..
ผมไม่ได้คิดว่าคุณแม่จะเผลอเอาทัพพีที่บ้านผมไปหรอกนะครับ
แต่จะว่าแม่ไม่ได้เอาไป..... ก็ยังไงอยู่ เพราะทัพพีสวย ๆ
คันหนึ่งหายไปตั้งแต่วันที่คุณแม่มาทานข้าวเย็นที่บ้าน
ขอแสดงความนับถือ
วินัย
หลายวันต่อมา วินัยได้รับจดหมายตอบจากแม่ของเขา เนื้อความว่า..
ถึง ลูกชายสุดที่รักของแม่
แม่ไม่เคยพูดว่าลูกมีอะไรกับนิสา
แต่แม่ก็ไม่ได้คิดว่าลูกจะไม่มีอะไรกับเธอ
เพราะความจริงมีอยู่ว่า ถ้านิสานอนที่ห้องตัวเอง ก็คงเจอทัพพีนั่นไปตั้งนานแล้ว
รักมาก
แม่
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 8
เรื่องที่ 2 "ตอนเป็นแฟนกัน อะไรๆมันก็ดีอย่างนี้"
ชายหนุ่ม : บ้านคุณอยู่ไกล ซอยเปลี่ยว อันตราย ให้ผมไปส่งดีกว่า
หญิงสาว : ซอยมันแคบกลับรถลำบากนะค่ะ
ชายหนุ่ม : ไม่เป็นไรครับ ผมถอยหลังผ่านตลอดออกได้
เมื่อแต่งงานกันผ่านไป 5 ปี.... อะไรอย่างนี้ก็เกิดขึ้น
ภรรยา : พี่ ๆ กลับเถอะดึกมากแล้ว
สามี : จะคุยกับเพื่อน กลับไปก่อนซิ
ภรรยา : ซอยมันเปลี่ยว อันตรายน่ะพี่
สามี : กลับประจำ ไม่มีอะไรหรอก
ภรรยา : ชั้นกลัวถูกข่มขืน
สามี : ไม่หรอกน่า ... เดี๊ยวนี้ โจรมันฉลาด... มันรู้จักเลือก
เรื่องที่ 3 "วิธีประหยัด"
เรื่องของคุณลุงคนนึง แกทำงานอยู่ กทม. ใกล้จะเกษียณแล้วล่ะ
วันหนึ่งก็มารอรถเมล์จะกลับบ้าน รออยู่คันแล้วคันเล่ารถก็ดูเต็มทุกคัน
แกรออยู่ตั้งนาน เวลาก็ค่ำลงๆ ก็มีอยู่คันหนึ่ง ทำท่าว่าจะจอดรับ แต่ก็ไม่จอด
แต่ลุงแกนึกว่าจะจอดก็ค่อยๆ วิ่งไล่ตามแกวิ่งไล่ตามไปเรื่อยๆ
เผลอไปสักพักใหญ่
....เฮ้ย .....ถึงบ้านแล้วนี่หว่า แกดีใจ
เออดี .....ไม่ต้องเสียค่ารถเมล์สามบาท แกดีใจ ใหญ่เลย กลับไปเล่าให้เมียฟัง
ลุง : นี่เธอจ๋า .. วันนี้พี่วิ่งไล่ตามรถเมล์มานะ ถึงบ้านพอดี ตังค์ก็ไม่ต้องเสียตั้งสามบาทล่ะ
เมีย : (พอได้ยินแทนที่จะดีใจไปด้วยกลับด่าส่ง)...ไอ้แก่จะตายแล้วยังจะโง่อีก
ลุง : อ้าวมาด่าชั้นทำไมล่ะ
เมีย : นี่ถ้าแกวิ่งตามแท็กซี่ แกรู้มั้ย ประหยัดได้อีกตั้งเท่าไหร่
ชายหนุ่ม : บ้านคุณอยู่ไกล ซอยเปลี่ยว อันตราย ให้ผมไปส่งดีกว่า
หญิงสาว : ซอยมันแคบกลับรถลำบากนะค่ะ
ชายหนุ่ม : ไม่เป็นไรครับ ผมถอยหลังผ่านตลอดออกได้
เมื่อแต่งงานกันผ่านไป 5 ปี.... อะไรอย่างนี้ก็เกิดขึ้น
ภรรยา : พี่ ๆ กลับเถอะดึกมากแล้ว
สามี : จะคุยกับเพื่อน กลับไปก่อนซิ
ภรรยา : ซอยมันเปลี่ยว อันตรายน่ะพี่
สามี : กลับประจำ ไม่มีอะไรหรอก
ภรรยา : ชั้นกลัวถูกข่มขืน
สามี : ไม่หรอกน่า ... เดี๊ยวนี้ โจรมันฉลาด... มันรู้จักเลือก
เรื่องที่ 3 "วิธีประหยัด"
เรื่องของคุณลุงคนนึง แกทำงานอยู่ กทม. ใกล้จะเกษียณแล้วล่ะ
วันหนึ่งก็มารอรถเมล์จะกลับบ้าน รออยู่คันแล้วคันเล่ารถก็ดูเต็มทุกคัน
แกรออยู่ตั้งนาน เวลาก็ค่ำลงๆ ก็มีอยู่คันหนึ่ง ทำท่าว่าจะจอดรับ แต่ก็ไม่จอด
แต่ลุงแกนึกว่าจะจอดก็ค่อยๆ วิ่งไล่ตามแกวิ่งไล่ตามไปเรื่อยๆ
เผลอไปสักพักใหญ่
....เฮ้ย .....ถึงบ้านแล้วนี่หว่า แกดีใจ
เออดี .....ไม่ต้องเสียค่ารถเมล์สามบาท แกดีใจ ใหญ่เลย กลับไปเล่าให้เมียฟัง
ลุง : นี่เธอจ๋า .. วันนี้พี่วิ่งไล่ตามรถเมล์มานะ ถึงบ้านพอดี ตังค์ก็ไม่ต้องเสียตั้งสามบาทล่ะ
เมีย : (พอได้ยินแทนที่จะดีใจไปด้วยกลับด่าส่ง)...ไอ้แก่จะตายแล้วยังจะโง่อีก
ลุง : อ้าวมาด่าชั้นทำไมล่ะ
เมีย : นี่ถ้าแกวิ่งตามแท็กซี่ แกรู้มั้ย ประหยัดได้อีกตั้งเท่าไหร่
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 9
เรื่องที่ 4 "ทางแก้ปัญหา"
สามี: เธอพกรูปฉันไว้ในกระเป๋าเสมอ ทำไมหรอ
ภรรยา: อ๋อ ก็ถ้ามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน ฉันก็จะดูรูปเธอ
แล้วปัญหาก็หายไปเลย
สามี: เห็นมั้ย ว่าฉันเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเธอขนาดไหน
ภรรยา: ใช่ ฉันมองภาพเธอแล้วก็พูดกับตัวเองว่า ปัญหาอะไรจะมาหนักหนากว่านี้อีกนะ
เรื่องที่ 5 "บ่ออธิษฐาน"
หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินมาถึงบ่อศักดิ์สิทธิ์ที่หลายคนมาอธิษฐานขอพร
ฝ่ายชายเริ่มโน้มตัวไปข้างหน้า ตั้งจิตอธิษฐานและโยนเหรียญลงไป
ฝ่ายภรรยาอยากอธิษฐานเช่นกันแต่เธอโน้มตัวไปมากเกินจนเสียศูนย์ ตกลงไปในบ่อ แล้วจมน้ำตาย
สามีพูดขึ้นเบาๆว่า ว้าว ได้ผลจริงๆด้วย
เรื่องที่ 6 "เสียสละที่นั่งให้หญิง"
ลูกชาย: แม่ครับ ตอนที่อยู่กับพ่อบนรถเมล์เมื่อเช้านี้
พ่อบอกให้ผมสละที่นั่งให้ผู้หญิงสาวคนหนึ่งครับ
แม่: ดีจ้ะลูก ลูกทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ลูกชาย: แต่แม่ครับ ผมนั่งอยู่บนตักพ่อนะ
เรื่องที่ 7 "ประสบการณ์เฉียดตาย"
หญิงวัยกลางคนเกิดอาการหัวใจวายและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
ระหว่างที่อยู่บนเตียงผ่าตัด เธอพบกับประสบการณ์เฉียดตาย
ซึ่งในระหว่างนี้เธอเห็นพระเจ้าและถามพระองค์ว่าวาระสุดท้ายของเธอมาถึงแล้วใช่ไหม
พระเจ้าตอบว่ายัง เธอต้องอยู่ต่อไปอีกสามสิบปี
หลังจากฟื้นคืนสติ เธอตัดสินใจอยู่ต่อที่โรงพยาบาลต่อเพื่อผ่าตัดดึงหน้า ทำปากให้อิ่มเอิบ
เสริมหน้าอกและอื่นๆอีกสารพัด เธอยังให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนสีผมให้อีกด้วย
เธอทำเช่นนี้เพราะเห็นว่าในเมื่อจะต้องมีชีวิตอยู่อีก 30 ปี
ต้องใช้เวลาทั้งหมดนี้อย่างมีความสุขที่สุด
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเสริมสวย เธอเดินออกจากโรงพยาบาล
แต่โชคร้ายกลับถูกรถพยาบาลชนตาย เมื่อมาพบหน้าพระเจ้าอีกครั้ง เธอบ่นว่า
ฉันได้ยินว่าพระองค์บอกเองว่าฉันต้องมีชีวิตอยู่อีก 30 ปี
พระเจ้าตอบว่า โทษที เราจำเจ้าไม่ได้!
เรื่องสุดท้าย
"สามีนอนดูอเมริกันฟุตบอลอยู่ ภรรยาเข้ามาขอร้อง
"ซ่อมไฟทางเดินให้หน่อยสิ มันเสียมาหลายวันแล้ว"
"ซ่อมไฟเหรอ" สามีโมโห
"ฉันไม่ได้ทำงานเจเนรัลอิเลคทริคนะ ดูที่หน้าผากซิมี จีอี. สลักไว้หรือเปล่า"
"งั้นซ่อมประตูตู้เย็นให้หน่อยนะ" ภรรยาขอต่อ
"ซ่อมตู้เย็น ? " สามีฉุน "ไม่ได้ทำงานเวิล์ดพูลนะ ดูหน้าผากฉันซิมีอักษรสลักไว้หรือเปล่า"
"ค่ะ อย่างน้อยช่วยดูบันไดให้หน่อยได้ไหม รู้สึกมันจะพังแล้วนะ
"ซ่อมบันได" สามีโมโหสุดขีด "ฉันไม่ใช่พนักงานรับซ่อมบ้านนะ ดูซิมีเครื่องหมายพนักงานอยู่ตรงไหน"
สามีปึงปังออกจากบ้านไป เขาไปดื่มเหล้าดับอารมณ์อยู่สักพักก็รู้สึกตัวว่าเขาพูดจารุนแรงไป
เขาตัดสินใจกลับบ้านมาซ่อมของใช้ให้ภรรยา
เมื่อกลับเข้าบ้าน เขาเห็นไฟทางเดินส่องสว่างดี ประตูตู้เย็นก็ซ่อมเป็นปกติ บันไดก็ซ่อมเสร็จ
เขาจึงถามภรรยา "ที่รัก นี่เธอซ่อมมันยังไง"
"อ๋อ พอคุณออกจากบ้านไป ฉันก็นั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าบ้าน มีผู้ชายคนหนึ่งผ่านมาถาม ฉันเลยเล่าให้ฟัง
เขาอาสาว่าจะซ่อมให้ โดยขอนอนกับฉันครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ทำคุกกี้ให้เขา"
"เหรอ แล้วเธอทำคุกกี้อะไรให้เขาล่ะ" สามีถาม
"นี่คุณ" ภรรยาขึ้นเสียง
"ดูหน้าผากฉันซิ มีอักษร S & P หรือเปล่า"
สามี: เธอพกรูปฉันไว้ในกระเป๋าเสมอ ทำไมหรอ
ภรรยา: อ๋อ ก็ถ้ามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน ฉันก็จะดูรูปเธอ
แล้วปัญหาก็หายไปเลย
สามี: เห็นมั้ย ว่าฉันเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเธอขนาดไหน
ภรรยา: ใช่ ฉันมองภาพเธอแล้วก็พูดกับตัวเองว่า ปัญหาอะไรจะมาหนักหนากว่านี้อีกนะ
เรื่องที่ 5 "บ่ออธิษฐาน"
หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินมาถึงบ่อศักดิ์สิทธิ์ที่หลายคนมาอธิษฐานขอพร
ฝ่ายชายเริ่มโน้มตัวไปข้างหน้า ตั้งจิตอธิษฐานและโยนเหรียญลงไป
ฝ่ายภรรยาอยากอธิษฐานเช่นกันแต่เธอโน้มตัวไปมากเกินจนเสียศูนย์ ตกลงไปในบ่อ แล้วจมน้ำตาย
สามีพูดขึ้นเบาๆว่า ว้าว ได้ผลจริงๆด้วย
เรื่องที่ 6 "เสียสละที่นั่งให้หญิง"
ลูกชาย: แม่ครับ ตอนที่อยู่กับพ่อบนรถเมล์เมื่อเช้านี้
พ่อบอกให้ผมสละที่นั่งให้ผู้หญิงสาวคนหนึ่งครับ
แม่: ดีจ้ะลูก ลูกทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ลูกชาย: แต่แม่ครับ ผมนั่งอยู่บนตักพ่อนะ
เรื่องที่ 7 "ประสบการณ์เฉียดตาย"
หญิงวัยกลางคนเกิดอาการหัวใจวายและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
ระหว่างที่อยู่บนเตียงผ่าตัด เธอพบกับประสบการณ์เฉียดตาย
ซึ่งในระหว่างนี้เธอเห็นพระเจ้าและถามพระองค์ว่าวาระสุดท้ายของเธอมาถึงแล้วใช่ไหม
พระเจ้าตอบว่ายัง เธอต้องอยู่ต่อไปอีกสามสิบปี
หลังจากฟื้นคืนสติ เธอตัดสินใจอยู่ต่อที่โรงพยาบาลต่อเพื่อผ่าตัดดึงหน้า ทำปากให้อิ่มเอิบ
เสริมหน้าอกและอื่นๆอีกสารพัด เธอยังให้ช่างเข้ามาเปลี่ยนสีผมให้อีกด้วย
เธอทำเช่นนี้เพราะเห็นว่าในเมื่อจะต้องมีชีวิตอยู่อีก 30 ปี
ต้องใช้เวลาทั้งหมดนี้อย่างมีความสุขที่สุด
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเสริมสวย เธอเดินออกจากโรงพยาบาล
แต่โชคร้ายกลับถูกรถพยาบาลชนตาย เมื่อมาพบหน้าพระเจ้าอีกครั้ง เธอบ่นว่า
ฉันได้ยินว่าพระองค์บอกเองว่าฉันต้องมีชีวิตอยู่อีก 30 ปี
พระเจ้าตอบว่า โทษที เราจำเจ้าไม่ได้!
