เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 1
เวลาพระสวดมนต์ทำวัตรเย็น
ต้องสวดอย่างนี้
พุทธะวาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยุตโต
พระพุทธเจ้าประกอบด้วยคุณ, มีความประเสริฐแห่งอรหันตคุณ เป็นต้น
สุทธาภิญาณะกรุณาหิ สะมาคะตัตโต
มีพระองค์อันประกอบด้วยพระญาณ และพระกรุณาอันบริสุทธิ์
โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร
พระองค์ใด ทรงกระทำชนที่ดีให้เบิกบาน, ดุจอาทิตย์ ทำให้บัวบาน
วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง
ข้าพเจ้าไหว้พระชินสีห์ ผู้ไม่มีกิเลส พระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย
ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง
ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น, อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกองค์ที่หนึ่ง ด้วยเศียรเกล้า
พุทธัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ พุทโธ เม สามิกิสสะโร
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม
พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง
ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้ แด่พระพุทธเจ้า
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตามซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน
ด้วยการกล่าวคำสัจนี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระพุทธเจ้า, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า, ด้วยเดชแห่งบุญนั้น
ไม่ประพฤติตามซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ทั้งยังพาชาวบ้านงมงายกับสิ่งไร้สาระ
ด้วยการผิดคำสัจจะดังนี้ จึงไม่เจริญในศาสนา
สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นตัวอย่างแล้วด้วยการไม่ประทานมวลสารไปจัดสร้างสิ่งที่มิใช่เครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ยังไม่มีใครมองเห็น และทำตาม
ไม่มีใครชี้นำสังคมไปในทางที่ถูก
มหาเถรสมาคมควรบังคับให้ทุกวัด พระทุกรูป สวดมนต์แปลทุกวัน
จะได้ซาบซึ้งความหมายของบทสวดมนต์
ต้องสวดอย่างนี้
พุทธะวาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยุตโต
พระพุทธเจ้าประกอบด้วยคุณ, มีความประเสริฐแห่งอรหันตคุณ เป็นต้น
สุทธาภิญาณะกรุณาหิ สะมาคะตัตโต
มีพระองค์อันประกอบด้วยพระญาณ และพระกรุณาอันบริสุทธิ์
โพเธสิ โย สุชะนะตัง กะมะลังวะ สูโร
พระองค์ใด ทรงกระทำชนที่ดีให้เบิกบาน, ดุจอาทิตย์ ทำให้บัวบาน
วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง
ข้าพเจ้าไหว้พระชินสีห์ ผู้ไม่มีกิเลส พระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย
ปะฐะมานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง
ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น, อันเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกองค์ที่หนึ่ง ด้วยเศียรเกล้า
พุทธัสสาหัสมิ ทาโส (ทาสี) วะ พุทโธ เม สามิกิสสะโร
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า, พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม
พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์, และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า
พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง
ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้ แด่พระพุทธเจ้า
วันทันโตหัง (ตีหัง) จะริสสามิ พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตามซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี, พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน
ด้วยการกล่าวคำสัจนี้, ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
พุทธัง เม วันทะมาเนนะ (มานายะ) ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระพุทธเจ้า, ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
อันตรายทั้งปวง อย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า, ด้วยเดชแห่งบุญนั้น
ไม่ประพฤติตามซึ่งความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า
ไม่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ทั้งยังพาชาวบ้านงมงายกับสิ่งไร้สาระ
ด้วยการผิดคำสัจจะดังนี้ จึงไม่เจริญในศาสนา
สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นตัวอย่างแล้วด้วยการไม่ประทานมวลสารไปจัดสร้างสิ่งที่มิใช่เครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ยังไม่มีใครมองเห็น และทำตาม
ไม่มีใครชี้นำสังคมไปในทางที่ถูก
มหาเถรสมาคมควรบังคับให้ทุกวัด พระทุกรูป สวดมนต์แปลทุกวัน
จะได้ซาบซึ้งความหมายของบทสวดมนต์
- energizer
- Verified User
- โพสต์: 505
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 2
ผมว่าไม่ว่าจะสวดบาลีหรือมนต์แปล ถ้าผู้ครองผ้าเหลืองไม่สนใจจะปฏิบัติตามซะอย่าง พร่ำสวดไปก็ไร้ผลครับพี่น้องครับ เหมือนกับให้เด็กร้องเพลงเด็กดี 10 ประการ(เด็กเอ่ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน...) หนะครับร้องกันจนเนื้อเพลงจำติดหัวจนโตแล้ว ถ้าไม่อยากทำตามซะอย่างก็ไร้ผลEyore เขียน:มหาเถรสมาคมควรบังคับให้ทุกวัด พระทุกรูป สวดมนต์แปลทุกวันจะได้ซาบซึ้งความหมายของบทสวดมนต์
- bmw2681
- Verified User
- โพสต์: 710
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 3
พระผู้สืบทอดศาสนาทำตัวไม่ดี ผมว่า ถ้าไม่มีการปฏิรูปพระก่อน ศาสนาก้อแย่ ดูอย่างล่าสุด พระหลอกโกงเงินทำศพชาวบ้าน หอบเงินหนีไป 30 ล้าน มาน(ผมขอเรียกพระชั่วอย่างนี้) ทำไปได้ ...ให้ชาวบ้านจ่ายรายละ 400 กว่าบาท ไม่แน่ใจว่า รายเดือนหรือรายปี หรือครั้งเดียว แล้วถ้าตายจะได้เงินทำศพ เป็นหมื่น แต่หากไปแนะนำต่อ แล้วคนนั้นตาย คุณจะได้เปอร์เซนต์ด้วย เออมีงี้ด้วย ...นี่ไง ศาสนามันจะไม่เสือมได้ไง พระมีมือถือ พระเล่นเน็ต พระมีเครื่องเล่นซีดี พระมีทีวี พระมีแอร์ พระมีรถเบนซ์ พระมีที่ดิน พระถือเงินบริจาค ...นี่มันต่างอะไรกะคนธรรมดาทั่วๆไป กิเลสทั้งนั้นที่ท่านมีอยู่ พูดถึงพระแล้วยิ่งเซ็งเมื่อนึกถึงการมาเดินขบวน ให้ต้องบัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ....เพี๊ยนไปกันหมดแล้ว
Every passing minute is a chance to turn it all around
http://bmw2681.wordpress.com
http://bmw2681.wordpress.com
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 4
โดยความเห็นส่วนตัว
น่าจะมีหลักสูตรสอบก่อนค่อยบวช
เพื่อที่ว่าจะได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการเข้าพิธีทางศาสนา
(ปัจจุบันไม่มีสอบบวชเลย)
สวดมนต์พิธี
พระที่สวดยังไม่รู้ความหมายเลย ก็สวดกันไป(บทสวดมนต์)
น่าจะสวดแบบแปลอย่างเดียว
ทุกวันนี้คนที่บวชเป็นพระก็สวดไปแต่ไม่รู้ความหมาย
คนไปนั่งไหว้ฟังไฟ แต่ก็ไม่รู้เรื่อง ร้อยละ95เลยละครับ
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้เรื่อง
น่าจะมีหลักสูตรสอบก่อนค่อยบวช
เพื่อที่ว่าจะได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการเข้าพิธีทางศาสนา
(ปัจจุบันไม่มีสอบบวชเลย)
สวดมนต์พิธี
พระที่สวดยังไม่รู้ความหมายเลย ก็สวดกันไป(บทสวดมนต์)
น่าจะสวดแบบแปลอย่างเดียว
ทุกวันนี้คนที่บวชเป็นพระก็สวดไปแต่ไม่รู้ความหมาย
คนไปนั่งไหว้ฟังไฟ แต่ก็ไม่รู้เรื่อง ร้อยละ95เลยละครับ
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้เรื่อง
-
- Verified User
- โพสต์: 442
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 5
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับปรัชญา เขียน:โดยความเห็นส่วนตัว
น่าจะมีหลักสูตรสอบก่อนค่อยบวช
เพื่อที่ว่าจะได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับการเข้าพิธีทางศาสนา
(ปัจจุบันไม่มีสอบบวชเลย)
สวดมนต์พิธี
พระที่สวดยังไม่รู้ความหมายเลย ก็สวดกันไป(บทสวดมนต์)
น่าจะสวดแบบแปลอย่างเดียว
ทุกวันนี้คนที่บวชเป็นพระก็สวดไปแต่ไม่รู้ความหมาย
คนไปนั่งไหว้ฟังไฟ แต่ก็ไม่รู้เรื่อง ร้อยละ95เลยละครับ
ต่างฝ่ายต่างไม่รู้เรื่อง
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 6
ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นไปตาม demand-supply
supply ถ้ายังคุณภาพต่ำในภาพรวม
demandก็จะยิ่งหดลงจากการเสื่อมศรัทธา
และ demand ของ inferior goodsเช่น จตุคาม ก็สูงขึ้น
สู้ลดsupplyพระให้เหลือน้อยๆแต่มีคุณภาพมากๆจะดีกว่า
demand จะสูงขึ้นเอง
ระบบตรวจ QC ก็ง่ายกว่า
อีกเรื่องคือศาสนาหลายศาสนาส่วนใหญ่
ไม่ปรับตัวเข้ากับ life styleสมัยใหม่เอาซะเลย
ถ้ามีวัดมาตั้งในห้างหรือข้างๆห้างก็คงจะดี
สมัยก่อนวัดตั้งอยู่ใกล้ๆชุมชนแถวๆตลาด
คนจับจ่ายซื้อของแล้วก็ไปทำบุญได้ง่าย
เดี๋ยวนี้ตลาดก็เหลือแต่ที่ดังๆจริงๆ ถึงยังอยู่ได้
