เห็ดโคน... ชอบกินไหมครับ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

เห็ดโคน... ชอบกินไหมครับ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ป่ารอบบ้านหลังจากมรสุมเมื่อเดือนก่อนผ่านไป

อากาศร้อนอบอ้าวเข้ามาโปรยของขวัญให้ถึงข้างบ้าน

แค่เดินไม่กี่ก้าว เห็ดตูมๆอร่อยๆก็รอเราไปเก็บ....กินฟรี

อีกข้อดีของการกลับบ้าน




ลักษณะทางชีววิทยาของเห็ดโคน

การจำแนกเห็ดโคน

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Termitomyces  fuliginosus  Heim

ชื่อสามัญ : เห็ดโคน  เห็ดปลวก  เห็ดร้อน

Class : Basidiomycetes

Order : Agaricales

Family : Termitophilae

Genus : Termitomyces

Species : fuliginosus



ลักษณะทั่วไปของเห็ดโคน

จากการศึกษาพบว่าเห็ดโคนจะเกิดอยู่ใต้ผิวดิน   มีรากหยั่งลึกลงถึงรังปลวก   การพลเห็ดโคนพลได้ทั้งที่ราบ  ที่เนิน  หรือตามผาหินที่มีการสร้างอาณาจักรของาปลวก (Colony)  โดยในอาณาจักรจะมีการแผ่ขยายรังย่อยออกไปทั้งสี่ทิศ   ตามความเหมาะสมของภูมิศาสตร์   แต่ละแห่งในรังปลวกแต่ละรังจะเป็นสวนเห็ด (fungus  garden)  เป็นอาหารของปลวกตัวอ่อน  ในวงจรชีวิตของปลวกมันจะมีการตระเตรียมพลงไงว้สร้างอาหาร  และขยายพันธุ์ออกไปสู่โลกภายนอกซึ่งก็คือ  แมลงเมา  เมื่อมีปัจจัยต่างที่มีความเหมาะสม   เห็ดดคนมีโอกาสในการเจริญเติบโตเป็นดอกเห็ดโคนที่อยู่ใต้ดิน  เท่าที่ศึกษามีอยู่ 2 ประเภท



ประเภทที่ 1 เติบโตจนชนดินที่อยู่ห่าง 1-2 เซนติเมตร  มีกากรพอกบานแบบดอกไม้บริเวณที่ชนดิน   และต่อจากนั้นจึงสร้างเป็นก้านและดอกเห็ด   ซึ่งเราจะรับประทานเฉพาะส่วนที่เจาะเข้าไปในดิน   จนถึงปลายหมวกดอก   โคนดอกที่พ้นดินจะอวบอ้วน   รังปลวกจะอยู่ต่ำจากผิวดินไม่มากนัก



ประเภทที่ 2 เติบโตและมีหมวกดอกจากรังปลวก   ปลายหมวกดอกแหลมจะทะลุดินขึ้นมา   พวกนี้ก้านจะเรียวยาวเก็บยากเพราะอยู่ในดินลึก



นากจากลักษณะใต้ดินที่พอจะแยกได้สองประเภทแล้ว   เวลาพ้นดินขึ้นมายังมีลักษณะของสีดอก   และก้านที่ตาต่างกันไปตามลักษณะดิน  อากาศ  แสง  และอุณหภ๔มิ   ซึ่งมีอาจารย์หลายท่นได้แยกไว้  เช่น  เห็ดโคนปี  เห็ดโคนขาไก่  เห็ดโคนข้าวดอก   เห็ดโคนไฟ   เห็ดโคนน้ำท่วม  และอื่น ๆ  ตมลักษณะสี  รูปร่างและปัจจัยในการเกิด  แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะหาข้อยุติในสิ่งต่าง ๆ ได้   เพราะธรรมชาติยังคงความเป็นธรรมชาติที่เรายังไม่เข้าใจ   จึงต้องพยายามศึกษากันต่อไปอีก



