บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 1

โพสต์

มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10655

"ท่านผู้หญิงพูนศุข"สิ้นแล้ว! เขียนสั่งลูก10ข้อ-บริจาคร่าง

 
"ท่านผู้หญิงพูนศุข"ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริรวมอายุ 95 ปี เขียนคำสั่งถึงลูก 10 ข้อ ให้นำศพบริจาค รพ.จุฬาฯ ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีสวดพระอภิธรรม ทำพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ เปิดลงนาม 14 พ.ค. ส่วน มธ.จัดเป็นทางการ 20 พฤษภาคมนี้

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโส นายปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 หัวหน้าคณะเสรีไทย และผู้ประศาสน์การคนแรกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้วอย่างสงบ ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สิริรวมอายุ 95 ปี

ต่อมา เช้าวันเดียวกัน ทายาทตระกูล "พนมยงค์" ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2550 ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 มีอาการทางโรคหัวใจจึงได้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ต่อมา ในค่ำวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันปรีดี พนมยงค์ อาการของท่านผู้หญิงได้ทรุดหนักลงโดยลำดับ กระทั่งได้ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบ เมื่อเวลา 02.00 น. ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริรวมอายุ 95 ปี 4 เดือน 9 วัน

ทั้งนี้ ทายาทของท่านผู้หญิงขอขอบคุณคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ได้พยายามดูแลรักษาจนสุดความสามารถอย่างดียิ่งทุกประการ

ในการจัดพิธีศพท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ทายาทจะปฏิบัติตาม "คำสั่งถึงลูก" ที่ท่านผู้หญิงได้เขียนไว้ด้วยลายมือ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2541 ความว่า

"คำสั่งถึงลูกๆ ทุกคน เมื่อแม่สิ้นชีวิตขอให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
1.นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที เมื่อหมอตรวจว่าหมดลมหายใจแล้ว
2.ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น
3.ประกาศทางวิทยุและลงหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติมิตรทราบ
4.ไม่มีการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ ไม่รบกวนญาติมิตรที่ต้องมาร่วมงาน
5.มีพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยนิมนต์พระที่แม่นับถือแสดงธรรมกถา (เช่นเดียวกับที่จัดให้ปาล) และทำบัตรรับหนังสือที่ระลึก
6.ไม่รบกวนญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรือเงินช่วยทำบุญ
7.เมื่อโรงพยาบาลคืนศพมาก็ทำการฌาปนกิจอย่างเรียบง่าย
8.ให้นำอัฐิและอังคารไปลอยที่ปากน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นสถานที่ๆ แม่เกิด
9.หากมีเงินบ้างก็ขอให้บริจาคเป็นทานแก่มูลนิธิต่างๆ ที่ทำสาธารณกุศล
10.ขอให้ลูกทุกคนปฏิบัติตามที่แม่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องฟังความเห็นผู้หวังดีทั้งหลาย ลูกๆ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของแม่จงมีความสุข ความเจริญ

ลงชื่อ พูนศุข พนมยงค์
เขียนไว้ที่บ้านเลขที่ 172 สาธร 3
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2541 แม่มีอายุครบ 86 ปี 9 เดือน

ด้านนายรุจน์ พนมยงค์ หลานชายท่านผู้หญิงพูนศุขให้สัมภาษณ์ว่า ท่านผู้หญิงพูนศุขสิ้นใจเมื่อเวลา 02.15 น. ซึ่งตนอยู่กับท่านตลอดเวลานั้น เป็นการจากไปอย่างสงบ ก่อนหน้านี้ท่านผู้หญิงไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไร และสุขภาพแข็งแรงดีทุกอย่าง

"ก่อนที่ท่านจะสิ้น ตอนนั้นพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ท่านผู้หญิงรู้สึกเหมือนมีแก๊สตีขึ้นมาที่หน้าอก จึงพาไปหาหมอ แต่หมอก็ตรวจไม่พบอะไรผิดปกติ เมื่อกลับมาบ้าน ต่อมาท่านก็รู้สึกเกร็งที่คอเห็นว่าท่าทางไม่ค่อยดี เลยส่งกลับไปที่โรงพยาบาลอีกรอบเพื่อตรวจอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นเส้นเลือดตีบในหัวใจ และอาการเกิดขึ้นเพียง 3-4 วันที่ผ่านมาเท่านั้น ท่านก็จากไป ไม่คิดว่าท่านจะไปไวขนาดนี้"

นายรุจน์กล่าวว่า ปกติแล้วท่านผู้หญิงพูนศุขจะมีสุขภาพแข็งแรง และความจำยังดีมาก แม้ว่าอายุจะ 95 ปีแล้วก็ตาม ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นไปตามปกติ คือเมื่อตื่นนอนตอนเช้าจะเดินรอบบริเวณบ้านเป็นการออกกำลังกาย จากนั้นนั่งพักอ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าว รับประทานอาหารแล้วพักผ่อน

โดยปกติแล้วมักจะมีผู้คนรู้จัก ลูกศิษย์ลูกหานายปรีดีมาเยี่ยมท่านผู้หญิงตลอดเวลา สองวันก่อนจะสิ้นใจท่านผู้หญิงพูนศุขเพิ่งเดินทางไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากเป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งทางตระกูลพนมยงค์จะยกครอบครัวไปทำบุญบังสุกุลให้ทุกปี

"สำหรับเรื่องที่ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ทำพินัยกรรมอุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาลจุฬาฯ นั้น เป็นความปรารถนาของท่าน ท่านจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านสิ้นทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการของทางโรงพยาบาล ลูกหลานต้องปฏิบัติตาม พินัยกรรมที่ท่านกำหนดไว้"

นายรุจน์กล่าวอีกว่า ส่วนอัฐิของท่านผู้หญิงจะนำไปลอยอังคารที่ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ท่านเกิดตามที่ท่านสั่งเสียไว้ และจะมีการจัดพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) โดยจัดสมุดให้คนไปลงนามไว้อาลัยเท่านั้น สำหรับหนังสือที่ระลึกลูกหลานจะประชุมกันก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร

นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า จากผลการชันสูตรพบว่า ท่านผู้หญิงพูนศุขเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคไต ก่อนหน้านี้ท่านผู้หญิงได้เซ็นหนังสือมอบร่างกายให้กับทางโรงพยาบาล ซึ่งญาติได้เซ็นเอกสารส่งมอบร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปทางโรงพยาบาลจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยนำศพลงบ่อดอง เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ทำการศึกษาต่อไป โดยส่วนมากจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี ก่อนจะนำร่างมาทำการศึกษา

"นับเป็นมหากุศล และเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่ในการบริจาคร่างกายในครั้งนี้ของท่านผู้หญิง ซึ่งบุตรของท่านผู้หญิงก็ได้บริจาคร่างกายให้กับทางโรงพยาบาลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเช่นกัน ทางโรงพยาบาลสำนึกในบุญกุศลของท่านอย่างยิ่ง" นพ.ภิรมย์กล่าว

ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตร รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกเสียใจกับการจากไปของท่านผู้หญิงในครั้งนี้ เพราะท่านผู้หญิงเป็นภริยาที่อยู่เคียงข้างนายปรีดีมาตลอด ไม่ว่าทุกข์หรือสุข

"ผมทราบเรื่องท่านป่วย ตอนบ่ายวันที่ 10 พฤษภาคม เพราะเดิมมีนัดสัมภาษณ์ท่านที่ลานปรีดี มธ. เพื่อถ่ายทำคำให้โอวาทแก่นักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ในวันที่ 19 พฤษภาคม โดยทาง มธ.ทำแบบนี้มาสองปีแล้ว แต่มาทราบว่าท่านเข้าโรงพยาบาล เลยต้องยกเลิกการสัมภาษณ์ไป ได้แต่หวังว่าท่านจะหายดีโดยเร็ว ต่อมาพอตอนดึกทราบว่าอากาารท่านทรุดหนัก จึงเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อประสานงานกับทายาท ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ปรากฏว่าท่านจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว โดยอุทิศร่างกายให้กับโรงพยาบาล"

นายปริญญากล่าวว่า เสียใจอย่างยิ่งที่ต่อไปนี้ท่านผู้หญิงพูนศุขไม่สามารถให้โอวาทแก่นักศึกษาใหม่ได้ด้วยตัวของท่านเองอีกต่อไป สำหรับโอวาทของท่านหญิงพูนศุขตนจำได้ขึ้นใจ ท่านผู้หญิงขอให้นักศึกษาธรรมศาสตร์จงดูนายปรีดีเป็นตัวอย่าง ที่ทำงานอุทิศตัวให้กับบ้านเมืองมาตลอดชีวิต แต่ไม่เคยคิดจะหาประโยชน์ให้กับตัวเอง

"ถึงแม้ท่านจะจากไป แต่โอวาทที่ท่านให้ไว้จะเป็นสิ่งที่ผมจะนำไปบอกแก่นักศึกษาใหม่ในวันปฐมนิเทศของมหาวิทยาลัยไปตลอด" นายปริญญากล่าว

สำหรับการจัดพิธีไว้อาลัยท่านผู้หญิงพูนศุข ทางทายาทตระกูลพนมยงค์จะเริ่มเปิดให้ลงนามไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ในวันที่ 14 พฤษภาคมเป็นต้นไป แต่จะมีพิธีอย่างเป็นทางการโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2550
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ปิดฉากชีวิต...ผู้เสียสละ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์


ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เกิดในสมัยรัชกาลที่ 6 ในตระกูล ณ ป้อมเพชร์ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนาง บิดาคือ พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ คนแรกของประเทศไทย

วัยเด็กเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ อายุไม่ถึง 17 ปี ท่านผู้หญิงก็สมรสกับนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งอายุห่างกันถึง 11 ปี ตอนนั้น นายปรีดีเป็นดอกเตอร์นักกฎหมายชื่อดังกลับจากเมืองนอก

ใน 4 ปีต่อมานายปรีดีได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในฐานะหนึ่งในผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และได้เป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ เมื่ออายุได้ 22 ปี ท่านผู้หญิงพูนศุขต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เนื่องจากนายปรีดีประสบปัญหาทางการเมือง ภายหลังการเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจที่ถูกกล่าวหาว่า เป็นแนวสังคมนิยม

หลังเหตุการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ท่านได้เดินทางกลับประเทศไทยและทำหน้าที่ติดตามสามี นายปรีดีไปทุกหนทุกแห่ง ในฐานะภริยารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง

เมื่ออายุเพียง 28 ปี ท่านก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ท่านผู้หญิง"

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารสารคดีเมื่อปี 2539 ถึงเรื่องราวและเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองต่างๆ ในชีวิตท่าน ตั้งแต่เมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านผู้หญิงพูนศุข ในฐานะภริยาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้เข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทย ทำงานใต้ดิน ส่งข่าวออกนอกประเทศให้แก่สัมพันธมิตร

และหลังจากนายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน ก็ถูกนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม กล่าวหาว่า มีส่วนพัวพันกับกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในที่สุดทหารกลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ขับรถถังมาจ่อหน้าทำเนียบท่าช้าง และสาดกระสุนเข้าไปในบ้านที่ท่านผู้หญิงและลูกๆ พำนักอยู่ เหตุการณ์นั้น ทำให้นายปรีดีต้องหนีตายไปอยู่ต่างประเทศ

ต้นปี 2495 เมื่ออายุได้ 40 ปี ท่านผู้หญิงและลูกชายถูกอำนาจเผด็จการสั่งจับกุมคุมขัง ในข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร จนท่านผู้หญิงไม่อาจทนอยู่เมืองไทยได้ ตัดสินใจติดตามไปอยู่กับนายปรีดีที่ประเทศจีน และฝรั่งเศสเป็นเวลากว่า 30 ปี จนกระทั่ง สามีอันเป็นที่รักได้จากไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2526

นายปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนจดหมายถึงท่านผู้หญิงพูนศุข เนื่องในโอกาสครบ 40 ปีแห่งการสมรส ว่า

"ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น น้องได้ปฏิบัติเปนภรรยาที่ดียิ่ง พร้อมด้วยความอุททิศตน เสียสละทุกอย่างเพื่อพี่ และเพื่อราษฎรไทย แม้ว่าขณะนี้น้องได้รับความลำบาก เนื่องจากความอยุติธรรมของศัตรูที่ปองร้าย แต่วันใดวันหนึ่งในภายหน้า คุณความดีของน้องก็จะต้องปรากฏขึ้นแก่มวลราษฎรไทย..."
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์

บทนำมติชน




ทุกชีวิตเกิดมาไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่วันหนึ่งวันใดก็ต้องล่วงลับดับสูญกลายเป็นผงธุลีเหมือนกันทุกคน แม้จะรับรู้ว่า นี่คือสัจธรรมที่เที่ยงแท้แน่นอนที่สุด ไม่มีใครหลีกหนีพ้นความตายไปได้ สุดแท้แต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่สำหรับการถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเมื่อเวลา 02.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม 2550 ก็ไม่อาจห้ามความเศร้าโศกเสียใจมิให้เกิดกับญาติพี่น้องและผู้ที่ให้ความรัก ความเคารพต่อท่านผู้หญิงพูนศุข

ด้วยวัย 95 ปี 4 เดือน 9 วันที่ท่านผู้หญิงพูนศุขมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เป็นห้วงเวลาที่พิสูจน์คุณค่าของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่เกิดมาไม่เสียเปล่า หากแต่ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติไว้มากมายสุดจะพรรณนาได้ครบถ้วน โดยเฉพาะการเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย หากหญิงผู้นี้ไม่มีคุณสมบัติที่เป็นเลิศของการเป็นภรรยาและมารดาของบุตร 5 คน ไฉนเลยนายปรีดีจะมีกำลังกายและกำลังใจในการอุทิศตนเพื่อสร้างชาติให้จำเริญก้าวหน้าขณะเดียวกันก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ปรารถนาดีและมุ่งใส่ร้าย ทำลายล้างอยู่ตลอดเวลาแทบทุกลมหายใจ

ท่านผู้หญิงพูนศุขคงไม่คิดว่า การได้แต่งงานกับหนุ่มนักกฎหมายที่ชื่อนายปรีดีในปี 2471 นั้นใน 4 ปีต่อมา นายปรีดีจะปกปิดเป็นความลับในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การปกครองของสยามประเทศและชีวิตของเธอนับจากนั้นมาจะต้องผันผวนอย่างใหญ่หลวงต่อตัวเอง สามีและบุตรชนิดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย แต่โลกก็ต้องบันทึกไว้อย่างภาคภูมิใจว่า ในยามที่ยากลำบากที่สุด จิตใจของท่านผู้หญิงพูนศุขเข้มแข็งดุจเหล็กเพชร

เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่ควรบันทึกไว้ด้วยความชื่นชมก็คือ ในช่วงระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2484-2488 ท่านผู้หญิงพูนศุข ภรรยาของนายปรีดีซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้เข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทย ทำงานใต้ดินส่งข่าวออกนอกประเทศให้แก่สัมพันธมิตร ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไม่มีใครรับประกันได้ว่าหากเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม นั่นหมายถึงความตายจะคืบคลานเข้ามาอย่างมิปฏิเสธได้

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด นายปรีดีได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อมาได้เกิดรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 และ ต้นปี พ.ศ.2495 เมื่ออายุได้ 40 ปี ท่านผู้หญิงพูนศุขและบุตรชายถูกอำนาจเผด็จการสั่งจับกุมคุมขังในข้อหากบฏภายในและนอกราชอาณาจักร นอกจากจะเอาคุกตะรางมาคุมขังผู้หญิงคนหนึ่งและบุตรอันเป็นที่รักยิ่งให้ไร้อิสรภาพ ต่อมาเมื่อได้รับการปลดปล่อย ด้วยความคับแค้นใจจึงตัดสินใจติดตามไปอยู่กับนายปรีดีที่ประเทศจีนและฝรั่งเศสเป็นเวลา 30 กว่าปี กระทั่งนายปรีดีถึงแก่อสัญกรรมในต่างแดนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2526

นายปรีดี เคยเขียนจดหมายถึงท่านผู้หญิงพูนศุข เนื่องในโอกาสครบ 40 ปี แห่งการสมรสว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น น้องได้ปฏิบัติเป็นภรรยาที่ดียิ่ง พร้อมด้วยความอุทิศตน เสียสละทุกอย่างเพื่อพี่และเพื่อราษฎรไทย แม้ว่าขณะนี้ น้องได้รับความลำบาก เนื่องจากความอยุติธรรมของศัตรูที่ปองร้าย แต่วันใดวันหนึ่งในภายหน้า คุณความดีของน้องก็จะต้องปรากฏขึ้นแก่มวลราษฎร..."

