แพทย์สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ อนุญาตให้ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ กลับไปอยู่กับครอบครัวที่บ้านพักได้แล้ว หลังจากอาการป่วยหายเป็นปกติ ขณะที่ หมอเผ่า อารมณ์ดีหน้าตาสดใสยิ้มแย้มให้สัมภาษณ์ เดลินิวส์ เพียงฉบับเดียว ถึงเรื่องราวที่เป็นมาอย่างหมดเปลือก ยอมรับว่า ไม่เคยมีความขัดแย้งกับคนในครอบครัวเรื่องสถาบันกวดวิชา แต่ถูกอดีตเพื่อนสาวที่เป็น หัวหน้ากลุ่ม กับพวกวางแผนใช้อุบายหลอกลวงเอาทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก และทำให้ครอบครัวตัวเองต้องบอบช้ำหนัก ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ส่วนศาลเยาวชนฯ เตรียมสืบพยานแบบต่อเนื่องในคดีที่เมียประกิตเผ่าฟ้อง น้องเป แย่งผัวเรียกเงิน 27 ล้าน
ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สนามหลวง เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 มิ.ย. ศาลนัดพร้อมคู่ความ ในคดีที่นางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของนายแพทย์ประกิตเผ่า ทมชิตซงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดัง แอพพลายด์ ฟิสิกส์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.เปมิกา หรือศิวพร วีรชัชรักษิต นิสิต คณะจิตวิทยาชั้นปีที่ 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อนสนิทของนพ.ประกิตเผ่า เป็นจำเลย เรื่องละเมิด เรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนทำนองชู้สาว เป็นเงิน 27 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อศาลเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยนายทองหลาง แพงศรีละคร ทนายความโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานที่จะนำสืบทั้งสิ้น 35 ปาก และพยานเอกสารอีก 22 รายการ ขณะที่นายอภิชาติ จรสาย ทนายความจำเลย ขอนำพยานเข้าสืบรวม 6 ปาก ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นควรให้สืบพยานต่อเนื่อง โดยให้โจทก์ใช้เวลาสืบพยานรวม 5 นัด และให้จำเลยนำสืบพยานโดยใช้เวลา 2 นัด เริ่มสืบพยานโจทก์ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 23 - 25 เม.ย. ศกหน้า ซึ่งหลังสืบพยานโจทก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะให้ฝ่ายจำเลย นำพยานเข้าสืบทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันเดียวกันนี้ รศ.เพลินจิต และนางอลิสา ทมทิตชงค์ มารดา และภรรยาของนพ.ประกิตเผ่า รวมทั้ง น.ส.เปมิกา ต่างไม่ได้มาร่วมฟังการพิจารณาคดีแต่อย่างใด มีเพียงทนายความของทั้งสองฝ่ายมาศาลแทน โดยศาลใช้เวลาการพิจารณาราวชั่วโมงเศษจึงแล้วเสร็จ ภายหลังนายอภิชาติ ทนายความจำเลย เปิดเผยว่า ฝ่ายโจทก์เตรียมนำพยานบุคคลเข้าสืบ 35 ปาก นอกจากนั้นเป็นพยานเอกสาร โดยพยานโจทก์ที่สำคัญมี รศ.เพลินจิต มารดา นพ.ประกิตพันธ์ พี่ชาย นางอลิสา ภรรยา และ นพ.ประกิตเผ่า ที่อยู่ระหว่างการรักษาอาการป่วยทางจิตที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ส่วนฝ่ายจำเลยมี น.ส.เปมิกา กับกลุ่มเพื่อน รวมทั้ง นพ.ประกิตเผ่า เข้าเบิกความเป็นพยานด้วย