สัณฐานวิทยา

1.   หมวกดอก (Cap)  มีขนาดแตกต่างกันขึ้นอยู๋กับความสมบูรณ์ของดอกเห็ดมีขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ (จากการบอกเล่าของ Dr. David  Arora ช่วอเมริกันที่พบเห็ดโคนหมวกดอกใหญ่สามารถนำมาแทนร่มกันฝนได้)  ที่ปลายของหมวกดอกเห็ดโคนมีทั้งที่พบว่าปลายหมวกดอกแหลมและพบที่ปลายหมวกดอกทู่แต่ส่วนใหญ่เหตุผลสนับสนุนว่าหมวกดอกน่าจะเรียวแหลม   เพื่อการแทงโผล่พ้นดินขึ้นมาเมื่อฉีกดูเนื้อในมีสีขาว

2.   ครีบดอก (Gills)  ของเห็ดโคนมีลักษณะที่เป็นแผ่นบาง ๆ สีขาว  ที่บริเวณครีบดอกจะเป็นแหล่งกำเนิดขอสปอร์

3.   สปอร์ (Spore)  มีสีขาว   เมื่อสปอร์แก่ก็จะหลุดออกจากครีบดอกตกบริเวณนั้นหรืออาจถูกลมพัดปลิวไปตกบริเวณข้างเคียง   จากนั้นสปอร์จะงอกหรือเจริญบนอินทรีย์วัตถุและทำให้อินทรีย์วัตถุผุพังและมีกลิ่นหอมที่ดึงดูดปลวกได้อย่างดี   เมื่อปลวกมากินอินทรีย์วัตถุและนำเชื้อเห็ดโคนบางส่วนเข้าไปเพราต่อในบริเวณรังปลวก

4.   ก้านดอก (Stalk or stripe)  ก้านของเห็ดโคนจะมี 3 ส่วนคือ

a.    ส่วนที่โผล่พ้นดิน

b.   ส่วนที่อยู่ในดิน

c.    ส่วนที่อยู่ระหว่างข่องว่างของรังปลวกและดิน   ซึ่งมีสองลักษณะสีของก้านดอกเนื้อในจะเป็นสีขาว   ด้านนอกจะเป็นขาวปนดำ   อาจเพราะเปรอะดิน   หรือการที่ออกมาถูกอากาศและแสงมากไปจึงมีสีคล้ำดำ





คุณค่าทางอาหารของเห็ดโคน


%   น้ำ
% โปรตีน (ตัวอย่างสด)
% โปรตีน (ตัวอย่างสด)

เห็ดโคน
84.90
62.27
41.52

เห็ดโคน(ดอกใหญ่)
89.07
3.72
33.94




สรรพคุณทางยาของเห็ดโคน



เห็ดโคนเป็นเห็ดอีกชนิดหนึ่งที่มีขายกันตามฤดูกาลเท่านั้น   ในเห็ดโคนสดและแห้ง   เมื่อนำส่วนที่กินได้มาทุก ๆ  100 กรัม  พบว่ามีน้ำ  93  และ 17 กรัม โปรตีน  2.9  และ  35.6  กรัม ไขมัน  0.2 และ  1.4 กรัม  คาร์โบโฮเดรท  3  และ 14 กรัม  เส้นใย  0.6  และ  6.9  กรัม  ฝุ่นผง  0.6  และ  16.2  กรัม  แคลเซียม  8 และ  100 มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส  6.6 และ 162  มิลลิกรัม  เหล็ก  1.3 และ 3.2 มิลลิกรัม  นอกจากนี้ยังมีวิตามิน  B1, B2  และ C อีกด้วย  มีการทดลองทางเภสัชวิทยาพบว่าน้ำสกัดเห็ดโคนมีฤทธิ์ต้นเชื้อได้หลายตัว  เช่น   Staphylococcus  aureus  เชื้อไทฟรอยด์  และเชื้อ  Enterobacteria  และถ้าให้คนดื่มคนดื่มน้ำสกัดเห็ดโคน  250 cc. ไม่พบว่ามีอาการข้างเยง   ถ้าใช้แอลกอฮอล์และอาซีโตนสกัดสารมีฤทธิ์จากเห็ดโคน  พบว่า  มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้