มิใช่แค่ความรู้สึกของนายปรีดีเท่านั้นที่ภูมิใจกับคู่ทุกข์คู่ยากคนนี้ บรรดาบุตร ญาติพี่น้องก็คงภูมิใจ และที่สำคัญคุณความดีของท่านผู้หญิงพูนศุขได้เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้มีใจรักความเป็นธรรมทั้งมวลนานแล้วว่า ท่านผู้หญิงพูนศุข เป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทยและประชาชนชาวไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่มีใครจะมาบิดเบือนหรือเสกสรรปั้นแต่งให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไปได้

การถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นแค่การจากไปก็เพียงร่างกายเท่านั้น หากแต่คุณงามความดีที่สร้างสมไว้จะดำรงคงอยู่คู่แผ่นดินให้คนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นหลังได้จดจำและอาลัยไปตราบชั่วนิรันดร์ หนทางพิสูจน์ม้าฉันใด กาลเวลาได้พิสูจน์ผู้หญิงคนหนึ่งนามว่า "ท่านผู้หญิงพูนศุข" คือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ที่เคียงคู่อย่างมั่นคงและยืนหยัดเคียงข้างนายปรีดีและประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่จะได้รับการสรรเสริญอย่างมิรู้ลืม
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 4

โพสต์

รูปภาพ[รูปภาพ

รูปภาพ

อ่าน"ช่ ว ง ห นึ่ ง แ ห่ ง ชี วิ ต ท่ า น ผู้ ห ญิ ง พู นศุ ข    พ น ม ย ง ค์"
นิตยสาร สารคดี
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : สัมภาษณ์


http://www.sarakadee.com/feature/2000/04/poonsook.htm
ภาพประจำตัวสมาชิก
Akajon
Verified User
โพสต์: 530
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 5

โพสต์

RIP
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ขอไว้อาลัย ด้วยคนครับ
triathlon
Verified User
โพสต์: 551
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ขอบคุณคุณ BSK มากๆคะที่กรุณาโพส
บ้านเมืองได้เสีย "ผู้ใหญ่ที่ไม่กะล่อน" ไปอีกหนึ่งท่าน :cry:
just one life, use it!
adi
Verified User
โพสต์: 1155
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ขอแสดงความไว้อาลัยอย่างสุดซึ้ง

ถือว่าเป็นเกียรติของผมอย่างหาที่เปรียบมิได้ ที่ท่านผู้หญิงเคยให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีหมั้นของผม

ขอให้ท่านผู้หญิงจงไปสู่สุขคติ rip
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 9

โพสต์

บางส่วนของผู้ที่มีโอกาสใกล้ชิดท่านผู้หญิงพูนศุข...
20ปีก่อน ... พวกเรายังเป็นนศ.มธ..จึงเป็นชาวธรรมศาสตร์ที่ได้จัดงานต้อนรับการกลับบ้านของอจ.ใหญ่ หลังจากท่านเหลือแต่สรีระตามธรรมชาติ พวกเราคนหนึ่งถามว่าจะให้พวกเราเรียกท่านผู้หญิงว่าอย่างไร ท่านบอกให้เรียกคุณยาย...ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดี ไม่ถือตัว บุกคลิกน่าเกรงคาม น่าเคารพมาก วันที่ไปลอยอัฐิอจ.พวกเราไปกันหลายคน จากวันนั้นเราก็ไม่ค่อยได้เจอคุณยายอีก...เว้นแต่เวลาธรรมศาสตร์มีงานและคุณยายมาร่วม เราจึงจะมีโอกาสพบและกราบคุณยาย..... ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ต้องมี ทุกอย่างเดินตามหลักอนิจจังตามที่ท่านอจ.พร่ำสอนพวกเรา...แต่ก็ยังอาลัยคุณยายผู้ใจดี..ของพวกเราชาว ธรรมศาสตร์.....อาลัย...ผู้ใหญ่ คนสุดท้ายของพวกเราชาวธรรมศาสตร์....อาลัยคุณยายผู้ใจดี....
ชาวมธ.
ขอแสดงความไว้อาลัยต่อการอนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ด้วยค่ะ

ได้เคยอ่านหนังสือธรมบรรณาการชื่อ "ธรรมะท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์" ที่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ที่ได้รวบรวมจัดพิมพ์เป็นเล่มเพื่อเป็นหนังสือธรรมบรรณาการของขวัญปีใหม่ 2007 ประทับใจข้อความตอนหนึ่งที่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ได้กล่าวถึงท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2529 ที่ว่า "เศษเถ้าธุลีสีขาวขุ่นกับมวลดอกไม้สีสด กำลังจะกลืนสลายไปกับผืนน้ำสีครามเบื้องล่าง และผสมผสานกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ส่วนต่าง ๆ ที่เคยประกอบกันเป็นชีวิตเป็นจิตใจของนายปรีดี สุดท้ายก็เหลือเพียงเท่านี้"

ทำให้เห็นว่าท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เข้าใจสัจจะของโลกได้อย่างแจ่มชัด
รุ่งทิพ
เป็นท่านผู้หญิงคนเดียวที่น่านับถือด้วยความจริงใจ
แม้ไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นญาติ แต่ก็เสียใจกับการจากไปด้วย
ความจริงใจ เหมือนกับเป็นญาติตัวเองเลย
เราเสียคนดีศรีสังคมไปอีกแล้ว
แต่ความดีของท่านอยู่ในใจเราต่อไป
ลูกแม่โดม 31
ขอบคุณทุกอย่างในธรรมศาสตร์ที่ช่วยหล่อหลอม ให้ลูกแม่โดมทุกคนรู้จัก รักประชาชน ซึ่งทำหมดนี้ ขอสดุดี ในการริเริ่ม และ การประสาทการณ์ของ ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ อย่างสุดซึ้ง ซึ่งหนึ่งในกำลังสำคัญนั้น ปราฎนามของ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เคียงข้างเสมอมา เธอผู้ไม่เคยหลงลืม ธรรมศาสตร์และการเมือง ด้วยความรักและห่วงใย

ขอสัญญาว่า... จะไม่ละทิ้ง กระบวนการทางความคิด ตลอดจน ทุกรายละเอียดที่ช่วยหล่อหลอมลูกแม่โดมทุกผู้ทุกนามให้รู้จักการมีชีวิต(ตามบทบาทของตน) และอยู่เพื่อสังคมส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ล้วนมีที่มาจากแบบอย่างของบุคคลทั้ง 2 ท่านนี้ ซึ่งแม้วันนี้จะสิ้นลมหายใจ หากแต่คุณความดีนั้นไซร้... จักอยู่คู่แผ่นดิน ตลอดไป
จากใจศิษย์เก่าวารสารศาสตร์ฯ ลูกแม่โดม รุ่น 65 อีกสักคน


ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของท่านผู้หญิง
วันสุขุม หรือวันวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ท่านเจ้าพระยายมราช ณ โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านจะไปร่วมด้วยทุกปีหากไม่ติดภารกิจใดๆ

และที่ผ่านมาเมื่อ 20 มกราคม 2550 ท่านก็ยังเดินทางไปร่วมทำบุญพร้อมกับเครือญาติ ณ ที่แห่งนั้นด้วย

เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน
แต่คุณความดีของท่าน จะเป็นสิ่งที่คนรุ่นหลังร่วมรำลึกถึงท่านและท่านรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ อยู่เสมอ
NIckyNick


.....พ่อสร้างชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ
..........อาลัยท่านผู้หญิง...และทำให้นึกถึงเพื่อน เวลาพูดถึงอจ..หลายคนจะยกบทกลอนข้างต้น...ทราบว่ามีผู้ส่งไปให้อจ.ที่ปารีส ท่านอ่านจบน้ำตาซึม เพื่อนนิรนามของผมที่เขียนบทกลอนนี้...ไม่เคยเปิดเผยตัวเอง...พวกเราเป็นชาวธรรมศาสตร์ที่เรียนในช่วงที่สรีระอจ เดินทางกลับสยามประเทศ....แต่เมื่อสองปีที่แล้ว ผมมีโอกาศเดินทางไปทำบุญให้เพื่อนผู้เขียนบทกวีนี้ที่บุรีรัมย์..เพราะตอนหลังเขากลายเป็นเขยบุรีรัมย์...เขาชื่อ "เธียร"..เขาเรียนนิติ มธ. ตอนเรียนเขาสนใจและฝึกงานที่สหกรณ์ จึงได้ใช้ประสบการณ์นี้ไปช่วยทำห้างพ่อตาที่บุรีรัมย์จนกลายเป็นห้างยักษ์ใหญ่ในบุรีรัมย์ แต่2ปีที่แล้ว เจ้าของบทกวีนี้จบชีวิตแล้วเช่นกัน.......

อาลัยคุณยาย และ นึกถึงเพื่อน
...ทุ่มชีวิต ทั้งชีวิต ให้กับชาติ
ภาณุมาศ แจ่มจรัส รัศมี
ท่านพูนสุข ภรรยา ท่านปรีดี
ทั้งชาตินี้ ชาติไหนไหน ไม่ขอเลือน
....เสียสละ ทุกอย่าง ทางชีวิต
จะลิขิต อย่างไรหา ใครจะเหมือน
สุดหม่นหมอง ต้องพลัดพราก จากบ้านเมือง
ใครกุเรือง ท่านปรีดี พนมยงค์
....ฉันมันคน รุ่นก่อน ตอนแรกแรก
คิดจำแนก แยกชั่วดี มิไหลหลง
เพื่อประเทศ บ้านเมือง สงบลง
ยอมปลดปลง นอกเขตไทย ในต่างแดน
....ดวงวิญญาณ ท่านทั้งสอง ต้องได้พบ
โลกสงบ กว่าโลกนี้ ดีสุดแสน
คนดีดี อยู่ที่ไหน เมืองไทยแลนด์
แต่เนืองแน่น ด้วยคนชั่ว มั่วเงินตรา
ขอให้ดวง วิญญาณ ท่านพูนสุข
จงไร้ทุกข์ ใดใด ในภพหน้า
คิดถึงท่าน ทั้งสอง นองน้ำตา
สองตาพร่า แสนหม่นหมอง ยามมองโดม...

ทั้งสอง นองน้ำตา

โดม แดนดินถิ่นวิมาน
ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ผมได้พบท่านหลายครั้งทุกครั้งที่มีงานสำคัญในธรรมศาสตร์ แม้ไม่เคยได้พูดคุย แต่ก็แอบชื่นชมท่านห่างๆเสมอมา ในฐานะคนรุ่นหลังที่เคารพในตัวตนและเจตารมย์ของท่านอาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิง รวมถึงครอบครัว ที่ได้ฝ่าฟันปัญหาร่วมกันมาเพื่อหวังในสังคมไทยที่ดีขึ้น
ผมเสียใจอย่างยิ่งที่ท่านด่วนจากไป (แม้จะเข้าใจว่าท่านก็อายุได้ 95 ปีแล้ว) แต่ด้วยที่ผมเห็นท่านยังแข็งแรงตลอดทุกครั้ง จึงอดใจหายไม่ได้กับการจากไปด้วยความเรียบง่าย (เช่นที่ท่านและครอบครัวใช้ชีวิตมาโดยตลอด) ผมยอมรับว่ารู้สึกใจหายอย่างยิ่ง เพราะท่นผู้หญิงเปรียบเสมือนตัวแทนที่เชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยในอดีต ในสมัยท่านอาจารย์ปรีดี และประเทศไทยในโลกของเด็กยุคใหม่อย่างผม แต่ผมก็จะพยายามเผยแพร่ในสิ่งดีๆ และเจตนารมย์ของท่านและท่านอาจารย์ปรีดีให้เพื่อนๆที่อาจไม่ค่อยได้รับรู้หรือสนใจ รวมถึงรุ่นน้องๆเพื่อร่วมกันสืบสานเจตนารมย์ดังกล่าวต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
ลูกแม่โดม และลูกพ่อปรีดี รุ่น 72 gear 15
ลูกแม่โดม รุ่น 72 gear 15
นับตั้งแต่ได้รู้จักกับท่านผู้หญิงมาเมื่อยี่สิบปีก่อน ผมมีความคิดว่าท่านไม่ได้เป็นแค่สตรีสูงอายุธรรมดา ท่านมีความพิเศษตรงที่ท่านมี"ปัญญา" ท่านเป็นมากกว่าแค่"ภรรยาของท่านปรีดี" ด้วยเหตุนี้ท่านจึงยังเป็นที่นับถือของพวกเราอยู่ และเรานับถือได้อย่างสนิทใจเมื่อได้สัมผัส
การถึงแก่กรรมของท่านและคำสั่งทั้ง 10 ข้อที่ปรากฎนั้นไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ไม่เคยมีใครสั่งให้งดการสวด ไม่เคยมีใครสั่งให้งดพวงหรีด ถ้าคิดดูตามความจริงเราจะพบว่าการสวดนั้นเรียกร้องความสนใจของคนที่มางานศพไม่ได้ เรานั่งคุยกันหัวร่อต่อกระซิกกลางงานศพ เราไม่เข้าใจเนื้อความในบทสวด ส่วนพวงหรีดนั้นก็ราคาแพงและไร้ประโยชน์ แต่ละพวงนั้นต่างจารึกชื่อของคนซื้อพวงหรีดเพื่อแสดงให้เห็นว่า"ฉันเป็นคนจ่ายเงิน" แต่ละชิ้นก็ราคาสูงถึงนับพันบาท เป็นการละลายแม่น้ำแท้ๆ นอกจากเรื่องนี้แล้วยังเป็นเรื่องของการอุทิศตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แม้ท่านเสียชีวิตไปแล้วท่านผู้หญิงก็ยังเป็นประโยชน์ ท่านได้เป็น"อาจารย์ใหญ่"ตามที่หวังเอาไว้
จากคำสั่งทั้ง 10 ข้อที่ปรากฎ ผมอยากกล่าวว่าท่านผู้หญิงพูนศุขไม่ใช่แค่สตรีสูงอายุที่รอวันสิ้นอายุขัยเท่านั้น ในวัย 90 กว่าปีของท่านนั้นท่านไม่เคยเลอะเลือน แม้ร่างกายจะเสื่อมโทรมแต่ความคิดท่านยังเฉียบแหลม คิดได้ในเรื่องที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ท่านตระหนักถึงความจริงที่ว่า"ความดีนั้นอยู่ยั้งยืนนาน" การกระทำความดีระหว่างมีชีวิตอยู่นั้นคือสิ่งเดียวที่มีค่า "ความดี"และ"ความจริง"ไม่ต้องการการป่าวประกาศ ไม่จำเป็นต้องรับเกียรติจากใครๆเพราะมันปรากฎอยู่แล้ว คนไทยที่มีหัวใจเป็นธรรมทุกคนรับทราบถึงความดีของท่านผู้หญิง คนที่รู้จักสมาชิกในตระกูลพนมยงค์ต่างเข้าใจดีว่าอะไรเป็นอะไร แม้จะมีผู้พยายามบิดเบือน แต่พวกเราที่ได้สัมผัสต่างไม่เอนเอียงคล้อยตามการบิดเบือนนั้น
ขอให้วิญญาณของท่านผู้หญิงจงสถิตย์อยู่ในสรวงสวรรค์ ชาวไทยเราโชคร้ายจริงๆที่ไม่มีใครสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ชาติตัวเองอย่างจริงจัง เราโชคร้ายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักคิด รู้จักแต่เชื่อตามและทำตาม เราโชคร้ายที่คงหาคนอย่างท่านปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุขไม่ได้อีกแล้ว

สรศักดิ์ สุบงกช
บ้านตึกแถวเล็กๆ โทรมๆในซอยพิกุล (สาทร 9) เคยได้ต้อนรับท่านผู้หญิงพูนสุข ฮ.ดุษฏี และน้องสาวของท่านผู้หญิง (อ. นวลจันทร์ ณ. ป้อมเพชร) เป็นลูกค้าทําผมอยู่ประจํา เป็นความโชคดีของครอบครัวผมโดยเฉพาะคุณแม่ที่มีโอกาสได้เป็นช่างทําผมของท่าน ไม่น่าเชื่อครับว่าร้านเล็กๆโทรมๆที่มีแต่อุปกรณ์ทําผมแบบโบราณเก่าๆ เคยได้รับเกียรติจากครอบครัวพนมยงค์และณ.ป้อมเพชร ทุกครั้งที่ท่านผู้หญิงพูนสุขมาที่ร้าน จะมีรถโตโยต้า ค้นเล็กๆมาส่ง ท่านนั่งรอเหมือนแขกทั่วๆไป พูดคุยทักทายกับทุกๆคนในร้านอย่างไม่ถือตัว ถ้าวันไหนที่ท่านต้องดัดผมซึ่งจะใช้เวลานาน ท่านจะขอใช้ถ้วยชามที่บ้านรับประทานอาหารกลางวันที่หาซื้อได้แถวๆนั้น ที่บ้านได้รับใช้ท่านผู้หญิงจนถึงประมาณปี 2537