เรื่องสุดท้าย
"สามีนอนดูอเมริกันฟุตบอลอยู่ ภรรยาเข้ามาขอร้อง
"ซ่อมไฟทางเดินให้หน่อยสิ มันเสียมาหลายวันแล้ว"
"ซ่อมไฟเหรอ" สามีโมโห
"ฉันไม่ได้ทำงานเจเนรัลอิเลคทริคนะ ดูที่หน้าผากซิมี จีอี. สลักไว้หรือเปล่า"
"งั้นซ่อมประตูตู้เย็นให้หน่อยนะ" ภรรยาขอต่อ
"ซ่อมตู้เย็น ? " สามีฉุน "ไม่ได้ทำงานเวิล์ดพูลนะ ดูหน้าผากฉันซิมีอักษรสลักไว้หรือเปล่า"
"ค่ะ อย่างน้อยช่วยดูบันไดให้หน่อยได้ไหม รู้สึกมันจะพังแล้วนะ
"ซ่อมบันได" สามีโมโหสุดขีด "ฉันไม่ใช่พนักงานรับซ่อมบ้านนะ ดูซิมีเครื่องหมายพนักงานอยู่ตรงไหน"
สามีปึงปังออกจากบ้านไป เขาไปดื่มเหล้าดับอารมณ์อยู่สักพักก็รู้สึกตัวว่าเขาพูดจารุนแรงไป
เขาตัดสินใจกลับบ้านมาซ่อมของใช้ให้ภรรยา
เมื่อกลับเข้าบ้าน เขาเห็นไฟทางเดินส่องสว่างดี ประตูตู้เย็นก็ซ่อมเป็นปกติ บันไดก็ซ่อมเสร็จ
เขาจึงถามภรรยา "ที่รัก นี่เธอซ่อมมันยังไง"
"อ๋อ พอคุณออกจากบ้านไป ฉันก็นั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าบ้าน มีผู้ชายคนหนึ่งผ่านมาถาม ฉันเลยเล่าให้ฟัง
เขาอาสาว่าจะซ่อมให้ โดยขอนอนกับฉันครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ทำคุกกี้ให้เขา"
"เหรอ แล้วเธอทำคุกกี้อะไรให้เขาล่ะ" สามีถาม
"นี่คุณ" ภรรยาขึ้นเสียง
"ดูหน้าผากฉันซิ มีอักษร S & P หรือเปล่า"
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 10
การเป็น ลูกคนโต คนกลาง คนเล็ก
Date: Mon, 11 Jun 2007 16:53:41 -0800
การเป็น ลูกคนโต คนกลาง คนเล็ก
ลูกคนเดียว
ข้อดี : เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน รู้จักจัดระเบียบให้กับชีวิต
มีความยุติธรรมและเป็นคนที่วางใจได้ มีความรับผิดชอบ
ข้อเสีย : เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เจ้าคิดเจ้าแค้น มักชอบเรียกร้อง
และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
ทนต่อเสียงวิจารณ์ได้น้อยและค่อนข้างsensitive
ลูกคนโต
ข้อดี : เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ
ต้องการมีอำนาจหรือโดดเด่นเหนือคนอื่น
เป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและตรงต่อเวลา
คนที่เป็นลูกคนโต มักยึดความถูกต้องเป็นหลัก
ข้อเสีย : มักเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อำนาจหรือบีบบังคับ
เมื่อต้องการให้ใครทำอะไรให้ตัวเอง
บางครั้งก็มักวางตัวว่ารู้ไปเสียทุกเรื่องจึงมักผิดพลาดได้ง่าย
เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนอื่น เหมือนกับที่วางใจตัวเอง
Date: Mon, 11 Jun 2007 16:53:41 -0800
การเป็น ลูกคนโต คนกลาง คนเล็ก
ลูกคนเดียว
ข้อดี : เป็นคนที่มุ่งมั่นในการทำงาน รู้จักจัดระเบียบให้กับชีวิต
มีความยุติธรรมและเป็นคนที่วางใจได้ มีความรับผิดชอบ
ข้อเสีย : เป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ เจ้าคิดเจ้าแค้น มักชอบเรียกร้อง
และไม่ค่อยยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
ทนต่อเสียงวิจารณ์ได้น้อยและค่อนข้างsensitive
ลูกคนโต
ข้อดี : เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ
ต้องการมีอำนาจหรือโดดเด่นเหนือคนอื่น
เป็นคนที่มีความเที่ยงตรงและตรงต่อเวลา
คนที่เป็นลูกคนโต มักยึดความถูกต้องเป็นหลัก
ข้อเสีย : มักเป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ชอบใช้อำนาจหรือบีบบังคับ
เมื่อต้องการให้ใครทำอะไรให้ตัวเอง
บางครั้งก็มักวางตัวว่ารู้ไปเสียทุกเรื่องจึงมักผิดพลาดได้ง่าย
เพราะไม่ค่อยไว้วางใจคนอื่น เหมือนกับที่วางใจตัวเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 11
ลูกคนกลาง
ข้อดี : เป็นคนที่น่าคบหา มีมนุษย์สัมพันธ์ดี
และมักทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุข
ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนทะเลไร้คลื่น
รักความสงบมีความเป็นมิตรให้กับคนรอบข้าง เป็นนักฟังที่ดี
และมีความตั้งใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข
จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นนักแก้ปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี
ข้อเสีย : มีความกระตือรือร้นน้อยกว่าคนที่เป็นลูกคนโต
และเนื่องจากต้องการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น
จึงมักทำให้คนที่เป็นลูกคนกลางพยายามทำตัวตามความต้องการของคนอื่น
หรือทำให้คนที่คบรอบข้างมีความสุข จนเกินขอบเขต
หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้
จึงมักลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบไป
ลูกคนเล็ก
ข้อดี : มักเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง
มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง
เข้ากับคนได้ง่าย เป็นคนที่อบอุ่น น่าคบหาเป็นคนเปิดเผย จริงใจ
ข้อเสีย : มักเบื่อง่าย ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ค่อนข้างเอาแต่ใจเมื่อคบหากับใคร ช่วงแรก ๆ
ก็ดูน่าตื่นเต้นสนุกสนาน
แต่เมื่อความสนุกสนานหมดไป ก็เหมือนงานเลี้ยงเลิกรา
การสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจังและเป็นความสัมพันธ์ระยะยาว
จึงดูเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ
ข้อดี : เป็นคนที่น่าคบหา มีมนุษย์สัมพันธ์ดี
และมักทำให้คนที่อยู่ด้วยมีความสุข
ชอบใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนทะเลไร้คลื่น
รักความสงบมีความเป็นมิตรให้กับคนรอบข้าง เป็นนักฟังที่ดี
และมีความตั้งใจที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข
จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นนักแก้ปัญหาให้กับคนอื่นได้ดี
ข้อเสีย : มีความกระตือรือร้นน้อยกว่าคนที่เป็นลูกคนโต
และเนื่องจากต้องการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น
จึงมักทำให้คนที่เป็นลูกคนกลางพยายามทำตัวตามความต้องการของคนอื่น
หรือทำให้คนที่คบรอบข้างมีความสุข จนเกินขอบเขต
หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดไว้
จึงมักลงโทษตัวเอง หรือมองตัวเองในแง่ลบไป
ลูกคนเล็ก
ข้อดี : มักเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริง
มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง
เข้ากับคนได้ง่าย เป็นคนที่อบอุ่น น่าคบหาเป็นคนเปิดเผย จริงใจ
ข้อเสีย : มักเบื่อง่าย ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ค่อนข้างเอาแต่ใจเมื่อคบหากับใคร ช่วงแรก ๆ
ก็ดูน่าตื่นเต้นสนุกสนาน
แต่เมื่อความสนุกสนานหมดไป ก็เหมือนงานเลี้ยงเลิกรา
การสร้างความสัมพันธ์ที่จริงจังและเป็นความสัมพันธ์ระยะยาว
จึงดูเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 12
คราวนี้มาดูเป็นคู่บ้าง
คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโต
น่าจะไปด้วยกันได้ยาก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ
หรือหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่
ดูเหมือนเส้นทางชีวิตคู่จะเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความไม่เข้าใจกัน
คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง
จุดอันตรายของคนคู่นี้
อยู่ที่ว่าลูกคนกลางมักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คน
แต่เมื่อมาเจอกับคนที่เป็นลูกคนโต
ซึ่งมักชอบวางอำนาจแม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
แต่นาน ๆเข้าคนที่เป็นลูกคนกลางก็จะรู้สึกแย่ ๆ กับตัวเอง
และจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง
ความพยายามที่จะทำให้คู่รักที่เป็นลูกคนโตชื่นชอบ ก็จะหมดไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตามหากคนที่เป็นลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กก็จะเป็น
คู่ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว
คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนสุดท้อง
จัดว่าเป็นคู่ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวที่สุด
เพราะคนที่เป็นลูกคนโตจะช่วยสอนให้คนที่เป็นลูกคนเล็กรู้จักการจัดระเบียบให้กับชีวิต
ซึ่งช่วยให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี
ในขณะที่คนที่เป็นลูกคนเล็กก็จะนำความสนุกสนานร่าเริง มาให้คนที่เป็นลูกคนโต
ก็ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องซีเรียสนี่นา
คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนโต
น่าจะไปด้วยกันได้ยาก ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายเอาอกเอาใจ
หรือหัวแข็งด้วยกันทั้งคู่
ดูเหมือนเส้นทางชีวิตคู่จะเต็มไปด้วยขวากหนามแห่งความไม่เข้าใจกัน
คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนกลาง
จุดอันตรายของคนคู่นี้
อยู่ที่ว่าลูกคนกลางมักจะเป็นคู่รักที่ดีของทุก ๆ คน
แต่เมื่อมาเจอกับคนที่เป็นลูกคนโต
ซึ่งมักชอบวางอำนาจแม้ว่าคนที่เป็นลูกคนกลางจะยอมโอนอ่อนผ่อนตาม
แต่นาน ๆเข้าคนที่เป็นลูกคนกลางก็จะรู้สึกแย่ ๆ กับตัวเอง
และจะสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเองลง
ความพยายามที่จะทำให้คู่รักที่เป็นลูกคนโตชื่นชอบ ก็จะหมดไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตามหากคนที่เป็นลูกคนกลางมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กก็จะเป็น
คู่ที่ไปด้วยกันได้ดีทีเดียว
คู่ที่เป็นลูกคนโตกับลูกคนสุดท้อง
จัดว่าเป็นคู่ที่ผสมผสานได้อย่างลงตัวที่สุด
เพราะคนที่เป็นลูกคนโตจะช่วยสอนให้คนที่เป็นลูกคนเล็กรู้จักการจัดระเบียบให้กับชีวิต
ซึ่งช่วยให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี
ในขณะที่คนที่เป็นลูกคนเล็กก็จะนำความสนุกสนานร่าเริง มาให้คนที่เป็นลูกคนโต
ก็ชีวิตไม่ได้มีแต่เรื่องซีเรียสนี่นา
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 13
คู่ที่เป็นลูกคนกลางทั้งคู่
คู่นี้อาจจะเป็นไปได้ 2ทางคือ
หากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโต
และอีกคนมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก
คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว
แต่ถ้าหากทั้งคู่เป็นคนที่ไม่ยืดหยุ่น
ถึงแม้จะพอประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้
แต่ต้องเก็บงำความเจ็บช้ำไว้ข้างในตามนิสัยของลูกคนกลางที่ไม่ค่อยพูดอะไรออกมาคู่นี้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจกัน
คู่ที่เป็นลูกคนกลางกับลูกคนสุดท้อง
ถ้าคนที่เป็นลูกคนกลาง มีลักษณะค่อนไปทางลูกคนโต
คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี แต่หากเป็นแบบลูกคนกลางจริง ๆ
แล้วก็มักจะคล้อยตามให้เห็นดีเห็นงามกับการใช้ชีวิตในสไตล์ของลูกคนเล็กคือ
มักจะขาดความรับผิดชอบและมักสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนืองๆ(เหมือนลูกคนเล็กของใครหว่า!)
และถ้าเป็นลูกคนกลางที่มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กแล้วละก็
ชีวิตคู่ดูจะยุ่งยากทีเดียว
คู่ทีเป็นลูกคนเล็กด้วยกันทั้งคู่
คนคู่นี้ ค่อนข้างร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนาน
แต่มักไม่ใช่พวกที่ชอบแก้ปัญหา
เป็นคู่รักที่น่าอิจฉาแต่อาจจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนัก
คู่นี้อาจจะเป็นไปได้ 2ทางคือ
หากคนหนึ่งมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนโต
และอีกคนมีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็ก
คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว
แต่ถ้าหากทั้งคู่เป็นคนที่ไม่ยืดหยุ่น
ถึงแม้จะพอประคับประคองชีวิตคู่กันไปได้
แต่ต้องเก็บงำความเจ็บช้ำไว้ข้างในตามนิสัยของลูกคนกลางที่ไม่ค่อยพูดอะไรออกมาคู่นี้ไม่มีปัญหาเรื่องการนอกใจกัน
คู่ที่เป็นลูกคนกลางกับลูกคนสุดท้อง
ถ้าคนที่เป็นลูกคนกลาง มีลักษณะค่อนไปทางลูกคนโต
คู่นี้จะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดี แต่หากเป็นแบบลูกคนกลางจริง ๆ
แล้วก็มักจะคล้อยตามให้เห็นดีเห็นงามกับการใช้ชีวิตในสไตล์ของลูกคนเล็กคือ
มักจะขาดความรับผิดชอบและมักสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนืองๆ(เหมือนลูกคนเล็กของใครหว่า!)
และถ้าเป็นลูกคนกลางที่มีนิสัยค่อนไปทางลูกคนเล็กแล้วละก็
ชีวิตคู่ดูจะยุ่งยากทีเดียว
คู่ทีเป็นลูกคนเล็กด้วยกันทั้งคู่
คนคู่นี้ ค่อนข้างร่าเริง มองโลกด้วยความสนุกสนาน
แต่มักไม่ใช่พวกที่ชอบแก้ปัญหา
เป็นคู่รักที่น่าอิจฉาแต่อาจจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่ยั่งยืนนัก
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 14
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/t ... 80881.html
นิทานกับการแก้ปัญหา...
เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง
เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า "ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง
แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้"
ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า "ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม
ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว
ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว
ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า
แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย"
ชาวนาตกลง
เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ
เธอจะทำอย่างไร?
หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง
หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้
แต่บิดาของเธอก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ
แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป
ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ
และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
นิทานกับการแก้ปัญหา...
เศรษฐีคนหนึ่งชอบใจลูกสาวชาวนายากไร้ผู้หนึ่ง
เขาเชิญชาวนากับลูกสาวไปที่สวนในคฤหาสน์ของเขา
เป็นสวนกรวดกว้างใหญ่ที่มีแต่กรวดสีดำกับสีขาว
เศรษฐีบอกชาวนาว่า "ท่านเป็นหนี้สินข้าจำนวนหนึ่ง
แต่หากท่านยกลูกสาวให้ข้า จะยกเลิกหนี้สินทั้งหมดให้"
ชาวนาไม่ตกลง
เศรษฐีบอกว่า "ถ้าเช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหม
ข้าจะหยิบกรวดสองก้อนขึ้นมาจากสวนกรวดใส่ในถุงผ้านี้ ก้อนหนึ่งสีดำ ก้อนหนึ่งสีขาว
ให้ลูกสาวของท่านหยิบก้อนกรวดจากถุงนี้ หากนางหยิบได้ก้อนสีขาว
ข้าจะยกหนี้สินให้ท่าน และนางไม่ต้องแต่งงานกับข้า
แต่หากนางหยิบได้ก้อนสีดำ นางต้องแต่งงานกับข้า และแน่นอน ข้าจะยกหนี้ให้ท่านด้วย"
ชาวนาตกลง
เศรษฐีหยิบกรวดสองก้อนใส่ในถุงผ้า หญิงสาวเหลือบไปเห็นว่ากรวดทั้งสองก้อนนั้นเป็นสีดำ
เธอจะทำอย่างไร?
หากเธอไม่เปิดโปงความจริง ก็ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกง
หากเธอเปิดโปงความจริง เศรษฐีย่อมเสียหน้า และยกเลิกเกมนี้
แต่บิดาของเธอก็จะยังคงเป็นหนี้เศรษฐีต่อไปอีกนาน
เราส่วนใหญ่ถูกสอนมาให้มองปัญหาแบบขาวกับดำ
แต่ไม่ใช่ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้อย่างขาวกับดำเสมอไป
ในทางตรงข้าม หากเราลองมองต่างมุม จะพบว่าหนทางการแก้ปัญหามีมากกว่าหนึ่งสายเสมอ
และการยืดหยุ่นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เป็นวิธีการหนึ่ง
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 15
.บางครั้งในการแก้ปัญหา เราอาจต้องสร้างเครื่องมือในการแก้ปัญหาขึ้นมาใหม่
ในยุคสงครามเย็นที่กินเวลานานหลายสิบปี สูญเสียชีวิตและทรัพยากรโลกมหาศาล
ไม่มีใครกล้าเชื่อว่า สงครามเย็นสามารถยุติลงได้ หรือเร็วเช่นนี้ ในยุคของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ
กอร์บาชอฟ กล่าวว่า "เป็นเรื่องเขลาที่คิดว่า ปัญหาที่รุมเร้ามนุษยชาติในวันนี้
สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือและวิธีการที่เคยใช้ได้ผลในอดีต"
หากเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ บางทีวันนี้สังคมนิยมโซเวียตยังไม่เปิดประเทศและสันติภาพระหว่างฝ่ายขาว-ฝ่ายแดงคงล้าหลังไปอีกหลายปี
โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวกับดำ
ในยุคสงครามเย็นที่กินเวลานานหลายสิบปี สูญเสียชีวิตและทรัพยากรโลกมหาศาล
ไม่มีใครกล้าเชื่อว่า สงครามเย็นสามารถยุติลงได้ หรือเร็วเช่นนี้ ในยุคของ มิคาอิล กอร์บาชอฟ
กอร์บาชอฟ กล่าวว่า "เป็นเรื่องเขลาที่คิดว่า ปัญหาที่รุมเร้ามนุษยชาติในวันนี้
สามารถแก้ไขได้ด้วยเครื่องมือและวิธีการที่เคยใช้ได้ผลในอดีต"
หากเขาไม่ได้คิดเช่นนี้ บางทีวันนี้สังคมนิยมโซเวียตยังไม่เปิดประเทศและสันติภาพระหว่างฝ่ายขาว-ฝ่ายแดงคงล้าหลังไปอีกหลายปี
โลกไม่ได้มีเพียงแค่สีขาวกับดำ
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 16
ลูกสาวชาวนาเอื้อมมือลงไปในถุงผ้า หยิบกรวดขึ้นมาหนึ่งก้อน
พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า "ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น
แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้
ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า
กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร"
ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ
.."...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว"
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา
เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ"
พลันเธอปล่อยกรวดในมือร่วงลงสู่พื้น กลืนหายไปในสีดำและขาวของสวนกรวด
เธอมองหน้าเศรษฐี เอ่ยว่า "ขออภัยที่ข้าพลั้งเผลอปล่อยหินร่วงหล่น
แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านใส่กรวดสีขาวกับสีดำอย่างละหนึ่งก้อนลงไปในถุงนี้
ดังนั้นเมื่อเราเปิดถุงออกดูสีกรวดก้อนที่เหลือ ก็ย่อมรู้ทันทีว่า
กรวดที่ข้าหยิบไปเมื่อครู่เป็นสีอะไร"
ที่ก้นถุงเป็นกรวดสีดำ
.."...ดังนั้นกรวดก้อนที่ข้าทำตกย่อมเป็นสีขาว"
ชาวนาพ้นสภาพลูกหนี้และลูกสาวไม่ต้องแต่งงานกับเศรษฐีขี้โกงคนนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "หากเราพยายามมากพอที่จะแก้ไขปัญหา
เราจะพบว่าทุกปัญหาย่อมมีวิถีทางแก้ไขเสมอ"
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 17
..New vehicle law that you all should know.