ตลาดที่ปิดๆไปเยอะแล้ว คนก็ไม่รู้จะไปเดินแถวนั้นอีกทำไม
วัดเลยมีคนไปแวะทำบุญลดลง
วัดหลายๆที่ต้องมีรถส่วนตัวถึงไปได้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่ demand จะลดลง
คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญญาซื้อรถเป็นของตัวเองอยู่แล้ว
ถ้าต้องการเพิ่ม demand ก็ควรย้ายไปตามเส้นทาง
ที่ mass transportation ผ่านถึงน่ะครับ
ค่านิยมคนเปลี่ยนไปด้วยน่ะครับ
คนสมัยก่อนชอบแสวงหาสิ่งดีที่สุดโดยไม่คำนึงถึงทำเลมากนัก
ร้านอาหารอร่อยๆเจ้าดังๆถึงได้มีกระจายไปตามที่ๆนึกไม่ถึง
เช่นกลางป่ากลางภูเขา เต็มไปหมด
แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าของที่จะซื้อไม่มาขายถึงถิ่นคนซื้อ
คนก็ไม่ขยันไปซื้อไกลๆ
จึงได้เห็น chain ร้านอาหารรสชาติงั้นๆห่วยๆ เติบโตกันเต็มไปหมด
วัด ก็ทำนองเดียวกัน หมดยุคให้คนเข้าหาแล้ว
ถ้าต้องการให้สนใจก็ต้องเข้าหาคนน่ะครับ
ทำ promote บ้าง
อีกเรื่องคือเปลี่ยน image ในใจคนด้วยน่ะครับ
พูดถึงวัดจะต้องนึกถึงคนแก่ก่อน ก็จะได้แต่ลูกค้าคนแก่น่ะครับ
ถ้าทำให้เป็น imageคนยังไม่แก่ คนยังไม่แก่ก็จะไปเองครับ
ถ้ามันจำเป็นจะต้องแยกวัดเลือกเจาะเป้าหมายตามกลุ่มอายุ ก็ทำเถอะครับ
บอกตามตามตรงว่า life style บางทีก็ต่างกันเกินไปที่จะอยู่ร่วมสถานที่กัน
อีกเรื่องคือ ภาษาบาลี น่ะครับ
ถ้าไม่คิดจะเปิดสอนในโรงเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราว
จนถึงขั้นอ่านออกแปลได้ แบบภาษาอังกฤษ
ก็ควรจะเลิกใช้ไปนะครับ
เพราะเป็นตัวขัดขวางการเจริญเติบโตจริงๆ
ศาสนาจะดำรงอยู่อย่างไรถ้าคนที่จะมานับถือ
ยังไม่เข้าใจเลยว่าที่พระสวดออกมาแปลว่าอะไร
มีค่าตรงไหนควรแก่การนับถือเชื่อฟัง
คนส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ยการศึกษาสูงขึ้น เชื่อในสิ่งที่ไร้เหตุผลยากขึ้น
หมดยุค"การนับถือตามๆกันแบบไม่ต้องคิดอะไร"
ถ้าไม่สามารถทำให้เข้าใจในเหตุผลของแต่ละคำสอนได้
ขอไม่นับถือดีกว่า
supply ถ้ายังคุณภาพต่ำในภาพรวม
demandก็จะยิ่งหดลงจากการเสื่อมศรัทธา
และ demand ของ inferior goodsเช่น จตุคาม ก็สูงขึ้น
สู้ลดsupplyพระให้เหลือน้อยๆแต่มีคุณภาพมากๆจะดีกว่า
demand จะสูงขึ้นเอง
ระบบตรวจ QC ก็ง่ายกว่า
อีกเรื่องคือศาสนาหลายศาสนาส่วนใหญ่
ไม่ปรับตัวเข้ากับ life styleสมัยใหม่เอาซะเลย
ถ้ามีวัดมาตั้งในห้างหรือข้างๆห้างก็คงจะดี
สมัยก่อนวัดตั้งอยู่ใกล้ๆชุมชนแถวๆตลาด
คนจับจ่ายซื้อของแล้วก็ไปทำบุญได้ง่าย
เดี๋ยวนี้ตลาดก็เหลือแต่ที่ดังๆจริงๆ ถึงยังอยู่ได้
ตลาดที่ปิดๆไปเยอะแล้ว คนก็ไม่รู้จะไปเดินแถวนั้นอีกทำไม
วัดเลยมีคนไปแวะทำบุญลดลง
วัดหลายๆที่ต้องมีรถส่วนตัวถึงไปได้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่ demand จะลดลง
คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญญาซื้อรถเป็นของตัวเองอยู่แล้ว
ถ้าต้องการเพิ่ม demand ก็ควรย้ายไปตามเส้นทาง
ที่ mass transportation ผ่านถึงน่ะครับ
ค่านิยมคนเปลี่ยนไปด้วยน่ะครับ
คนสมัยก่อนชอบแสวงหาสิ่งดีที่สุดโดยไม่คำนึงถึงทำเลมากนัก
ร้านอาหารอร่อยๆเจ้าดังๆถึงได้มีกระจายไปตามที่ๆนึกไม่ถึง
เช่นกลางป่ากลางภูเขา เต็มไปหมด
แต่เดี๋ยวนี้ ถ้าของที่จะซื้อไม่มาขายถึงถิ่นคนซื้อ
คนก็ไม่ขยันไปซื้อไกลๆ
จึงได้เห็น chain ร้านอาหารรสชาติงั้นๆห่วยๆ เติบโตกันเต็มไปหมด
วัด ก็ทำนองเดียวกัน หมดยุคให้คนเข้าหาแล้ว
ถ้าต้องการให้สนใจก็ต้องเข้าหาคนน่ะครับ
ทำ promote บ้าง
อีกเรื่องคือเปลี่ยน image ในใจคนด้วยน่ะครับ
พูดถึงวัดจะต้องนึกถึงคนแก่ก่อน ก็จะได้แต่ลูกค้าคนแก่น่ะครับ
ถ้าทำให้เป็น imageคนยังไม่แก่ คนยังไม่แก่ก็จะไปเองครับ
ถ้ามันจำเป็นจะต้องแยกวัดเลือกเจาะเป้าหมายตามกลุ่มอายุ ก็ทำเถอะครับ
บอกตามตามตรงว่า life style บางทีก็ต่างกันเกินไปที่จะอยู่ร่วมสถานที่กัน
อีกเรื่องคือ ภาษาบาลี น่ะครับ
ถ้าไม่คิดจะเปิดสอนในโรงเรียนให้เป็นเรื่องเป็นราว
จนถึงขั้นอ่านออกแปลได้ แบบภาษาอังกฤษ
ก็ควรจะเลิกใช้ไปนะครับ
เพราะเป็นตัวขัดขวางการเจริญเติบโตจริงๆ
ศาสนาจะดำรงอยู่อย่างไรถ้าคนที่จะมานับถือ
ยังไม่เข้าใจเลยว่าที่พระสวดออกมาแปลว่าอะไร
มีค่าตรงไหนควรแก่การนับถือเชื่อฟัง
คนส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ยการศึกษาสูงขึ้น เชื่อในสิ่งที่ไร้เหตุผลยากขึ้น
หมดยุค"การนับถือตามๆกันแบบไม่ต้องคิดอะไร"
ถ้าไม่สามารถทำให้เข้าใจในเหตุผลของแต่ละคำสอนได้
ขอไม่นับถือดีกว่า
bid please!!
