http://www.thaimyths.com/

บัวแก้ว โต้ข้อกล่าวหาของเว็บไทยโกหก - เร่งแจงสื่อต่างชาติ
มติชน วันที่ 10 พ.ค. 2550
วันนี้ (10 พ.ค.) นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.)ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ A Project of USA For Innovation จัดทำเว็บไซต์ www.thailies.com ตอบโต้รัฐบาลไทย และกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยโกหกใน 10 เรื่องว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ทำการชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประกาศใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาของไทยขึ้นบนเว็บไซต์ www.mfa.go.th ของกระทรวงแล้วเพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เข้าถึงข้อมูลอีกด้านหนึ่งด้วย นอกจากนี้เรากำลังพิจารณาว่าจะใช้มาตรการอื่นๆ ต่อไปโดยร่วมมือกับหน่วยราชการที่เกี่ยว
นายธฤต กล่าวอีกว่า นายนิตย์ พิบูลย์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการให้คอยติดตามสถานการณ์และการเสนอข่าวของสื่อมวลชนต่างประเทศในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และทำการชี้แจงข้อเท็จจริงให้สื่อเหล่านั้นได้ทราบ โดยเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้ส่งจดหมายชี้แจงข้อเท็จจริงไปยังหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ไฟแนนเชียลไทม์ส และชิคาโกซันไทม์ส ที่มีการลงบทความในเรื่องนี้เพื่อชี้แจงถึงจุดยืนและข้อเท็จจริงจากมุมของเรา โดยวอล์ลสตรีทเจอร์นัลได้ตอบรับว่า จะลงคำชี้แจงของเราในเร็วๆ นี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้สั่งการให้นางนงนุช เพชรรัตน์ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ และนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เดินทางไปยังสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้เพื่อสมทบกับคณะของ นายแพทย์มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่จะเดินทางกลับจากสวิสเซอร์แลนด์มายังสหรัฐฯ เพื่อเจรจากับทางการสหรัฐฯ อีกครั้ง อย่างไรก็ตามกระทรวงการต่างประเทศกำลังอยู่ในระหว่างประสานงานเรื่องกำหนดนัดหมายให้กับนายแพทย์มงคลด้วย
ผมทนได้ครับ อิอิbsk(มหาชน) เขียน:
นี่ยังไม่ได้ว่าถึงกรณี youtube อีกกรณีนึง ซึ่งใครได้เห็นแล้วคงทนไม่ได้แน่
จะลุยกันซักตั้งมั้ยเรา...
ขอ discuss นะครับlekmak333 เขียน:มันไม่ได้เกี่ยว เห็นใจหรือไม่เห็นใจ หรือควรสมน้ำหน้าคนติดเชื้อ HIV ครับ
ประเทศเรามีผู้ติดเชื้อ หลายแสนคน หากเข้าไม่ถึงยาต้าน คุณคิดดูเอาเองเหอะ ประเทศชาติรับภาระไว้แค่ไหน เป็นภาระสังคมแค่ไหน สูญเสียทรัพยากรไปแค่ไหน
การที่ผู้ติดเชื้อเอดส์ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำงานได้ ไม่เป็นภาระของสังคม ทางออกในการหายาต้านราคาไม่แพง ที่กำลังตัวเองหาซื้อมารับประทานได้ เป็นทางออกที่ดูดีมากๆครับ
แล้วถ้าตัวเองเป็นบริษัทยา คิดค้นแล้วไม่คุ้มทุน แล้วใครจะทำล่ะครับsunrise เขียน:
ไม่เคยเห็นบริษัทที่ขายยาแพงๆ ตายลง
ถ้าราคายาไม่ได้ขายที่ very high premium แต่คนป่วนน่ะตายแน่ๆ
ยาที่คิดได้ พอหมดสิทธิบัตร คนไม่รวยก็ได้ใช้นะครับ :Dsunrise เขียน:
บริษัทยานี่ เป็น ลูซิเฟอร์จริงๆ
ตอนแรกเป็นเทพคิดยาได้ ตอนหลังตกสวรรค์เป็นมาร
เพราะยาที่คิดได้ขายให้เฉพาะคนรวย
พูดได้ดีครับ ตรงใจดีchatchai เขียน:ถ้าเราเป็นผู้ป่วยคงคิดแบบหนึ่ง
ถ้าเราเป็นคนไทย ก็คิดแบบหนึ่ง
ถ้าเราเป็นคนอเมริกา ก็อาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง
ถ้าเราเป็นคนอเมริกาที่เพิ่งซื้อหุ้นบริษัทยาไม่นานมานี้ ก็คงคิดอีกแบบหนึ่ง
และถ้าเราเป็นคนไทยที่เพิ่งซื้อหุ้นบริษัทยาไม่นานมานี้ จะคิดแบบไหน
ตัดวงจรอุบาทว์แห่งความกลัวและกับดักทาส : กรณีซีแอลไทย
โดย ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์
หน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์สังคม
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การหากินกับชีวิตผู้ป่วยของธุรกิจยาข้ามชาติ
บริษัทยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐ เป็นธุรกิจที่ทำกำไรสูงมาก 21.2-58.6% ซึ่งสูงกว่าธุรกิจชนิดอื่นๆ อย่างมาก โดยใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาเฉลี่ยเพียงแค่ 13.9% เท่านั้น กลยุทธ์ที่ธุรกิจยาข้ามชาติสามารถทำกำไรได้สูงขนาดนี้ คือ การผูกขาดตลาดภายใต้ระบบสิทธิบัตร
สหรัฐพ่ายแพ้ในเวทีการเจรจาองค์การการค้าโลก (WTO) จึงทำให้ข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้า หรือข้อตกลงทริปส์ มี "ช่องหายใจ" เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากระบบผูกขาดทรัพย์สินทางปัญญา นั่นคือ มาตรการยืดหยุ่น (TRIPs" Flexibilities) ของการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา (Compulsory Licensing) เพื่อสร้างปัญหาความสมดุลระหว่างการทำกำไรที่เกินเลยกับการช่วยชีวิตคน
แม้ว่าข้อตกลงทริปส์จะมีผลมากว่าสิบปีแล้ว แต่ประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาไม่ได้ใช้มาตรการนี้ในการแก้ปัญหาการเข้าถึงยา เนื่องจากกลัวแรงกดดันทางการค้าของสหรัฐ แต่เมื่อปัญหาการเข้าถึงยาของประเทศกำลังพัฒนา-ด้อยพัฒนาและปัญหาสาธารณสุขถึงจุดสูงสุด ประเทศเหล่านี้เริ่มใช้มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา เพื่อแก้ปัญหาในภูมิภาคอาเซียนเริ่มจากมาเลเซีย
ธาตุแท้ของอันธพาลธุรกิจยาข้ามชาติ
เกิดอะไรขึ้นเมื่อไทยประกาศใช้มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา ธุรกิจยาข้ามชาติสหรัฐ สั่งสอนประเทศไทยด้วยท่าทีแข็งกร้าวและรุนแรงเพื่อปรามไม่ให้ประเทศอื่นๆ ทำตาม โดยใช้ทุกวิถีทางด้วยอำนาจของธุรกิจยาข้ามชาติที่อยู่เหนือการเมืองและเศรษฐกิจสหรัฐ จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลสหรัฐใช้มาตรา 301 พิเศษ เป็นเครื่องมือในการข่มขู่, การใช้บริษัทล็อบบี้ยิสต์ในคราบของบริษัทประชาสัมพันธ์ และเอ็นจีโอเก๊ อย่าง "ยูเอสเอ ฟอร์ อินโนเวชั่น" ในการสื่อสารบิดเบือนข้อมูลทั้งในไทยและสหรัฐ, ทุ่มซื้อทั้งสื่อบุคคล สิ่งพิมพ์ และอินเตอร์เน็ต รวมถึงการใช้ชีวิตผู้ป่วยเป็นตัวประกันด้วยการขอถอนคำขอขึ้นทะเบียนยา 7 รายการออกจากการพิจารณาของ อย.ทั้งหมด ล้วนแสดงชัดถึงจุดยืนของประโยชน์ทางการค้าอยู่เหนือชีวิตคน
1.มาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาของไทยขัดกับข้อตกลงทริปส์
ข้อเท็จจริง คือ ผู้แทนการค้าสหรัฐ เลขาธิการองค์การอนามัยโลก และนักวิชาการด้านทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหลาย ได้ยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ไทยทำถูกต้องตามข้อตกลงทริปส์ข้อ 31 บี
2.รัฐบาลจากการรัฐประหารของไทย ฉีกสิทธิบัตรเพื่อประหยัดงบประมาณยานำไปซื้ออาวุธ