Date: Tue, 15 May 2007 17:27:24 -0800
ใครที่มีสติ๊กเกอร์พ.ร.บ.ติดอยู่หน้ารถ ก็ให้ติดอยู่อย่างนั้น แต่ก็ต้องเก็บกรมธรรม์พ.ร.บ.
ไว้ในรถเผื่อถูกเรียกตรวจด้วยคราวต่อไปที่ต่ออายุพ.ร.บ.ประกันภัยจะไม่ออกสติ๊กเกอร์ให้แล้ว..
ให้เก็บกรมธรรม์พ.ร.บ.ไว้ในรถตลอดเวลา
เลิกสติกเกอร์ประกันพ.ร.บ. ให้อำนาจกรมการขนส่งฯ
ยกเลิกสติกเกอร์ พ.ร.บ. มีผลตั้งแต่วันที่6 เมษายน เป็นต้นไป
กรมการประกันภัยรายงานว่า พระราชบัญบั??ัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2550
มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2550
ทำให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่6 เมษายน เป็นต้นไป
หลังกฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ จะมีผลต่อผู้ทำำประกันภัยภาคบังคับ ดังนี้
1. ยกเลิกสติกเกอร์ประกันภัย พ.ร.บ. ให้ผู้ทำประกัน พ.ร.บ. เก็บกรมธรรม์ประกันภัยไว้กับตัวตลอดเวลาที่ใช้รถ เพื่อพร้อมต่อการตรวจสอบจากเจ้าพนักงาน
2. กรมการขนส่งทางบก มีสิทธิไม่ต่อทะเบียนประจำปีแก่เจ้าของรถที่ไม่มี พ.ร.บ. และมีสิทธิขาย พ.ร.บ. แก่เจ้าของรถ โดยเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทประกันภัย5% และให้ลูกค้าได้ส่วนลด 7%
3. มีการขยายความหมายของค่าเสียหายเบื้องต้นกว้างขึ้น ประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาล
ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ
การจัดการศพ
รวมทั้งค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างอื่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยเบื้องต้นจากเดิมที่จำกัดเฉพาะค่ารักษาพยาบาล
นอกจากนี้ ยังมีผลต่อระบบการจัดการของบริษัทประกันภัย เพราะมีอำนาจให้บริษัทรายงาน
การรับประกัน พ.ร.บ. ต่อกรมการประกันภัยทันทีที่มีการรับประกัน
และถ้ามีการยกเลิกกรมธรรม์ ต้องแจ้งกรมการประกันภัยทันที!
กรณีรถไม่มี พ.ร.บ. หรือบริษัทไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย หรือจ่ายไม่ครบจำนวน
เมื่อสำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นออกไปก่อน
กรมการประกันภัย จะเรียกเงินตามจำนวนที่ได้จ่ายไปคืนจากเจ้าของรถหรือบริษัทประกันภัย พร้อมบวกเพิ่มอีก 20%จากค่าเสียหายเบื้องต้นที่จ่ายไป จากเจ้าของรถที่ไม่มี พ.ร.บ. และจากบริษัทประกันภัย
ที่มา : นสพ . โพสต์ทูเดย์ 11 เม . ย .2550
Date: Tue, 15 May 2007 17:27:24 -0800
ใครที่มีสติ๊กเกอร์พ.ร.บ.ติดอยู่หน้ารถ ก็ให้ติดอยู่อย่างนั้น แต่ก็ต้องเก็บกรมธรรม์พ.ร.บ.
ไว้ในรถเผื่อถูกเรียกตรวจด้วยคราวต่อไปที่ต่ออายุพ.ร.บ.ประกันภัยจะไม่ออกสติ๊กเกอร์ให้แล้ว..
ให้เก็บกรมธรรม์พ.ร.บ.ไว้ในรถตลอดเวลา
เลิกสติกเกอร์ประกันพ.ร.บ. ให้อำนาจกรมการขนส่งฯ
ยกเลิกสติกเกอร์ พ.ร.บ. มีผลตั้งแต่วันที่6 เมษายน เป็นต้นไป
กรมการประกันภัยรายงานว่า พระราชบัญบั??ัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2550
มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2550
ทำให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่6 เมษายน เป็นต้นไป
หลังกฎหมายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ จะมีผลต่อผู้ทำำประกันภัยภาคบังคับ ดังนี้
1. ยกเลิกสติกเกอร์ประกันภัย พ.ร.บ. ให้ผู้ทำประกัน พ.ร.บ. เก็บกรมธรรม์ประกันภัยไว้กับตัวตลอดเวลาที่ใช้รถ เพื่อพร้อมต่อการตรวจสอบจากเจ้าพนักงาน
2. กรมการขนส่งทางบก มีสิทธิไม่ต่อทะเบียนประจำปีแก่เจ้าของรถที่ไม่มี พ.ร.บ. และมีสิทธิขาย พ.ร.บ. แก่เจ้าของรถ โดยเก็บค่าธรรมเนียมจากบริษัทประกันภัย5% และให้ลูกค้าได้ส่วนลด 7%
3. มีการขยายความหมายของค่าเสียหายเบื้องต้นกว้างขึ้น ประกอบด้วย ค่ารักษาพยาบาล
ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ
การจัดการศพ
รวมทั้งค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างอื่น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยเบื้องต้นจากเดิมที่จำกัดเฉพาะค่ารักษาพยาบาล
นอกจากนี้ ยังมีผลต่อระบบการจัดการของบริษัทประกันภัย เพราะมีอำนาจให้บริษัทรายงาน
การรับประกัน พ.ร.บ. ต่อกรมการประกันภัยทันทีที่มีการรับประกัน
และถ้ามีการยกเลิกกรมธรรม์ ต้องแจ้งกรมการประกันภัยทันที!
กรณีรถไม่มี พ.ร.บ. หรือบริษัทไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย หรือจ่ายไม่ครบจำนวน
เมื่อสำนักงานกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นออกไปก่อน
กรมการประกันภัย จะเรียกเงินตามจำนวนที่ได้จ่ายไปคืนจากเจ้าของรถหรือบริษัทประกันภัย พร้อมบวกเพิ่มอีก 20%จากค่าเสียหายเบื้องต้นที่จ่ายไป จากเจ้าของรถที่ไม่มี พ.ร.บ. และจากบริษัทประกันภัย
ที่มา : นสพ . โพสต์ทูเดย์ 11 เม . ย .2550
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 18
..ปรัชญาพุทธกับคนรัก (ที่ไม่รักเรา)
Date: Sun, 6 May 2007 19:53:46 -0800
ปรัชญาพุทธกับคนรัก (ที่ไม่รักเรา)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไป
จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย
ขณะนั้นเอง
มีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้าจึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า
"โยมจะทำอะไรรึ"
หญิงสาวตอบ
"อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
มีแฟนๆ ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่า
ในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"
หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า
"ทำไมล่ะเจ้าคะ"
พระธุดงส์ตอบว่า
"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"
หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะ ดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์ตอบ
"โยมได้สูญเสียคนที่ มิ ได้รักและห่วงใยโยม
ซึ่งจะมีค่าอันใด
แต่แฟนโยมซิ ที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม
ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"
Date: Sun, 6 May 2007 19:53:46 -0800
ปรัชญาพุทธกับคนรัก (ที่ไม่รักเรา)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไป
จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย
ขณะนั้นเอง
มีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้าจึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า
"โยมจะทำอะไรรึ"
หญิงสาวตอบ
"อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
มีแฟนๆ ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่า
ในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"
หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า
"ทำไมล่ะเจ้าคะ"
พระธุดงส์ตอบว่า
"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"
หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะ ดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์ตอบ
"โยมได้สูญเสียคนที่ มิ ได้รักและห่วงใยโยม
ซึ่งจะมีค่าอันใด
แต่แฟนโยมซิ ที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม
ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 19
ภูมิแพ้ก็แพ้ได้ บทความน่าอ่าน
Date: Tue, 3 Apr 2007 17:19:06 -0800
ในเวลากลางคืนที่ทุกคนกำลังนอนหลับสนิท คุณอุ้ย - รวิวรรณ จินดา กลับต้องจัดเตรียมกล่องทิชชูไว้ข้างกายในระยะที่พร้อมจะหยิบมาใช้ได้ตลอดเวลา แล้วจึงล้มตัวลงนอน เพื่อจะตื่นขึ้นมาด้วยอาการแน่นจมูก เนื่องจากเป็นหวัดแทบทุกชั่วโมง เธอนอนหลับๆ ตื่นๆ ไปพร้อมกับกระดาษกล่องนั้น
ตอนเช้า...เธอตื่นขึ้นมาพบกับกระดาษทิชชูที่กลายเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ อยู่ในตะกร้าขยะข้างเตียง
หนึ่งวันผ่านไป เมื่อถึงเวลาเข้านอนอีกครั้ง เหตุการณ์เดิมๆ ก็หมุนเวียนเข้ามา จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลากลางวันเธอก็ไม่สามารถสู้แดด สู้ฝน สู้ฝุ่น สู้เกสรดอกไม้ และอื่นๆ อีกเกือบ 40 ชนิดได้ สารแปลกปลอมเหล่านี้มีผลต่อร่างกายเธอค่อนข้างรุนแรง
สถานการณ์เช่นนั้นวนเวียนอยู่ในชีวิตเธอมานานกึง 3,650 วัน 3,650 คืน เพราะโรคภูมิแพ้ได้เข้ามาทักทายเธอในเช้าวันหนึ่ง และพำนักอยู่กับเธอเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน โดยไม่ยอมจากไปไหนอีกเลย เป็นเวลาถึง 10 ปี
สิบปีที่เธอบอกว่า" แสนจะทรมาน"
มาจนถึงวันนี้ เธอมีชีวิตใหม่ สามารถขับไล่ความอ่อนแอจากโรคภูมิแพ้ออกจากร่างหายได้สำเร็จ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า โภชนบำบัด .... การรักษาโรคด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการกินเสียใหม่
แต่ก่อนจะถึงวิธีรักษาคุณอุ้ยเล่าทบทวนถึงจุดเริ่มแห่งการเกิดโรคว่า"มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหวัดบ่อยมากจนผิดปกติ คือเป็น 3 วัน หาย 1 วัน เป็นอีก 3 วัน สลับกันไปอย่างนี้ในวันที่อากาศปกติ แต่ถ้าอากาศเปลี่ยนก็ไม่ต้องหายกัน เห็นหน้ากันก็ฟุดฟิดๆ สั่งน้ำมูก และในหนึ่งปีจะมีอาการหนักชนิดที่ต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 2 ครั้ง เหมือนกับว่าตัวเราอ่อนแอจากหวัด เมื่อสะสมสัก 3 - 4 เดือนก็ล้มตึงไปเลย
"ทีแรกคิดว่าเป็นหวัดธรรมดา เพราะอุ้ยเป็นคนที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย และหมอทุกคนก็ตรวจออกมาอย่างนั้น จึงไม่ได้คิดที่จะแก้ไขอะไร นอกจากกินยาทุกวัน เนื่องจากเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองได้ อุ้ยต้องร้องเพลงกลางคืน ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก"
อาการป่วยของคุณอุ้ยเรื้อรังอยู่นาน ประกอบกับมีอาการทางผิวหนังร่วมด้วยบางครั้ง จึงเริ่มค้นหาว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
"อุ้ยเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว เมื่อรู้สึกว่ายาที่กินเข้าไปทุกวันไม่มีผลดีกับร่างกายมากไปกว่าช่วยระงับอาการ ไม่ได้ช่วยแก้ไขที่ต้นเหตุ จึงพยายามอ่านหนังสือให้มากขึ้น ทั้งภาษาไทยและอังกฤษจนแน่ใจว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้
"ช่วงนั้นเปลี่ยนหมอแบบสนุกมากรักษาไปทั่วประเทศไทย เพราะอุ้ยสังเกตว่าตัวเองอาการหนักเมื่อเจอกับพวกเกสร ดอกไม้ ฟางข้าว คือ นอกจากน้ำมูก น้ำตาไหลแล้ว ยังมีผื่นขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆ เช่น เวลาไปเที่ยวเมืองนอกช่วงสปริง (ฤดูใบไม้ผลิ) และเดินไปเที่ยวสวนดอกไม้ จะรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จนต้องรีบออกมา
"ถ้าโดนฝุ่นก่อสร้าง ฝุ่นปูนซีเมนต์ จะขึ้นผื่นแดง คันทั้งตัว ผิวหน้านี่แทบจะไม่ต้องพูดถึงเลย เป็นเม็ดแดงๆ เหมือนสิว ตอนนั้นยังไม่รู้สาเหตุ ก็คิดเพียงว่าแพ้เครื่องสำอางค์หรือเปล่า เพราะมันขึ้นมาหลังจากเจอฝุ่นเหล่านั้น 48 ชั่วโมง เราลืมไปแล้วว่าเดินผ่านบริเวณก่อสร้างมา
"หมอทุกคนรักษาไปตามสภาพ ตอนหลังถึงกับต้องมียาพ่นติดตัวไว้เวลาเดินทาง ถ้ามีอาการหายใจไม่ออก ต้องพ่นยาทันที แล้วชีวิตอุ้ยอยู่เมืองไทยกับอเมริกาแบบครึ่งๆ พอถึงสปริงที่โน่น อุ้ยอาการหนัก เมื่อกลับมาบ้านเราอาจดีขึ้นบ้าง แต่พอถึงหน้าร้อนก็หนักอีก เพราะอากาศข้างนอกร้อนมาก ส่วนในอาคารเย็นมาก ถ้าเดินอยู่ข้างนอก พอเข้าอาคารปุ๊บ จะรู้สึกเหมือนอะไรมาบล็อกไว้ หายใจไม่ออกทันที
"เป็นความทรมานที่ใหญ่หลวงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนพูดเหมือนกันว่า โรคนี้รักษาไม่หาย ต้องดูแลตัวเองดีๆ กินยาเข้าไป ไปพบหมอทุกอาทิตย์ ไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ เพราะแม้จะไม่ร้ายแรงถึงตายแต่ก็เป็นมากขึ้นทุกทีถ้าไม่ดูแล วันไหนถ้าไม่กินยาจะถึงกับบล๊อค หายใจไม่ออก
"กระทั่งมาเจอหมอคนหนึ่ง แนะนำให้ทำเทสว่าเราแพ้อะไรกันแน่...เทสต์ที่หลัง 72 เข็ม แล้วสังเกตอาการ 24 , 36 , 48 , 60 ชั่วโมงไปเรื่อยๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา ปรากฏว่าอาการมาตามสภาพเลย 24 ชั่วโมงเป็นตุ่มเหมือนสิว อันไหนเป็นรอยไหม้ ผื่นคัน คือแพ้อะไร เจ๋งมาก อุ้ยแพ้ประมาณ 40 อย่าง แพ้กระทั่งเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน ต่างหู ถึงได้รู้ไงคะว่าสิ่งที่เกิดก่อนหน้านี้คืออะไร"
เกือบสิบปีที่คุณอุ้ยมีชีวิตอยู่กับโรคภูมิแพ้ จนรู้สึกว่า" ตายแล้ว ! ฉันจะต้องอยู่อย่างคนอ่อนแอไปตลอดชีวิตหรือ"
ความคิดนี้เองที่ทำให้คุณอุ้ยเริ่มค้นหาวิธีที่จะไปจากความทุกข์ทรมานเหล่านั้น
"รู้สึกว่าตัวเองแย่มาตลอดชีวิตแล้วนะ น่าจะหาวิธีทำอะไรสักอย่างให้ดีขึ้น จึงปรึกษาหมอที่อุ้ยรักษาประจำ คุณหมอบอกว่า ควรทำภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยออกกำลังกายเพิ่มเติม กินวิตามินเพิ่มขึ้น
อุ้ยทำทันที จากที่ว่างเมื่อไหร่ค่อยไป วันไหนขี้เกียจอ่านหนังสือก็นอนสบายใจ เป็นต้องไปให้ได้ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ทำให้เห็นผลว่าช่วงที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาการป่วยลดลง แม้ไม่หายขาดก็ไม่หนักเหมือนก่อน จึงเริ่มอ่านหนังสือค้นหาเป็นเรื่องเป็นราว กระทั่งสามปีที่แล้ว อุ้ยเล่นอินเตอร์เนตบ่อย เข้าไปเกี่ยวกับเว็บไซต์สุขภาพแทบทุกเว็บ
"อุ้ยทำสารพัดวิธี เพราะหมอบ้านเราบอกเพียง สันนิษฐานว่าเป็นภูมิแพ้หรือเข้าข่ายภูมิแพ้ อุ้ยกลัวว่าภูมิคุ้มกันตัวเองจะมีปัญหา ทำให้เป็นโรคที่ร้ายแรงทีหลัง บางครั้งจึงเขียนจดหมายหรืออีเมล์ไปถามอาการของตัวเองว่าเป็นอย่างที่เขาบอกหรือไม่ เขาก็น่ารักมาก ตอบกลับมาอย่างละเอียด ยิ่งอ่านยิ่งศึกษาก็รู้ว่าเราบกพร่อง
"สิ่งที่เราเคยคิดว่าดูแลตัวเองดีแล้ว ความจริงผิด ยังขาด ยังปล่อยปละละเลยอีกหลายอย่าง อุ้ยจดมาได้สิบกว่ารายการ จึงบอกกับตัวเองว่า ไม่ได้แล้ว ต้องปรับชีวิตตนเองใหม่
เริ่มต้นการปฏิวัติเมนูอาหารและวิถีชีวิตในแต่ละวัน