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 7
บางสิ่งบางอย่าง ใช่ว่าไม่รู้ว่าดี แต่เพราะกิเลส ทำให้ไม่สามารถปฎิบัติได้
บางสิ่งบางอย่าง ใช่ว่าไม่รู้ว่าไม่ดี แต่เพราะกิเลส ทำให้ไม่สามารถเลิกปฎิบัติได้
คนส่วนใหญ่ในสังคมรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ไม่ใช่ว่าไม่รู้
แต่ก็เพราะตัดกิเลสของตัวเองไม่ได้ แล้วก็อ้างปัจจัยอื่นๆ
บางสิ่งบางอย่าง ใช่ว่าไม่รู้ว่าไม่ดี แต่เพราะกิเลส ทำให้ไม่สามารถเลิกปฎิบัติได้
คนส่วนใหญ่ในสังคมรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ไม่ใช่ว่าไม่รู้
แต่ก็เพราะตัดกิเลสของตัวเองไม่ได้ แล้วก็อ้างปัจจัยอื่นๆ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 8
อลัชชีอาศัยศาสนาบังหน้า หากิน
คนนอกศาสนา ใช้ศาสนาหาเงินเข้ากระเป๋า
ดูง่ายๆสิ
ใครก็ไม่รู้ไปบังคับพระให้เขียนพวกเอกสารทางการทั้งหลายว่ามีอาชีพ พระภิกษุ
ปั๊ดโธ่เอ๋ย
พระภิกษุ ใช่อาชีพที่ไหน
อาชีพ คือ อะไร
ถ้าบอกว่าอาชีพคือพระ ก็แปลว่า เขาเป็นพระเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
อย่างผม อาชีพ นักลงทุน ผมหากินโดยการลงทุน
คนนอกศาสนา ใช้ศาสนาหาเงินเข้ากระเป๋า
ดูง่ายๆสิ
ใครก็ไม่รู้ไปบังคับพระให้เขียนพวกเอกสารทางการทั้งหลายว่ามีอาชีพ พระภิกษุ
ปั๊ดโธ่เอ๋ย
พระภิกษุ ใช่อาชีพที่ไหน
อาชีพ คือ อะไร
ถ้าบอกว่าอาชีพคือพระ ก็แปลว่า เขาเป็นพระเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
อย่างผม อาชีพ นักลงทุน ผมหากินโดยการลงทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 10
เรื่องของศาสนา ปรัชญา
จะเอาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์มาอธิบาย
ซึ่งเป็นศาสตร์ที่นำมาใช้จัดสรร Scarce Resource ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ฟังดูแล้วขัดๆ ชอบกล
ภาษาบาลีที่มีการท่องจำต่อๆกันมานั้น
ก็เพื่อรักษาความถูกต้องของพระธรรม ไม่ให้มีความผิดเพี้ยนหรือผิดเพี้ยนน้อยที่สุด
ถ้าต้องการจะเรียนจะศึกษาจริงๆนั้น มหาลัยสงฆ์ก็มีสอนอยู่
เช่น มหามกุฏราชวิทยาลัย ครับ
จะเอาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์มาอธิบาย
ซึ่งเป็นศาสตร์ที่นำมาใช้จัดสรร Scarce Resource ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ฟังดูแล้วขัดๆ ชอบกล
ภาษาบาลีที่มีการท่องจำต่อๆกันมานั้น
ก็เพื่อรักษาความถูกต้องของพระธรรม ไม่ให้มีความผิดเพี้ยนหรือผิดเพี้ยนน้อยที่สุด
ถ้าต้องการจะเรียนจะศึกษาจริงๆนั้น มหาลัยสงฆ์ก็มีสอนอยู่
เช่น มหามกุฏราชวิทยาลัย ครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4244
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 11
พระท่านให้พร สวดมาเป็นบาลี ผมก็ฟังไม่รู้เรือง
สู้แปลเป็นไทยมา ผมยังจะรู้สึกซาบซึ้งในพรที่ได้ซะมากกว่าหรือเปล่าครับ
เวลาสวดมนต์ สวดเป็นบาลี เราก็ไม่รู้สวดว่าอะไร ก็สวดตามๆไป
สวดเป็นไทยไม่ดีกว่าหรอครับ อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่
สู้แปลเป็นไทยมา ผมยังจะรู้สึกซาบซึ้งในพรที่ได้ซะมากกว่าหรือเปล่าครับ
เวลาสวดมนต์ สวดเป็นบาลี เราก็ไม่รู้สวดว่าอะไร ก็สวดตามๆไป
สวดเป็นไทยไม่ดีกว่าหรอครับ อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่
_________
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 12
บาลีก็เปรียบเสมือนภาษากลางสำหรับพุทธศาสนาโอ@ เขียน:พระท่านให้พร สวดมาเป็นบาลี ผมก็ฟังไม่รู้เรือง
สู้แปลเป็นไทยมา ผมยังจะรู้สึกซาบซึ้งในพรที่ได้ซะมากกว่าหรือเปล่าครับ
เวลาสวดมนต์ สวดเป็นบาลี เราก็ไม่รู้สวดว่าอะไร ก็สวดตามๆไป
สวดเป็นไทยไม่ดีกว่าหรอครับ อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่
เพราะว่าศาสนาพุทธไม่ได้มีถิ่นกำเนิดที่บ้านเรา
เปรียบเสมือนการเรียนวิทยาการต่างประเทศ
ต้นฉบับย่อมเป็นภาษาอังกฤษ
การเข้าถึงแก่นแท้ของวิทยาการเหล่านั้น
ย่อมจำเป็นต้องรู้ภาษาอังกฤษ
แต่ใช่ว่าจะไม่มีการแปลเป็นไทย
บทสวดบาลีต่างๆ มีแปลเป็นไทยมากมาย
ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะสนใจศึกษาหรือเปล่า
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 13
กระทู้นี้ตั้งใจไว้แต่แรกครับว่าตั้งมาให้โดนวิจารณ์แน่ๆ :lol:
แต่ก็เห็นด้วยครับว่าควรมีการ marketing ที่มากกว่านี้
ถ้าต้องการให้เข้าถึงคนทั่วไปมากกว่าที่เป็นอยู่
ถ้าจะบอกว่าควรจะตั้งใจศึกษาเอาเอง ก็คงเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ
ไม่ถึง2% จากประชากรรวมที่มีความตั้งใจพอครับ
สุดท้ายแล้วก็อาจจะเป็นได้เพียงศาสนาที่เข้าถึงเพียงกลุ่มคนเล็กๆ
แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพจริงๆ แต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยเกิน
จนขาดนัยยะต่อสังคมรวม
ง่ายๆคือ คนเราโดยรวมเฉลี่ยไม่ใช่คนขยันและฉลาดพอ
ที่จะหาเรื่องราวดีๆ ประสบการณ์ดีๆ เสริมสร้างตัวเองน่ะครับ
เหมือนเด็กทารก ถ้าจับป้อนอาหารบ้าง ก็ยังมีโอกาสเติบโตบ้าง
ถ้าไม่ป้อน ก็ตาย และไม่มีปัญญาหากินเอง
และคงเหลือเพียงเด็กทารกพิเศษ ที่หาอาหารเองได้ เป็นข้อยกเว้น
ให้ได้กล่าวถึงและชื่นชมกัน และถ้าถามว่า
เด็กทารกที่ไม่มีปัญญาหาอาหารเองได้ ควรจะตายไป? ใช่หรือไม่
ถ้าตอบว่าใช่ ศาสนานั้นก็เพียงเพื่อคนกลุ่มเล็กที่ฉลาด
ไม่ใช่เพื่อ mass รวมที่ยังโง่เขลากว่า
ถ้าตอบว่า ไม่ใช่ ทางเลือกที่อาจจะดูเหมือน "บังคับ"
แต่ส่งผลดีกว่าในระยะยาวต่อการดำรงของศาสนา
ก็น่าจะเป็นเช่น การบังคับให้รู้บาลีจนถึงขั้นพอใช้งานได้
แบบภาษาอังกฤษ มากกว่าที่จะปล่อยให้ดำน้ำมั่ว
กันอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันน่ะครับ
อย่างน้อยคนสวดมนต์ควรจะรู้กันทุกคนว่าที่สวดๆออกมา
หมายถึงอะไรบ้าง และถ้าเปลี่ยนเป็นบทสวดที่ไม่คุ้น
ก็ควรจะแปลได้ด้วยตัวเอง ว่าบทสวดนี้ไปถึงเรื่องใดแล้ว
มีเนื้อหาอย่างไร เป็นประโยชน์อย่างไรต่อชีวิต
แต่ก็เห็นด้วยครับว่าควรมีการ marketing ที่มากกว่านี้
ถ้าต้องการให้เข้าถึงคนทั่วไปมากกว่าที่เป็นอยู่
ถ้าจะบอกว่าควรจะตั้งใจศึกษาเอาเอง ก็คงเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ
ไม่ถึง2% จากประชากรรวมที่มีความตั้งใจพอครับ
สุดท้ายแล้วก็อาจจะเป็นได้เพียงศาสนาที่เข้าถึงเพียงกลุ่มคนเล็กๆ
แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพจริงๆ แต่ก็เป็นจำนวนที่น้อยเกิน
จนขาดนัยยะต่อสังคมรวม
ง่ายๆคือ คนเราโดยรวมเฉลี่ยไม่ใช่คนขยันและฉลาดพอ
ที่จะหาเรื่องราวดีๆ ประสบการณ์ดีๆ เสริมสร้างตัวเองน่ะครับ
เหมือนเด็กทารก ถ้าจับป้อนอาหารบ้าง ก็ยังมีโอกาสเติบโตบ้าง
ถ้าไม่ป้อน ก็ตาย และไม่มีปัญญาหากินเอง
และคงเหลือเพียงเด็กทารกพิเศษ ที่หาอาหารเองได้ เป็นข้อยกเว้น
ให้ได้กล่าวถึงและชื่นชมกัน และถ้าถามว่า
เด็กทารกที่ไม่มีปัญญาหาอาหารเองได้ ควรจะตายไป? ใช่หรือไม่
ถ้าตอบว่าใช่ ศาสนานั้นก็เพียงเพื่อคนกลุ่มเล็กที่ฉลาด
ไม่ใช่เพื่อ mass รวมที่ยังโง่เขลากว่า
ถ้าตอบว่า ไม่ใช่ ทางเลือกที่อาจจะดูเหมือน "บังคับ"
แต่ส่งผลดีกว่าในระยะยาวต่อการดำรงของศาสนา
ก็น่าจะเป็นเช่น การบังคับให้รู้บาลีจนถึงขั้นพอใช้งานได้
แบบภาษาอังกฤษ มากกว่าที่จะปล่อยให้ดำน้ำมั่ว
กันอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันน่ะครับ
อย่างน้อยคนสวดมนต์ควรจะรู้กันทุกคนว่าที่สวดๆออกมา
หมายถึงอะไรบ้าง และถ้าเปลี่ยนเป็นบทสวดที่ไม่คุ้น
ก็ควรจะแปลได้ด้วยตัวเอง ว่าบทสวดนี้ไปถึงเรื่องใดแล้ว
มีเนื้อหาอย่างไร เป็นประโยชน์อย่างไรต่อชีวิต
bid please!!
- Eyore
- Verified User
- โพสต์: 606
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 14
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปาริปุเรนติ สาคะรังโอ@ เขียน:พระท่านให้พร สวดมาเป็นบาลี ผมก็ฟังไม่รู้เรือง
สู้แปลเป็นไทยมา ผมยังจะรู้สึกซาบซึ้งในพรที่ได้ซะมากกว่าหรือเปล่าครับ
เวลาสวดมนต์ สวดเป็นบาลี เราก็ไม่รู้สวดว่าอะไร ก็สวดตามๆไป
สวดเป็นไทยไม่ดีกว่าหรอครับ อย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่
ห้วงน้ำที่เต็มยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
เอวะเมวะ อิโตทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ
ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในโลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์ แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ฉันนั้น
อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง
ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้วตั้งใจแล้ว
ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
จงสำเร็จโดยฉับพลัน
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา
ขอดำริทั้งปวงจงเต็มที่
จันโท ปัณณะราโส ยะถา
เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
มะณิ โชติระโส ยะถา
เหมือนดังแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี....
สัพพีติโย วิวัชชันตุ
ความจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป
สัพพะโรโค วินัสสะตุ
โรคทั้งปวง (ของท่าน) จงหายไป
มา เต ภะวัตวันตะราโย
อันตรายอย่าได้มีแก่ท่าน
สุขี ฑีฆายุโก ภะวะ
ท่านจงมีความสุข มีอายุยืน
อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
ธรรมสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคล ผู้มีปกติกราบไหว้ มีปกติอ่อนน้อม เป็นนิตย์ฯ...