เห็ดโคนมีรสหวาน  มีฤทธิ์เป็นกลาง  ไม่มีพิษ  เป็นยาบำรุงกำลัง   ช่วยย่อยอาหาร  ละลายเสมหะ  แก้บิด  ลดการอาเจียน  มีใช้เป็นตำรับยาดังนี้

-          เสริมการศึกษาโรคเบาหวาน : กินเห็ดโคนเป็นประจำ

-          ไอมีเสมหะมาก  แน่นหน้าอก : เห็ดโคนสด  3-9 กรัม  ต้มรับประทานทั้งน้ำและเนื้อ

-          ร่างกายอ่อนแอ  เบื่ออาหาร  ช่วยย่อย  : นำเห็ดโคนต้มจนสุกกินเป็นอาหาร(นอกจากนี้ยังเคยได้รับคำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่แถวอำเภอสามพรานว่า   เห็ดโคนนี้  เวลาแห้งตายตามธรรมชาติ  ไม่ถูกแลงรบกวนจะมีกระเปาะสีดำ ๆ  ที่ใต้ดินติดกับรังปลวก   ซึ่งเรียกว่า หัวดิน  สามารถนำมาต้มเอาน้ำมาดื่มกันเป็นยาอายุวัฒนะรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมายซึ่งยังไม่มีใครเคยพิสูจน์   นานวันมีแต่จะเลือนหายไปเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง)

ความคืบหน้าในการเพาะ  เห็ดโคน



เห็ดโคนหรือเห็ดปลวก  นับเป็นเห็ดที่มีรสชาติอร่อยที่สุด   และมีราคาแพงที่สุดของไทย   หลายคนบอกว่าเห็ดโคนมีรสชาติอร่อยระดับโลก   และเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า   ปัจจุบันนี้เห็ดโคนยังไม่สามารถที่จะเพาะเลี้ยงในเชิงพาณิชย์ได้   จะต้องเก็บจากธรรมชาติ   และเก็บได้เพียงปีละ  1-2 รุ่น  ในช่วงที่อากาศร้อยอบอ้าวและมีฝนตกลงมาในช่วงฤดูฝน   ถึงแม้ในขณะนี้จะมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงเห็ดโคนน้อยมากขึ้น   อย่างไรก็ตามเห็ดโคนน้อย   ยังมีรสชาติที่อร่อยสู้เห็ดโคนไม่ได้   เห็ดโคนพบได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทยตามป่าหรือสวนผลไม้   แต่ที่มีเชื่อเสียงมากที่สุดจะพบมากในป่าเบญจพรรณทางภาคตะวันตก  โดยเฉพาในเจตพื้นที่  จ. กาญจนบุรี  ราคา  ซื้อ-ขาย  เฉลี่ยกิโลกรัมละ  300-500 บาท   ทำให้มีความพยายามที่จะศึกษาวิจัยการเพาะเห็ดโคนในเชิงพาณิชย์ให้ได้