ข้อเท็จจริง คือ ความพยายามในการก้าวพ้นการผูกขาดยาที่ไม่เป็นธรรมโดยใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยา ได้ก่อตัวในสังคมไทยมาเกือบสิบปีแล้ว และหลังสุดในรัฐบาลทักษิณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) ได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการซึ่งประกอบไปด้วยข้าราชการจากหลายกระทรวง นักวิชาการ นักวิชาการชีพ องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์กรภาคประชาชน และต่อมา คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่มีนายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานคณะกรรมการในขณะนั้นได้มีมติให้ใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาของยาเอฟาไวเรนซ์ ซึ่งรัฐมนตรีพร้อมจะลงนาม แต่ก็ถูกรัฐประหารก่อน เมื่อการดำเนินการอย่างรอบคอบและถูกต้องมาถึงมือ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีสาธารณสุขคนปัจจุบัน ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นได้ และการที่ สปสช.สามารถหายาได้ถูกลง ก็สามารถเพิ่มจำนวนผู้ป่วยให้เข้าถึงยาได้มากขึ้น ไม่ได้เอางบประมาณส่วนนี้ไปซื้ออาวุธ งบประมาณสาธารณสุขได้รับมากเป็นอันดับสองรองจากการศึกษา และงบประมาณที่ประหยัดได้กำลังจะถูกนำไปใช้การรณรงค์ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์รายใหม่
3.ยาจีพีโอเวียร์ขององค์การเภสัชกรรมห่วย ไม่ผ่านการรับรองขององค์การอนามัยโลก
ข้อเท็จจริง คือ ยานี้คิดค้นโดยองค์การเภสัชกรรมและได้รับอนุสิทธิบัตร มีคุณภาพดี สามารถรักษาชีวิตผู้ติดเชื้อในขณะนั้นได้เป็นเรือนแสน และนำไปสู่การที่ระบบหลักประกันสุขภาพจ่ายยาต้านให้ผู้ติดเชื้อได้ เพราะราคายาลดจากวันละสองพันกว่าบาทมาเป็นสี่สิบบาทเท่านั้น
4.จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดล ยาจีพีโอเวียร์ทำให้เกิดการดื้อยาสูงระหว่าง 39.6-58%
ข้อเท็จจริง คือ บิดเบือนข้อมูลทางวิชาการนำไปสู่การตีความผิด การศึกษานี้ต้องการรู้ว่าการดื้อยาที่มาจากโครงสร้างของตัวยาเป็นอย่างไร ยาจีพีโอเวียร์ประกอบด้วยตัวยาสามตัว คือ ลามิวูดีน สตาวูดีน และเนวิราปีน ดังนั้น ไม่ว่ายายี่ห้อใดที่ประกอบด้วยตัวยาเช่นเดียวกับยาจีพีโอเวียร์ ก็ทำให้ดื้อยาในอัตราเดียวกัน ไม่ได้เป็นเฉพาะกับยาจีพีโอเวียร์
วงจรอุบาทว์แห่งความกลัวและตกเป็นทาส : การแก้ไขกฎหมายสิทธิบัตร
เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว สหรัฐก็ใช้มาตรา 301 กดดันไทยให้แก้ไข พ.ร.บ.สิทธิบัตร ด้วยการเพิ่มการคุ้มครองผลิตภัณฑ์ยา และขยายอายุสิทธิบัตรจาก 15 ปี เป็น 20 ปี โดยใช้วิธีการเช่นเดียวกับในปัจจุบันทุกอย่าง ตั้งแต่การบิดเบือนข้อมูลว่าประเทศไทยเป็นโจรปล้นทรัพย์สินทางปัญญาด้านยา ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นไทยให้การคุ้มครองการประดิษฐ์คิดค้นยาในกระบวนการผลิต แต่ไม่ให้สิทธิผูกขาดอย่างสมบูรณ์ในผลิตภัณฑ์ยา จึงเป็นตัวกระตุ้นให้มีการคิดค้นกระบวนการผลิตยาที่หลากหลายเพื่อให้เกิดการแข่งขันในตลาดยา เมื่อถูกขู่จากสหรัฐในการตัดจีเอสพี ไทยจึงยอมแก้กฎหมายตามที่สหรัฐต้องการ ในปี 2535 ฉบับแก้ไขนี้ได้มีกรรมการสิทธิบัตรยาเพื่อควบคุมราคายาสิทธิบัตร
ต่อมาสหรัฐก็กดดันอีกด้วยมาตรการเดิมให้ไทยแก้กฎหมายสิทธิบัตรตัดกรรมการสิทธิบัตรยาออก ด้วยความกลัวเช่นเดิม ในปี 2542 มีการแก้ไขเอากรรมการสิทธิบัตรยาออก และในคราวนี้ไทยก็ถูกกดดันอีกเช่นเดิม ด้วยกลยุทธ์เดิมๆ แล้วเราจะยอมเป็นทาสไปตลอดหรือ ถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องรวมพลัง ใช้บทเรียนจากอดีต ร่วมกันต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบและเอาชีวิตคนเป็นเดิมพัน เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการค้า เราทำซีแอลอย่างถูกต้อง และพร้อมจะยืนหยัดการต่อสู้ด้วยข้อมูลที่เป็นจริง ฉีกหน้ากากบริษัทยาข้ามชาติ