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4244
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 16
ตามที่พี่ HVI Post มา นั่นสำหรับคนที่ต้องการเข้าใจแก่นแท้ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ที่ควรเรียนบาลี ผมไม่เถียงครับ
แต่ถ้าแค่ต้องการให้คนจำนวนมากมาศรัทธาในศาสนา ผมไม่เห็นด้วยว่าต้องให้เขาดิ้นรนเข้าหาเอง
อย่างน้อยเราก็ควรจะนำไปใส่เขาด้วย เพราะผมว่าโลกแข่งขันกันจนมีเวลาว่างๆน้อยไม่เหมือนเมื่อก่อนหน่ะครับ
แต่ถ้าแค่ต้องการให้คนจำนวนมากมาศรัทธาในศาสนา ผมไม่เห็นด้วยว่าต้องให้เขาดิ้นรนเข้าหาเอง
อย่างน้อยเราก็ควรจะนำไปใส่เขาด้วย เพราะผมว่าโลกแข่งขันกันจนมีเวลาว่างๆน้อยไม่เหมือนเมื่อก่อนหน่ะครับ
_________
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 17
เดี๋ยวจะหลงประเด็น กลายเป็นว่าพระควรท่องบาลีหรือไม่
ถ้าการท่องบาลี เป็นเหตุแห่งควรเสื่อม
ผมว่าพุทธศาสนาคงไม่สามารถสืบทอดมาได้จนถึงปัจจุบัน
สมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ในศีลในธรรมมากกว่านี้
พระท่านก็ยังให้พร ยังสวดมนต์เป็นภาษาบาลี
สำหรับเราชาวพุทธ
ก็ไม่จำเป็นถึงขนาดต้องเข้าใจบาลี
ถึงจะศึกษาพุทธศาสนาได้
มีผลงานดีๆ จากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมาย
เช่นพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านพุทธทาส
ซึ่งผลงานเป็นที่รู้จักกว้างขวาง
ชางต่างชาติที่ต้องการศึกษาพุทธศาสนาก็สามารถทำได้สะดวกขึ้น
เพราะมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศด้วย
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ชาวตะวันตกเริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนามากขึ้น
โดยเฉพาะในเรื่อง การฝึกสมาธิ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า
เราต้องศึกษาบาลี ถึงขนาดอ่านบาลีรู้เรื่อง ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีได้
ซึ่งคงไม่ใช่เช่นนั้น
เรื่องง่ายๆ อย่างศีล 5 ทุกคนเข้าใจกันดี ไม่จำเป็นต้องรู้บาลีก็ทำได้
แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติได้จริง
(ผมก็ผิดศีลข้อ 5 ประจำเหมือนกัน ... :D )
ถ้าการท่องบาลี เป็นเหตุแห่งควรเสื่อม
ผมว่าพุทธศาสนาคงไม่สามารถสืบทอดมาได้จนถึงปัจจุบัน
สมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ในศีลในธรรมมากกว่านี้
พระท่านก็ยังให้พร ยังสวดมนต์เป็นภาษาบาลี
สำหรับเราชาวพุทธ
ก็ไม่จำเป็นถึงขนาดต้องเข้าใจบาลี
ถึงจะศึกษาพุทธศาสนาได้
มีผลงานดีๆ จากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมาย
เช่นพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านพุทธทาส
ซึ่งผลงานเป็นที่รู้จักกว้างขวาง
ชางต่างชาติที่ต้องการศึกษาพุทธศาสนาก็สามารถทำได้สะดวกขึ้น
เพราะมีการแปลเป็นภาษาต่างประเทศด้วย
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ชาวตะวันตกเริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนามากขึ้น
โดยเฉพาะในเรื่อง การฝึกสมาธิ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า
เราต้องศึกษาบาลี ถึงขนาดอ่านบาลีรู้เรื่อง ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีได้
ซึ่งคงไม่ใช่เช่นนั้น
เรื่องง่ายๆ อย่างศีล 5 ทุกคนเข้าใจกันดี ไม่จำเป็นต้องรู้บาลีก็ทำได้
แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติได้จริง
(ผมก็ผิดศีลข้อ 5 ประจำเหมือนกัน ... :D )
"Winners never quit, and quitters never win."