"เมื่อก่อนเราถูกเลี้ยงมาว่าร่างกายต้องการโปรตีน และโปรตีนในความรู้สึกของเราก็คือเนื้อสัตว์ ซึ่งเราก็ชอบมาก เพราะหวานอร่อย วันหนึ่งๆ ก็สรรหาอาหารอร่อยมากิน เพราะเราคิดว่าดูแลตัวเองพอสมควรแล้วเรานอน 8 ชั่วโมง ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่คุณอุ้ยยกกาแฟ
"เนื้อสัตว์ที่ชอบมากที่สุดอุ้ยเลิกตั้งแต่สองเดือนแรก ไม่แตะเลยแม้แต่นิดเดียว หันมากินโปรตีนจากพืชแทน พร้อมกันนั้นก็เซ็ทเวลาออกกำลังกายเขียนเอาไว้เลย และพยายามทำให้ได้"
"หลังจากปฏิบัติตัวอย่างนี้สักระยะหนึ่งประกอบกับกินวิตามินบางตัว วันหนึ่งเพื่อนก็ทักว่า เดือนนี้ยังไม่เป็นหวัดเลยอุ้ย
"เราเริ่มคิดว่า ทุกอย่างที่เราทำส่งผลแล้ว อากาศเปลี่ยน แต่เราไม่เป็นอะไร เอ๊ะ ! ปีนี้ยังไม่ได้เข้าโรงพยาบาลเลย พอดีช่วงนั้นมีโอกาสเข้าไปคุยกับด๊อกเตอร์ทางนิวทริชั่น ( Nutrition) ของศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา เขาให้ข้อมูลง่ายๆ ที่รู้กันอยู่แล้ว แต่ไม่นำมาใช้ คือ เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพเบื้องต้น และแนะนำว่าถ้าสนใจมาก ให้เข้าคอร์สเรียนเกี่ยวกับโภชนาการบำบัด จึงลงเรียนคอร์สนี้ 2 เดือน"
"เขาสอนสุขศึกษาเบื้องต้นว่าวิตามินต่างๆ มีอยู่ในอาหารชนิดใดบ้าง และที่ลึกลงไปคือ ร่างกายคนปกติต้องการอาหารกี่มิลลิกรัม คนที่เป็นหวัดภูมิคุ้มกันบกพร่อง ถ้าต้องการทำให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นต้องกินกี่มิลลิกรัม เขาบอกเป็นขั้นตอนทุกอย่าง อุ้ยเรียนแค่พื้นฐาน ต้องเรียนต่อไปเรื่อยๆ จึงจะเป็นการรักษาโรคที่เรียกว่า โภชนบำบัด"
"คราวนี้เริ่มจัดระเบียบชีวิตใหม่หมด...รู้ว่าควรกินอะไร ระบุไปเลยว่าต้องกินสิ่งนี้มากกว่าสิ่งนั้น ต้องกินรวิตามินอะไรกี่มิลลิกรัม เวลาจะกินอะไร อุ้ยต้องคิดล่วงหน้าด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดว่าอยากกินอะไร แต่คิดว่าต้องกินอะไร มื้อที่แล้วกินอันนั้นไปแล้ว มื้อนี้ต้องกินอะไร จะกินปลาก็ปลาทอด อย่ากินเลย ปลานึ่งดีกว่า อันนี้รสจัดไม่กินดีกว่า หรืออันนี้ไม่มีประโยชน์ อย่ากินเลย มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ"
"ทุกเช้าเมื่อลืมตาปิ๊งขึ้นมา คือล้างหน้าเปลี่ยนชุดลงไปวิ่ง และออกกำลังกาย 30 นาที อย่างอื่นค่อยว่ากัน จากนั้นจึงกินอาหารเช้า เมื่อก่อนเป็นกาแฟ ขนมปัง เดี๋ยวนี้ต้องเพิ่มนม ผลไม้หลากชนิด แล้วจึงเริ่มทำงาน และในหนึ่งอาทิตย์จะมีหนึ่งวันที่อุ้ยกินแต่ผลไม้อย่างเดียวโดยไม่กินอย่างอื่น ทำให้รู้สึกว่าตัวเบาสบาย
"สิ่งที่ได้ทันทีคือ 1. น้ำหนักลดลง โดยไม่ได้อดอาหาร 2. ผิวดีขึ้นทันตาเห็น สิวหายหมด นี่คือผลพลอยได้ที่ทุกคนต้องการใช่ไหมคะ หลังจากนั้นคือสุขภาพที่ดีตามมา อุ้ยมีความรู้สึกว่า สุขภาพขณะนี้ดีกว่าตอนที่อายุยี่สิบต้นๆ ซะอีก สมองดีขึ้น คิดอะไรได้เร็ว คล่องตัว กระฉับกระเฉง
"สองปีมาแล้วที่อุ้ยรู้สึกดีมากๆ ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องไปหาหมอ จากที่ไปไหนไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ดำน้ำ เล่นกอล์ฟ ปีนเขา ได้ทุกอย่าง"
คุณอุ้ยเปรียบเทียบไว้ว่า ทุกวันนี้อาหารหนึ่งมื้อของคนทั่วไปคือ ข้าวและเนื้อสัตว์หนึ่งจานใหญ่ ผักผลไม้จานเล็กๆ แต่ความจริงสิ่งที่ร่างกายต้องการคือผักรวม 1 จานใหญ่ ส่วนข้าวและเนื้อสัตว์ ถ้าจะรับประทานควรเป็นจานเล็กๆ ที่เราใช้ใส่ผลไม้เท่านั้น
"เมื่อเราทำไม่ได้อย่างนั้นร่างกายจึงสึกหรอลงทุกวัน เหมือนรถยนต์ที่ไม่ได้รับการดูแล"
อุ้ยไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ตั้งแต่เกิด แต่เป็นเพราะผลจากการปฏิบัติตัวที่ผิด วันหนึ่งเมื่อภูมิคุ้มกันแย่ถึงขีดสุด โรคต่างๆ จึงมาเยือน"
คุณอุ้ยบอกว่า การเรียนรู้ครั้งนี้ทำให้เธอได้ชีวิตใหม่กลับคืนมา และหลักการต่างๆ ที่เธอปฏิบัติก็ใกล้เคียง" ชีวจิต" มาก จึงขอให้ชาวชีวจิตทุกคนมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นเช่นเดียวกับเธอ....
Date: Tue, 3 Apr 2007 17:19:06 -0800
ในเวลากลางคืนที่ทุกคนกำลังนอนหลับสนิท คุณอุ้ย - รวิวรรณ จินดา กลับต้องจัดเตรียมกล่องทิชชูไว้ข้างกายในระยะที่พร้อมจะหยิบมาใช้ได้ตลอดเวลา แล้วจึงล้มตัวลงนอน เพื่อจะตื่นขึ้นมาด้วยอาการแน่นจมูก เนื่องจากเป็นหวัดแทบทุกชั่วโมง เธอนอนหลับๆ ตื่นๆ ไปพร้อมกับกระดาษกล่องนั้น
ตอนเช้า...เธอตื่นขึ้นมาพบกับกระดาษทิชชูที่กลายเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ อยู่ในตะกร้าขยะข้างเตียง
หนึ่งวันผ่านไป เมื่อถึงเวลาเข้านอนอีกครั้ง เหตุการณ์เดิมๆ ก็หมุนเวียนเข้ามา จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลากลางวันเธอก็ไม่สามารถสู้แดด สู้ฝน สู้ฝุ่น สู้เกสรดอกไม้ และอื่นๆ อีกเกือบ 40 ชนิดได้ สารแปลกปลอมเหล่านี้มีผลต่อร่างกายเธอค่อนข้างรุนแรง
สถานการณ์เช่นนั้นวนเวียนอยู่ในชีวิตเธอมานานกึง 3,650 วัน 3,650 คืน เพราะโรคภูมิแพ้ได้เข้ามาทักทายเธอในเช้าวันหนึ่ง และพำนักอยู่กับเธอเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน โดยไม่ยอมจากไปไหนอีกเลย เป็นเวลาถึง 10 ปี
สิบปีที่เธอบอกว่า" แสนจะทรมาน"
มาจนถึงวันนี้ เธอมีชีวิตใหม่ สามารถขับไล่ความอ่อนแอจากโรคภูมิแพ้ออกจากร่างหายได้สำเร็จ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า โภชนบำบัด .... การรักษาโรคด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการกินเสียใหม่
แต่ก่อนจะถึงวิธีรักษาคุณอุ้ยเล่าทบทวนถึงจุดเริ่มแห่งการเกิดโรคว่า"มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นหวัดบ่อยมากจนผิดปกติ คือเป็น 3 วัน หาย 1 วัน เป็นอีก 3 วัน สลับกันไปอย่างนี้ในวันที่อากาศปกติ แต่ถ้าอากาศเปลี่ยนก็ไม่ต้องหายกัน เห็นหน้ากันก็ฟุดฟิดๆ สั่งน้ำมูก และในหนึ่งปีจะมีอาการหนักชนิดที่ต้องนอนโรงพยาบาลประมาณ 2 ครั้ง เหมือนกับว่าตัวเราอ่อนแอจากหวัด เมื่อสะสมสัก 3 - 4 เดือนก็ล้มตึงไปเลย
"ทีแรกคิดว่าเป็นหวัดธรรมดา เพราะอุ้ยเป็นคนที่ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย และหมอทุกคนก็ตรวจออกมาอย่างนั้น จึงไม่ได้คิดที่จะแก้ไขอะไร นอกจากกินยาทุกวัน เนื่องจากเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองได้ อุ้ยต้องร้องเพลงกลางคืน ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก"
อาการป่วยของคุณอุ้ยเรื้อรังอยู่นาน ประกอบกับมีอาการทางผิวหนังร่วมด้วยบางครั้ง จึงเริ่มค้นหาว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
"อุ้ยเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว เมื่อรู้สึกว่ายาที่กินเข้าไปทุกวันไม่มีผลดีกับร่างกายมากไปกว่าช่วยระงับอาการ ไม่ได้ช่วยแก้ไขที่ต้นเหตุ จึงพยายามอ่านหนังสือให้มากขึ้น ทั้งภาษาไทยและอังกฤษจนแน่ใจว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้
"ช่วงนั้นเปลี่ยนหมอแบบสนุกมากรักษาไปทั่วประเทศไทย เพราะอุ้ยสังเกตว่าตัวเองอาการหนักเมื่อเจอกับพวกเกสร ดอกไม้ ฟางข้าว คือ นอกจากน้ำมูก น้ำตาไหลแล้ว ยังมีผื่นขึ้นเป็นเม็ดเล็กๆ เช่น เวลาไปเที่ยวเมืองนอกช่วงสปริง (ฤดูใบไม้ผลิ) และเดินไปเที่ยวสวนดอกไม้ จะรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จนต้องรีบออกมา
"ถ้าโดนฝุ่นก่อสร้าง ฝุ่นปูนซีเมนต์ จะขึ้นผื่นแดง คันทั้งตัว ผิวหน้านี่แทบจะไม่ต้องพูดถึงเลย เป็นเม็ดแดงๆ เหมือนสิว ตอนนั้นยังไม่รู้สาเหตุ ก็คิดเพียงว่าแพ้เครื่องสำอางค์หรือเปล่า เพราะมันขึ้นมาหลังจากเจอฝุ่นเหล่านั้น 48 ชั่วโมง เราลืมไปแล้วว่าเดินผ่านบริเวณก่อสร้างมา
"หมอทุกคนรักษาไปตามสภาพ ตอนหลังถึงกับต้องมียาพ่นติดตัวไว้เวลาเดินทาง ถ้ามีอาการหายใจไม่ออก ต้องพ่นยาทันที แล้วชีวิตอุ้ยอยู่เมืองไทยกับอเมริกาแบบครึ่งๆ พอถึงสปริงที่โน่น อุ้ยอาการหนัก เมื่อกลับมาบ้านเราอาจดีขึ้นบ้าง แต่พอถึงหน้าร้อนก็หนักอีก เพราะอากาศข้างนอกร้อนมาก ส่วนในอาคารเย็นมาก ถ้าเดินอยู่ข้างนอก พอเข้าอาคารปุ๊บ จะรู้สึกเหมือนอะไรมาบล็อกไว้ หายใจไม่ออกทันที
"เป็นความทรมานที่ใหญ่หลวงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนพูดเหมือนกันว่า โรคนี้รักษาไม่หาย ต้องดูแลตัวเองดีๆ กินยาเข้าไป ไปพบหมอทุกอาทิตย์ ไปเที่ยวไหนก็ไม่ได้ เพราะแม้จะไม่ร้ายแรงถึงตายแต่ก็เป็นมากขึ้นทุกทีถ้าไม่ดูแล วันไหนถ้าไม่กินยาจะถึงกับบล๊อค หายใจไม่ออก
"กระทั่งมาเจอหมอคนหนึ่ง แนะนำให้ทำเทสว่าเราแพ้อะไรกันแน่...เทสต์ที่หลัง 72 เข็ม แล้วสังเกตอาการ 24 , 36 , 48 , 60 ชั่วโมงไปเรื่อยๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา ปรากฏว่าอาการมาตามสภาพเลย 24 ชั่วโมงเป็นตุ่มเหมือนสิว อันไหนเป็นรอยไหม้ ผื่นคัน คือแพ้อะไร เจ๋งมาก อุ้ยแพ้ประมาณ 40 อย่าง แพ้กระทั่งเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นสร้อย แหวน ต่างหู ถึงได้รู้ไงคะว่าสิ่งที่เกิดก่อนหน้านี้คืออะไร"
เกือบสิบปีที่คุณอุ้ยมีชีวิตอยู่กับโรคภูมิแพ้ จนรู้สึกว่า" ตายแล้ว ! ฉันจะต้องอยู่อย่างคนอ่อนแอไปตลอดชีวิตหรือ"
ความคิดนี้เองที่ทำให้คุณอุ้ยเริ่มค้นหาวิธีที่จะไปจากความทุกข์ทรมานเหล่านั้น
"รู้สึกว่าตัวเองแย่มาตลอดชีวิตแล้วนะ น่าจะหาวิธีทำอะไรสักอย่างให้ดีขึ้น จึงปรึกษาหมอที่อุ้ยรักษาประจำ คุณหมอบอกว่า ควรทำภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง โดยออกกำลังกายเพิ่มเติม กินวิตามินเพิ่มขึ้น
อุ้ยทำทันที จากที่ว่างเมื่อไหร่ค่อยไป วันไหนขี้เกียจอ่านหนังสือก็นอนสบายใจ เป็นต้องไปให้ได้ อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ทำให้เห็นผลว่าช่วงที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาการป่วยลดลง แม้ไม่หายขาดก็ไม่หนักเหมือนก่อน จึงเริ่มอ่านหนังสือค้นหาเป็นเรื่องเป็นราว กระทั่งสามปีที่แล้ว อุ้ยเล่นอินเตอร์เนตบ่อย เข้าไปเกี่ยวกับเว็บไซต์สุขภาพแทบทุกเว็บ
"อุ้ยทำสารพัดวิธี เพราะหมอบ้านเราบอกเพียง สันนิษฐานว่าเป็นภูมิแพ้หรือเข้าข่ายภูมิแพ้ อุ้ยกลัวว่าภูมิคุ้มกันตัวเองจะมีปัญหา ทำให้เป็นโรคที่ร้ายแรงทีหลัง บางครั้งจึงเขียนจดหมายหรืออีเมล์ไปถามอาการของตัวเองว่าเป็นอย่างที่เขาบอกหรือไม่ เขาก็น่ารักมาก ตอบกลับมาอย่างละเอียด ยิ่งอ่านยิ่งศึกษาก็รู้ว่าเราบกพร่อง
"สิ่งที่เราเคยคิดว่าดูแลตัวเองดีแล้ว ความจริงผิด ยังขาด ยังปล่อยปละละเลยอีกหลายอย่าง อุ้ยจดมาได้สิบกว่ารายการ จึงบอกกับตัวเองว่า ไม่ได้แล้ว ต้องปรับชีวิตตนเองใหม่
เริ่มต้นการปฏิวัติเมนูอาหารและวิถีชีวิตในแต่ละวัน
"เมื่อก่อนเราถูกเลี้ยงมาว่าร่างกายต้องการโปรตีน และโปรตีนในความรู้สึกของเราก็คือเนื้อสัตว์ ซึ่งเราก็ชอบมาก เพราะหวานอร่อย วันหนึ่งๆ ก็สรรหาอาหารอร่อยมากิน เพราะเราคิดว่าดูแลตัวเองพอสมควรแล้วเรานอน 8 ชั่วโมง ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่คุณอุ้ยยกกาแฟ
"เนื้อสัตว์ที่ชอบมากที่สุดอุ้ยเลิกตั้งแต่สองเดือนแรก ไม่แตะเลยแม้แต่นิดเดียว หันมากินโปรตีนจากพืชแทน พร้อมกันนั้นก็เซ็ทเวลาออกกำลังกายเขียนเอาไว้เลย และพยายามทำให้ได้"
"หลังจากปฏิบัติตัวอย่างนี้สักระยะหนึ่งประกอบกับกินวิตามินบางตัว วันหนึ่งเพื่อนก็ทักว่า เดือนนี้ยังไม่เป็นหวัดเลยอุ้ย
"เราเริ่มคิดว่า ทุกอย่างที่เราทำส่งผลแล้ว อากาศเปลี่ยน แต่เราไม่เป็นอะไร เอ๊ะ ! ปีนี้ยังไม่ได้เข้าโรงพยาบาลเลย พอดีช่วงนั้นมีโอกาสเข้าไปคุยกับด๊อกเตอร์ทางนิวทริชั่น ( Nutrition) ของศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งในอเมริกา เขาให้ข้อมูลง่ายๆ ที่รู้กันอยู่แล้ว แต่ไม่นำมาใช้ คือ เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพเบื้องต้น และแนะนำว่าถ้าสนใจมาก ให้เข้าคอร์สเรียนเกี่ยวกับโภชนาการบำบัด จึงลงเรียนคอร์สนี้ 2 เดือน"
"เขาสอนสุขศึกษาเบื้องต้นว่าวิตามินต่างๆ มีอยู่ในอาหารชนิดใดบ้าง และที่ลึกลงไปคือ ร่างกายคนปกติต้องการอาหารกี่มิลลิกรัม คนที่เป็นหวัดภูมิคุ้มกันบกพร่อง ถ้าต้องการทำให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นต้องกินกี่มิลลิกรัม เขาบอกเป็นขั้นตอนทุกอย่าง อุ้ยเรียนแค่พื้นฐาน ต้องเรียนต่อไปเรื่อยๆ จึงจะเป็นการรักษาโรคที่เรียกว่า โภชนบำบัด"
"คราวนี้เริ่มจัดระเบียบชีวิตใหม่หมด...รู้ว่าควรกินอะไร ระบุไปเลยว่าต้องกินสิ่งนี้มากกว่าสิ่งนั้น ต้องกินรวิตามินอะไรกี่มิลลิกรัม เวลาจะกินอะไร อุ้ยต้องคิดล่วงหน้าด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดว่าอยากกินอะไร แต่คิดว่าต้องกินอะไร มื้อที่แล้วกินอันนั้นไปแล้ว มื้อนี้ต้องกินอะไร จะกินปลาก็ปลาทอด อย่ากินเลย ปลานึ่งดีกว่า อันนี้รสจัดไม่กินดีกว่า หรืออันนี้ไม่มีประโยชน์ อย่ากินเลย มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ"
"ทุกเช้าเมื่อลืมตาปิ๊งขึ้นมา คือล้างหน้าเปลี่ยนชุดลงไปวิ่ง และออกกำลังกาย 30 นาที อย่างอื่นค่อยว่ากัน จากนั้นจึงกินอาหารเช้า เมื่อก่อนเป็นกาแฟ ขนมปัง เดี๋ยวนี้ต้องเพิ่มนม ผลไม้หลากชนิด แล้วจึงเริ่มทำงาน และในหนึ่งอาทิตย์จะมีหนึ่งวันที่อุ้ยกินแต่ผลไม้อย่างเดียวโดยไม่กินอย่างอื่น ทำให้รู้สึกว่าตัวเบาสบาย
"สิ่งที่ได้ทันทีคือ 1. น้ำหนักลดลง โดยไม่ได้อดอาหาร 2. ผิวดีขึ้นทันตาเห็น สิวหายหมด นี่คือผลพลอยได้ที่ทุกคนต้องการใช่ไหมคะ หลังจากนั้นคือสุขภาพที่ดีตามมา อุ้ยมีความรู้สึกว่า สุขภาพขณะนี้ดีกว่าตอนที่อายุยี่สิบต้นๆ ซะอีก สมองดีขึ้น คิดอะไรได้เร็ว คล่องตัว กระฉับกระเฉง
"สองปีมาแล้วที่อุ้ยรู้สึกดีมากๆ ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องไปหาหมอ จากที่ไปไหนไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ดำน้ำ เล่นกอล์ฟ ปีนเขา ได้ทุกอย่าง"
คุณอุ้ยเปรียบเทียบไว้ว่า ทุกวันนี้อาหารหนึ่งมื้อของคนทั่วไปคือ ข้าวและเนื้อสัตว์หนึ่งจานใหญ่ ผักผลไม้จานเล็กๆ แต่ความจริงสิ่งที่ร่างกายต้องการคือผักรวม 1 จานใหญ่ ส่วนข้าวและเนื้อสัตว์ ถ้าจะรับประทานควรเป็นจานเล็กๆ ที่เราใช้ใส่ผลไม้เท่านั้น
"เมื่อเราทำไม่ได้อย่างนั้นร่างกายจึงสึกหรอลงทุกวัน เหมือนรถยนต์ที่ไม่ได้รับการดูแล"
อุ้ยไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ตั้งแต่เกิด แต่เป็นเพราะผลจากการปฏิบัติตัวที่ผิด วันหนึ่งเมื่อภูมิคุ้มกันแย่ถึงขีดสุด โรคต่างๆ จึงมาเยือน"