ท่านผู้หญิงพูนสุข เป็นแบบอย่างที่ดีของคนที่ดําเนินชีวิตแบบเรียบง่าย สมถะ ท่านไม่ยึดติดกับชื่อเสียงเกียรติยศ คุณงามความดีของท่านที่ได้อุทิศให้กับประเทศไทยจะทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้รําลึกถึง และขอให้ดวงวิญญานของท่านได้ไปสู่สุขคติภพด้วยเทอญ

ขอน้อมคารวะด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงครับ

ลูกช่างทําผม
จำได้ว่าเมื่อสิบปีที่แล้วได้เข้าไปเรียนธรรมศาสตร์ นอกจากชื่อของอาจารย์ปรีดีจะมีความสำคัญสำหรับชาวธรรมศาสตร์แล้ว วันที่11 พฤษภาคมของทุกปียังเห็นท่านผู้หญิงพูนศุขมาร่วมงานไม่ขาด จนเรียนจบมาก็ยังเห็นท่านไปร่วมงานทุกปี ต่อจากนี้ก็จะไม่มีท่านผู้หญิงไปร่วมเป็นเกียรติกับงานอีกต่อไป เหมือนผู้ใหญ่ใจดีที่มีความสำคัญต่อชาวธรรมศาสตร์จากไปอีกท่าน
ขอไว้อาลัยและขอให้ท่านไปสู่สุคติครับ
400561xxxx
ขอร่วมแสดงความอาลัยแก่ครอบครัวคูณป้าด้วยครับ สิ่งที่คุณป้าทำมา ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ใด ๆ แม้กระทั้งชิวิตดับสูญ คุณป้าก็ไม่ต้องการให้ลูก ๆ หลาน ๆ ลำบาก ถึงตัวจะอยู่ไกล แต่ไม่เคยลืมคุณป้าเลย

ลูกหลานตระกูล ณ ป้อมเพชร, ศิริบุญชู, ศรีหงส์
[email protected]
วันนี้ที่นี่ฝนตก ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศข้างนอกเหน็บหนาวแต่ก็ไม่เท่ากับความมืดครึ้มและความหนาวในใจเมื่อทราบข่าวนี้ ส่งความอาลัยอย่างสุดซึ้งมาจากเมืองไกลต่อการจากไปของคนดีของสังคม ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำเพื่อประเทศไทย

ลูกพ่อปรีดีในเยอรมนี
ผมตกใจมากที่ได้ทราบข่าว นี้ ได้โทรไปบอกคุณแม่ ทันทีที่ทราบข่าวจาก SMS คุณแม่ ก็ ตกใจมาก เพราะรถของคุณแม่เพิ่งขับผ่าน ถนน สาธร ซึ่งบ้านของท่านผู้หญิง ตั้งอยู่ใน ปากซอยสวนพลู แล้วนึกถึง ท่านผู้หญิง พอดี ไม่นึกไม่ถึงว่าท่านจะจากพวกเราไปแล้ว

ผมได้มีโอกาส ได้กราบ ท่านผู้หญิง ครั้งสุดท้าย เมื่อ ปลายปี49นี้เอง ขณะนั้นท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง มี ความจำดีเป็นเลิศ อย่างที่ว่าพวกเรา ยังทึ่งว่า ท่านมีความจำดี กว่า เด็กๆ อย่างเราเสียอีก

ท่านผู้หญิง พูนศุข ซึ่งมี ศักดิ์ เป็น ญาติผู้ใหญ่ของผม (ท่านปรีดี เป็น ลูกพี่,ลูกน้องของคุณ ทวด - คุณพ่อ ของคุณยายของผม สายตระกูลทางอยุธยา) ได้มาเป็นประธานในพิธีแต่งงานของน้องสาวผม ที่บ้าน บางขุนนนท์ ผมและครอบครัวได้มีโอกาสกราบท่านใกล้ๆ และผมคิดว่าอยากให้ คุณแม่พาไปกราบท่านที่ บ้านของท่าน จะได้ขอให้ ท่านเล่าเรื่องราวความทรงจำของท่านให้พวกเราฟังบ้าง เพราะท่านเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย ..... แต่ตอนนี้ ผมหมดโอกาสนั้นแล้ว

ท่านเป็น ผู้ใหญ่ ที่เป็น บูชนียบุคคล จริงๆ (บุคคลที่เรากราบไหว้แล้ว เรามีความสุข มีความภูมิใจที่ได้กราบ) บุคลิก ของท่านเป็นผู้ใหญ่ ที่มีความสง่างาม ใบหน้าที่มีเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม และความเมตตา

ชีวิต ของท่าน และ ท่าน ปรีดี ผ่านอะไร ๆ มา ทั้ง ทุกข์ และ สุข ท่านผ่าน ช่วงเหตุการณ์ต่างๆ ของประเทศเรา ทั้งดี และ ร้าย มาหลายๆ ครั้ง และท่าน คือ คู่ทุกข์ คู่ยาก ของ ท่าน ปรีดี บุคคลที่ เป็น รัฐบุรุษ ที่แท้จริงของเมืองไทย

ท่านผู้หญิง ที่เป็นผู้ช่วยอยู่ข้างกายของ ท่าน ปรีดี อยู่เสมอ และได้ สร้างคุณ ความดี ไว้ให้ประเทศไทย นานับประการ โดยเฉพาะ ท่านปรีดี ได้วางรากฐานประชาธิปไตย ให้กับเรา (ซึ่งในที่สุด ก็โดนฉีกทิ้ง โดยการรัฐประหาร) ท่าน และ ท่านผู้หญิง เป็นเสรีไทยในสมัยสงครามโลก ครั้งที่สอง ท่านทั้งสองมีบทบาทในการช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตร อย่างลับๆ และส่งผลให้ประเทศของเราหลุดพ้นจากการเป็นประเทศที่แพ้สงคราม ไปพร้อมกับญี่ปุ่น

ท่าน ทั้งสองได้จากเราไปแล้ว แต่ คุณงามความดี ของท่าน จะ สถิตอยู่ในใจ เรา และ ประเทศของเรา ตลอดไป

ผมและครอบครัวขอตั้งจิตอฐิษฐาน ขอให้ดวงวิญญาณ ของท่านผู้หญิง พูนศุข จงไปสู่สุขคติภพ สถิตอยู่คู่กับ ดวงวิญญาณ ของท่าน ปรีดี ตลอดกาล เทอญฯ

หลาน-เหลน-โหลน สายคุณหญิง อารี จุลละทรัพย์ (ปิ่นแสง) ขอกราบคารวะดวงวิญญาณ ของท่านผู้หญิง พูนศุข ด้วยความเคารพ
เทียมทนงค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 10

โพสต์

กำหนดการพิธีไว้อาลัย ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
     
      วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2550 เวลา 14.00 น. ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 (ซอยทองหล่อ) เขตวัฒนา กทม.
     
      14.00 น. ลงทะเบียน เขียนคำไว้อาลัย
      14.30 น. เข้าห้องประชุม
     
      พิธีไว้อาลัย
      - ฉายวิดีทัศน์ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
      - แสดงธรรมกถา โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
      - บทกวี โดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
      - ประธานสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวคำไว้อาลัย
      - อธิการบดี หรือตัวแทนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวคำไว้อาลัย
      - ประธานชมรม ต.ม.ธ.ก.สัมพันธ์ กล่าวคำไว้อาลัย
      - ทายาทกล่าวขอบคุณ
      - บทเพลง แม่จ๋า คนดีมีค่า โดย คณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู
     
      หมายเหตุ - โปรดเดินทางด้วยรถสาธารณะ (รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ) สถาบันปรีดี พนมยงค์ ไม่มีที่จอดรถ รถประจำทางสาย 2, 25, 40, 48, 38, 92, ปอ.501, ปอ. 511

      สำหรับบรรยากาศที่สถาบันปรีดี พนมยงค์วันนี้(14 พ.ค.) ได้จัดพิธีลงนามไว้อาลัยการอนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 โดยมีการนำภาพท่านผู้หญิงพูนศุข และเทปบันทึกการสัมภาษณ์ผ่านสื่อ มาเปิดในพิธีไว้อาลัยในวันนี้ด้วย พร้อมแจกเอกสารที่ท่านผู้หญิงเขียนสั่งลูกไว้ ให้ปฏิบัติอย่างเรียบง่ายไม่ต้องมีพิธีสวดอภิธรรมศพ

      นางวาณี สายประดิษฐ์ พนมยงค์ บุตรีท่านผู้หญิงพูนศุข กล่าวว่า พิธีไว้อาลัยเป็นไปด้วยความเรียบง่ายตามที่แม่สั่งไว้ ซึ่งแม่ให้ข้อคิดว่า พิธีกรรมต่าง ๆ ไม่ได้มีผลต่อผู้เสียชีวิต แต่ความดีที่ทำมาตลอดมีความสำคัญมากกว่า นอกจากนี้ แม่ยังให้ความสำคัญกับการเข้าถึงธรรมะจากการฟังธรรมกถามากกว่าการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ ลูก ๆ ตกลงที่จะร่วมกันจัดทำหนังสือที่ระลึกชีวประวัติของท่านผู้หญิง โดยจะรวบรวมชีวประวัติและข้อคิดต่าง ๆ ที่ท่านผู้หญิงเคยเขียนไว้เมื่อตอนอายุ 90 ปี และจะรวบรวมข้อความไว้อาลัยจากบุคคลสำคัญที่มาร่วมงานด้วย เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไป โดยจะมีการแจกบัตรสำหรับหนังสือที่ระลึกในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ ซึ่งการลงนามไว้อาลัย สามารถร่วมลงนามถึงวันที่ 20 พฤษภาคม

เรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่...

จะได้นำเรื่องราวท่านผู้หญิงมาให้อ่านกันในโอกาสต่อไป...
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10661

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ กับบทบาทของสตรีในสังคมไทย

โดย กองบรรณาธิการ จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์




เนื่องจากกองบรรณาธิการจุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ พิจารณาเห็นว่า "บทบาทของสตรีในสังคมไทย" เป็นประเด็นซึ่งนับวันจะยิ่งมีผู้สนใจศึกษาค้นคว้ามากยิ่งขึ้น

ดังนั้น จึงเห็นควรที่จะเลือกสรรและรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์สุภาพสตรี ซึ่งเป็นบุคคลที่เคยมีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทย ทั้งนี้ เพื่อทราบถึงประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมาด้านต่างๆ ในทรรศนะของสตรีเป็นการเฉพาะ

ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เป็นสุภาพสตรีไทยผู้มีประสบการณ์และบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์อย่างยิ่งยวดแก่สังคมไทยในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะภริยานายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส และอดีตผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย (วิชา) ธรรมศาสตร์ (และการเมือง)

กองบรรณาธิการได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ในประเด็นดังกล่าว ท่านกรุณาให้สัมภาษณ์เมื่อ วันที่ 27 มีนาคม 2550 ระหว่างเวลา 09.30-11.30 น. แก่ตัวแทนคณะบรรณาธิการจุลสารจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพฏฐกุล, อาจารย์ ณัฐพล ใจจริง, น.ส.วารุณี โอสถารมย์ และ น.ส.ศรอัศนัญย์ เจริญฐิตากร

และไม่ถึง 2 เดือนท่านผู้หญิงพูนศุขก็ได้ถึงแก่อนิจกรรม

คณะบรรณาธิการ : ทุกวันนี้มีการบอกเล่า และเขียนถึงเรื่องของเสรีไทยมากมาย ส่วนใหญ่ผู้เล่าหรือผู้เขียนมักเป็นเพศชาย ในฐานะที่ท่านผู้หญิงเป็นภริยาผู้นำกลุ่มเสรีไทย อยากให้ท่านช่วยเล่าเรื่อง "ขบวนการเสรีไทย" ในมุมมองของท่าน

ท่านผู้หญิง : ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 และขอเท้าความบางตอนที่ฉันเคยเขียนเล่าไว้ ในบทความทรงจำเรื่อง "ย้อนรอยถนนสีลม"

"วันนั้น ครอบครัวข้าพเจ้ารู้สึกสลดหดหู่ใจเช่นเดียวกับราษฎรไทยทั้งปวงหนังสือพิมพ์ Washington Times Herald ได้รายงานข่าวว่า "ชาวไทยได้ทราบข่าวยอมจำนนญี่ปุ่นด้วยความตกตะลึง และพากันยืนงงงันในถนนด้วยน้ำตานอง" (The Thailanders, shocked by news of the surrender, wept as they stood dazed in the streets.) ในบ่ายวันเดียวกัน เมื่อนายปรีดีกลับจากการประชุม ครม.ถึงบ้าน มีมิตรสหายและลูกศิษย์หลายคนมาคอยอยู่ อาทิ หลวงบรรณกรโกวิท (เปาว์ จักกะพาก) สงวน ตุลารักษ์ จำกัด พลางกูร วิจิตร ลุลิตานนท์ เตียง ศิริขันธ์ ถวิล อุดล ม.ล.กรี เดชาติวงศ์ (หลวงชาติวงศ์วราวัตน์) ฯลฯ ทุกคนแสดงความรู้สึกเจ็บใจและแค้นใจที่กองทหารญี่ปุ่นรุกรานประเทศไทย โดยที่รัฐบาลไทยขณะนั้นยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข ผู้มาประชุมในวันนั้น ได้ตกลงพลีชีพเพื่อชาติ เพื่อกอบกู้เอกราชอธิปไตยสมบูรณ์ของชาติไทย ในการนี้ได้ตกลงจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่น ประกอบด้วยคนไทยที่รักชาติทุกชนชั้น วรรณะ ทั้งในประเทศและที่อยู่ในต่างประเทศ ที่ประชุมได้มอบภาระให้นายปรีดีเป็นหัวหน้า และกำหนดแผนการปฏิบัติต่อไป ซึ่งเป็นที่มาของการก่อตั้งขบวนการเสรีไทย"

เหตุการณ์บ้านเมืองคับขันเช่นนี้ เป็นความทุกข์ของคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดินทุกคน ทางญี่ปุ่นบีบรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ให้นายปรีดีต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเป็นหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 โดยมติของสภาผู้แทนราษฎร และต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน Sole Regent แต่ผู้เดียว จึงทำให้นายปรีดีสามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าขบวนการเสรีไทยได้อย่างเต็มตัว

โดยปกตินายปรีดีจะไม่ปรึกษาเรื่องราชการแผ่นดินกับฉันเลย แต่ครั้งนี้ เป็นงานรับใช้ชาติ และฉันก็เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ นายปรีดีจึงมอบหมายให้ฉันเป็นคนคัดลายมือรหัสวิทยุสำหรับติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร และยังมีหน้าที่รับฟังข่าวสารสู้รบในสมรภูมิต่างๆ ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและอักษะ เพื่อประกอบการประเมินผลบทบาทของเสรีไทย

นอกจากนี้ ฉันรู้จักผู้คนในวงกว้าง กอปรกับรู้ความเป็นมาของบุคคลหลายคนที่มีชื่อเสียงในสังคมก็ได้ใช้จุดนี้ช่วยนายปรีดี ซึ่งได้รับการยอมรับจากฝ่ายสัมพันธมิตรในการพิสูจน์สมาชิกขบวนการเสรีไทยบางท่าน ทั้งนี้ทั้งนั้น เราทำกันอย่างเป็นความลับ ถือว่าเป็นวินัยสูงสุดของขบวนการเสรีไทย ฉะนั้น บทบาทของฉันก็เหมือนกับพลพรรคธรรมดาคนหนึ่งของขบวนการเสรีไทย

ฉันขออนุญาตยกสุนทรพจน์ของ "รู้ธ" เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2488 มาเป็นข้อสรุปในหัวข้อนี้ว่า "ถือว่าทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ชาติ มิได้ถือว่าเป็นผู้กู้ชาติ การกู้ชาติเป็นการกระทำของคนไทยทั้งปวง ซึ่งแม้ผู้ไม่ได้ร่วมในองค์การนี้โดยตรง ก็ยังมีอีกประมาณ 17 ล้านคน ที่ได้กระทำโดยอิสระของตนในการต่อต้านด้วยวิถีทางที่เขาเหล่านั้นสามารถทำได้ หรือเอากำลังใจช่วยขับไล่ให้ญี่ปุ่น หรือผู้รับใช้ชาติ ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้รับใช้ชาติทำการได้สะดวก ฯลฯ เป็นต้น คนไทยทั้งปวงเหล่านี้ทุกคนร่วมกันทำการกู้ชาติของตนด้วยกันทั้งสิ้น"