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4244
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 19
อยากให้มีเศรษฐีเงินเยอะๆ จัดตั้งกองทุนอย่างนี้จังเลย
1. สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมให้อยู่ในทั่วๆทุกอำเภอ
2. ดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับผู้ปฏิบัติธรรม
3. คนที่มาปฏิบัติธรรมก็ทำบุญตามกำลังทรัพย์ เพื่อเข้ากองทุนไปทำใน ข้อ 1-2
1. สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมให้อยู่ในทั่วๆทุกอำเภอ
2. ดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับผู้ปฏิบัติธรรม
3. คนที่มาปฏิบัติธรรมก็ทำบุญตามกำลังทรัพย์ เพื่อเข้ากองทุนไปทำใน ข้อ 1-2
_________
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 20
พอเห็นกระทู้แล้วก็โพยพายโทษพระ โทษเถร เณรชี โทษคนนอกศาสนาเชียว แถมยังยกสาเหตุนานาประการ
เอาเท่าที่จำได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศาสนาจะเสื่อมเพราะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
อีกอย่าง พุทธศาสนา ก็ไม่ต่างอะไรจากบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ หรือชีวิตเรา
เริ่มจาก ตั้งต้นเจริญรุ่งเรือง ดำรงอยู่ และก็เสื่อมไป
มันเป็นเรื่องธรรมดามากกว่า
เอาเท่าที่จำได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศาสนาจะเสื่อมเพราะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
อีกอย่าง พุทธศาสนา ก็ไม่ต่างอะไรจากบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ หรือชีวิตเรา
เริ่มจาก ตั้งต้นเจริญรุ่งเรือง ดำรงอยู่ และก็เสื่อมไป
มันเป็นเรื่องธรรมดามากกว่า
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 21
[quote]แต่ปัจจัยที่สำคัญที่ผมคิดก็คือ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 22
โทษตัวเอง... ที่ไม่สนศาสนา
ถึงเวลาที่สนควร ผมเข้าหาศาสนาแน่นอน
ตอนนี้คนบาปอย่างผมยังอยู่ในวังวนของกิเลสอีกระยะครับ
ในความเห็นของผมศาสนาจะหายไปค่อยข้างแน่นอน
ตราบใดที่ศาสนาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามโลก
ปัจจุบัน วัดไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของหมู่ประชาชนอีกต่อไป
แล้วถ้าวัดไม่ได้ออกมาเผยแพร่ให้มากขึ้น
คนรุ่นใหม่ก็จะบอกว่านับถือศาสนา แต่ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร
ศีลห้าเด็กบางคนยังไม่รู้เลย
ถ้าพ่อแม่ไม่ได้สอน ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปวัดได้อย่างไร
เพราะในชีวิตประจำวันของผมยังดิ้นรนในส่วนของกิเลสอย่างจริงๆจังๆอยู่
แค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว....จะมีแรงไปวัดได้อย่างไร
ทุกวันนี้ไปวัด ผมไปนั่งเอาบรรยากาศกับฟังเทศครับ
ไม่ค่อยไปไปนั่งสวดมนต์มากนัก รู้สึกว่าไม่รู้ว่าสวดทำไม ฟังไม่รู้เรือง
ซึ่งก็เป็นเหมือนโอดนั้นแหละ
อันนี้เป็นความผิดตัวเองที่ไม่ได้หาความรู้
แต่ผมกำลังกังวบว่า คนอีกมากคงประสบปัญหาเหมือนๆกัน
ดังนั้น ถ้าเรารู้ปัญหาอาจจะต้องแก้ไข
โดยผมเสนอว่า
1. ทำบทสวดเป็นภาษาไทยก่อน ผสมกับบาลีให้หมดทุกบท
2. บรรจุวิชาศาสนาให้เรียนในวัด
3. ระงับให้ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับศาสนาในหนังสือพิมพ์ (ให้มีการลงโทษหนักแต่ไม่ให้ออกข่าว)
อาจดูรุนแรง ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่คิดว่าดีสำหรับผม
ถึงเวลาที่สนควร ผมเข้าหาศาสนาแน่นอน
ตอนนี้คนบาปอย่างผมยังอยู่ในวังวนของกิเลสอีกระยะครับ
ในความเห็นของผมศาสนาจะหายไปค่อยข้างแน่นอน
ตราบใดที่ศาสนาไม่เปลี่ยนแปลงไปตามโลก
ปัจจุบัน วัดไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของหมู่ประชาชนอีกต่อไป
แล้วถ้าวัดไม่ได้ออกมาเผยแพร่ให้มากขึ้น
คนรุ่นใหม่ก็จะบอกว่านับถือศาสนา แต่ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร
ศีลห้าเด็กบางคนยังไม่รู้เลย
ถ้าพ่อแม่ไม่ได้สอน ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปวัดได้อย่างไร
เพราะในชีวิตประจำวันของผมยังดิ้นรนในส่วนของกิเลสอย่างจริงๆจังๆอยู่
แค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว....จะมีแรงไปวัดได้อย่างไร
ทุกวันนี้ไปวัด ผมไปนั่งเอาบรรยากาศกับฟังเทศครับ
ไม่ค่อยไปไปนั่งสวดมนต์มากนัก รู้สึกว่าไม่รู้ว่าสวดทำไม ฟังไม่รู้เรือง
ซึ่งก็เป็นเหมือนโอดนั้นแหละ
อันนี้เป็นความผิดตัวเองที่ไม่ได้หาความรู้
แต่ผมกำลังกังวบว่า คนอีกมากคงประสบปัญหาเหมือนๆกัน
ดังนั้น ถ้าเรารู้ปัญหาอาจจะต้องแก้ไข
โดยผมเสนอว่า
1. ทำบทสวดเป็นภาษาไทยก่อน ผสมกับบาลีให้หมดทุกบท
2. บรรจุวิชาศาสนาให้เรียนในวัด
3. ระงับให้ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับศาสนาในหนังสือพิมพ์ (ให้มีการลงโทษหนักแต่ไม่ให้ออกข่าว)
อาจดูรุนแรง ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่คิดว่าดีสำหรับผม
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 898
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 23
พี่ sunriseเรียบเรียงคำพูดได้ดีกว่าผมมากครับ
เห็นด้วยทุกประการ
เห็นด้วยทุกประการ
bid please!!
