มุมมองวิทยาศาสตร์ กับ "พระสังขารไม่เน่า"
โดย ตวงศักดิ์ ชื่นสินธุ
เรื่องราวดุจปาฏิหาริย์ที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับพระสงฆ์ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อยสลายไปตามธรรมชาติ
แต่กลับเป็นคล้าย "มัมมี่" คงสภาพร่างกายให้บรรดาสานุศิษย์และประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธากราบไว้ต่อไปนั้นในเมืองไทยมีอยู่มากมาย
นับแต่พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระดังๆ อาทิ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี, หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน, หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี, ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่, ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน, หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์, หลวงปู่พรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์, หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร, หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม., หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ล่าสุดหลวงพ่ออุตตมะ (พระราชอุดมมงคล) อ.สังขละ จ.กาญจนบุรี
ทั้งหมดที่เอ่ยนามมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระเถระผู้ใหญ่ที่ละสังขารแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย แต่หากจะนับตัวเลขกันจริงๆ แล้ว ยังมีอีกหลายรูป
เรื่อง "ศพพระไม่เน่า" จึงกลายมาเป็นข้อปุจฉา-วิสัชนา กันอยู่อย่างไม่จบสิ้น เป็นเรื่องที่คนอยากรู้กระทั่งลงทุนไปศึกษากับเกจิดังๆ หลายรูปเพื่อหาข้อเท็จจริง
ในบรรดาสานุศิษย์ของพระเกจิชื่อดัง *กิตติชัย เชาว์ชนพันธ์* เป็นคนหนึ่งที่คนในแวดวงพระรู้จักกันดี
กิตติชัยเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง ปัจจุบันอายุ 41 ปี เขาแนะนำตัวเองว่า เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจ่าง วัดเขื่อนเพชร จังหวัดเพชรบุรี จบคณะวิทยาศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ มศว.ประสานมิตร ปี 2534
กิตติชัยเล่าให้ฟังถึงการศึกษาเกี่ยวกับพระละสังขารแล้วไม่เน่า ว่าเริ่มสนใจเรื่องนี้เมื่อครั้งมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับคนถูกยิง เป็นเรื่องของสองผัวเมีย ที่มีปัญหาขัดแย้งเรื่องมรดกกัน สามีตายคาที่ แต่ภรรยาแม้จะถูกยิงด้วยกระสุนชนิดจะจะ แต่กระสุนปืนไม่ระคายผิว ทำให้เริ่มต้นศึกษาในเรื่องเหล่านี้
พอเริ่มศึกษา ทำให้ได้ไปรู้จักครูบาอาจารย์หลวงพ่อหลายรูป แต่ละรูปเป็นเกจิชื่อดังทางด้านต่างๆ กันไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ แต่ละรูปขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นต่างได้ฝึกสมาธิ ฝึกจิต นั่งวิปัสสนากรรมฐานแทบทั้งสิ้น
"ผมอาจจะอธิบายแล้วฟังยากสักหน่อยสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ แต่พูดแบบง่ายๆ ว่าจากการศึกษาของผมพบว่า เกจิอาจารย์ที่ฝึกนั่งสมาธิ ฝึกจิตทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เกิดรังสีประเภทหนึ่งขึ้นในตัว