           ในอดีตมีนักวิจัยหลายท่านพยายามศึกษาการเพาะเลี้ยงเห็ดโคน   โดยใช้สูตรอาหารคล้ายสูตรอาหารของ  Batra  แต่ไม่สามารถทำให้เส้นใยเห็ดโคนออกดอกได้   ในสภาพของการเพาะเลี้ยง  ดร. ณิศ  กีร์ติบุตร  ได้อธิบายถึงธรรมชาติความสัมพันธ์ระหว่างปลวกและเห็ดโคนพบว่า   เห็ดปลวกไฟ   เห็ดปลวกน้ำท่วม   และเห็ดปลวกข้าวตอก  มีความเกี่ยวข้องกับปลวกจำนวน  3 ชนิด   นอกจากนั้นยังได้ศึกษาศักยภาพของการเพาะเห็ดโคนด้วยวิธีการติดตามพลวัตประชากรปลวก   โดยใช้กับดักที่มีกระดาษฟางเป็นเหลื่อล่อปลวกให้เพาะเห็ดโคนทั้ง 3 ชนิด   พบว่าพืชอาหารของปลวกที่พบในบริเวณที่กับดักนั้นคือ   สาบเสือ,  ต้นแดง,  พันชาติ  และต้นเพ็ก  ดร. ณิศ  จึงได้สรุปในเบื้องต้นว่า การเพาะเห็ดโคน  ควรทำโดยอาศัยหลักการลดประชากรปลวกแล้วปรับปัจจัยทางกายภาพให้คล้ายคลึกกับสภาพอากาศในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน   การพัฒนาดอกของเห็ดโคนก็จะเกิดขึ้นได้



           รายงานว่าปัจจุบันชาวบ้ายในเขตท่าม่วง  จังหวัดกาญจนบุรี  ได้ทดลองเพาะเห็ดโคนโดยวิธีการเลียนแบบธรรมชาติ  ผลก็คือ   ได้เห็ดดคนในฤดูแรก   แต่ในฤดูต่อมาเห็ดโคนจะออกน้อยหรือแทบไม่มีเลย   เมื่อปี พ.ศ. 2543   คุณสุนิศา  สงวนทรัพย์  ได้ทำการศึกษาปลวกเพาะเห็ดโคนในป่าเบญจพรรณทางภาคตะวันตกที่จังหวัดกาญจนบุรี  มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับปลวก Hypotermes  makhamensis  และปลวกชนิดเดียวกันนี้เป็น 1 ใน 5 ของปลวกที่พบในป่าดิบของอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎและเขตพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวเมื่อปี พ.ศ. 2544  การศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับปลวกเพาะเลี้ยงเห็ดโคนล่าสุดในขณะก็คือ  การวิจัยศักยภาพการเลี้ยงปลวกเพาะเห็ดโคนในระบบนิเวศของหญ้าแฝกซึ่ง ดร. ณิศ  กีร์ติบุตร  ได้ใช้หญ้าแฝก  2 สายพันธุ์ปลูกล้อมรอบจอมปลวก   โดยปลูกสายพันธุ์สุราษฎร์ธานีไว้ด้านในและสายพันธุ์ราชบุรีอยู่ด้านนอก   ทั้งนี้เพื่อให้หญ้าแฝกสายพันธุ์สุราษฎรธนีเป็นอาหารของปลวก   ส่วนหญ้าแฝกสายพันธุ์ราชบุรี (โดยเฉพาะระบบราก)   เป็นตัวกั้นไม่ให้ปลวกออกจากบริเวณที่ปลูกหญ้าแฝกล้อมรอบ  เมื่อถึงฤดูกาลออกดอกของเห็ดโคน  จะได้เกิดอยู่ภายในแปลงที่ปลูกหญ้าแฝกล้อมรอบไว้



ทวีศักดิ์  ชัยเรืองยศ

เดลินิวส์ พุธที่ 19 มีนาคม  พ.ศ. 2546 แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปี มะเมีย



http://www.ku.ac.th/kaset60/Theme05/the ... 05-06.html
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

เห็ดโคน... ชอบกินไหมครับ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เอ้ย!  อร่อย

   ผมเคยกิน เนื่อมันเหมือนไก่ ลูกค้าเอามาให้  ครั้งเดียวเอง และ ไม่เคยกินอีกเลย

   ไม่รู้มีขายที่ไหร คุณหนึ่งบ้านอยู่ไสครับ  

     อ่านแล้วทึ่งครับ  เจ้าพวกปลวกนี่มหัศจรรย์จริง ๆ  

       Thanks Man!!  :wink:
โพสต์โพสต์