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 24
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เราจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงตั้งใจฟัง จงใส่ใจไว้ให้ดีเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลายหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิก จักพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่สงฆ์พึงทำ เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติแล้ว จักประพฤติมั่นในสิกขาบทตามที่บัญญัติไว้แล้ว เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายยังสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ท่านผู้เป็นเถระ เป็นรัตตัญญู บวชมานาน เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก และจักสำคัญถ้อยคำแห่งท่านเหล่านั้นว่า เป็นถ้อยคำอันตนพึงเชื่อฟัง เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายไม่ตกอยู่ในอำนาจตัณหาที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่อไป เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายจักพอใจอยู่ในเสนาสนะป่าเพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายจักเข้าไปตั้งความระลึกถึงเฉพาะตนได้ว่า ไฉนหนอ เพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลเป็นที่รัก ที่ยังไม่มา ขอจงมา และ ที่มาแล้วพึงอยู่เป็นสุข เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้ จักตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายจักปรากฏในอปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้เพียงใด ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลยเพียงนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่อุบาสก ๗ ประการเป็นไฉน คือ
อุบาสกไม่ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ ๑
ไม่ละเลยการฟังธรรม ๑
ศึกษาในอธิศีล ๑
มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ทั้งเป็นผู้ใหม่ ทั้งปานกลาง ๑
ไม่ตั้งจิตติเตียน ไม่คอยเพ่งโทษฟังธรรม ๑
ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอก ๑
กระทำสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี้ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่อุบาสก ฯ
อุบาสกใดไม่ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุผู้อบรมตน ไม่ละเลยการฟังอริยธรรม ศึกษาอยู่ในอธิศีล มีความเลื่อมใสเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปในภิกษุทั้งหลาย ไม่ตั้งจิตติเตียนปรารถนาฟังสัทธรรม ไม่แสวงหาเขตบุญอื่นภายนอกศาสนานี้ และกระทำสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี้ อุบาสกนั้นซ่องเสพธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม อันเราแสดงดีแล้ว ๗ ประการนี้แล ย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม ฯ
จาก ภิกขุสูตร และ หานิสูตร วัชชีวรรคที่สาม - พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการเป็นไฉน
ภิกษุทั้งหลายหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิก จักพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่สงฆ์พึงทำ เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ยังไม่ได้บัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติแล้ว จักประพฤติมั่นในสิกขาบทตามที่บัญญัติไว้แล้ว เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายยังสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ท่านผู้เป็นเถระ เป็นรัตตัญญู บวชมานาน เป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก และจักสำคัญถ้อยคำแห่งท่านเหล่านั้นว่า เป็นถ้อยคำอันตนพึงเชื่อฟัง เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายไม่ตกอยู่ในอำนาจตัณหาที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่อไป เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายจักพอใจอยู่ในเสนาสนะป่าเพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ภิกษุทั้งหลายจักเข้าไปตั้งความระลึกถึงเฉพาะตนได้ว่า ไฉนหนอ เพื่อนพรหมจรรย์ผู้มีศีลเป็นที่รัก ที่ยังไม่มา ขอจงมา และ ที่มาแล้วพึงอยู่เป็นสุข เพียงใด พึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลย เพียงนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้ จักตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายจักปรากฏในอปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้เพียงใด ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญได้แน่นอน ไม่พึงหวังความเสื่อมเลยเพียงนั้น ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่อุบาสก ๗ ประการเป็นไฉน คือ
อุบาสกไม่ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ ๑
ไม่ละเลยการฟังธรรม ๑
ศึกษาในอธิศีล ๑
มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ ทั้งเป็นผู้ใหม่ ทั้งปานกลาง ๑
ไม่ตั้งจิตติเตียน ไม่คอยเพ่งโทษฟังธรรม ๑
ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอก ๑
กระทำสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี้ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่อุบาสก ฯ
อุบาสกใดไม่ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุผู้อบรมตน ไม่ละเลยการฟังอริยธรรม ศึกษาอยู่ในอธิศีล มีความเลื่อมใสเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปในภิกษุทั้งหลาย ไม่ตั้งจิตติเตียนปรารถนาฟังสัทธรรม ไม่แสวงหาเขตบุญอื่นภายนอกศาสนานี้ และกระทำสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี้ อุบาสกนั้นซ่องเสพธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม อันเราแสดงดีแล้ว ๗ ประการนี้แล ย่อมไม่เสื่อมจากสัทธรรม ฯ
จาก ภิกขุสูตร และ หานิสูตร วัชชีวรรคที่สาม - พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 25
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลาประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับนั่งแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรมเหล่านั้น พวกเธอเรียนแล้ว พึงส้องเสพ พึงให้เจริญ พึงกระทำให้มากด้วยดี โดยประการที่พรหมจรรย์นี้จะพึงยั่งยืน ดำรงอยู่ได้นาน เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ธรรมที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... เหล่านั้นเป็นไฉน คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โภชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่เรา แสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความปรินิพพานแห่งตถาคต จักมีในไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
คนเหล่าใด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ภาชนะดินที่นายช่างหม้อกระทำแล้ว ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ ทุกชนิด มีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ฯ
พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย เราจักละพวกเธอไป เรากระทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล อันดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นดีแล้ว ตามรักษาจิตของตนเถิด ผู้ใด จักเป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ
จาก มหาปรินิพพานสูตร ภาณวารที่สาม - พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ธรรมเหล่านั้น พวกเธอเรียนแล้ว พึงส้องเสพ พึงให้เจริญ พึงกระทำให้มากด้วยดี โดยประการที่พรหมจรรย์นี้จะพึงยั่งยืน ดำรงอยู่ได้นาน เพื่อประโยชน์ของชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ก็ธรรมที่เราแสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... เหล่านั้นเป็นไฉน คือสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โภชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่เรา แสดงแล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ... ฯ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ความปรินิพพานแห่งตถาคต จักมีในไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
คนเหล่าใด ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งพาลทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมี ทั้งขัดสน ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า ภาชนะดินที่นายช่างหม้อกระทำแล้ว ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ ทุกชนิด มีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น ฯ
พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า
วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย เราจักละพวกเธอไป เรากระทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล อันดีเถิด จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นดีแล้ว ตามรักษาจิตของตนเถิด ผู้ใด จักเป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ
จาก มหาปรินิพพานสูตร ภาณวารที่สาม - พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- tattoo_thai
- Verified User
- โพสต์: 291
- ผู้ติดตาม: 0
เหตุที่ศาสนาเสื่อมลง
โพสต์ที่ 27
ผมคิดว่าศาสนาไม่ได้เสื่อมลงเลยครับ แต่จิตใจมนุษย์ต่างหากที่เสื่อมลง
ศาสนาเป็นหลักคำสอน คือหลักการที่ถูกต้อง ส่วนวิธีการเผยแพร่หรือนำเสนอนั้น ผมเห็นด้วยครับว่าควรมีการเปลื่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง ไม่มากก็น้อย
ศาสนาเป็นหลักคำสอน คือหลักการที่ถูกต้อง ส่วนวิธีการเผยแพร่หรือนำเสนอนั้น ผมเห็นด้วยครับว่าควรมีการเปลื่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง ไม่มากก็น้อย