คุณอุ้ยบอกว่า การเรียนรู้ครั้งนี้ทำให้เธอได้ชีวิตใหม่กลับคืนมา และหลักการต่างๆ ที่เธอปฏิบัติก็ใกล้เคียง" ชีวจิต" มาก จึงขอให้ชาวชีวจิตทุกคนมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นเช่นเดียวกับเธอ....
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 20
.ไวรัสหมีแพนด้าไหว้เจ้า/ถ้าเจอ อย่าคลิกเข้าไปดูนะ (คนคิดก้อช่างคิดเนอะ)
Wed, 18 Apr 2007 17:14:12 -0800
หมีแพน..หมีแพนด้า...หมีแพนด้า..น่าร้ากกกกก....
ข่าวบอกว่าตอนนี้กำลังมีไวรัสระบาดทาง Internet ชื่อไวรัสหมีแพนด้าไหว้เจ้า หากท่านใดคลิกรูปหมีแพนด้า ส่งผลให้ระบบคอมของท่านแสดงรูป Icon เป็นไอ้เจ ้าหมีแพนด้าไหว้เจ้าทั้งหมด แต่ท่านอย่านึกว่ามันน่ารักเด้อ เพราะท่านจะไม่สามารถเปิด file นั้น หรือ program ทั้งหลายได้เลย ตอนนี้เจ้าไวรัสนี้กำลังระบาดที่ประเทศจีน รายงานข่าวเล่าว่าทำลายระบบ com และ Econ. หลายร้อยล้านบาทไปเรียบร้อยแล้ว โปรดระวังของน่ารักมักไม่น่ารักเสมอไป
Wed, 18 Apr 2007 17:14:12 -0800
หมีแพน..หมีแพนด้า...หมีแพนด้า..น่าร้ากกกกก....
ข่าวบอกว่าตอนนี้กำลังมีไวรัสระบาดทาง Internet ชื่อไวรัสหมีแพนด้าไหว้เจ้า หากท่านใดคลิกรูปหมีแพนด้า ส่งผลให้ระบบคอมของท่านแสดงรูป Icon เป็นไอ้เจ ้าหมีแพนด้าไหว้เจ้าทั้งหมด แต่ท่านอย่านึกว่ามันน่ารักเด้อ เพราะท่านจะไม่สามารถเปิด file นั้น หรือ program ทั้งหลายได้เลย ตอนนี้เจ้าไวรัสนี้กำลังระบาดที่ประเทศจีน รายงานข่าวเล่าว่าทำลายระบบ com และ Econ. หลายร้อยล้านบาทไปเรียบร้อยแล้ว โปรดระวังของน่ารักมักไม่น่ารักเสมอไป
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 21
บ้านเปี่ยมทรัพย์ 12 นักษัตริย์
Date: Thu, 26 Apr 2007 18:01:04 -0800
บ้านคนปีชวด (พ.ศ. 2527, 2515 และ 2503)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีชวด
ควรมีเครื่องดนตรีอย่างน้อย 1 ชิ้น อยู่ในบ้าน เช่น ขลุ่ย เมาท์ออร์แกน เปียโน กีตาร์ ฯลฯ
แม้จะเล่นไม่เป็น เพียงมีไว้ประดับบ้านก็ถือว่าถูกโฉลก นำโชคดีมาสู่ในบ้าน
แต่ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่สมาชิกในบ้าสามารถเล่นได้จริงๆ
หรือมีการเล่นร่วมดนตรีด้วยกันภายในครอบครัว
เสียงดนตรีที่ดังขึ้นดุจดั่งเสียงสวรรค์ที่เรียกทรัพย์นับล้านเข้าสู่บ้านคนปีชวด
บ้านคนปีฉลู ( พ.ศ. 2528, 2516 และ 2504)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านของคนปีฉลู
ไม่ควรมีอะไรที่เป็นทรงกลมยกเว้นโต๊ะอาหารที่เป็นโต๊ะกลมได้
นอกนั้นแล้วสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน ควรเป็นเหลี่ยมเป็นมุมทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น นาฬิการทรง 8 เหลี่ยม อ่างบัวทรง 5 เหลี่ยมกระถางต้นไม้ทรง 4 เหลี่ยม
รวมไปถึงลวดลายของเหล็กดัด วอลล์เปเปอร์
ก็ควรเป็นรูปทรงเหลี่ยม หลีกเลี่ยงรูปวงกลมและรูปโค้งมนต่างๆ
บ้านคนปีขาล ( พ.ศ. 2529, 2517 และ 2505)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง
เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านของคนปีขาล
ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง ควรมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
หน้าบ้านควรมีต้นไม้ใหญ่ หรือ สัญลักษณ์ที่ใหญ่โตโดดเด่น
อาทิ มีประตูหน้าบ้านบานใหญ่ มีโอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น
ในห้องรับแขกควรมีรูปภาพพระอาทิตย์ขึ้นประดับไว้ จะช่วยเพิ่มพลังอำนาจ และบารมีให้มีมากขึ้นกว่าเดิม
บ้านคนปีเถาะ (พ.ศ. 2530, 2518 และ 2506 )
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีเถาะ
ควรเป็นบ้านที่มีความร่มรื่น ร่มเย็น มีสนามหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ อ่างบัว
ตัวบ้านมีความโปร่งโล่งสบาย มีแสงแดดและแสงสว่างพอประมาณ
ในห้องนอนหรือห้องรับแขก ควรมีตุ๊กตาเซรามิครูปกระต่าย รูปไก่ รูปไข่ รูป
หมู รูปเด็กทารก
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย
จะช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลไปไหน ได้ปรับเงินเดือน ได้เลื่อนตำแหน่งได้พบกับความสมหวังและสมปรารถนาทุกประการ
บ้านคนปีมะโรง ( พ.ศ. 2531, 2519 และ 2507)
เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีมะโรง
ควรจะมีชื่อบ้านโดยเป็นชื่อที่เป็นมงคลและถูกต้องตามหลักทักษาของเจ้าของบ้าน
ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะใช้ชื่อหรือนามสกุลของเจ้าของบ้านมาเป็นชื่อบ้าน
ซึ่งถ้าชื่อหรือนามสกุลถูกโฉลกอยู่แล้ว ชื่อบ้านก็ย่อมจะดีตามไปด้วย
ชื่อบ้านต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะของบ้านและผู้อยู่อาศัย
ห้ามขัดแย้ง หรือตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
ตัวอย่างเช่น
บ้านทาสีฟ้าทั้งหลังแต่ตั้งชื่อบ้านว่าเรือนสีชมพู
หรือบ้านอยู่ติดภูเขา แต่ตั้งชื่อบ้านว่า บ้านริมทะเล
ลักษณะอย่างนี้ถือว่าไม่เหมาะสมจะทำให้อับโชค พบเจอแต่อุปสรรคขวากหนามในการดำเนินชีวิต
บ้านของคนปีมะเส็ง (พ.ศ. 2532, 2520 และ 2508)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง
บ้านของคนปีมะเส็งต้องมีแสงสว่างอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ต้องให้ความรู้สึกว่าสว่างอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ควรจะมีไฟภายนอกบ้านอย่างน้อยสัก 1 ดวงที่เปิดให้ความสว่างอยู่ตลอดคืน
โดยเฉพาะไฟดวงไหนหากเปิดไว้แล้วนอกจากจะให้ความสว่างแก่บ้านของเรา
ยังให้ความสว่างและความปลอดภัยแก่บ้านหลังอื่นและผู้ที่เดินทางผ่านไปมา
ถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง
บ้านมืดๆจะนำภัยอันตรายและโชคร้ายมาสู่คนปีมะเส็ง
บ้านคนปีมะเมีย (พ.ศ. 2533, 2521 และ 2509)
เพื่อความเจริญก้าวหน้า
บ้านของคนปีมะเมีย ต้องมีความเคลื่อนไหว เช่น
มีธงโบกสะบัด มีน้ำพุ มีกังหัน มีโมบาย มีสุนัขหรือแมววิ่งเล่นกัน
มีต้นไม้ใหญ่ที่โอนเอนตามสายลมภายในบ้านก็ควรมีสัญลักษณ์ของความเคลื่อนไหวหรือความเร็ว เช่น รถยนต์โบราณ รถไฟ เรือใบ เรือสำเภา เครื่องบิน จรวด ฯลฯ เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย
บ้านที่สงบ นิ่งและเงียบเกินไป จะทำให้คนปีมะเมียอึดอับและอับโชค
บ้านคนปีมะแม (พ.ศ. 2534, 2522 และ 2510)
เพื่อความสุขและความสำเร็จ
บ้านของคนปีมะแม ควรเป็นบ้านที่สะสมงานศิลปะ
ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์ งานหล่อ งานปั้น งานแกะสลัก หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดีภาพยนตร์ ฯลฯ
ล้วนถูกโฉลกและนำโชคดีมาสู่คนปีมะแม
และถ้าผลงานศิลปะเหล่านั้น เป็นฝีมือของเจ้าของบ้านด้วยแล้วจะยิ่งถูกโฉลกและโชคดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
บ้านของคนปีวอก ( พ.ศ. 2523, 2511 และ 2499)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง
บ้านของคนปีวอก ควรเป็นบ้านที่มีการขยับขยายเพิ่มเติม
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาเพื่อให้สอดคล้องสมดุลกับผู้อยู่อาศัย
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นบ้านที่มีการเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น มีต้นไม้ใหม่ๆมาปลูกเพิ่มอยู่เสมอ
มีเฟอร์นิเจอร์ใหม่มาทดแทนของเดิมที่ชำรุดเสียหายมีเก้าอี้ม้าหินชุดใหม่มาตั้งแต่เพิ่มในสวน
มีการเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ทุกๆ 2 ปี และทาสีบ้านใหม่ทุกๆ 3 ปี
บ้านของคนปีระกา ( พ.ศ. 2524, 2512 และ 2500)
เพื่อความเป็นสิริมงคล
บ้านของคนปีระกาต้องสวย สะอาด สดใสและดูใหม่อยู่เสมอ
สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
รั้วบ้านและอาคารภายนอกบ้านควรทาสีใหม่ทุกๆ 3 ปี
ภายในบริเวณบ้าน
ห้ามมีสิ่งของแตกหัก ชำรุด เสียหาย ใบไม้แห้ง ต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่เxxx่ยวเฉาโรยรา โดยเด็ดขาด รอยร้าวบนผนัง
หากพบเจอต้องรีบแก้ไขในทันที หลอดไฟ กลอน กุญแจ ประตู หน้าต่าง
ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
บ้านของคนปีจอ (พ.ศ. 2525, 2513 และ 2501)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข
บ้านของคนปีจอ ควรจะมีสัตว์เลี้ยง
โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงนำโชคของคนปีจอ
เพราะความซื่อสัตย์และแสนรู้ของสุนัข จะช่วยให้คนปีจออารมณ์ดีร่าเริงแจ่มใส สมองปลอดโปร่ง ไม่เครียด
ดังนั้นไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไรก็ล้วนแต่โชคดีมีความสำเร็จ
สุนัขที่เลี้ยงไว้ไม่ควรเลี้ยงตัวเดียว ควรเลี้ยงตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
แต่ก็อย่าให้มากเกิน ควรให้เหมาะสมกับบริเวณบ้านและกำลังในการดูแลเอาใจใส่
บ้านของคนปีกุน (พ.ศ. 2526, 2514 และ 2502)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย
บ้านของคนปีกุน ต้องมีห้องครัวที่กว้างขวางสะอาด สะดวก สบาย มีอุปกรณ์ในการทำครัวครบครัน
เพราะการเข้าครัวทำอาหารของคนปีกุน ถือเป็นเรื่องมงคลนำมาซึ่งโชคลาภความสำเร็จ และความร่ำรวย
และถ้ามีตุ๊กตาเซรามิครูปหมูสีขาวหรือสีชมพูสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์วางไว้ในห้องรับแขก
หรือห้องรับประทานอาหารด้วย จะยิ่งถูกโฉลก โชคดี เฮง เฮง เฮง เพิ่มมากขึ้น
Date: Thu, 26 Apr 2007 18:01:04 -0800
บ้านคนปีชวด (พ.ศ. 2527, 2515 และ 2503)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีชวด
ควรมีเครื่องดนตรีอย่างน้อย 1 ชิ้น อยู่ในบ้าน เช่น ขลุ่ย เมาท์ออร์แกน เปียโน กีตาร์ ฯลฯ
แม้จะเล่นไม่เป็น เพียงมีไว้ประดับบ้านก็ถือว่าถูกโฉลก นำโชคดีมาสู่ในบ้าน
แต่ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่สมาชิกในบ้าสามารถเล่นได้จริงๆ
หรือมีการเล่นร่วมดนตรีด้วยกันภายในครอบครัว
เสียงดนตรีที่ดังขึ้นดุจดั่งเสียงสวรรค์ที่เรียกทรัพย์นับล้านเข้าสู่บ้านคนปีชวด
บ้านคนปีฉลู ( พ.ศ. 2528, 2516 และ 2504)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านของคนปีฉลู
ไม่ควรมีอะไรที่เป็นทรงกลมยกเว้นโต๊ะอาหารที่เป็นโต๊ะกลมได้
นอกนั้นแล้วสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน ควรเป็นเหลี่ยมเป็นมุมทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น นาฬิการทรง 8 เหลี่ยม อ่างบัวทรง 5 เหลี่ยมกระถางต้นไม้ทรง 4 เหลี่ยม
รวมไปถึงลวดลายของเหล็กดัด วอลล์เปเปอร์
ก็ควรเป็นรูปทรงเหลี่ยม หลีกเลี่ยงรูปวงกลมและรูปโค้งมนต่างๆ
บ้านคนปีขาล ( พ.ศ. 2529, 2517 และ 2505)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง
เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านของคนปีขาล
ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง ควรมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
หน้าบ้านควรมีต้นไม้ใหญ่ หรือ สัญลักษณ์ที่ใหญ่โตโดดเด่น
อาทิ มีประตูหน้าบ้านบานใหญ่ มีโอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น
ในห้องรับแขกควรมีรูปภาพพระอาทิตย์ขึ้นประดับไว้ จะช่วยเพิ่มพลังอำนาจ และบารมีให้มีมากขึ้นกว่าเดิม
บ้านคนปีเถาะ (พ.ศ. 2530, 2518 และ 2506 )
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีเถาะ
ควรเป็นบ้านที่มีความร่มรื่น ร่มเย็น มีสนามหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ อ่างบัว
ตัวบ้านมีความโปร่งโล่งสบาย มีแสงแดดและแสงสว่างพอประมาณ
ในห้องนอนหรือห้องรับแขก ควรมีตุ๊กตาเซรามิครูปกระต่าย รูปไก่ รูปไข่ รูป
หมู รูปเด็กทารก
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย
จะช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลไปไหน ได้ปรับเงินเดือน ได้เลื่อนตำแหน่งได้พบกับความสมหวังและสมปรารถนาทุกประการ
บ้านคนปีมะโรง ( พ.ศ. 2531, 2519 และ 2507)
เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีมะโรง
ควรจะมีชื่อบ้านโดยเป็นชื่อที่เป็นมงคลและถูกต้องตามหลักทักษาของเจ้าของบ้าน
ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะใช้ชื่อหรือนามสกุลของเจ้าของบ้านมาเป็นชื่อบ้าน
ซึ่งถ้าชื่อหรือนามสกุลถูกโฉลกอยู่แล้ว ชื่อบ้านก็ย่อมจะดีตามไปด้วย
ชื่อบ้านต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะของบ้านและผู้อยู่อาศัย
ห้ามขัดแย้ง หรือตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
ตัวอย่างเช่น
บ้านทาสีฟ้าทั้งหลังแต่ตั้งชื่อบ้านว่าเรือนสีชมพู
หรือบ้านอยู่ติดภูเขา แต่ตั้งชื่อบ้านว่า บ้านริมทะเล
ลักษณะอย่างนี้ถือว่าไม่เหมาะสมจะทำให้อับโชค พบเจอแต่อุปสรรคขวากหนามในการดำเนินชีวิต
บ้านของคนปีมะเส็ง (พ.ศ. 2532, 2520 และ 2508)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง
บ้านของคนปีมะเส็งต้องมีแสงสว่างอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ต้องให้ความรู้สึกว่าสว่างอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ควรจะมีไฟภายนอกบ้านอย่างน้อยสัก 1 ดวงที่เปิดให้ความสว่างอยู่ตลอดคืน
โดยเฉพาะไฟดวงไหนหากเปิดไว้แล้วนอกจากจะให้ความสว่างแก่บ้านของเรา
ยังให้ความสว่างและความปลอดภัยแก่บ้านหลังอื่นและผู้ที่เดินทางผ่านไปมา
ถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง
บ้านมืดๆจะนำภัยอันตรายและโชคร้ายมาสู่คนปีมะเส็ง
บ้านคนปีมะเมีย (พ.ศ. 2533, 2521 และ 2509)
เพื่อความเจริญก้าวหน้า
บ้านของคนปีมะเมีย ต้องมีความเคลื่อนไหว เช่น
มีธงโบกสะบัด มีน้ำพุ มีกังหัน มีโมบาย มีสุนัขหรือแมววิ่งเล่นกัน
มีต้นไม้ใหญ่ที่โอนเอนตามสายลมภายในบ้านก็ควรมีสัญลักษณ์ของความเคลื่อนไหวหรือความเร็ว เช่น รถยนต์โบราณ รถไฟ เรือใบ เรือสำเภา เครื่องบิน จรวด ฯลฯ เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย
บ้านที่สงบ นิ่งและเงียบเกินไป จะทำให้คนปีมะเมียอึดอับและอับโชค
บ้านคนปีมะแม (พ.ศ. 2534, 2522 และ 2510)