คณะบรรณาธิการ : ในฐานะที่ท่านผู้หญิงได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษ ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของสตรี อยากเรียนถามความคิดเห็นของท่านถึงความแตกต่างของสตรีไทยในอดีตและปัจจุบัน

ท่านผู้หญิง : ฉันขอพูดในส่วนตัวของฉันเองดีกว่า ฉันเกิดในปี พ.ศ.2455 ในรัชกาลที่ 6 ผู้หญิงสมัยนั้น ในครอบครัว ข้าราชการ ขุนนาง และชาวบ้านก็แตกต่างกัน ถ้าเป็นชาวไร่ชาวนานอกจากต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวแล้ว ยังต้องช่วยครอบครัวเพาะปลูก หรือทำมาหาเลี้ยงชีพตามความถนัด

ส่วนครอบครัวข้าราชการและขุนนางก็ให้ลูกผู้หญิงมีโอกาสเรียนหนังสือเท่าที่จะเห็นควร เพราะถึงอย่างไรก็ต้องออกเรือน เป็นแม่บ้านแม่เรือน

ในครอบครัวฉัน คุณพ่อ (พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา) มีลูกสาว 7 คน ท่านให้โอกาสเรียนหนังสือ บางคนเรียนโรงเรียนฝรั่ง บางคนก็ได้ถวายตัวเป็น "ข้าหลวงเรือนนอก" ในทูลกระหม่อมฟ้าหญิงวไลอลงกรณ์ฯ เรียนที่ ร.ร.ราชินี ในจำนวนนี้ลูกสาว 2 คน ได้มีโอกาสไปเรียนภาษาฝรั่งเศสที่เมืองดาลัด ประเทศเวียดนาม ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และใน 2 คนนี้มีคนหนึ่งได้เล่าเรียนต่อที่กรุงปารีสและกลับมาเป็นอาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ต.ม.ธ.ก.) ตัวฉันเรียนฉันถึง standard 7 โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ แล้วก็ออกมาแต่งงานกับนายปรีดี

หลังแต่งงาน ฉันได้เข้าสู่มหาวิทยาลัยชีวิต ได้เรียนรู้ความรู้ต่างๆ ที่ทาง โรงเรียนไม่ได้สอน อยู่กับนายปรีดีเป็นสามีภรรยากัน เป็นเหมือนครูกับนักเรียน จากที่นายปรีดีให้ฉันช่วยจดคำบรรยายวิชากฎหมายที่เขาสอนอยู่ ฉันก็พลอยได้ความรู้ไปด้วย แต่งานในแต่ละวันคงเป็นเรื่องเลี้ยงลูกและดูแลครอบครัว ส่วนที่ฉันช่วยตรวจปรู๊ฟหนังสือ หรือจัดระเบียบการส่งหนังสือ "นิติสาส์น" นั้นจะถือว่าเป็นการช่วยครอบครัวทำมาหาเลี้ยงชีพอีกแรงหนึ่งก็ได้

ในเรื่องการเมืองนั้น ฉันไม่เคยยุ่งเกี่ยวเลย และไม่เคยเรียกร้องสิทธิอะไร เพราะในครอบครัวฉันก็มีความเท่าเทียมกันอยู่แล้ว

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 พ.ร.บ.ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 ได้ให้สิทธิชายหญิงทัดเทียมกัน ถ้าจะเปรียบกับประเทศฝรั่งเศส แม่แบบประชาธิปไตยของโลก ไทยเราถือว่าให้สิทธิสตรีก่อนเสียอีก ในสังคมไทยมีสตรีชั้นสูงที่สามีเป็นผู้บริหารประเทศ ก็ได้พยายามยกย่องฐานะของสตรีอยู่เหมือนกัน เช่น ตั้งสโมสรวัฒนธรรมสตรี แต่ถึงกระนั้น ผู้หญิงไทยยังด้อยโอกาสทางการเมือง ไม่มีผู้หญิงในคณะรัฐบาล และกว่าจะมี ส.ส.หญิง วุฒิสมาชิกหญิง รวมทั้งรัฐมนตรีหญิงก็อีกหลายปีต่อมา

ในยุคนี้ บทบาทของผู้หญิงมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ประการแรกผู้หญิงไทยเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เพราะสามารถทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาสามี ฉะนั้น ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานจึงมีมากขึ้นและมีหน้าที่การงานสำคัญมากขึ้น

ประการต่อมาการศึกษาของผู้หญิงยุคนี้สูงขึ้น เรียนจบปริญญาตรีเป็นเรื่องเห็นดาษดื่น แต่ที่เรียนจบปริญญาโท ปริญญาเอก เป็นนักวิชาการด้านต่างๆ ก็มีไม่น้อย

อีกประการหนึ่ง ผู้หญิงยุคนี้มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม จะเป็นหน่วยงานของรัฐและเอกชนก็ดี ผู้หญิงแถวหน้าๆ เป็นที่ยอมรับจำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ สังคมยังไม่ยอมรับความสามารถของผู้หญิงเท่าที่ควร ในต่างประเทศที่เจริญแล้วผู้หญิงได้เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีก็หลายประเทศ

แม้แต่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อนบ้านของเราก็ยังมีทั้งประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรีหญิง แต่เมืองไทยเคยมีแต่รัฐมนตรีหญิงเท่านั้น

คณะบรรณาธิการ : แล้วบทบาทของสตรีกับการเมืองทุกวันนี้ ท่านผู้หญิงมองว่าเป็นอย่างไร

ท่านผู้หญิง : พลเมืองของประเทศประกอบด้วยเพศชายและเพศหญิง รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด (พ.ศ.2540) ก็ได้กำหนดไว้ว่า ชายหญิงมีความเสมอภาคกัน ทั้งนี้ ความเสมอภาครวมถึงเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรมและสถาภาพในครอบครัว

เมื่อก่อนนี้ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง ผู้ชายเดินนำหน้า แต่ปัจจุบันควรเดินคู่กันไป ผู้หญิงไหนจะต้องช่วยครอบครัวทำมาหาเลี้ยงชีพ ไหนจะต้องดูแลครอบครัว ไหนจะต้องเลี้ยงลูก

ฉันเห็นใจคนเป็นแม่ในยุคนี้มาก ก็เหมือนที่ฉันได้กล่าวไปแล้ว สังคมยังไม่ให้การยอมรับบทบาทของผู้หญิงเท่าที่ควรจะเป็น

ในช่วงชีวิตของฉัน อยากเห็นผู้หญิงไทยได้มีหน้าที่บริหารประเทศระดับสูง เช่น เป็นนายกรัฐมนตรี ฉันไม่รู้ว่า จะมีโอกาสได้เห็นวันนั้นหรือไม่

แต่ทั้งนี้ ผู้หญิงไทยก็ต้องยกระดับตนเองทุกๆ ด้าน พร้อมที่จะรับตำแหน่ง รับผิดชอบบ้านเมือง ผู้หญิงเป็นเพศที่ละเอียดอ่อน แต่ก็เข้มแข็งสามารถผนึกกำลังกันตรวจสอบการบริหารบ้านเมืองของทุกกลุ่ม ที่เข้ามาแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์ เป็นประตูกั้นขวางมิให้เกิดการคอร์รัปชั่น หรือทุจริตในตำแหน่งหน้าที่การงานของสามีและบุคคลต่างๆ ที่จะแทรกแซงเข้ามาในครอบครัวของผู้บริหารสิ่งนี้ ฉันคิดว่าสำคัญมากที่จะทำให้การเมืองของบ้านเราก้าวไปสู่ยุคของคุณธรรมครองเมือง

แต่ตราบใด ผู้หญิงยังไม่ได้รับสิทธิเสมอภาคกับชายในทางพฤตินัย ก็คงจะต้องมีการเรียกร้องด้วยวิธีการต่างๆ ต่อไปอีกนาน
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 12

โพสต์

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6016

ตั้งแต่คืน8พ.ย.2490 การต่อสู้ของท่านผู้หญิง

สกล ทองหมี



คืนวันที่ 8 พ.ย.2490 เป็นวันที่เกิดรัฐประหาร เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ครอบครัวของนายปรีดี กับท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และลูกๆ ที่ยังเล็กอีก 6 คน ต้องประสบกับชะตากรรมยากลำบาก

นายปรีดี ต้องหลบลี้หนีภัยการเมือง ขณะที่ท่านผู้หญิงพูนศุข ต้องเลี้ยงดูลูกทั้ง 6 คน ซ้ำร้ายยังถูกภัยการเมืองเล่นงานไม่ต่างจากสามี แต่ท่านผู้หญิงพูนศุขต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวจนหลุดพ้นข้อหากบฏ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของอาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ บุตรสาวคนที่ 5 ของนายปรีดี กับท่านผู้หญิงพูนศุข เริ่มตั้งแต่คืนรัฐประหารในวันที่ 8 พ.ย.2490 เป็นต้นมา ซึ่งขณะนั้นอาจารย์ดุษฎีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น

ที่ทำเนียบท่าช้าง เป็นบ้านพักของครอบครัวฉัน มีลักษณะเป็นตึก 3 ชั้น ตอนนั้นฉันยังเด็กอายุเพียงแค่ 8 ขวบ ขณะนั้นคุณแม่คุณพ่อนอนกันอยู่ที่ชั้น 3 อีกทั้งที่นอนของคุณพ่อคุณแม่อยู่ติดริมถนนพระอาทิตย์เลย คุณแม่บอกกับฉันว่า ตอนนั้นคุณแม่ได้ตื่นนอนมาเมื่อกลางดึก เห็นไฟสปอตไลต์ส่องไปมายังห้องนอน ตอนนั้นคุณแม่ไม่สบายเป็นหวัด จึงนอนตั้งแต่หัวค่ำ พอตื่นขึ้นมากลางดึกก็ไม่เห็นคุณพ่อที่เตียงนอนแล้ว

คุณแม่ก็เลยแปลกใจ จึงเดินบันไดลงมาที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องทำงานของคุณพ่อ คุณแม่เห็นเพียงกระดาษหนังสือพิมพ์ปลิวว่อนทั่วทั้งห้อง พอดีมีคนใกล้ชิดคุณพ่อเข้ามาในห้อง คุณแม่เลยถามว่า ท่านไปไหนแล้ว คนใกล้ชิดคุณพ่อบอกแต่เพียงว่า ท่านไปแล้ว

จากนั้นคุณแม่เริ่มใจไม่ดี จึงขึ้นบันไดไปที่ชั้น 3 ทันใดนั้นฝ่ายรัฐประหาร 8 พ.ย.2490 ก็ระดมยิงปืนใหญ่ และปืนกลมายังห้องนอน เพื่อหวังจะฆ่าเราให้ตาย ดูได้จากรูกระสุนจากปืนใหญ่ที่เจาะกำแพงห้องนอนซึ่งเป็นคอนกรีต ต่อมารูที่เกิดจากกระสุนปืนใหญ่ นกสามารถเข้าไปทำรังได้

จากนั้นคุณแม่มาอยู่รวมกับลูกๆ ในชั้นเดียวกัน ในขณะเดียวกันพี่ชายคนโต (ปาล พนมยงค์ เสียชีวิตไปแล้ว) บอกให้ทุกคนหมอบลงกับพื้น ฉันยังจำเสียงระเบิดได้จนทุกวันนี้ มันเหมือนอยู่ในภาวะสงคราม ส่วนคุณแม่ก็ได้ตะโกนออกมาว่า ที่นี่มีแต่ผู้หญิงและเด็ก อย่ายิง ฉันคิดว่าฝ่ายรัฐประหารเขาไม่ได้ยินหรอก แล้วเขาก็ยิงๆๆ  


จนรุ่งเช้าก็มีทหารขับรถถังบุกขึ้นมาทางหน้าบ้าน คุณแม่ลงมาจากบ้านแล้วถามเขาว่า คุณมาทำอะไร ที่ยิงเข้าไปในบ้านทำไปเพื่ออะไร ทหารนายหนึ่งบอกว่าเรามาเปลี่ยนรัฐบาล คุณแม่จึงบอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนรัฐบาล ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่รัฐสภา ทำไมมาเปลี่ยนที่บ้านฉัน ทหารนายนั้นไม่ตอบ นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณแม่มีความเข้าใจในประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะเทือนใจต่อครอบครัวเรามากๆ คือการที่มีการอุ้มฆ่าอย่างมากมายในช่วงนั้น มีรัฐมนตรีหลายคนถูกยิงทิ้ง และถูกอุ้มฆ่า ช่วงนั้นเราก็ไม่รู้ว่า อันตรายจะมาถึงตัวเราเมื่อไหร่ เป็นยุคที่สื่อยังไม่แข็งแรงเหมือนในขณะนี้

ต่อมาเมื่อปี 2492 วันที่ 26 ก.พ. คุณพ่อถูกไล่ล่า และประกาศจับทั่วกรุงเทพฯ ในขณะนั้นคุณพ่อกับคณะได้ฟื้นฟูประชาธิปไตย คุณพ่อจึงหนีไปหลบยังบ้านผู้มีพระคุณที่ฝั่งธนบุรี โดยมีคุณแม่เป็นผู้ประสานงาน เพื่อจะให้คุณพ่อออกนอกประเทศ และเป็นความลับอันสุดยอดที่ให้ใครรับรู้ไม่ได้

จากนั้นคุณแม่ก็เดินทางในกลางดึกคืนหนึ่งประมาณตี 4 หรือตี 5 เพื่อจะไปพบคุณพ่อ เป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบกัน โดยต้องเดินทางผ่านตรอกป่าช้าที่เรียกกันในสมัยก่อน ที่เดี๋ยวนี้เรียกว่าซอยศึกษา เป็นซอยที่ทะลุระหว่างถนนสีลมกับถนนสาทร

ก่อนคุณแม่จะเสียได้ 2 วัน ฉันพาคุณแม่ไปที่โรงพยาบาล เมื่อกลับมาผ่านตรงนั้น คุณแม่ยังเอ่ยกับฉันว่า เนี่ยแม่ยังจำภาพนี้ได้ไม่ลืม ว่าตอนประมาณตี 4 ตี 5 ผ่านซอยนี้ เพื่อจะลงท่าน้ำสาทร นั่งเรือไปติดต่อกับคุณพ่อ และนั่นก็เป็นการประสานงานเพียงครั้งเดียว เพื่อที่จะให้คุณพ่อได้ออกไปนอกประเทศ นี่คือคำพูดประโยคสุดท้ายที่เป็นทางการของคุณแม่

สมัยนั้นมีตำรวจลับคอยติดตามครอบครัวเราโดยตลอด คุณแม่บอกเราว่าเราไม่ได้ทำผิด เขาอยากจะตามก็ตามไป ข้างนอกมีร้านกาแฟเขาก็ไปนั่งกัน ซุบซิบคอยดูว่าไปไหนกัน มีการจดบันทึก เรียกได้ว่าตามกันทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

จนเมื่อปี 2495 วันที่ 15 พ.ย. คุณแม่ถูกจับในข้อหากบฏทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักร อันที่จริงผู้มีอำนาจในสมัยนั้นต้องการจะจับพ่อ แต่จับไม่ได้ ก็มาจับพี่ชายและคุณแม่แทน มีข้อหาเดียวกันคือกบฏ พี่ชายถูกขังอยู่เกือบ 5 ปีเลยทีเดียว ส่วนคุณแม่ถูกคุมขังนาน 84 วัน


ระหว่างที่คุณแม่โดนจับ ในวันนั้นพี่ชายคนโตถูกจับก่อน ซึ่งที่บ้านก็ไม่มีคน คุณแม่บอกให้พวกเราไปอยู่โรงเรียนประจำที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ แม่ชีที่นั่นใจดีและรับเราไว้ แต่วันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ แม่ชีให้เรากลับบ้าน ช่วงวันหยุดนี้คุณน้าจะพาไปเยี่ยมคุณแม่ที่คุมขัง แต่ถ้าถามถึงคุณแม่กำชับอะไรเราเป็นพิเศษในช่วงที่ถูกคุมขังหรือไม่ เราไม่รู้อะไรมาก ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กอายุได้ประมาณ 10 ขวบเท่านั้น แต่คุณแม่ก็จะกำชับทางน้าเป็นพิเศษให้ดูแลพวกเรา

ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ คุณยายมีลูกถึง 12 คน ญาติทุกคนมีความรักและเมตตาต่อเรา ที่พ่อก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน และแม่ก็ยังมาถูกคุมขังอีก เราอายุขนาดนั้นรู้เพียงว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม เราไม่ได้ทำอะไรผิด พี่ชายคนโตอายุแค่ 18 ก็โดนจับข้อหากบฏแล้ว ซึ่งพี่ชายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นกัน

คุณแม่โดนข้อหากบฏทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ดูได้จากรูปๆ หนึ่ง ที่มีตำรวจนำจับ และไปฝากขังที่ศาล ถือปืนพกในลักษณะพร้อมยิง แสดงว่าสถานการณ์ในขณะนั้นมีความรุนแรงมาก

หลังจากที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคุณแม่ และออกมาอยู่บ้านไม่กี่เดือน คุณแม่ก็เตรียมตัวจะไปฝรั่งเศส โดยบอกกับลูกๆ ว่า อยู่ไม่ได้แล้ว ในเมื่อกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้ จากนั้นคุณแม่ก็เก็บข้าวเก็บของ พร้อมกับพาลูกคนเล็ก 2 คนไปด้วยคือ ฉันและน้องคนที่ 6 ขณะนั้นพี่คนโตป่วยจึงอยู่เมืองไทยกับน้า คนที่ 2 ถูกจับอยู่ในคุก คนที่ 3 กำลังเรียนอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และคนที่ 4 อยู่ที่เมืองไทยกับคุณยาย

ระหว่างที่ฉันอยู่กับแม่ที่ฝรั่งเศสได้ 6 เดือน คุณแม่ก็ติดต่อกับคุณพ่อได้สำเร็จ หลังจากขาดการติดต่อกับคุณพ่อนานถึง 5 ปี นับตั้งแต่การทำรัฐประหาร

คุณแม่ไม่เคยติดต่อกับคุณพ่อเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหนในตอนแรก ตอนหลังจึงมีคนมาส่งข่าวว่าคุณพ่ออยู่ที่ประเทศจีน เมื่อติดต่อกับคุณพ่อได้สำเร็จ ก็ไปอยู่กับคุณพ่อที่ประเทศจีนนับแต่นั้น ขณะนั้นฉันก็ยังเด็ก และกลับมาเมืองไทยหลัง 14 ตุลา 2516 ส่วนคุณแม่กลับเมืองไทยหลังจากคุณพ่อสิ้นแล้ว 2-3 ปี

อาจารย์ดุษฎียังเล่าถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วยว่า

เราเป็นครอบครัวที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทั้งที่หลัง 8 พ.ย.2490 ไม่เคยเห็นหน้าพี่น้องครบหมดทุกคนทั้ง 8 คน รวมพ่อแม่ด้วย จนกระทั่งทุกวันนี้ แต่แปลกที่ว่าคุณพ่อคุณแม่วางภูมิฐานเอาไว้อย่างดี ฉะนั้นลูกๆ กับคุณพ่อคุณแม่ จะมีความแน่นแฟ้น ทั้งที่ไม่ได้อยู่ร่วมกันเลย อีกทั้งการสนทนาของครอบครัวเราจะแปลก จะสนทนากันแต่ปัญหาบ้านเมือง ไม่ว่าจะอยู่ต่างประเทศ หรือเมืองไทย เราไม่คุยกันเรื่องไร้สาระ

ที่จำความได้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงประกาศสันติภาพ ฉันจะเห็นคุณพ่อกับคุณแม่ไปด้วยกันตลอด โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเมือง

อีกสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นคือ คุณแม่จะตื่นเช้าฟังธรรมะ ดูข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน และยังเป็นคนบอกเราด้วยซ้ำว่า วันนี้ มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองและของโลก คุณแม่จะติดตามตลอด โดยเฉพาะสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ในปัจจุบัน

คุณแม่เป็นคู่ชีวิตคุณพ่อ สิ่งที่คุณพ่อทำ คุณแม่ก็เห็นด้วย ทั้งคุณพ่อคุณแม่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมเช่นกัน การบริจาคสรีระต่อโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นการบำเพ็ญประโยชน์ของคุณแม่ครั้งสำคัญ และจากคำสั่งเสียทั้งหมด 10 ข้อ โดยเฉพาะข้อที่ว่า จะให้ปาฐกถาธรรม คุณแม่คิดดีแล้ว ที่คนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความดี เป็นบทเรียนชีวิตให้กับคนอื่น

ก่อนคุณแม่จะเสียประมาณ 2 ชั่วโมง คุณแม่จะพูดเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาใจใส่ลูกๆ ว่าลูกคนไหนไม่ค่อยสบายบ้าง ใครที่ทำงานก็อย่าทำงานหนักมากนัก คำต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดภายในครอบครัว ในขณะมีลูกมาดูใจจนคุณแม่สิ้นลมทุกคน ยกเว้นคนโตที่นอนป่วยอยู่ และคนที่ 2 เสียชีวิตแล้ว รวมทั้งเขยสะใภ้ และหลาน หรือถ้าคิดตามแบบโบราณก็คือ คุณแม่สิ้นลมท่ามกลางความอบอุ่นของลูกหลานนั่นเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 13

โพสต์

มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6016

พิธีไว้อาลัย ท่านผู้หญิงพูนศุข

ณัฐพงษ์ บุณยพรหม

วันที่ 20 พ.ค.นี้ มีพิธีไว้อาลัยท่านผู้หญิง "พูนศุข พนมยงค์" ภริยานายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโส พิธีจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 ซอยทองหล่อ

การจัดพิธีไว้อาลัยเป็นไปตามคำสั่งเสียทุกประการ ซึ่งท่านผู้หญิงพูนศุข เขียนกำชับด้วยตนเองเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2541 ขณะมีอายุ 86 ปี 9 เดือน มีทั้งหมด 10 ข้อ เมื่อท่านต้องสิ้นชีวิตลง

1. นำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที เมื่อหมอตรวจว่าหมดลมหายใจแล้ว 2. ไม่ขอรับเกียรติใดๆ ทั้งสิ้น 3. ประกาศทางวิทยุ และลงหนังสือพิมพ์เพื่อแจ้งข่าวให้ญาติมิตรทราบ 4. ไม่มีการสวดอภิธรรม ทั้งนี้ไม่รบกวนญาติมิตรที่ต้องมาร่วมงาน 5. มีพิธีไว้อาลัยที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ โดยนิมนต์พระที่แม่นับถือแสดงธรรมกถา (เช่นเดียวกับที่จัดให้ปาล) และทำบัตรสำหรับหนังสือที่ระลึก

6. ไม่รบกวนญาติมิตร ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ หรือเงินช่วยทำบุญ 7. เมื่อโรงพยาบาลคืนศพมาก็ทำการฌาปนกิจอย่างเรียบง่าย 8. ให้นำอัฐิและอังคารไปลอยที่ปากนํ้าเจ้าพระยาซึ่งเป็นสถานที่แม่เกิด 9. หากมีเงินบ้างก็ขอให้บริจาคเป็นทานแก่มูลนิธิต่างๆ ที่ทำสาธารณกุศล 10. ขอให้ลูกทุกคนปฏิบัติตามที่แม่สั่งไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ต้องฟังความเห็นผู้หวังดีทั้งหลาย ลูกๆ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งแม่จงมีความสุข ความเจริญ

ท่านผู้หญิงพูนศุข เกิดเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2455 ที่ จ.สมุทรปราการ เป็นธิดาคนที่ 5 ของมหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา กับคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิต สกุลเดิมสุวรรณศร จบชั้นมัธยม 7 จากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ สมรสกับนายปรีดี พนมยงค์ มีบุตรและธิดารวมทั้งสิ้น 6 คน

ด้วยเป็นภริยาของนายปรีดี หนึ่งในผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย เคยเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 หัวหน้าขบวนการเสรีไทย รัฐบุรุษอาวุโส ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

ทำให้ท่านผู้หญิงพูนศุข ต้องเข้าไปอยู่ในหลายเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองไทยโดยปริยาย ถูกกลั่นแกล้งและเผชิญชะตากรรมไม่ต่างไปจากสามี

ในคืนวันที่ 8 พ.ย. 2490 ท่านผู้หญิงไม่สบายนอนหลับอยู่ในบ้านทำเนียบท่าช้าง ถนนพระอาทิตย์ คณะรัฐประหารนำรถถังบุกยิงถล่มใส่ห้องนอน หมายที่จะกำจัดนายปรีดี แต่ในความจริงมีแต่ท่านผู้หญิงพูนศุข กับลูกๆ ที่อยู่ในบ้าน

นับตั้งแต่นั้นมา ท่านผู้หญิง ต้องรับหน้าที่เป็นพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน เพราะสามีต้องหนีภัยการเมือง และในเมื่อตามจับนายปรีดีไม่ได้

คณะรัฐบาลในขณะนั้นก็หันมาจับท่านผู้หญิงพูนศุข และนายปาล พนมยงค์ ลูกชายคนโตแทน เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2495 ด้วยข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร ก่อนถูกนำตัวไปคุมขังอยู่นาน 84 ปี

ท้ายที่สุดก็ได้รับการปล่อยตัว ภายหลังอัยการสั่งไม่ฟ้องเอาผิด เพราะไม่มีหลักฐาน

หลังจากได้รับอิสรภาพ ท่านผู้หญิงพูนศุขจึงเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส อังกฤษและสวีเดน กระทั่งได้รับข่าวสารจากสามี ก่อนจะตามไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีน หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันนานถึง 5 ปี และอยู่ร่วมกันที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน

ไม่นานก็ย้ายไปอยู่บ้านพักหลังเล็กๆ ที่ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเวลานานถึง 30 ปี จวบจนกระทั่งนายปรีดี ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2526 และในปี 2530 ท่านผู้หญิงพูนศุขจึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศไทยเป็นการถาวร

ชั่วชีวิตของท่านผู้หญิงพูนศุข เป็นที่ประจักษ์ดีว่า ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ต้องหลบหนีภัยต่างๆ ท่านผู้หญิงยังคงแข็งแกร่ง ยืนหยัดอยู่เคียงข้างคอยเป็นกำลังใจให้นายปรีดี มาโดยตลอด

หรือแม้ในยามรุ่งเรือง ท่านผู้หญิงก็ไม่เคยอาศัยตำแหน่งของสามีหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง ยังดำรงชีวิตอย่างสมถะ และมีความสุขอย่างเรียบง่าย

ดังในคำสั่งเสียที่มีต่อลูกก่อนถึงแก่อนิจกรรม และพิธีไว้อาลัยที่จัดขึ้นในวันที่ 20 พ.ค.นี้ ทุกอย่างเป็นไปตามความประสงค์ของท่าน มีภาพถ่ายที่ท่านขอให้นำมาตั้งในวันไว้อาลัย

เป็นภาพที่ท่านผู้หญิงพูนศุข ถูกจับกุม ท่านเขียนไว้หลังภาพด้วยตนเองว่า "รูปประวัติศาสตร์ ถ่ายโดย น.ส.พ. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 อายุ 40 ปี 10 เดือน 19 วัน ข้อหากบฏภายในและนอกราชอาณาจักร"

ในพิธีจะเริ่มด้วยฉายวีดิทัศน์ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ต่อด้วยการแสดงธรรมกถาโดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ท่านผู้หญิงเคารพนับถือ

จากนั้นเป็นการขับลำนำบทกวี โดยเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์ พร้อมทั้งคำกล่าวไว้อาลัยจากประธานสถาบันปรีดี พนมยงค์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือผู้แทน และประธานชมรม ต.ม.ธ.ก.สัมพันธ์

ปิดท้ายด้วยทายาทท่านผู้หญิงพูนศุข ร่วมกล่าวขอบคุณ และขับร้องประสานเสียงบทเพลง "แม่จ๋า" และ "คนดีมีค่า" โดยคณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู

นอกจากนี้ทางบุตรธิดาของท่านผู้หญิง จะร่วมกันจัดทำหนังสือที่ระลึกชีวประวัติของท่านผู้หญิง จะรวบรวมชีวประวัติและข้อคิดต่างๆ ที่ท่านผู้หญิงเคยเขียนไว้เมื่ออายุ 90 ปี โดยจะแจกบัตรสำหรับรับหนังสือที่ระลึกภายในงาน

นางดุษฎี พนมยงค์ บุตรสาวคนที่ 5 ของท่านผู้หญิง กล่าวว่า เราหวังว่าหลัก 10 ข้อของคุณแม่ จะเป็นตัวอย่างของคนที่มีความพอดีในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นลาภยศ ชื่อเสียง ท่านพูดกับลูกๆ เสมอว่าคนเรามาก็ตัวเปล่าไปก็ควรจะตัวเปล่าเช่นกัน

เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากให้ทำก็คือ เมื่อคนมาร่วมรำลึกแล้วได้รับอะไรกลับไป อาจจะยังไม่มีใครคิดที่จะทำเช่นนี้ ท่านคงอยากให้เป็นตัวอย่างในเรื่องของความพอดี และจะเป็นเครื่องเตือนสติให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้รับประโยชน์บ้าง ไม่ใช่เพียงแต่จัดแค่พิธีกรรมแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หน้า 5<

ภาพประกอบข่าว พิธีไว้อาลัย ท่านผู้หญิงพูนศุข



http://www.matichon.co.th/news_relate/g ... &type=kstb
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 14

โพสต์

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10663

คนดังร่วมรำลึกท่านผู้หญิงพูนศุข พระปัญญายกย่องผู้รักษาความดี



เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 20 พฤษภาคม ที่มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ มีพิธีไว้อาลัยท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ ภริยาของนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 มีบุคคลสำคัญตลอดจนประชาชนทั่วไปเข้าร่วมจำนวนมาก เช่น พระพรหมมังคลาจารย์ หรือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ จ.นนทบุรี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจาตุรงต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

พิธีเริ่มด้วยการอ่านบทกวีของนายอังคาร กัลยาณพงศ์ และการขับร้องเพลงไว้อาลัย "พุทธทาสจะไม่ตาย" จากนั้นผู้เข้าร่วมพิธียืนไว้อาลัย ตามด้วยฉายวีดิทัศน์ของท่านผู้หญิง เทปบันทึกการแสดงธรรมกถา โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติอ่านบทกวี ธิดาท่านผู้หญิงพูนศุข กล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ ปิดท้ายด้วยบทเพลง "แม่จ๋า,คนดีมีค่า" โดยคณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู

นางดุษฎี พนมยงค์ ธิดาท่านผู้หญิง พูนศุข กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ทุกคนรักและระลึกถึงความดีของมารดา ส่วนพิธีฌาปนกิจ คาดว่าจะมีขึ้นอีก 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากท่านผู้หญิงได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เสร็จสิ้น

พระพรหมคุณาภรณ์กล่าวในการแสดงธรรมกถาตอนหนึ่งว่า ท่านผู้หญิงพูนศุขมีความดีที่ประจักษ์ชัด คือ ความเข้มแข็ง ที่ผ่านความทุกข์ยาก ระหกระเหิน และผจญภัยอันตรายมาหนักหนา แต่ทนได้ ที่สำคัญสามารถรักษาตนและครอบครัวให้อยู่ในความดีได้ หากทุกคนบูชาคนดี บูชาธรรมะ ก็ถือว่าทำความดีต่อสังคม ทำให้สังคมมีความสุข สุดท้ายธรรมะก็จะรักษาผู้ประพฤติธรรม