สำหรับอาการป่วยของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ที่รักษาตัวอยู่ในสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ มาตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา จนอาการดีขึ้นตามลำดับแพทย์อนุญาตให้กลับไปพักที่บ้านเพื่อให้ปรับสภาพเข้ากับครอบครัว ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา แพทย์ของสถาบันกลัยาณ์ฯมีความเห็นว่า อาการป่วยทางจิตของ นพ.ประกิตเผ่า หายเป็นปกติแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องกลับมารักษาในสถาบันกลัยาณ์ฯอีก จึงอนุญาตให้ออกจากสถาบันกัลยาณ์ฯกลับไปอยู่กับครอบครัวตามปกติ โดยไม่ต้องกลับเข้าไปอยู่ในสถาบันกลัยาณ์ฯอีก
วันเดียวกันนี้ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ได้ให้สัมภาษณ์ เดลินิวส์ หลังจากกลับมาอยู่กับครอบครัวที่บ้านพักย่านศาลายา จ.นครปฐม โดย นพ.ประกิตเผ่า ในชุดเสื้อยืดโปโลสีแดง กางเกงยีนส์ หน้าตาสดใสยิ้มแย้ม กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า ตอนนี้กลับมาอยู่กับครอบครัวแล้วรู้สึกมีความสุขมาก และเพิ่งเข้าใจว่าความรักของคนในครอบครัวมันมากมาย และสำคัญจริงๆ ทำให้ผมหายป่วยเร็วกว่าผู้ป่วยรายอื่นๆมาก ส่วนตอนอยู่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ทำอะไร แต่พอเริ่มหายจากอาการก็นั่งเขียนหนังสือเพื่อใช้สอน คือ ตนเองเป็นคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ ต้องมีงานทำถึงจะสบายใจ
เมื่อถามว่า หลายเดือนที่ผ่านมาคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองและครอบครัว สาเหตุมาจากอะไร นพ.ประกิตเผ่า กล่าวว่า ที่ผ่านมาเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ตนเคยพบมา เสียใจมากและรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ สาเหตุมาจากการคบคนผิด และเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาตลอด คิดว่าถ้าเราดีกับใคร เขาน่าจะดีต่อเราเช่นกัน สำหรับความชขัดแย้งเกี่ยวกับครอบครัวเรื่องสถาบันกวดวิชานั้น ไม่มีเลย ตนไม่ใช่หลักสำคัญในการที่ทำให้โรงเรียนสอนกวดวิชาของครอบครัวมีชื่อเสียง คุณพ่อคุณแม่ของตนสร้างฐานะครอบครัวมาด้วยความยากลำบาก ท่านทั้งสองได้สะสมคุณงามความดีและประสบการณ์ในการสอนหนังสือ จนทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียง ส่วนตนเข้ามาช่วยงานท่านภายหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ได้วางรากฐานไว้จนสมบูรณ์แล้ว คุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย น้องสาว และภรรยาของตนต่างมีส่วนช่วยเหลือกันในกิจการสอนพิเศษมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป เรามีแต่ความสามัคคี ไม่ได้อิจฉากัน คุณพ่อ คุณแม่ รักลูกเท่ากัน และให้ความยุติธรรมกับลูกๆรวมทั้งพนักงานทุกคน เราอยู่กันสบายๆไม่มีความขัดแย้งเลย
ต่อข้อถามว่า เชื่อเรื่องคุณไสย หรือไสยศาสตร์แค่ไหน หมอเผ่า กล่าวว่า ตนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เชื่อกฎแห่งกรรม ส่วนไสยศาสตร์ ตนไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ ยิ่งตอนก่อนป่วยยิ่งไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ แต่ขณะที่อยู่ใกล้ หัวหน้ากลุ่ม เขาจะแสดงให้ดูตลอดว่าเขาโดนคุณไสย เช่น อาเจียนเป็นเส้นผมปนเลือด หรือเป็นตะปูเกลียวปนเลือด เลือดออกจากหู ปาก จมูก และถ่ายเป็นเลือด ซึ่งเหมือนจริงมาก สำหรับตนในตอนนั้น เขาบอกว่าภรรยาของตนจ้างคนทำมาใส่เขา ก็เลยเชื่อมาก และพลอยทำให้คิดว่าภรรยาของตนเป็นคนไม่ดีไปด้วย ที่ผ่านตนเองและครอบครัวเรียกได้ว่าเป็นผู้ถูกกระทำแน่นอน ขนาดเอาทรัพย์สินจากครอบครัวตนไปแล้ว ยังแจ้งความจะเอาผิดกับแม่และพี่ชายของตน ตอนที่ทั้งสองพยายามนำตนไปรักษาที่ศรีธัญญา