เพื่อความสุขและความสำเร็จ
บ้านของคนปีมะแม ควรเป็นบ้านที่สะสมงานศิลปะ
ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์ งานหล่อ งานปั้น งานแกะสลัก หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดีภาพยนตร์ ฯลฯ
ล้วนถูกโฉลกและนำโชคดีมาสู่คนปีมะแม
และถ้าผลงานศิลปะเหล่านั้น เป็นฝีมือของเจ้าของบ้านด้วยแล้วจะยิ่งถูกโฉลกและโชคดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
บ้านของคนปีวอก ( พ.ศ. 2523, 2511 และ 2499)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง
บ้านของคนปีวอก ควรเป็นบ้านที่มีการขยับขยายเพิ่มเติม
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาเพื่อให้สอดคล้องสมดุลกับผู้อยู่อาศัย
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นบ้านที่มีการเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างเช่น มีต้นไม้ใหม่ๆมาปลูกเพิ่มอยู่เสมอ
มีเฟอร์นิเจอร์ใหม่มาทดแทนของเดิมที่ชำรุดเสียหายมีเก้าอี้ม้าหินชุดใหม่มาตั้งแต่เพิ่มในสวน
มีการเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ทุกๆ 2 ปี และทาสีบ้านใหม่ทุกๆ 3 ปี
บ้านของคนปีระกา ( พ.ศ. 2524, 2512 และ 2500)
เพื่อความเป็นสิริมงคล
บ้านของคนปีระกาต้องสวย สะอาด สดใสและดูใหม่อยู่เสมอ
สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
รั้วบ้านและอาคารภายนอกบ้านควรทาสีใหม่ทุกๆ 3 ปี
ภายในบริเวณบ้าน
ห้ามมีสิ่งของแตกหัก ชำรุด เสียหาย ใบไม้แห้ง ต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่เxxx่ยวเฉาโรยรา โดยเด็ดขาด รอยร้าวบนผนัง
หากพบเจอต้องรีบแก้ไขในทันที หลอดไฟ กลอน กุญแจ ประตู หน้าต่าง
ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
บ้านของคนปีจอ (พ.ศ. 2525, 2513 และ 2501)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข
บ้านของคนปีจอ ควรจะมีสัตว์เลี้ยง
โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงนำโชคของคนปีจอ
เพราะความซื่อสัตย์และแสนรู้ของสุนัข จะช่วยให้คนปีจออารมณ์ดีร่าเริงแจ่มใส สมองปลอดโปร่ง ไม่เครียด
ดังนั้นไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไรก็ล้วนแต่โชคดีมีความสำเร็จ
สุนัขที่เลี้ยงไว้ไม่ควรเลี้ยงตัวเดียว ควรเลี้ยงตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
แต่ก็อย่าให้มากเกิน ควรให้เหมาะสมกับบริเวณบ้านและกำลังในการดูแลเอาใจใส่
บ้านของคนปีกุน (พ.ศ. 2526, 2514 และ 2502)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย
บ้านของคนปีกุน ต้องมีห้องครัวที่กว้างขวางสะอาด สะดวก สบาย มีอุปกรณ์ในการทำครัวครบครัน
เพราะการเข้าครัวทำอาหารของคนปีกุน ถือเป็นเรื่องมงคลนำมาซึ่งโชคลาภความสำเร็จ และความร่ำรวย
และถ้ามีตุ๊กตาเซรามิครูปหมูสีขาวหรือสีชมพูสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์วางไว้ในห้องรับแขก
หรือห้องรับประทานอาหารด้วย จะยิ่งถูกโฉลก โชคดี เฮง เฮง เฮง เพิ่มมากขึ้น
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 22
.Link-Thamma very good
Date: Thu, 26 Apr 2007 02:32:27 -0800
http://dharma-gateway.com/ubasok/special-04.htm
ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดย สิริอัญญา
บทความข้างประชาราษฎร์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 2 พ.ค. 2545
เนื่องในมหามงคลสมัยวันฉัตรมงคลที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่งในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ศกนี้ นับเป็นมหามงคลสมัยที่ปวงชนชาวไทยจะได้ถวายความจงรักภักดีและได้ถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้เป็นทั้งพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ และประดุจดังพระเทพบิดรของปวงชนชาวไทย
ในวาระเช่นนี้คอลัมน์นี้จะแสดงเนื้อความอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในบางมุมบางแง่ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่เป็นความจริงซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อพสกนิกรทั้งหลายจะได้รู้จะได้ทราบว่าพระประมุขของเรานั้นใช่ว่าจะเรืองพระบรมเดชานุภาพเฉพาะแต่ทางโลกก็หาไม่ แต่ในทางธรรมก็ทรงบรรลุภูมิธรรมอันสูงยิ่ง
สมแล้วที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นหลักชัยที่ค้ำชูทำนุบำรุงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระราชอาณาจักรตลอดระยะเวลาอันช้านาน
เมื่อแรกเริ่มครองราชย์ก็ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการอันยังก้องกังวานทั่วผืนฟ้าแผ่นดินสิ้นถึงทุกวันนี้ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
นับเป็นพระปฐมบรมราชโองการที่ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ หมดจดงดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด พระราชกรณียกิจมากหลายกว่าครึ่งศตวรรษล้วนเป็นบทพิสูจน์อันปราศจากความสงสัยใดๆ ว่าทรงตั้งอยู่ในธรรม ทรงเคารพธรรม ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ ทรงประพฤติปฏิบัติธรรม และธรรมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ทรงละ ทรงวาง ความสุขสบายส่วนพระองค์เป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อประโยชน์และความสุขของพสกนิกร สมัยหนึ่งเมื่อครั้งที่พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่ได้กล่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงตรากตรำพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างหนักหนาสาหัส ถึงขนาดอาบพระเสโทต่างน้ำ
เพราะเหตุที่ทรงประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นแบบอย่างเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้ ได้เปิดหนทางอันกว้างใหญ่ให้ทรงค้นและพบพระเถรานุเถระที่ทรงภูมิธรรมขั้นสูง ได้ศึกษาและรับแนวทางปฏิบัติอันถูกต้องในการถึงซึ่งวิชชาในพระพุทธศาสนา กระแสพระราชดำรัสหลายครั้งหลายหนที่ทรงรับสั่งกับพระมหาเถระที่ทรงธรรม ทรงวินัย ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าภูมิธรรมในพระองค์นั้นได้บรรลุมรรคผลที่สูงมาก ทรงแจ่มแจ้งทั้งในทางปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างยากที่พุทธศาสนิกชนคนใดจะก้าวไปถึง
มีผู้กล่าวว่าภูมิธรรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นมิได้ย่อหย่อนไปกว่าพระเจ้าพิมพิสารในครั้งพุทธกาล และมิได้น้อยไปกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชในยุคหลังพุทธกาล 300 ปี นั้นเลย
.แต่คอลัมน์นี้กล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้นก็ไม่เคยแสดงทิพยอำนาจในพระองค์ให้ปรากฏเหมือนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยเรานี้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเพื่อความรับรู้ในหมู่พสกนิกรซึ่งมีความจงรักภักดี เห็นสมควรนำกรณีอันมีผู้รู้เห็นยืนยันและแสดงถึงภูมิธรรมอันสูงยิ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดงดังนี้
เรื่องที่หนึ่ง พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ อดีตนายทหารประสานงานของราชสำนักซึ่งได้ถึงแก่กรรมแล้วเคยเล่าว่า สมัยหนึ่งเมื่อครั้งยังปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ ได้รับพระราชกระแสให้ไปนิมนต์พระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีองค์สำคัญของภาคอีสานเพื่อมาร่วมงานราชพิธีส่วนพระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้ติดต่อไปทางจังหวัดประสานงานไปทางอำเภอ ตำบล และต้องให้คนขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่วัด แต่ปรากฏว่าพระมหาเถระรูปนั้นได้ออกธุดงค์ไปแล้ว ไม่สามารถติดต่อได้ จึงนำความมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
ทรงรับสั่งว่าให้ไปเรียนพระศาสนโสภณให้ช่วยนิมนต์ให้ พระศาสนโสภณที่ว่านี้ก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบัน ดังนั้นพลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ จึงนำความไปเรียนให้พระศาสนโสภณทราบ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมงเศษ พระศาสนโสภณได้แจ้งว่าให้มาฟังผลในเวลา 16 นาฬิกา แล้วเดินขึ้นไปบนกุฏิชั้นบน พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้รอคอยจนถึงเวลา 16 นาฬิกา ก็ได้รับคำบอกกล่าวจากพระศาสนโสภณว่าได้นิมนต์ตามพระราชประสงค์แล้ว ให้เอารถไปรับที่จุดนัดพบในเวลาที่นัดหมาย
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ เดิมสำคัญว่าพระศาสนโสภณมีข่ายงานติดต่อพิเศษของคณะสงฆ์ แต่ก็รู้สึกแปลกใจ จึงสอบถามพระเลขานุการว่าการติดต่อได้ใช้วิธีใด ก็ได้รับคำบอกว่าเป็นการติดต่อทางโทรจิต
ผู้ที่รู้ว่าผู้อื่นมีภูมิธรรมในระดับที่สามารถใช้ทิพยอำนาจได้เช่นนี้ ก็ย่อมมีภูมิธรรมที่ห่างกันไม่มากนัก เพราะคนธรรมดาไหนเลยจะล่วงรู้ได้
เรื่องที่สอง ช่วง 3-4 ปีก่อนที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสจะมรณภาพ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศได้ลงข่าวว่าท่านเจ้าคุณป่วยหนัก รัฐบาลไทยไม่เหลียวแลเอาใจใส่ หนังสือพิมพ์ไทยได้นำความมาลงตีพิมพ์ เป็นเหตุให้คนไทยได้รับรู้ และความทราบถึงเบื้องพระยุคลบาท
ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณพุทธทาสป่วยหนักด้วยโรคน้ำท่วมปอด เส้นเลือดหัวใจตีบ มีอาการหัวใจวาย และความดันโลหิตสูงร่วม 300 หากเป็นคนทั่วไปก็เห็นได้ว่าเข้าขั้นโคม่า มีความตายเป็นเบื้องหน้าเป็นแน่แท้
Date: Thu, 26 Apr 2007 02:32:27 -0800
http://dharma-gateway.com/ubasok/special-04.htm
ทิพยอำนาจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดย สิริอัญญา
บทความข้างประชาราษฎร์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 2 พ.ค. 2545
เนื่องในมหามงคลสมัยวันฉัตรมงคลที่จะเวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่งในวันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม ศกนี้ นับเป็นมหามงคลสมัยที่ปวงชนชาวไทยจะได้ถวายความจงรักภักดีและได้ถวายพระพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้เป็นทั้งพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ และประดุจดังพระเทพบิดรของปวงชนชาวไทย
ในวาระเช่นนี้คอลัมน์นี้จะแสดงเนื้อความอันเป็นการเฉลิมพระเกียรติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในบางมุมบางแง่ซึ่งอาจไม่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป แต่เป็นความจริงซึ่งบังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อพสกนิกรทั้งหลายจะได้รู้จะได้ทราบว่าพระประมุขของเรานั้นใช่ว่าจะเรืองพระบรมเดชานุภาพเฉพาะแต่ทางโลกก็หาไม่ แต่ในทางธรรมก็ทรงบรรลุภูมิธรรมอันสูงยิ่ง
สมแล้วที่ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก เป็นหลักชัยที่ค้ำชูทำนุบำรุงพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระราชอาณาจักรตลอดระยะเวลาอันช้านาน
เมื่อแรกเริ่มครองราชย์ก็ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการอันยังก้องกังวานทั่วผืนฟ้าแผ่นดินสิ้นถึงทุกวันนี้ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
นับเป็นพระปฐมบรมราชโองการที่ครบถ้วนบริสุทธิ์บริบูรณ์ หมดจดงดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด พระราชกรณียกิจมากหลายกว่าครึ่งศตวรรษล้วนเป็นบทพิสูจน์อันปราศจากความสงสัยใดๆ ว่าทรงตั้งอยู่ในธรรม ทรงเคารพธรรม ทรงถือธรรมเป็นใหญ่ ทรงประพฤติปฏิบัติธรรม และธรรมทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ทรงละ ทรงวาง ความสุขสบายส่วนพระองค์เป็นระยะเวลาอันยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษเพื่อประโยชน์และความสุขของพสกนิกร สมัยหนึ่งเมื่อครั้งที่พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่ได้กล่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นทรงตรากตรำพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรของพระองค์อย่างหนักหนาสาหัส ถึงขนาดอาบพระเสโทต่างน้ำ
เพราะเหตุที่ทรงประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นแบบอย่างเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยามตลอดระยะเวลาอันยาวนานเช่นนี้ ได้เปิดหนทางอันกว้างใหญ่ให้ทรงค้นและพบพระเถรานุเถระที่ทรงภูมิธรรมขั้นสูง ได้ศึกษาและรับแนวทางปฏิบัติอันถูกต้องในการถึงซึ่งวิชชาในพระพุทธศาสนา กระแสพระราชดำรัสหลายครั้งหลายหนที่ทรงรับสั่งกับพระมหาเถระที่ทรงธรรม ทรงวินัย ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าภูมิธรรมในพระองค์นั้นได้บรรลุมรรคผลที่สูงมาก ทรงแจ่มแจ้งทั้งในทางปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างยากที่พุทธศาสนิกชนคนใดจะก้าวไปถึง
มีผู้กล่าวว่าภูมิธรรมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นมิได้ย่อหย่อนไปกว่าพระเจ้าพิมพิสารในครั้งพุทธกาล และมิได้น้อยไปกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชในยุคหลังพุทธกาล 300 ปี นั้นเลย
.แต่คอลัมน์นี้กล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้นก็ไม่เคยแสดงทิพยอำนาจในพระองค์ให้ปรากฏเหมือนกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยเรานี้เลยแม้แต่สักครั้งเดียว
เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเพื่อความรับรู้ในหมู่พสกนิกรซึ่งมีความจงรักภักดี เห็นสมควรนำกรณีอันมีผู้รู้เห็นยืนยันและแสดงถึงภูมิธรรมอันสูงยิ่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดงดังนี้