หน้า 15

มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6017

นับพันร่วมไว้อาลัยท่านผู้หญิงพูนศุข



เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 20 พ.ค. ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ย่านสุขุมวิท 55 ได้มีพิธีไว้อาลัยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสนายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีบุคคลสำคัญในแวดวงต่างๆ และประชาชนหลายพันคนร่วมไว้อาลัยทำให้สถานที่จัดเตรียมไว้ไม่เพียงพอ ภายในงานยังได้มีการแจกหนังสือจุลสารธรรมศาสตร์ วันปรีดี พนมยงค์ ประจำปี 2550 หนังสือธรรมะท่านผู้หญิงพูนศุข ปฏิทินพุทธทาสปี 2550 ชื่อ ฝ่าทะเลไฟ และหนังสือที่ระลึกท่านผู้หญิง สำหรับหนังสือที่ระลึกนี้สถาบันจะติดต่อให้มารับภายหลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บุคคลสำคัญที่ร่วมพิธีนี้ เช่น นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี, นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ, นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้าพรรคไทยรักไทย, พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตส.ว.กทม., พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดยนายธีรยุทธ บุญมี เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า พิธีเริ่มขึ้นด้วยการอ่านบทกวีของนายอังคาร กัลยาณพงศ์ กวีซีไรต์ และการขับร้องเพลงไว้อาลัย ผู้ร่วมพิธียืนไว้อาลัย จากนั้นฉายวีดีทัศน์ของท่านผู้หญิงและการแสดงปาฐกถาธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ หรือหลวงพ่อประยุทธ์ ปยุตฺโต การอ่านบทกวีไว้อาลัยของนายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ การไว้อาลัยของนายวิเชียร วัฒนคุณ ประธานสถาบันปรีดี พนมยงค์ นายสุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า จากนั้นธิดาท่านผู้หญิงพูนศุข ได้กล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ ญาติมิตรและทูตานุทูตที่มาร่วมไว้อาลัย ปิดท้ายด้วยบทเพลงประสานเสียง"แม่จ๋า" และ"คนดีมีค่า" ซึ่งพิธีการในวันนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ที่ระบุไว้ก่อนถึงแก่อนิจกรรม ส่วนพิธีฌาปนกิจคาดว่าจะมีขึ้น 2-3 ปีข้างหน้า หลังจากทำหน้าที่เป็นอาจารย์ใหญ่ที่ร.พ.จุฬาลงกรณ์

ด้านนายมีชัยกล่าวว่า ท่านผู้หญิงถือเป็นตัวอย่างของคนที่เป็นภรรยาผู้นำทางการเมือง มีความเรียบง่าย กล้าหาญ อดทน มีน้ำใจงามไม่ผูกใจเจ็บทั้งที่ชีวิตของท่านลำบากมาก ด้วยธรรมะในใจ ทำให้หน้าตาท่านถึงจะสูงวัยก็ไม่มีริ้วรอยที่เหมือนเป็นคนมีทุกข์ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้คนโดยเฉพาะที่อยู่ในแวดวงการเมือง วันนี้ถือเป็นประวัติหน้าสุดท้ายของชีวิตท่านและยังจะสามารถสอนลูกหลานไปนาน

นางดุษฎี พนมยงค์ ธิดาท่านผู้หญิงพูนศุข กล่าวว่า หนังสือที่ระลึกเป็นการรวบรวมบทความที่ท่านผู้หญิงเขียนไว้ และมีภาพชีวิตท่านผู้หญิงและนายปรีดี พนมยงค์ ที่รวบรวมเหตุการณ์ในรอบ 100 ปี

นายสุรพลกล่าวว่า ท่านผู้หญิงเป็นแบบอย่างหลายประการ ซึ่งมหาวิทยาลัยจะสานต่อสิ่งที่สัญญากับท่านผู้หญิงไว้แล้ว 3 เรื่อง คือ 1.จะปรับปรุงอนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ โดยจะมีเรื่องราวประวัติชีวิตของนายปรีดี และท่านผู้หญิงพูนศุขด้วย จะเปิดในวันที่ 11 พ.ค. 2551 เรื่องที่ 2 คือ จะทำลิฟต์จากชั้น 1 ขึ้นมา ชั้น 3 ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ และเรื่องที่ 3 ตั้งสถาบันการศึกษานานาชาติปรีดี พนมยงค์ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หน้า 15
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 15

โพสต์

ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6016

แด่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

ส.ศิวรักษ์




ถ้าท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ดำรงชีพอยู่จนถึงวันที่ 2 มกราคม 2551 ท่านก็จะมีอายุครบ 8 รอบนักษัตร คือ 96 ปี บริบูรณ์ พวกเราที่เคารพนับถือท่าน ก็หวังกันว่าท่านอาจจะมีชีวิตอยู่กับพวกเราเกินไปกว่านั้น เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกเราได้พึ่งพาในทางจิตใจต่อไป เพราะจะหาคนร่วมสมัยเช่นท่านนั้นไม่มีแล้ว คือท่านเชื่อมความเป็นกุลสตรีอย่างเก่า โดยเข้ากันได้ดีกับความทันสมัยของประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระ ท่านยืนหยัดอยู่ฝ่ายคนยากไร้ มั่นคงในสัจจะและสันติวิธี พร้อมๆ กับความจงรักภักดีต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งท่านได้รับใช้อย่างใกล้ชิดมาแต่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โดยที่สมเด็จพระพันปีหลวงก็ได้พระราชทานนามแก่ท่านอีกด้วย

ท่านรักสามีและลูกๆ ของท่าน ในฐานะเมียและแม่ที่ควรแก่การเอาเยี่ยงเป็นอย่างยิ่ง หากท่านยังขยายความรักความเข้าใจไปยังคนอื่นๆ อีกมากหน้า สมดังคาถาในกรณียเมตตสูตรที่ว่า มารดารักลูกน้อย โดยยอมสละชีวิตเพื่อลูกฉันใด พึงเจริญความรักเช่นนี้ไปยังสรรพสัตว์ฉันนั้น กล่าวคือท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นพุทธศาสนิกตามเนื้อหาสาระ ยิ่งกว่าตามรูปแบบ ท่านไม่เคยผิดศีลทั้ง 5 ข้อ ท่านมากไปด้วยทานบารมี และที่สำคัญเหนืออื่นใด คือท่านไม่พยาบาทใครๆ ทั้งๆ ที่หลายคนเบียดเบียนบีฑาท่านและสามี ตลอดจนลูกชายของท่านอย่างจังๆ หรือในทางอ้อมก็ตามที

ถ้าท่านอยู่จนถึงวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ท่านก็จะเป็นประจักษ์พยานคนสุดท้าย ที่ได้เห็นการอภิวัฒน์ของสยามแต่เมื่อค่อนศตวรรษมาแล้ว แต่แล้วการอภิวัฒน์ดังกล่าวกลับถูกเผด็จการปู้ยี่ปู้ยำมาเกือบโดยตลอด จนการรัฐประหารล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 การที่ท่านไม่อยู่จนถึงวันดังกล่าว ก็อาจจะเป็นการเหมาะสมแล้วกับสภาพทางการเมืองอันกึ่งดิบกึ่งดีที่เป็นไปในบัดนี้

ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ก็ตรงที่ท่านเลือกวันจากไปสู่ปรโลก ณ วันที่ 11 พฤษภาคม (ถ้านับอย่างสมัยใหม่ ก็ต้องถือว่าเป็นวันที่ 12 แล้ว เพราะท่านสิ้นใจลงเมื่อสองยามล่วงแล้วไปสองชั่วโมง แต่ตามปฏิทินโหรและการนับแบบไทยๆ ย่อมถือได้ว่ายังเป็นวันที่ 11 อยู่) ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดสามีท่าน โดยที่ท่านทั้งสองครองรักกันตลอดมา และร่วมทุกข์กันยิ่งกว่าร่วมสุข โดยที่ท่านถือว่าความทุกข์ของราษฎรส่วนใหญ่นั้นหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าท่านมากนัก ท่านจึงรับได้อย่างรู้เท่าทัน

นับว่าท่านเป็นพุทธาทิบัณฑิตโดยแท้ เพราะจะหาชนชั้นบนที่เข้าใจความข้อนี้นับว่ายากยิ่งนัก และใช่แต่ท่านจะเข้าใจความทุกข์ยากของคนส่วนใหญ่เท่านั้น หากท่านยังร่วมกับสามี อุทิศชีวิตเพื่อช่วยกันปลดเปลื้องความทุกข์ยากนั้นๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม หากยังทำไม่สำเร็จ เพราะมารที่ครอบงำโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมและรุนแรง ยังมีพลังอย่างเข้มแข็ง โดยผนวกเอากำลังจากบรรษัทข้ามชาติและอภิมหาอำนาจที่เป็นจักรวรรดิอย่างใหม่เข้ามาหนุนเป็นแรงผลักดันอย่างสำคัญยิ่งอีกด้วย

าจารย์ปรีดี ล้มเหลวจากงานอภิวัฒน์ของท่าน ก็เพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ดังที่สัจจะยังแพ้อาสัตย์อยู่ในระยะสั้น แต่ตามพระอนิจลักษณะ ทุกอย่างย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไป และข้าพเจ้าเชื่อว่าเมล็ดพืชที่อาจารย์ปรีดีและคณะราษฎรเพาะพันธุ์เอาไว้ในทางประชาธิปไตย รวมถึงขบวนการเสรีไทยที่กอบกู้ความเป็นไทให้สยามอย่างสมภาคภูมิ จักต้องคืนกลับมา ก่อนเวลาครบศตวรรษของการอภิวัฒน์สยาม ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้นแล อย่างน้อยท่านผู้หญิงก็ได้อยู่มาจนแลเห็นงานฉลองศตวรรษชาตกาลของสามีท่าน ซึ่งได้รับการเนรคุณจากชนชั้นปกครองมาเกือบจะโดยตลอด แต่ 8 พฤศจิกายน 2490 เป็นต้นมา ยังงานฉลอง 5 ทศวรรษและ 5 รอบนักษัตร ของวันประกาศสันติภาพ ซึ่งก็คือวันประกาศอิสรภาพ ที่สามีท่านกระทำในพระปรมาภิไธยของในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 โดยที่ขบวนการเสรีไทยก็ได้รับการเนรคุณมาเฉกเช่นงานอภิวัฒน์ของคณะราษฎรนั้นแล


อาจารย์ปรีดีเป็นคนไทยจำนวนน้อย ที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงและเมื่อมีอำนาจแล้ว ก็ไม่เป็นงัวที่ลืมตีน ท่านอยู่ข้างคนยากไร้ตลอดมา และท่านเป็นผู้ชายไทยจำนวนน้อยอย่างพิเศษ ที่ไม่เคยนอกใจภรรยาเอาเลย แม้ขณะมีอำนาจวาสนา ท่านอุทิศตนให้ครอบครัวอย่างอบอุ่นแต่ก็ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย นอกจากนี้แล้วท่านอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประชาชาติและราษฎร ตลอดจนมนุษยชาติ ด้วยความเสียสละในทุกๆ ทาง ไม่แต่ความคิดความอ่านและเวลาอันควรเป็นส่วนตน รวมถึงทรัพย์สินเงินทองที่ท่านหามาได้นอกเหนือเงินเดือน

กล่าวคือท่านตั้งโรงพิมพ์และสำนักพิมพ์แต่ก่อนการอภิวัฒน์ 2475 ทั้งต่อมาท่านยังร่วมกับมิตรสหายตั้งธนาคารเอเชียขึ้นอีกด้วย และแล้วท่านก็อุทิศผลงานทั้งหมดนี้ ให้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เพื่อสถาบันอุดมศึกษาแห่งใหม่ จะได้เป็นอิสระจากรัฐบาล แม้จนเบี้ยประชุมที่ท่านได้จากรัฐวิสาหกิจ หรือธุรกิจเอกชน เช่นบริษัทปูนซิเมนต์ไทย ท่านก็ไม่รับเบี้ยประชุมหรือค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยมีท่านผู้หญิงร่วมอนุโมทนาด้วยอย่างจริงใจ

รั้นเมื่ออาจารย์ปรีดีได้รับการเนรคุณจากรัฐบาลไทย หลังรัฐประหาร 2490 ซึ่งเป็นต้นตอแห่งการทำลายประชาธิปไตยของไทย รัฐบาลแต่นั้นมาทุกยุคทุกสมัยไม่ยอมจ่ายเบี้ยบำนาญให้ท่าน เฉกเช่นไม่ออกหนังสือเดินทางให้ท่านอีกด้วย ทั้งๆ ที่นั่นคือสิทธิอันชอบธรรมของท่าน หากท่านไม่มีศรีภรรยาอย่างท่านผู้หญิงพูนศุข ท่านคงลำบากยากเข็ญในทางเศรษฐกิจ ไม่ย่อหย่อนไปกว่าทางการเมือง เดชะบุญท่านผู้หญิงมีทรัพย์สินจากสกุลเดิมของท่านอยู่บ้าง จนถึงขนาดขายบ้านป้อมเพชรที่ถนนสีลม และนำเอาส่วนแบ่งมาซื้อที่อยู่ ณ ตำบลอองโตนี นอกกรุงปารีส และมีทุนทรัพย์พอสำหรับจับจ่ายใช้สอยในยามอพยพหลบภัยอยู่ฝรั่งเศส

ดยที่นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล้าอนุมัติให้ท่านโอนเงินออกไปต่างประเทศได้ ทั้งๆ ที่นั่นไม่ผิดกฎหมาย แต่คนที่ขาดความกล้าหาญทางจริยธรรมย่อมยากที่จะกระทำได้ ดังที่นายป๋วยเป็นคนแรกของลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นชนชั้นนำรุ่นหลัง แล้วกล้าออกไปพบท่านอาจารย์และท่านผู้หญิง ซึ่งเป็นเหตุให้คุณป๋วยถูกหมายหัวไปในทางเลวร้ายแต่นั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะก็ในแวดวงของชนชั้นสูง ที่กลัวสัจจะ

ใช่แต่ท่านผู้หญิงจะช่วยเหลือสามีทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ก็หาไม่ หากในทางการเมือง ท่านก็ช่วยอย่างปิดทองหลังพระมาโดยตลอด และที่สำคัญยิ่งก็ตอนที่อาจารย์ปรีดีแพ้จอมพลป.พิบูลสงคราม ในกรณีที่เรียกว่ากบฏวังหลวงในปี 2492 ท่านผู้หญิงหาที่หลบซ่อนให้สามีได้อย่างแยบคาย เป็นเวลานาน ทั้งยังวางแผนให้ท่านอาจารย์หลบหนีออกนอกประเทศได้โดยสวัสดิภาพ


ดังได้กล่าวแล้วว่าอาจารย์ปรีดีไม่ต้องการเพียงอิสรภาพของราษฎรสยาม (ซึ่งรวมถึงคนซึ่งไม่ใช่ไทย) หากท่านต้องการรับใช้มนุษยชาติอีกด้วย โดยเฉพาะก็ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตกอยู่ใต้อาณานิคมของฝรั่ง จนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านผู้หญิงสนับสนุนสามีในทุกกรณี จนประเทศนั้นๆ เข้าใจในคุณูปการดังกล่าว เมื่อลาวและเวียดนามฉลองเอกราชครบครึ่งศตวรรษ รัฐบาลของทั้งสองประเทศได้มอบเหรียญมิตรภาพอันสำคัญยิ่งแด่ท่านผู้หญิง ด้วยความคารวะสักการถึงตัวท่านเองและถึงสามีของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย ในขณะที่รัฐบาลไทยไม่เคยยกย่องเชิดชูเกียรติท่านด้วยประการใดๆ นอกเหนือไปจากการจับกุมท่านและบุตรชายคนโต ในข้อหาว่าเป็นกบฏทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ทั้งๆ ที่ปราศจากข้อเท็จจริงใดๆ สิ้น

ตรีที่เป็นท่านผู้หญิงนั้น ย่อมได้รับพระราชทานตราทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษของฝ่ายใน โดยที่ในรัชกาลที่ 8 สตรีที่ได้รับเกียรติยศถึงขั้นนี้มีเพียงสาม อีกสองท่านคือ 1) ท่านผู้หญิงพหลพลพยุหเสนา ภรรยาของท่านเชษฐบุรุษ ซึ่งเป็นผู้นำของคณะราษฎรในการนำอภิวัฒน์มาสู่สยาม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 2) ท่านผู้หญิงละเอียด ภรรยาจอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความเป็นเผด็จการจนตลอดรัชกาลที่ 8 แต่แล้วในช่วงนั้น ใครๆ ก็พากันยกย่องท่านผู้หญิงละเอียด ให้เป็นดัง First Lady ทั้งๆ ที่ต่อมาอาจารย์ปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ท่านผู้หญิงของท่านก็แสดงบทบาททางข้างหลังอย่างละเมียด ทั้งๆ ที่ภรรยาของอดีตประธานผู้สำเร็จราชการฯ คนก่อนได้รับพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้าฯ ของฝ่ายในด้วยซ้ำไป หากท่านผู้หญิงพูนศุขไม่ปรารถนายศศักดิ์อัครฐานใดๆ ให้เกินสถานะของสามัญชนไป