นพ.ประกิตเผ่า กล่าวต่อว่า ที่เขาอ้างว่าทำทุกอย่างเพราะตนสั่ง ก็ต้องมองว่า การที่ตนโทรติดต่อเขาก็เพราะตนป่วย โดย หัวหน้ากลุ่ม และพวก ที่พยายามช่วยตนให้ออกจากโรงพยาบาล ก็เพื่อสานต่อให้แผนของเขาสำเร็จ ที่แน่ๆเขารู้อยู่เต็มอกว่าตนป่วยทางจิต ไม่ใช่ความเข้าใจผิด หรือทำตามตนสั่ง หรือมีเจตนาดีอะไร ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น คงให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม ใครถูกใครผิดก็ว่ากันไปตามจริง และตนคงไม่ให้สัมภาษณ์บ่อยๆให้เขาหาเหตุฟ้องร้อง ที่ผ่านมาครอบครัวตนบอบช้ำมากพอแล้ว
เมื่อถามว่า ขณะนี้พร้อมที่จะเข้าสอนในสถาบันกวดวิชาหรือยัง นพ.ประกิตเผ่า กล่าวว่า ตอนนี้ตนพร้อมเข้าสอนแล้ว และอยากเรียนให้สังคมทราบด้วยว่าโรคแบบที่ตนเป็นสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยความสามารถ และความทรงจำยังคงเหมือนเดิม แต่ที่ตนยังไม่ไปสอน เพราะยังต้องใช้ยาระยะหนึ่งตามมาตรฐานการรักษา และการใช้ยาบางตัวทำให้เสียงแหบ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการสอน แต่คงไม่น่าจะมีผลต่อชื่อเสียงของโรงเรียน เพราะพ่อแม่ตนทำมาตลอดชีวิต เนื้อหาที่สอนยังคงอยู่ ตนซึ่งเป็นผู้สอนคนหนึ่งก็แค่พักรักษาตัว สังคมส่วนใหญ่ก็เข้าใจแล้วว่าความจริงคืออะไร ถึงจะกระทบต่อจำนวนเด็กที่มาเรียนบ้าง เราก็ต้องยอมรับ
นพ.ประกิตเผ่า กล่าวด้วยว่า ตนขอย้ำว่าเรื่องราวที่พี่ชาย แม่และภรรยาของตนให้สัมภาษณ์ทางสื่อล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น พอโรคเริ่มทุเลา สติมันก็คืนมา รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ตอนนี้รู้สึกแย่มากกับ หัวหน้ากลุ่มและพวก พวกเขามีความรู้สูงน่าจะใช้ในทางที่ถูกต้องให้เป็นคนดีในสังคม มันทำให้ตนรู้ว่ามีคนอีกพวกหนึ่ง ที่ยอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการโดยไม่แคร์ถึงผลที่จะเกิดตามมาต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่น และมั่นใจว่าครอบครัวตนจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดไม่อย่างนั้นเขากับพวกจะไปทำกับคนอื่นๆอีก และถ้าตนเจอหน้ากับพวกเขา ก็อยากจะบอกว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าไม่ว่าคนที่มีคุณวุฒิและวัยวุฒิเท่าใดลองมาเจอกลุ่มคนที่วางเป้าหมายยาวนานหลายปี และมีความตั้งใจสูงร่วมกับใช้ยาและจิตวิทยาหมู่ด้วยอย่างที่ผมโดน ผมว่าก็พลาดได้อย่างที่ผมเป็น ยิ่งพอป่วยแล้วยิ่งบานปลายมาก ผมมั่นใจว่าถ้าผมไม่ป่วย เรื่องราวคงไม่เกิดหรือคงไม่วุ่นวายอย่างนี้ หมอเผ่า กล่าว
เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ของ นพ.ประกิตเผ่า กับ หัวหน้ากลุ่ม มีความเป็นมาอย่างไร และกลุ่มนี้มีพฤติการณ์อย่างไร นพ.ประกิตเผ่า หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า ตนคงจะพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะจะมีผลต่อรูปคดีที่ฟ้องร้องกันอยู่ เอาเป็นว่า ตนเคยรู้จัก แต่ตอนนี้ตนไม่อยากรู้จักพวกเขาแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า คิดว่าตัวเองหายป่วย 100% หรือยัง นพ.ประกิตเผ่า ตอบอย่างมั่นใจว่า หาย 100 % อีกทั้งแพทย์ที่รักษาตนก็ยืนยัน แต่ยังคงต้องทานยาอย่างต่อเนื่องอีกหลายเดือน.
:lol: :lol: :lol: :lol:
ถ้าที่หมอพูดจิง น้องเปก็ร้ายกาจทีเดียว.............