เรื่องที่หนึ่ง พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ อดีตนายทหารประสานงานของราชสำนักซึ่งได้ถึงแก่กรรมแล้วเคยเล่าว่า สมัยหนึ่งเมื่อครั้งยังปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ ได้รับพระราชกระแสให้ไปนิมนต์พระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีองค์สำคัญของภาคอีสานเพื่อมาร่วมงานราชพิธีส่วนพระองค์ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้ติดต่อไปทางจังหวัดประสานงานไปทางอำเภอ ตำบล และต้องให้คนขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่วัด แต่ปรากฏว่าพระมหาเถระรูปนั้นได้ออกธุดงค์ไปแล้ว ไม่สามารถติดต่อได้ จึงนำความมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบ
ทรงรับสั่งว่าให้ไปเรียนพระศาสนโสภณให้ช่วยนิมนต์ให้ พระศาสนโสภณที่ว่านี้ก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบัน ดังนั้นพลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ จึงนำความไปเรียนให้พระศาสนโสภณทราบ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายโมงเศษ พระศาสนโสภณได้แจ้งว่าให้มาฟังผลในเวลา 16 นาฬิกา แล้วเดินขึ้นไปบนกุฏิชั้นบน พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ ได้รอคอยจนถึงเวลา 16 นาฬิกา ก็ได้รับคำบอกกล่าวจากพระศาสนโสภณว่าได้นิมนต์ตามพระราชประสงค์แล้ว ให้เอารถไปรับที่จุดนัดพบในเวลาที่นัดหมาย
พลตรีอมรรัตน์ จินตกานนท์ เดิมสำคัญว่าพระศาสนโสภณมีข่ายงานติดต่อพิเศษของคณะสงฆ์ แต่ก็รู้สึกแปลกใจ จึงสอบถามพระเลขานุการว่าการติดต่อได้ใช้วิธีใด ก็ได้รับคำบอกว่าเป็นการติดต่อทางโทรจิต
ผู้ที่รู้ว่าผู้อื่นมีภูมิธรรมในระดับที่สามารถใช้ทิพยอำนาจได้เช่นนี้ ก็ย่อมมีภูมิธรรมที่ห่างกันไม่มากนัก เพราะคนธรรมดาไหนเลยจะล่วงรู้ได้
เรื่องที่สอง ช่วง 3-4 ปีก่อนที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาสจะมรณภาพ หนังสือพิมพ์ต่างประเทศได้ลงข่าวว่าท่านเจ้าคุณป่วยหนัก รัฐบาลไทยไม่เหลียวแลเอาใจใส่ หนังสือพิมพ์ไทยได้นำความมาลงตีพิมพ์ เป็นเหตุให้คนไทยได้รับรู้ และความทราบถึงเบื้องพระยุคลบาท
ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณพุทธทาสป่วยหนักด้วยโรคน้ำท่วมปอด เส้นเลือดหัวใจตีบ มีอาการหัวใจวาย และความดันโลหิตสูงร่วม 300 หากเป็นคนทั่วไปก็เห็นได้ว่าเข้าขั้นโคม่า มีความตายเป็นเบื้องหน้าเป็นแน่แท้
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 23
ในครั้งนั้นหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับลงข่าวตรงกันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์หลวงคณะหนึ่งเดินทางไปรักษาท่านเจ้าคุณพุทธทาสที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้นำความไปถวายท่านเจ้าคุณด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขออาราธนาว่าท่านเจ้าคุณอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระศาสนาต่อไป
แล้วหนังสือพิมพ์ก็เสนอข่าวต่อไปว่า เมื่อคณะแพทย์ไปถึงและท่านเจ้าคุณได้รับทราบว่ามีกระแสรับสั่งมาถวาย ก็ได้พยายามลุกนั่งสมาธิบนเตียงพยาบาล เมื่อได้ทราบคำอาราธนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านเจ้าคุณนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วกล่าวว่า อาตมารับอาราธนา แต่จะอยู่ไปเท่าที่สังขารจะทนไหวเท่านั้น
ในชั่วคืนวันนั้นเหตุการณ์มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เพราะอาการหัวใจวายและเส้นเลือดหัวใจตีบได้ทุเลาลง น้ำท่วมปอดได้ลดลง ความดันได้ลดลงเกือบปกติ พระซึ่งใกล้ชิดท่านเจ้าคุณได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากรับอาราธนาแล้วท่านเจ้าคุณได้ปฏิบัติสมาธิและอยู่ในอาณาปานสติวิหารตลอดทั้งคืน
ความนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์เพราะมีข่าวต่อมาว่าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับหนึ่งได้ลงข่าวในเชิงตั้งข้อสงสัยนี้ว่า พระสงฆ์ไทยนี้แปลก ที่สามารถผัดผ่อนความตายได้
แต่คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้สงสัย เพราะมีความในมหาปรินิพพานสูตรแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทสี่ให้มากแล้ว ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ทำให้เหมือนกับเป็นพื้นแผ่นแล้ว มีใจตั้งมั่นบริสุทธิ์ หากปรารถนาจะมีอายุชั่วกัลป์หนึ่งหรือกว่านั้นก็ได้
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส คนทั่วไปรู้แต่เพียงว่าท่านทรงปริยัติเสมอด้วยพระพุฒโฆษาจารย์ของลังกาในอดีต แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ดีว่าท่านบรรลุภูมิธรรมถึงวิชชาแปดประการในพระพุทธศาสนา มีทิพยอำนาจอยู่ในตัว และเจริญอิทธิบาทอยู่เนืองๆ อาการป่วยขั้นวิกฤตที่ทุเลาเบาบางลงก็ด้วยทิพยอำนาจนั้น ดังที่ปรากฏความในมหาปรินิพพานสูตรนั่นเอง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ท่านเจ้าคุณมีภูมิธรรมเช่นนี้ อยู่ในวิหารธรรมเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรู้ได้ หากต้องมีภูมิธรรมและอยู่ในวิหารธรรมที่ใกล้เคียงกัน ท่านเจ้าคุณพุทธทาสบรรลุภูมิธรรมขั้นไหน ก็เห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีภูมิธรรมที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ดังนั้นจะกราบพระบรมฉายาลักษณ์ครั้งใด ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือกำลังกราบพระอริยบุคคลนั่นเอง
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องราวของพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนลงไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐด้วยตัวท่านเองว่า สมัยหนึ่งจะเดินทางไปผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ท้ายที่สุดได้ทรงรับสั่งว่าไปผ่าตัดครั้งนี้จะไม่ตาย ให้รีบกลับ
พลตรีหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนไว้ว่ามีความเชื่อมั่นในขณะนั้นบังเกิดเป็นปิติอันเปี่ยมล้นว่าครั้งนี้เห็นจะไม่ตายแน่ มีอาการขนลุกซู่ซ่า
คำรับสั่งที่เสมอด้วยสามารถตกลงกับพญามัจจุราชได้ดังนี้ ใช่ว่าผู้ที่มีภูมิธรรมธรรมดาจะกระทำได้ นี่เป็นวิชชาหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่มีแต่ผู้มีภูมิธรรมอันสูงส่งเท่านั้นที่จะกระทำได้
..เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องของครูเอื้อ สุนทรสนาน หรือสุนทราภรณ์ ผู้มีสมญาว่านักร้องชั้นบรมครูผู้อมตะ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษคนหนึ่งในวงการศิลปินไทย โปรดให้เข้าร่วมวง อส. ซึ่งเป็นวงดนตรีส่วนพระองค์ ครั้งที่ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงพระราชนิพนธ์ก็ทรงพระราชทานให้กับวงสุนทราภรณ์นำไปแสดง ครั้งที่เสด็จนิวัติกลับพระนครหลังจากเสร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ครูเอื้อ สุนทรสนาน และครูแก้ว อัจฉริยะกุล ก็ได้ร่วมกันรังสรรค์บทเพลงเพื่อถวายการต้อนรับคือเพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้นอันเป็นอมตะ
ทรงมีพระเมตตาต่อครูเอื้อ สุนทรสนาน มาก ถึงกับพระราชนิพนธ์เพลงไตเติ้ลให้กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ ชื่อว่าเพลงพระมหามงคล และพระราชทานธง ภปร. สำหรับวงด้วย
ในเดือนธันวาคมปีก่อนที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน จะถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน ขึ้นไปร้องเพลงถวายที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ในบทเพลงพรานทะเล ซึ่งขณะนั้นครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลไปร้องเพลงถวาย แต่ร้องได้เพียงครึ่งเพลงก็ต้องทรุดลง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพฯ เข้าไปประคองครูเอื้อ สุนทรสนาน เข้ามานั่งใกล้พระเก้าอี้ แล้วรับสั่งถามอาการ ครู่หนึ่งเหมือนกับจะทรงรู้ว่าครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยคราวนี้คงตายแน่จึงมิได้ตรัสประการใดเหมือนกับที่เคยตรัสกับพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
เป็นแต่ทรงถอดสร้อยซึ่งห้อยพระสมเด็จจิตรลดาออกจากพระศอคล้องคอครูเอื้อ สุนทรสนาน พร้อมกับตบศีรษะด้วยพระเมตตาแล้วทรงตรัสว่า ให้เร่งรักษานะ
ครูเอื้อ สุนทรสนาน กลับจากงานครั้งนั้นก็รู้ตัวว่าถึงเวลาใกล้จะตายแล้ว จึงได้ทำเพลงสุดท้ายสั่งลาแฟนเพลง ชื่อว่าเพลงพระเจ้าทั้งห้า ซึ่งสรรเสริญและรำลึกพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ พร้อมกับฝากบทเพลงสุนทราภรณ์ไว้อยู่คู่ฟ้าเมืองไทย
นี่ก็เป็นวิชชาอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะแสดงให้เห็นถึงอนาคตังสญาณที่มีอยู่ในพระองค์ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เสด็จไปแห่งหนตำบลใด ถ้าหากฝนแล้งก็จะบังเกิดฝนตก หรือถ้าฝนตกหนักก็บังเกิดฝนหยุด อันเป็นพระบารมีที่มีแต่ภูมิธรรมอันสูง และถือเป็นทิพยอำนาจในพระองค์ที่คนไทยทั้งประเทศได้รู้ได้เห็นกันตลอดมาแล้ว
และด้วยภูมิธรรมระดับนี้ย่อมเชื่อและหวังได้ว่าองค์พระประมุขของเรานั้นทรงสามารถเจริญอิทธิบาทสี่ บรรลุถึงมรรคและผลแห่งวิหารธรรมข้อนี้ในระดับที่สูง ก่อเป็นทิพยอำนาจในพระองค์สมแก่ฐานะขององค์เอกอัครศาสนูปถัมภกซึ่งพสกนิกรทั้งประเทศสามารถกราบไหว้และได้อานิสงส์อย่างเดียวกันกับการกราบไหว้พระอริยบุคคลนั้นแล
ขออำนาจสัตยาธิษฐาน ความมีอยู่จริง ความมีผลจริง ในวิชชาและวิมุติในพระพุทธศาสนาและคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนอำนาจแห่งพระปริตรได้คุ้มครองกำจัดและป้องกันสรรพภัย สรรพทุกข์ สรรพโรค อย่าได้กล้ำกรายพระองค์ ขอทรงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณในกาลทุกเมื่อเทอญ
แล้วหนังสือพิมพ์ก็เสนอข่าวต่อไปว่า เมื่อคณะแพทย์ไปถึงและท่านเจ้าคุณได้รับทราบว่ามีกระแสรับสั่งมาถวาย ก็ได้พยายามลุกนั่งสมาธิบนเตียงพยาบาล เมื่อได้ทราบคำอาราธนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ท่านเจ้าคุณนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วกล่าวว่า อาตมารับอาราธนา แต่จะอยู่ไปเท่าที่สังขารจะทนไหวเท่านั้น
ในชั่วคืนวันนั้นเหตุการณ์มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เพราะอาการหัวใจวายและเส้นเลือดหัวใจตีบได้ทุเลาลง น้ำท่วมปอดได้ลดลง ความดันได้ลดลงเกือบปกติ พระซึ่งใกล้ชิดท่านเจ้าคุณได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากรับอาราธนาแล้วท่านเจ้าคุณได้ปฏิบัติสมาธิและอยู่ในอาณาปานสติวิหารตลอดทั้งคืน
ความนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์เพราะมีข่าวต่อมาว่าหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับหนึ่งได้ลงข่าวในเชิงตั้งข้อสงสัยนี้ว่า พระสงฆ์ไทยนี้แปลก ที่สามารถผัดผ่อนความตายได้
แต่คนไทยจำนวนหนึ่งมิได้สงสัย เพราะมีความในมหาปรินิพพานสูตรแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดได้เจริญอิทธิบาทสี่ให้มากแล้ว ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ทำให้เหมือนกับเป็นพื้นแผ่นแล้ว มีใจตั้งมั่นบริสุทธิ์ หากปรารถนาจะมีอายุชั่วกัลป์หนึ่งหรือกว่านั้นก็ได้
ท่านเจ้าคุณพุทธทาส คนทั่วไปรู้แต่เพียงว่าท่านทรงปริยัติเสมอด้วยพระพุฒโฆษาจารย์ของลังกาในอดีต แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ดีว่าท่านบรรลุภูมิธรรมถึงวิชชาแปดประการในพระพุทธศาสนา มีทิพยอำนาจอยู่ในตัว และเจริญอิทธิบาทอยู่เนืองๆ อาการป่วยขั้นวิกฤตที่ทุเลาเบาบางลงก็ด้วยทิพยอำนาจนั้น ดังที่ปรากฏความในมหาปรินิพพานสูตรนั่นเอง
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ท่านเจ้าคุณมีภูมิธรรมเช่นนี้ อยู่ในวิหารธรรมเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรู้ได้ หากต้องมีภูมิธรรมและอยู่ในวิหารธรรมที่ใกล้เคียงกัน ท่านเจ้าคุณพุทธทาสบรรลุภูมิธรรมขั้นไหน ก็เห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีภูมิธรรมที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ดังนั้นจะกราบพระบรมฉายาลักษณ์ครั้งใด ความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือกำลังกราบพระอริยบุคคลนั่นเอง
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องราวของพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนลงไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐด้วยตัวท่านเองว่า สมัยหนึ่งจะเดินทางไปผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ท้ายที่สุดได้ทรงรับสั่งว่าไปผ่าตัดครั้งนี้จะไม่ตาย ให้รีบกลับ
พลตรีหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนไว้ว่ามีความเชื่อมั่นในขณะนั้นบังเกิดเป็นปิติอันเปี่ยมล้นว่าครั้งนี้เห็นจะไม่ตายแน่ มีอาการขนลุกซู่ซ่า
คำรับสั่งที่เสมอด้วยสามารถตกลงกับพญามัจจุราชได้ดังนี้ ใช่ว่าผู้ที่มีภูมิธรรมธรรมดาจะกระทำได้ นี่เป็นวิชชาหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่มีแต่ผู้มีภูมิธรรมอันสูงส่งเท่านั้นที่จะกระทำได้
..เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องของครูเอื้อ สุนทรสนาน หรือสุนทราภรณ์ ผู้มีสมญาว่านักร้องชั้นบรมครูผู้อมตะ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นพิเศษคนหนึ่งในวงการศิลปินไทย โปรดให้เข้าร่วมวง อส. ซึ่งเป็นวงดนตรีส่วนพระองค์ ครั้งที่ทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงพระราชนิพนธ์ก็ทรงพระราชทานให้กับวงสุนทราภรณ์นำไปแสดง ครั้งที่เสด็จนิวัติกลับพระนครหลังจากเสร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ครูเอื้อ สุนทรสนาน และครูแก้ว อัจฉริยะกุล ก็ได้ร่วมกันรังสรรค์บทเพลงเพื่อถวายการต้อนรับคือเพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้นอันเป็นอมตะ
ทรงมีพระเมตตาต่อครูเอื้อ สุนทรสนาน มาก ถึงกับพระราชนิพนธ์เพลงไตเติ้ลให้กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ ชื่อว่าเพลงพระมหามงคล และพระราชทานธง ภปร. สำหรับวงด้วย