ทราบว่าเมื่อรัชกาลปัจจุบันเสวยราชย์ครบ 50 ปี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนชั้นตราจุลจอมเกล้าแก่ทุกๆ ท่านที่เคยได้รับตราดังกล่าวมาแต่รัชกาลที่ 8 เช่น ม.ล.ปุ๋ย ชัยนาม ได้รับเลื่อนจากตติยจุลจอมเกล้า วิเศษ (ต.จ.ว.) เป็นทุติยจุลจอมเกล้า (ท.จ.) หากท่านที่ได้รับทุติยวิเศษมาแล้ว และมีเพียงผู้เดียว หาได้รับเลื่อนชั้นไม่ ซึ่งท่านผู้หญิงพูนศุขก็ไม่ได้แสดงความแปลกใจหรือเสียใจแต่ประการใด

ท่านเป็นคนเข้าใจโลกธรรมทั้ง 8 ประการ อย่างรู้เท่าทัน ไม่ว่าจะลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือธรรมที่อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งเป็นของคู่กัน

แม้ข้าพเจ้าเองจะเคยเข้าใจท่านอาจารย์ปรีดีมาอย่างผิดๆ ทั้งยังเคยโจมตีท่านอย่างรุนแรง เมื่อรู้สำนึกผิด ไปขอขมาท่าน ทั้งท่านและท่านผู้หญิงอโหสิให้อย่างจริงใจ และทั้งสองท่านได้เมตตากรุณาข้าพเจ้าตลอดมา แม้เมื่อท่านอาจารย์จากโลกนี้ไปก่อนแล้วแต่ พ.ศ.2526 ท่านผู้หญิงก็กรุณาปรานีข้าพเจ้ากับครอบครัวและบริษัทบริวารทั้งหลายอยู่เนืองนิตย์ เมื่อญาติมิตรจัดงานฉลองอายุข้าพเจ้าครบ 6 รอบนักษัตรในพระอุโบสถวัดทองนพคุณ ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2548 ท่านผู้หญิงได้กรุณาไปเป็นประธานในงานและมอบพระพุทธรูปหยกให้ข้าพเจ้า

ท่านกล่าวว่า พระพุทธรูปหยกองค์นี้ ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ได้บูชาเสมอมาจนตลอดชีวิต ท่านผู้หญิงได้ปรึกษากับลูกๆ แล้ว เห็นสมควรมอบให้ข้าพเจ้า เพื่อรับไว้บูชาสักการะสืบต่อไป ข้าพเจ้าถือว่านี่เป็นนิมิตมงคลอันสำคัญ เท่ากับเป็นการสืบทอดเจตนาประชาธิปไตย ในทางสันติประชาธรรม ตามรอยพระพุทธวัจนะ จากท่านรัฐบุรุษอาวุโส ผู้ซึ่งเป็นต้นตอที่มาของประชาธิปไตยไทย ในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันชอบธรรม

ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานที่จะรักษาสภาพการปกครองดังกล่าวไว้ด้วยคำพูด ข้อเขียนและการกระทำ ในแนวทางของพระอริยมรรค จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และเชื่อว่าจะมีอนุชนสืบทอดแนวทางนี้สืบต่อไปชั่วกาลนาน เพื่อประโยชน์สุขของพหูชนชาวสยาม และมนุษยชาติ ตลอดจนสรรพสัตว์ (จากหลังปก ค่อนศตวรรษประชาธิปไตยไทย ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ของ ส. ศิวรักษ์ 20 เมษายน 2550)

อนึ่งวันที่ 24 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ข้าพเจ้าได้รับเชิญจากคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ให้ไปนั่งภาวนาร่วมกับมหาชนแต่คืนก่อนนั้น แล้วเขาอุปโลกน์ให้ข้าพเจ้ากล่าวนำ ณ เวลาย่ำรุ่ง ที่หน้าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งมีหมุดจารึกข้อความไว้ว่า 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง ณ ที่นี้ คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ

ก็ ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่งนั้น ผู้ที่อ่านประกาศของคณะราษฎรฉบับแรกคือนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ผู้นำของคณะอภิวัฒน์ โดยที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้ร่างเอกสารอันสำคัญยิ่งนี้ และบัดนี้เจตนารมณ์ของคำประกาศดังกล่าว ได้ปลาสนาการไปเกือบหมดสิ้นแล้ว

วาทะของข้าพเจ้า 75 ปีให้หลังคำประกาศครั้งแรก ย่อมขาดความแหลมคม เช่นแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว แต่ข้าพเจ้าก็จะพยายามแสดงเจตนารมณ์ไปในทางอภิวัฒน์ให้ราษฎรสยาม ได้เดินหน้าไปในทางเสรีภาพที่แท้ อย่างมีภราดรภาพเป็นน้ำกระสายที่สำคัญ ในอันที่เข้าสู่ความเสมอภาคให้จงได้ ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม อย่างน้อยก็ขอให้สัมฤทธิผลก่อนกาลครบศตวรรษของประชาธิปไตยไทย

ทั้งนี้เพื่ออุทิศน้ำพักน้ำแรงบูชาคุณท่านอาจารย์ปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่งของข้าพเจ้า แม้ท่านทั้งสองจะละโลกนี้ไปแล้ว ก็แต่ในทางร่างกาย ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านย่อมจะรับทราบได้โดยญาณวิถี และเชื่อว่าทั้งสองท่านจะมาเป็นพยานร่วมกับมหาชน ณ วันที่ 24 มิถุนายน ที่จะถึงนี้

โดยที่ท่านและปูชนียบุคคลอื่นๆ ในขบวนการของคณะราษฎรที่ไม่ทรยศต่อมวลชน และในขบวนการเสรีไทย คงจะรวมพลังกันจากปรโลก มาปกป้องพวกเราทั้งหลาย ในการที่จะเอาชนะมาร เพื่อความยุติธรรมและสันติของประชาชาตินี้ และของมวลมนุษยชาติ ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหมดทั้งสิ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 16

โพสต์

รูปภาพ
รูปภาพ

ขอไว้อาลัยแด่ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์

สตรีที่คนไทยและโลกควรยกย่อง.... :bow:
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ธรรมศาสตร์หลังท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
22 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 07:00:00


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

ข่าวการถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาคู่ชีวิตของท่านผู้ประศาสน์การ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ต้องถือเป็นข่าวใหญ่ข่าวสำคัญสำหรับชาวไทย โดยเฉพาะ ชาวธรรมศาสตร์

เพราะท่าน ดร.ปรีดี พนมยงค์ คู่ชีวิตของท่านและตัวท่านมีความผูกพันโดยตรงกับธรรมศาสตร์ โดย ดร.ปรีดี ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้คนสามัญชนธรรมดาได้มีโอกาสในด้านการศึกษา และสร้างความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มากมาย

ในอีกทาง "ธรรมศาสตร์" ได้เป็นสถาบันที่มีบทบาทต่อการสร้างและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของการเมืองไทยมาช้านาน ด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความมีอิสรภาพ เสรีภาพกับความเสมอภาคของคนไทย

ด้วยปัญหาการเมืองในอดีต ทำให้ชีวิตของท่านทั้งสองต้องผกผันจากบ้านเมืองห่างไกลไปพำนักในต่างแดน จนท่านผู้ประศาสน์การได้ถึงแก่อนิจกรรมในต่างแดน

เรื่องราวของธรรมศาสตร์หลังท่านดร.ปรีดี จึงผูกพันใกล้ชิดกับท่านผู้หญิงพูนศุข ภรรยาของท่าน ที่ชาวธรรมศาสตร์รุ่นหลังได้รู้จักหลังจากท่านได้เดินทางกลับมาอยู่เมืองไทยจนถึงแก่อนิจกรรม

ธรรมศาสตร์ได้มีประวัติการต่อสู้ที่โชกโชน ผมได้มีโอกาสสัมผัสซาบซึ้งถึงการบอกเล่าถึงจิตวิญญาณและเรื่องราวบรรยากาศการต่อสู้จากศิษย์เก่าหลายรุ่น ตั้งแต่ในยุคแรกๆ จนถึงรุ่น ต.มธก. หลายรุ่น ตั้งแต่สมัยเรียนเมื่อพ.ศ. 2504 และในสมัยที่เข้าทำงานเป็นอาจารย์เมื่อพ.ศ. 2511 ประสบการณ์ของผมเท่าที่มีต่อท่านทั้งสองคือ ดร.ปรีดี ท่านผู้ประศาสน์การได้วางรากฐานให้กับธรรมศาสตร์หลายๆ อย่าง ทั้งหลักสูตรแนวทางการศึกษา แล้วยังรวมถึงการออกแบบ พ.ร.บ.ธรรมศาสตร์ ให้มีรูปแบบกลไกการบริหารที่คล่องตัวกับมีทรัพย์สินบางส่วนเป็นกองทุนไว้ให้สำหรับธรรมศาสตร์

กับอีกครั้งเมื่อหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ท่านได้กล่าวสุนทรพจน์ (บันทึกเสียงจริงในเทป) มาถึงชาวธรรมศาสตร์ โดยนายก อมธ.สมัยนั้นนำมาเปิดให้ฟัง ในวันครบรอบสถาปนาธรรมศาสตร์

เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านผู้ประศาสน์การไม่ได้มีโอกาสมาเห็นถึงสภาพธรรมศาสตร์ในยุคของลูกหลาน

ทางเดียวของการแสดงถึงความกตัญญูต่อท่านหลังท่านผู้ประศาสน์การถึงแก่อนิจกรรมแล้วคือ การทำผ่านท่านผู้หญิงพูนสุข ศรีภรรยาของท่าน ดังเช่นพิธีนำอัฐิของท่านกลับประเทศ การทำพิธีและสร้างรูปปั้นของท่านพร้อมกิจกรรมรำลึกเป็นประจำทุกปี

งานใหญ่ที่ผมได้ร่วมคือ พิธีเปิดห้องสมุดปรีดี พนมยงค์ ที่สร้างขึ้นใหม่ โดยท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เป็นประธานเปิด อีกครั้งที่ผมได้มีโอกาสกราบและคุยกับท่านคือ ในงานแต่งงานของ รุจ พนมยงค์ หลานย่าของท่านผู้หญิง ในครั้งนั้นท่านได้เล่าว่า ท่านรู้จักคุ้นเคยกับ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มานาน โดยเคยเป็นครูสอนภาษาฝรั่งเศสให้กับดร.ป๋วยด้วย

ตลอดการจัดงานวันรำลึกถึงดร.ปรีดี ทุกปี ผู้บริหารธรรมศาสตร์ จะเชิญท่านผู้หญิงพูนศุขมาร่วมงานทุกครั้ง จนถึงปีนี้ด้วยปัญหาสุขภาพจึงมาไม่ได้ ในฐานะคู่ชีวิตของท่านผู้ประศาสน์การ ที่ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด ผมเชื่อว่า ท่านผู้หญิงพูนศุข ทราบดีถึงปณิธานการตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นอย่างดี รวมถึงการคาดหมายและหวังให้ชาวธรรมศาสตร์รักษาไว้ซึ่งบทบาทหน้าที่อันควรของธรรมศาสตร์ ในการเชิดชูประเทศชาติและระบบประชาธิปไตย กับการดูแลคนยากไร้ ให้คนไทยมีศักดิ์ศรีและอยู่ดีกินดี มีสิทธิเสมอภาค กับการรักษาความเป็นธรรม คือ หน้าที่ของชาวธรรมศาสตร์ ที่จะต้องรักษาและทำต่ออย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและของประเทศ ธรรมศาสตร์ยุคหลังในช่วงยี่สิบปีกว่าที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ซึ่งเป็นธรรมดาที่ธรรมศาสตร์ได้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนามากด้วย โดยเรื่องใหญ่ที่เป็นข่าวอยู่นานระยะหนึ่งคือ การย้ายการเรียนการสอนไปรังสิต ซึ่งมีการแก้ต่างว่าแท้จริงเป็นเพียงการขยาย ไม่ใช่ย้ายไป เรื่องต่อมาคือ ในท่ามกลางปัญหาการเมือง ได้มีศิษย์เก่าและประชาชนทั่วไป ถามถึงบทบาทที่น้อยและเลือนหายไปในการติดตามและวิพากษ์ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม กับการเมือง

แต่ที่แน่ๆ คือ ธรรมศาสตร์ยุคใหม่มีความทันสมัย เกาะติดและตามทันกระแสทุนโลกกับความเจริญทางเทคโนโลยี รู้จักการทำประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ในรูปแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะมีการก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์มากมาย พร้อมกับบุคลากรจำนวนหนึ่งที่ไปอยู่ใกล้ชิดกลุ่มอำนาจทางการเมืองด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งผิดปกติอะไร หากยังมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่และเข้าใจกับรู้จักรักษาไว้ซึ่งจิตวิญญาณที่ผู้ก่อตั้งได้ให้ไว้ สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นปัญหาขึ้นได้คือ ปัญหาการมีกิเลสกับโลภ มากกว่าการมีปัญญาความรู้ กับความซื่อสัตย์และความกตัญญู

ธรรมศาสตร์ทุกวันนี้ร่ำรวยกว่าแต่ก่อนมาก จากรายได้ตามปริมาณกิจกรรมพิเศษต่างๆมากมาย จนดูคล้ายธรรมศาสตร์ได้แปรรูปตัวเองสำเร็จไปแล้วอย่างเงียบๆ สอดคล้องกับความเจริญของยุคโลกาภิวัตน์ แต่ปัญหาที่ท้าทายให้คิดในวาระที่เราทำพิธีรำลึกถึงท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ คือ เราได้มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่มุ่งทำตามปณิธานของท่านผู้ประศาสน์การหรือไม่ เพียงใด ?

เพราะทุกวันนี้ ทิศทางของธรรมศาสตร์จะไปทางไหน แม้คนในเองก็งงงวย ในวาระนี้จึงเป็นวาระเหมาะที่ผู้บริหารที่รับผิดชอบต้องตั้งสติ นำธรรมศาสตร์ให้ทำหน้าที่ที่พึงทำ คือ ถือประเทศชาติและประชาชนเป็นใหญ่ มากกว่าประโยชน์ส่วนตนกับพรรคพวก ทั้งนี้ เพราะผมเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกับปณิธานความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้ง รวมไปถึงเจ้าที่เจ้าทางที่ได้เคยต่อสู้ให้ได้ที่ผืนนี้มาด้วยความยากลำบาก

ในช่วงเวลาของการรำลึกและไว้อาลัยต่อการจากไปของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ จึงขอถือโอกาสเตือนเราทุกคน ให้รู้จักถึงการต้องมีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ รู้จักทำความดี และมีความกตัญญูกับผู้มีพระคุณที่ได้ให้โอกาสกับเรา

ธงชัย สันติวงษ์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์

121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 18

โพสต์

ตามมาอาลัย ตามมาอ่าน ตามมาขอบคุณอีกครั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

บุคคลสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งที่จากไป...>>>

โพสต์ที่ 19

โพสต์

ท่านผู้หญิงพูนศุข : คู่ชีวิตรัฐบุรุษอาวุโส (1)

พลวัตเศรษฐกิจ : อนุสรณ์ ธรรมใจ  
กรุงเทพธุรกิจ  วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2550


ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม วันอาทิตย์นี้จะมีการจัดงานพิธีไว้อาลัยแด่ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตั้งแต่เวลาบ่ายสองโมง

ผมติดภารกิจสอนหนังสือที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทั้งเสาร์และอาทิตย์แต่ตั้งใจว่าจะมาให้ทันงานพิธีให้ได้ อาจจะเข้าร่วมในช่วงท้ายๆ ของพิธี

ผมค้นคว้าชีวิตและผลงานของท่านปรีดี พนมยงค์ และท่านผู้หญิงพูนศุข อย่างละเอียดด้วยความศรัทธาต่อบทบาทของท่าน ที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ ประชาชน เอกราชและประชาธิปไตยของไทย และชีวิตของสองท่านนี้จะเป็นแรงบันดาลใจ ให้สามัญชนที่ต้องการมีใครสักคน เป็นต้นแบบในการทำงานเพื่อสาธารณะ สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้อย่างสนิทใจ

ถ้าหากขาดซึ่งคู่ชีวิตอย่างท่านผู้หญิงพูนศุขแล้ว ท่านปรีดีก็อาจจะไม่สามารถทุ่มเทเวลา และชีวิตในการปฏิรูป และอภิวัฒน์ประเทศไทยได้มากเท่านี้ แม้นเวลาในการอยู่ในอำนาจทางการเมืองของท่านปรีดีค่อนข้างสั้น แต่ก็เป็นเวลาที่มีความหมายในการสร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองและประชาชน

ผมได้เตรียมการจัดพิมพ์ หนังสือรัฐบุรุษผู้อภิวัฒน์มาเกือบปี แต่ด้วยความวุ่นวายในภารกิจมากมาย ก็ไม่ได้ดำเนินการให้เรียบร้อย จนกระทั่งเวลาก็ล่วงเลยมา อย่างไรก็ตาม ท่านผู้หญิงก็ได้เขียนคำนิยมมอบไว้ให้ ก่อนที่ท่านจะถึงแก่อนิจกรรม คาดว่าสำนักพิมพ์เนชั่นบิซบุ๊ค คงจะได้พิมพ์ออกมาเผยแพร่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

ท่านผู้หญิงพูนศูขต้องถือว่าเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของท่านรัฐบุรุษอาวุโสเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่การลี้ภัยทางการเมืองครั้งแรกของท่านปรีดี ก็ส่งผลต่อชีวิตของภรรยาและลูกๆ อีกหลายคน

การลี้ภัยทางการเมืองครั้งแรกนั้นเกี่ยวพันกับการนำเสนอ เค้าโครงเศรษฐกิจสมุดปกเหลือง และนำมาสู่การถือป้ายสีด้วยข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์

ในหมวดที่ 1 ของร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจสมุดปกเหลือง ท่านปรีดีได้กล่าวว่า การบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ เป็นจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้า ในการทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาที่จะเปลี่ยน พระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวมาเป็นหลายองค์ ซึ่งเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยแต่เปลือกนอกเท่านั้น ข้าพเจ้ามุ่งต่อสาระสำคัญคือ บำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎร และถือว่ารัฐธรรมนูญเปรียบประดุจกุญแจ ที่จะไขประตูเปิดช่องทางให้ราษฎร ได้มีส่วนมีเสียงในการปกครองให้จัดถูกต้องตามความต้องการของตน

ท่านปรีดีได้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ พุทธศักราช.....ซึ่งใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้เสนอให้รัฐบาลจัดให้มีธนาคารแห่งชาติ โดยเอาเงินทุนสำรองของรัฐบาล และเงินที่จะกู้จากเอกชนมาเป็นทุนของธนาคารแห่งชาติ

ครั้นต่อมา วันที่ 1 เมษายน 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา พร้อมกันนั้น เมื่อวันที่ 2 เมษายน ได้ออกกฎหมาย พระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ นายปรีดีเป็นเหยื่อคนแรกของ พ.ร.บ.นี้ถูกประณามว่าเป็นคอมมิวนิสต์และบังคับให้เดินทางออกนอกประเทศ

หลังจากที่ท่านปรีดีเสนอร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจ บรรยากาศทางการเมือง ค่อนข้างจะตึงเครียด ท่านผู้หญิงพูนศุขกับครอบครัว จึงย้ายกลับมาอยู่บ้านป้อมเพชร์ ถนนสีลม เพื่อความปลอดภัย

นายปรีดีรู้ตัวว่าต้องออกนอกประเทศในวันที่ 1 เมษายน 2476 ซึ่งเป็นวันปิดสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง การเตรียมตัวค่อนข้างฉุกละหุก รัฐบาลโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกหนังสือรับรองว่า เป็นการเดินทางไปดูงานด้านเศรษฐกิจในต่างประเทศในฐานะพลเมืองสามัญ และขอให้ได้รับความเอื้อเฟื้อและความสะดวกทุกอย่างตามอัธยาศัย

ชีวิตครอบครัวของท่านผู้หญิงพูนศุขนั้น ต้องระหกระเหินและผันผวนไปตามเส้นทางอันคดเคี้ยวของประชาธิปไตยไทย ลูกๆ ของครอบครัวพนมยงค์ได้เขียนบันทึกถึงเหตุการณ์ลี้ภัยทางการเมืองครั้งสำคัญของท่านปรีดีหลังการรัฐประหาร 2490 ว่า

แม้คุณพ่อไม่ได้อยู่เมืองไทย เป็นเสี้ยนหนามขวางทางของคณะรัฐประหาร 2490 แล้วก็ตาม แต่ครอบครัวเรา ก็มิวายโดนกลั่นแกล้ง จากผู้มีอำนาจในแผ่นดินมาโดยตลอด เมื่อจับคุณพ่อไม่ได้ ก็จับคุณแม่แทน เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2495 คุณแม่ถูกตำรวจในยุคของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ จับกุมในข้อหาอุกฉกรรจ์ กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร ทุกๆ 12 วัน ตำรวจจะนำคุณแม่ไปศาลเพื่อฝากขัง ถึงแม้คุณยายจะยื่นขอประกันแต่ศาลก็ไม่อนุญาต ทั้งๆ ที่ผู้พิพากษาที่นั่งบัลลังก์ก็เป็นศิษย์ของคุณพ่อ ต่างกับปัจจุบันโทษฐานฆ่าคนตายศาลก็ให้ประกัน

84 วันในที่คุมขังกองสันติบาล กรมตำรวจ แม้คุณแม่จะปวดร้าวเพียงใด ที่ถูกทำร้ายทางใจ และถูกลิดรอนอิสรภาพ ซ้ำลูกชายคนโตก็โดนจับกุมในข้อหาเดียวกัน คุณแม่ยังคงมีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ได้แสดงความอ่อนแอแม้แต่น้อย น้ำตาสักหยดก็ไม่มี นายตำรวจที่สอบสวนพยายามยุแหย่ให้คุณแม่เกิดความคลางแคลงใจในความซื่อสัตย์ของคุณพ่อ แต่ทว่าไร้ผล เพราะคุณพ่อกับคุณแม่มีความรักและเชื่อใจกันและกัน คุณแม่ไม่ยอมวอนขอความปรานีจากผู้มีอำนาจ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนตายคุณพ่อ

ขณะนั้นคุณแม่อายุ 40 ปี

นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงยังได้เขียนเล่าเหตุการณ์ที่ผู้มีอำนาจรัฐได้พยายามยัดข้อหาให้กับ ท่านผู้หญิงพูนศุข และบรรดาผู้ใกล้ชิดท่านปรีดีในข้อหา กบฏ ด้วยความกล้าหาญ และจิตใจที่เข้าถึงธรรมะอย่างแท้จริง

หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ความวุ่นวายของบ้านเมือง ความปลอดภัยของข้าพเจ้าและลูกๆ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะถูกคุกคามเช่นเดียวกับเช้ามืดของวันที่ 8 พฤศจิกายน ที่คณะรัฐประหารใช้รถถังและปืนกลกระหน่ำยิงใส่ทำเนียบท่าช้างอีกหรือไม่

ข้าพเจ้าได้พาลูกๆ ไปหลบร้อนพึ่งเย็นที่บ้านพักนาวิกโยธิน อ่าวเตยงาม สัตหีบ ซึ่ง พล.ร.ต.ทหารขำหิรัญ ได้ให้การต้อนรับอย่างดี

ต่อมา ท่านผู้หญิงพูนศุข ก็ถูกยัดข้อหา กบฏสันติภาพ โดยท่านเขียนบันทึกไว้ว่า

"ในที่คุมขังกองสันติบาล กรมตำรวจ ข้าพเจ้าตั้งคำถามกับตนเองว่า ฉันทำผิดอะไร เป็นเพียงเพราะเป็นภรรยานายปรีดี ที่ทางการต้องการตัวกระนั้นหรือ จึงกลายเป็น ผู้ต้องหา เป็น กบฏ และ คนขี้คุก

ยามปกติ คนเราจะไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำว่า อิสรภาพ เท่าใดนัก แต่เช่นในกรณีที่ข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมชะตากรรมกบฏสันติภาพ ต้องอยู่ในที่คุมขังและเรือนจำแล้ว อิสรภาพเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด อิสรภาพเป็นสิ่งที่ผู้บริสุทธิ์ทุกคนถวิลหา ข้าพเจ้าเชื่อในพุทธภาษิตว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ในไม่ช้าก็เร็ว พวกเราทุกคนจะต้องได้รับอิสรภาพ


--------------------------------------------------------------------------------
ท่านผู้หญิงพูนศุข : คู่ชีวิตรัฐบุรุษอาวุโส (2)

พลวัตเศรษฐกิจ : อนุสรณ์ ธรรมใจ  
กรุงเทพธุรกิจ   วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2550


ภาพของชายอาวุโส มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกแขนหนึ่งควงคู่ไปกับสตรีสูงอายุ ผมสีดอกเลา เดินเล่นอย่างสงบสุขในสวนสาธารณะ ชานกรุงปารีสในยามฟ้าใส เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง ชายชราและสตรีสูงอายุคู่นี้ คือ รัฐบุรุษอาวุโสของไทยผู้พลัดถิ่น พร้อมภริยาคู่ชีวิต ลูกๆ ของท่านผู้หญิงพูนศุขได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า พอทีกับการถูกลิดรอนอิสรภาพ และการถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชน คุณแม่ถูกคุมขัง 84 วัน ในกองสันติบาลกรมตำรวจ ตามอำนาจของพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภายหลังจากคุณแม่ได้รับอิสรภาพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2495 จากข้อกล่าวหา กบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร แล้ว คุณแม่ได้ตัดสินใจเดินทางไปประเทศฝรั่งเศส ดินแดนแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตย ที่ใดมีคุณพ่อ ที่นั่นย่อมมีคุณแม่

จากประเทศฝรั่งเศส คุณแม่เดินทางไปร่วมทุกข์ร่วมความสุขกับคุณพ่อที่ประเทศจีน และต่อมาครอบครัวเราได้ย้ายมาพำนักที่บ้านอองโตนี ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตคุณพ่อ

นอกจากนี้ท่านผู้หญิงยังได้บันทึกเหตุผลและเหตุการณ์ช่วงก่อนลี้ภัยทางการเมืองอันยาวนานไว้อย่างละเอียด ความว่า คืนหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2496 ก่อนหน้าที่อัยการจะยื่นฟ้องคดีกบฏสันติภาพเพียงวันเดียว พ.ต.ต.เสริม พัฒนกำจร สารวัตรตำรวจที่รักความเป็นธรรมซึ่งข้าพเจ้ามิได้เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน ได้นำข่าวดีมาแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบเป็นการส่วนตัวว่า อัยการสั่งไม่ฟ้อง เป็นอันว่าข้าพเจ้าถูกคุมขังครบ 84 วัน ตามอำนาจของพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาตามความอาญา โดยเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีความผิดใดๆ

หลักปรัชญาชีวิตของท่านปรีดีและท่านผู้หญิง ทำให้วิถีชีวิตของทั้งสองท่านมีความเรียบง่ายและงดงามด้วยคุณธรรม ท่านผู้หญิงพูนศุขไม่เคยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของสามี ตักตวงผลประโยชน์เพื่อตนเองและวงศาคณาญาติ ไม่เคยจุ้นจ้านเกี่ยวข้องการงานของผู้นำ วัตรปฏิบัติแบบนี้ย่อมแตกต่างจากบรรดาภริยาของผู้นำของไทยหลายท่านในอดีต ครับ

ชะตากรรมของประเทศและชีวิตอันผกผันของท่านปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขนั้น เป็นผลมาจากการอภิวัฒน์ 2475 และความพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศตามอุดมการณ์ รวมทั้งความขัดแย้งต่อสู้กันของสองขั้วใหญ่ทางเศรษฐกิจการเมือง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ขั้วหนึ่ง เป็นตัวแทนของความคิดอนุรักษนิยมศักดินา และมีทัศนะทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมศักดินา กลุ่มประกอบไปด้วยตัวแทนของระบอบเก่า กลุ่มเจ้าและกลุ่มศักดินาอนุรักษ์เก่า กลุ่มขุนนางเก่า และบางส่วนของคณะราษฎรที่มีความคิดอนุรักษ์

อีกขั้วหนึ่ง คือ กลุ่มที่มีความคิดก้าวหน้าทางการเมือง และเศรษฐกิจ นำโดยท่านรัฐบุรุษอาวุโส ดร.ปรีดี หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม มีแนวความคิดประชาธิปไตยแบบก้าวหน้า ผสมผสานกับเสรีนิยม ที่มีส่วนผสมของแนวคิดแบบสังคมนิยมแบบอ่อนๆ

หลังจากท่านได้เข้ามาบริหารประเทศแล้วและผ่านประสบการณ์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การจัดตั้งขบวนการเสรีไทย และการเจรจาต่อรองในเรื่องอธิปไตยทางเศรษฐกิจการเมืองและความเป็นธรรมในด้านต่างๆ ผมเข้าใจว่าท่านเป็นเสรีนิยมมากขึ้น แต่ก็มิได้ละทิ้งจุดยืนบางด้านของสังคมนิยมที่เป็นประโยชน์ต่ออาณาประชาราษฎร

ความโดดเด่นทางการเมืองของ ปรีดี พนมยงค์ และความเอาการเอางานในการบริหารบ้านเมืองของท่าน ทำให้คู่แข่งทางการเมืองและกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่สูญเสียผลประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลง รวมตัวกันเพื่อโค่นล้ม มีการปล่อยข่าวลือป้ายสีด้วยข้อหารุนแรงที่ปราศจากข้อเท็จจริง และนำมาสู่การรัฐประหาร 2490 ปิดฉากบทบาททางการเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นของความระหกระเหินของครอบครัวพนมยงค์

ชีวิตบั้นปลายของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ กับคู่ชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ด้วยบำนาญเล็กๆ น้อยๆ อยู่ภายในบ้านชานกรุงปารีส ซึ่งเช่าซื้อด้วยเงินที่ได้จากขายสมบัติของตระกูล ณ ป้อมเพชร มีรายได้จากการเขียนบทความขายและดำรงชีวิตอยู่อย่างสมถะ

การที่นักการเมืองอย่าง ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้มีส่วนสำคัญในการนำประชาธิปไตยมาสู่สยามประเทศเมื่อ 75 ปีที่แล้ว เป็นนักการเมืองที่ต้องลี้ภัยการเมืองนานกว่า 30 ปี เป็นหัวหน้าเสรีไทยที่นำประเทศไม่ให้แพ้สงคราม นักการเมืองไทยที่ เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล ก็ดี ลอร์ด หลุยส์ เมาท์เบตแตนท์ ก็ดี จูเอนไหล ก็ดี ยกย่องให้มีความสำคัญระดับโลก

ต้องประสบชะตากรรมอันระหกระเหินและลี้ภัยในต่างแดน เป็นเรื่องที่ต้องนำมาขบคิดว่า สังคมไทยยอมปล่อยให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?

ในช่วงบั้นปลายชีวิต ท่านผู้หญิงมีความจำเป็นเลิศและจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้อย่างไม่ลืมเลือน ท่านได้บันทึกไว้ว่า ข้าพเจ้าทบทวนเหตุการณ์หนหลังด้วยใจอันสงบมิได้โกรธแค้นหรือคิดอาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ขณะเดียวกัน รำลึกถึงทุกท่านที่เสี่ยงภยันตรายช่วยเหลือนายปรีดีให้พ้นภัยในครั้งกระนั้นด้วยความขอบคุณ บันทึกฉบับนี้เป็นเพียงความทรงจำ ของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ปรารถนาให้สาธารณชน และผู้สนใจได้ติดตามเสี้ยวหนึ่งในประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมาที่เป็นอยู่ มิได้บิดเบือนหรือปรุงแต่งแต่ประการใด

ผมเป็นผู้น้อยที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร แต่ท่านผู้หญิงมักจะส่งหนังสือธรรมะ และหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย แนวคิดและผลงานท่านปรีดีให้ผมอ่านเป็นประจำ และมักเขียนด้วยลายมือตัวเองในการฝากฝังเรื่องบ้านเมืองด้วย

วันที่มีการจัดงานไว้อาลัย ท่านผู้หญิงพูนศุข เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ช่วงเช้าผมสอนหนังสืออยู่ที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมตั้งใจว่าจะต้องมาให้ทันร่วมงานให้ได้ ขึ้นเครื่องที่สนามบินเชียงใหม่เวลา 2 โมงครึ่ง ถึง กรุงเทพฯ 3 โมงกว่า ไปถึงช่วงท้ายงานพอดี (นึกว่าจะไปไม่ทันเสียแล้ว) เจอผู้คนมากมายรวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านมาร่วมงาน ได้สนทนากันอยู่จนเย็นค่ำ

ผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกมุ่งมั่นกว่าเดิมในการเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในการช่วยกันผลักดันปฏิรูปเพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า และร่วมกันฟื้นฟูประชาธิปไตย แม้หนทางจะยากลำบากเพียงใด ก็ต้องฟันฝ่าให้ได้

โดยที่ท่านปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุขได้แสดงให้เห็นเป็นแบบอย่างอันงดงาม ครับ
โพสต์โพสต์