ในเดือนธันวาคมปีก่อนที่ครูเอื้อ สุนทรสนาน จะถึงแก่กรรม ได้โปรดเกล้าฯ ให้ครูเอื้อ สุนทรสนาน ขึ้นไปร้องเพลงถวายที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ในบทเพลงพรานทะเล ซึ่งขณะนั้นครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลไปร้องเพลงถวาย แต่ร้องได้เพียงครึ่งเพลงก็ต้องทรุดลง ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพฯ เข้าไปประคองครูเอื้อ สุนทรสนาน เข้ามานั่งใกล้พระเก้าอี้ แล้วรับสั่งถามอาการ ครู่หนึ่งเหมือนกับจะทรงรู้ว่าครูเอื้อ สุนทรสนาน ป่วยคราวนี้คงตายแน่จึงมิได้ตรัสประการใดเหมือนกับที่เคยตรัสกับพลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
เป็นแต่ทรงถอดสร้อยซึ่งห้อยพระสมเด็จจิตรลดาออกจากพระศอคล้องคอครูเอื้อ สุนทรสนาน พร้อมกับตบศีรษะด้วยพระเมตตาแล้วทรงตรัสว่า ให้เร่งรักษานะ
ครูเอื้อ สุนทรสนาน กลับจากงานครั้งนั้นก็รู้ตัวว่าถึงเวลาใกล้จะตายแล้ว จึงได้ทำเพลงสุดท้ายสั่งลาแฟนเพลง ชื่อว่าเพลงพระเจ้าทั้งห้า ซึ่งสรรเสริญและรำลึกพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ พร้อมกับฝากบทเพลงสุนทราภรณ์ไว้อยู่คู่ฟ้าเมืองไทย
นี่ก็เป็นวิชชาอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะแสดงให้เห็นถึงอนาคตังสญาณที่มีอยู่ในพระองค์ ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงการที่เสด็จไปแห่งหนตำบลใด ถ้าหากฝนแล้งก็จะบังเกิดฝนตก หรือถ้าฝนตกหนักก็บังเกิดฝนหยุด อันเป็นพระบารมีที่มีแต่ภูมิธรรมอันสูง และถือเป็นทิพยอำนาจในพระองค์ที่คนไทยทั้งประเทศได้รู้ได้เห็นกันตลอดมาแล้ว
และด้วยภูมิธรรมระดับนี้ย่อมเชื่อและหวังได้ว่าองค์พระประมุขของเรานั้นทรงสามารถเจริญอิทธิบาทสี่ บรรลุถึงมรรคและผลแห่งวิหารธรรมข้อนี้ในระดับที่สูง ก่อเป็นทิพยอำนาจในพระองค์สมแก่ฐานะขององค์เอกอัครศาสนูปถัมภกซึ่งพสกนิกรทั้งประเทศสามารถกราบไหว้และได้อานิสงส์อย่างเดียวกันกับการกราบไหว้พระอริยบุคคลนั้นแล
ขออำนาจสัตยาธิษฐาน ความมีอยู่จริง ความมีผลจริง ในวิชชาและวิมุติในพระพุทธศาสนาและคุณพระศรีรัตนตรัย ตลอดจนอำนาจแห่งพระปริตรได้คุ้มครองกำจัดและป้องกันสรรพภัย สรรพทุกข์ สรรพโรค อย่าได้กล้ำกรายพระองค์ ขอทรงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณในกาลทุกเมื่อเทอญ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 24
8) เรื่องของคุณอุ้ย น่าสนใจดีครับ พี่สุเกียง
เพราะผมก็เป็นภูมิแพ้เหมือนกัน
ผมใช้วิธีออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็หายไปได้เยอะทีเดียว
สงสัยว่าถ้าใช้โภชนะบำบัดอีกคง ดีขึ้นอีกมาทีเดียว
เพราะผมก็เป็นภูมิแพ้เหมือนกัน
ผมใช้วิธีออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็หายไปได้เยอะทีเดียว
สงสัยว่าถ้าใช้โภชนะบำบัดอีกคง ดีขึ้นอีกมาทีเดียว
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 25
สวัสดีค่ะ คุณ por_jai ดีใจมากๆที่วันนี้คุณ por_jai แวะมาอ่านกระทู้
ปกติพอโพสต์เสร็จ ก็เหนื่อยเพราะโพสต์ในขณะที่เน็ตอืดช้ามากๆ
โพสต์ซ้ำใหม่จนเบื่อ ดีใจที่คุณแวะมาค่ะ ต้องขออภัยเพื่อนๆที่แวะมาอ่าน
แล้วดิฉันไม่ได้ตอบ เกรงใจจริงๆค่ะ อย่าน้อยใจและเคืองดิฉันนะคะ
อ่านที่คุณ อุ้ย เธอให้ข้อคิดในเรื่องภูมิแพ้นั้นมีประโยชน์มากจริงๆค่ะ
ดิฉันก็เพิ่งจะทราบว่าตัวเองก็เป็นภูมิแพ้ทั้งๆที่ปกติจะเป็นหวัดบ่อยมากเป็นตั้งแต่เล็กจนแก่
เดือนกว่าที่ผ่านมา เป็นหวัด ไอตลอดเป็นไข้ตัวร้อน หายใจไม่ออก เข้ารพ.บ่อยมาก หาหมอกี่ครั้งๆก็ไม่หาย
จนหมอหมดทางเลยต้องหาหมอเฉพาะทางหูคอจมูก ได้ผลตรวจเอ๊กซเรย์หลายๆอย่าง สรุปปลอดภัยจากไซนัสและวัณโรค
พอดีญาติมาแล้วค่อยคุยกันนะคะ
-
- Verified User
- โพสต์: 891
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 27
ขอบคุณ คุณ naris ที่แวะมาอ่าน ดีใจที่โพสต์แล้วเพื่อนๆได้ความรู้ได้ข้อคิดดีๆ
สมัยนี้คนยุคใหม่จะได้ข่าวสารความรู้ต่างๆจากการอ่านได้ทั่วถึงกันเร็วมากๆ
เรียกว่าสื่อสารกันได้ทันที msn กันได้ทุกวัย วิทยาการก้าวหน้าจนไม่ต้องพึ่งบุรุษไปรษณีย์
ขอบคุณมากนะคะ
** พอตรวจแล้ว ผลออกมาเป็นภูมิแพ้อย่างนี้ ก็ต้องรักษาไปตามอาการ แพ้ฝุ่น ฝน แดด แอร์
เดี๋ยวนี้สุขภาพดีขึ้นเพราะออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน จะแข็งแรงมากกว่าก่อนมาก
แต่พอไปขี่จักรยานที่ต่างจังหวัด แดดร้อนจัด เหนื่อย ฝุ่นเยอะ ฝนตกก็ตากฝน
อันนี้เลยไม่สบายไม่หายตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมา ก็ดีใจที่รู้ว่าเป็นภูมิแพ้ หาหมอถูกกับโรคเฉพาะทางก็จวนจะหายแล้วค่ะ
อากาศร้อนมากๆคงเลี่ยงที่จะไม่นอนในห้องแอร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็ดีที่รู้เลยเอาร่มกางปิดทางลมแอร์ที่พุ่งมา
ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อคืนทดลองไม่กางร่มนอนสักคืน ผลเช้านี้เจ็บคอ คัดจมูก ต้องฉีดน้ำเกลือพ่นสวนจมูกตอนเช้าอีก
และพ่นยาสเปรย์ที่จมูก และพ่นที่ลำคอ อาการดีขึ้นมาก รู้ผลอย่างนี้แปลว่าห้ามนอนแอร์จริงๆ ทั้งๆที่ล้างแอร์บ่อยๆ
จะลองเอาผ้ากันฝุ่นที่เขาขายกันมาทดลองใช้ ก็คงเป็นวิธีนึงที่กันแพ้ได้
จะลองทานผักผลไม้ให้มากกว่าเดิมและเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารตามบทความที่คุณอุ้ย นำมาเล่าสู่กันฟัง
สมัยนี้คนยุคใหม่จะได้ข่าวสารความรู้ต่างๆจากการอ่านได้ทั่วถึงกันเร็วมากๆ
เรียกว่าสื่อสารกันได้ทันที msn กันได้ทุกวัย วิทยาการก้าวหน้าจนไม่ต้องพึ่งบุรุษไปรษณีย์
ขอบคุณมากนะคะ
** พอตรวจแล้ว ผลออกมาเป็นภูมิแพ้อย่างนี้ ก็ต้องรักษาไปตามอาการ แพ้ฝุ่น ฝน แดด แอร์
เดี๋ยวนี้สุขภาพดีขึ้นเพราะออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยาน จะแข็งแรงมากกว่าก่อนมาก
แต่พอไปขี่จักรยานที่ต่างจังหวัด แดดร้อนจัด เหนื่อย ฝุ่นเยอะ ฝนตกก็ตากฝน
อันนี้เลยไม่สบายไม่หายตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมา ก็ดีใจที่รู้ว่าเป็นภูมิแพ้ หาหมอถูกกับโรคเฉพาะทางก็จวนจะหายแล้วค่ะ
อากาศร้อนมากๆคงเลี่ยงที่จะไม่นอนในห้องแอร์นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็ดีที่รู้เลยเอาร่มกางปิดทางลมแอร์ที่พุ่งมา
ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เมื่อคืนทดลองไม่กางร่มนอนสักคืน ผลเช้านี้เจ็บคอ คัดจมูก ต้องฉีดน้ำเกลือพ่นสวนจมูกตอนเช้าอีก
และพ่นยาสเปรย์ที่จมูก และพ่นที่ลำคอ อาการดีขึ้นมาก รู้ผลอย่างนี้แปลว่าห้ามนอนแอร์จริงๆ ทั้งๆที่ล้างแอร์บ่อยๆ
จะลองเอาผ้ากันฝุ่นที่เขาขายกันมาทดลองใช้ ก็คงเป็นวิธีนึงที่กันแพ้ได้
จะลองทานผักผลไม้ให้มากกว่าเดิมและเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารตามบทความที่คุณอุ้ย นำมาเล่าสู่กันฟัง
- น้ำครึ่งแก้ว
- Verified User
- โพสต์: 1098
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 28
ขอบคุณครับ คุณสุเกียง เรื่องที่เล่านี้ ขอ save เก็บนะครับ
" ชีวิตไม่เคยขาดความหวาน "
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
***.....อุทาหรณ์เถ้าแก่ฮง (อยากให้อ่าน).....***
โพสต์ที่ 29
ให้กับคนบ้างาน เครียดง่าย
ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิทยา นาควัชระ
วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด
เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้วไปบริจาคที่ไหนสักแห่ง
แต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที
เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้น ได้เสื้อ กางเกง
เสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น
เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้น
ตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด
รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้น คือ
การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง
วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้น โล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม?
วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และเบาขึ้น เช่น...
1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อน เช่น เสื้อผ้า
รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้าง เช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่
แข่งขัน และหวังผลสูงถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไร
ต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้ บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอ
สารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3. เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีเวลา
เป็นของตัวเองเลย
4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าว
อาชญากรรม หรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวัน
เช่น รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คน
ดูไปฟังไฟแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ
ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้เป็น
7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย ทำได้ยากมาก จะทำให้เรา
จมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว
พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง
ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วย เมื่อเวลาผ่านไป
เราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและ รักเขาตามความเป็นจริง
ได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียวเป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและ
ความยุ่งยากใจ เวลาจะต้องทำอะไร หรือไปไหนได้มากขึ้น
9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจบ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้าง
จะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเอง ให้ทำงานหนัก และ
แข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลา จนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจ
ตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร
10. ถ้าจะรักใครสักคนอย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและ
อย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้ว
การรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด
ข้อเขียนดีดี ของ นพ.วิทยา นาควัชระ
วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็นมีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมด
เคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้วไปบริจาคที่ไหนสักแห่ง
แต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที
เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้น ได้เสื้อ กางเกง
เสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้น
เมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้เสื้อผ้าโล่งขึ้น
ตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด
รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้น คือ
การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเอง
วันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้น โล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม?
วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และเบาขึ้น เช่น...
1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อน เช่น เสื้อผ้า
รองเท้า เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย
2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้าง เช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่
แข่งขัน และหวังผลสูงถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไร
ต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้ บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอ
สารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?
3. เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีเวลา
เป็นของตัวเองเลย
4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าว
อาชญากรรม หรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน
5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ซ้ำๆ กันทุกวัน
เช่น รายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คน
ดูไปฟังไฟแทนที่จะสบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ
6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆ
ด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้เป็น
7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย ทำได้ยากมาก จะทำให้เรา
จมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว
พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง
ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วย เมื่อเวลาผ่านไป
เราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและ รักเขาตามความเป็นจริง
ได้มากขึ้น
8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียวเป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและ
ความยุ่งยากใจ เวลาจะต้องทำอะไร หรือไปไหนได้มากขึ้น
9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจบ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้าง
จะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเอง ให้ทำงานหนัก และ
แข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลา จนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจ
ตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร
10. ถ้าจะรักใครสักคนอย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและ
อย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้ว
การรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ
11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมด
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..