"รังสีที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ผิวหนังร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนที่ปฏิบัติ เคยมีการวัดรังสีเหล่านี้แบบวิทยาศาสตร์ โดยมีเครื่องมือวัดเหมือนวัดรังสีออร่า ก็สามารถตรวจวัดได้ระดับหนึ่ง แต่ทีนี้คลื่นรังสีตัวนี้คืออะไร ยังตอบไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ อาจจะแตกต่างไปจากแสงออร่าบ้าง คือความถี่น่าจะไม่เท่ากัน"
กิตติชัยอธิบายต่อไปว่า ในร่างกายคนเราปกติจะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาอยู่แล้ว ถ้าเอามือไปอังใกล้ๆ จะรู้สึกมีการคลายความร้อน รังสีตัวนี้เมื่อคนที่ฝึกกรรมฐานมาแล้ว จิตพัฒนาไปจนสามารถที่จะรวบรวมรังสีเหล่านี้ได้ และส่งออกไปข้างนอกได้ ก็คือส่งไปอาบวัตถุมงคลที่เราเรียกกันว่า "การปลุกเสก" นั่นเอง
"เมื่อพระอาจารย์ทั้งหลายมีการปฏิบัติตรงนี้บ่อยๆ รังสีที่ว่านี้ก็จะอาบไปทุกอณูเซลล์ของร่างกาย เวลาหมดลมหายใจสุดท้าย หรือเวลามรณภาพ ดับขันธ์ พระเกจิเหล่านี้จะกำหนดอารมณ์ของตนเข้าไปอยู่ในที่ตั้งของกรรมฐาน รังสีตัวนี้ก็จะแผ่ปกคลุมในอณูเซลล์ เป็นเหตุให้แบคทีเรียไม่สามารถเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อได้"
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 1
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 2
ถ้าจะพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้หรือไม่ กิตติชัยบอกว่าต้องขอความร่วมมือจากนักวิทยาศาสตร์ให้มาช่วยศึกษาอีกที
"แต่ถ้าจะพิสูจน์ในลักษณะของเหตุและผล หรือดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ในแง่ของความรู้ทางพระที่ศึกษาผ่านมาแน่ชัดอยู่มากทีเดียวว่า พระที่ปฏิบัติกรรมฐาน จนมาถึงตรงที่ตั้งของรังสี ซึ่งเรียกว่ารังสีธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ จะมีร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง เช่น ในตาดำจะมีวงแหวน จะไม่เหมือนกับคนที่ตาเป็นต้อ เพราะคนตาเป็นต้อจะเป็นสีฟ้าสีเดียวแล้วไม่สามารถเปลี่ยนสีได้ แต่คนที่ปฏิบัติตรงนี้วงแหวนในตาดำสามารถเปลี่ยนเป็นสีเทา สีไข่ไก่ได้ แล้วแต่อารมณ์ที่เขากำหนด"
นอกจากนี้ หัวคิ้วจะเปลี่ยนไป เพราะเวลานั่งกรรมฐานเขาจะเอาตาเพ่ง แล้วมองกลับเข้าไปข้างใน ดังนั้นกล้ามเนื้อตาด้านบนจะหดเวลากลอกตาขึ้น เมื่อทำแบบนี้ตลอด คนที่แก่กรรมฐาน กล้ามเนื้อเหมือนจะยืดตัว ตาดำเหมือนจะลอยขึ้นตลอด และมีการยกกระบังลมที่เปลี่ยนไป นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
"พอถึงตอนมรณภาพหรือเสียชีวิต รังสีที่เกิดจากการฝึกปฏิบัติก็ยังอาบอณูเซลล์ร่างกายอยู่ จึงทำให้เซลล์ผิวหนังไม่เน่าเปื่อย มีพระนับร้อยองค์ที่เป็นแบบนี้
"ตัวผมสนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2535 ติดตามมาตลอด ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงร่างกาย ไปถึงการปลุกเสก ด้วยความที่เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ สมัยนั้นผมทำงานอยู่ที่บริษัท ซีเกต เทคโนโลยี ประเทศไทย เราเรียนจบวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เบื้องต้นผมไปเห็นหลวงพ่อรูปหนึ่งที่ จ.นครสวรรค์ ท่านอยู่ในหีบแก้วร่างกายไม่เน่า แวบแรกคิดว่าเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ก็ขึ้นไปเกาะโลงศพดู พวกลูกศิษย์เขาบอกกันว่ามีเล็บงอก ผมงอก ผมก็บอกว่าไม่แปลกหรอกถ้าไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้ง เพราะถ้าผิวหนังแห้งผมก็ต้องโผล่ขึ้นมา แต่ต้องจนมุมเมื่อเขาบอกว่าโกนแล้วยังงอกขึ้นมาอีก ผมก็ไปเกาะโลง จ่อหน้ากับท่านเพื่อจะดู แล้วก็ยอมลงมาจุดธูปขอเป็นลูกศิษย์
"จากนั้นเลยศึกษาเรื่องนี้อยู่นานมาก เดินทางพบพระเป็นพันรูปเพื่อศึกษาตรงนี้ บางรูปอยู่กับท่านตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ จนมรณภาพไปทีละรูป เอารูปท่านตั้งแต่หนุ่มมาดูจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเรื่อยๆ ที่อัศจรรย์กว่านั้น คือ ท่านซ่อนวงแหวนในตาดำได้
"แม้แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เลยนะ" เสียงกิตติชัยย้ำดังๆ เมื่อถูกมองว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์
"มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง ซึ่งต้องการนักวิชาการทางฟิสิกส์เข้าไปค้นคว้าศึกษา คือวิทยาศาสตร์บางทีตอบได้ไม่หมดทุกเรื่อง บางเรื่องเรายังต้องเรียนรู้ต่อไปอีก"
กิตติชัยบอกด้วยว่า เรื่องกรรมฐาน คือการนั่งฌาน ญี่ปุ่นเอาไปใช้เรียกว่า "เซน" วิธีนั่งฌานถ่ายทอดกันมายาวนาน โดยเฉพาะนิกายมหายาน จะกล่าวถึงเรื่องฌานค่อนข้างมาก ส่วนหินยาน (เถรวาท) เองก็กล่าวถึงโดยตลอด ไม่ว่าจะในพระอภิธรรม พระไตรปิฎก
และเมื่ออธิบายเรื่องฌานในแบบวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนการทำฌานก็เหมือนขั้นตอนที่หลอกล่อให้คนฝึกหัดสมาธิ เมื่อทำไปจนถึงระดับหนึ่งจะพบที่ตั้งของรังสีตัวนี้ ที่ขนานนามว่า "รังสีธาตุ" พอพบแล้วก็สามารถจะนำรังสีตัวนี้ส่งออกไปข้างนอกได้ ไปประจุไว้ในวัตถุได้ ที่เรียกกันว่าการปลุกเสก
กิตติชัยบอกว่า เรื่องแบบนี้เป็นได้เฉพาะคน ใครที่ฝึกได้ทำได้ดีมากๆ ก็สามารถรวมพลังงานตรงนี้ได้มาก
"แต่ถ้าถามว่า แล้วพลังงานนี้เมื่อประจุเข้าในวัตถุมงคลแล้วทำไมถึงไปส่งอิทธิปาฏิหาริย์ทำให้ยิงไม่เข้า ตรงนี้ผมก็ตอบไม่ได้.."
ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกอย่าง คือ พระที่สังขารไม่เน่า สังขารต้องค่อยๆ ดำ เช่น หลวงพ่อผล วัดเชิงหวาย สีผิวจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเนื้อเป็นสีน้ำผึ้ง แล้วเป็นสีน้ำผึ้งเก่าแก่ แล้วแห้ง น้ำค่อยๆ ออก อาจารย์ดังๆ ที่ปฏิบัติถึงขั้นแล้วสังขารไม่เน่า มีทั่วทุกภาค แต่จังหวัดทางภาคใต้มีมากเป็นพิเศษ
"เรื่องตายแล้วร่างกายไม่เน่า ไม่ใช่เรื่องแปลก อธิบายได้หมด แล้วก็ยังมีพระที่ร่างกายพร้อมจะไม่เน่าอยู่อีกเยอะแยะ และไม่ใช่แค่ประเทศไทย อย่างพระจีน พระญวน มรณภาพแล้วไม่เน่าก็มี นั่งสมาธิตายแข็งอยู่ทุกวันนี้ก็มี ที่ จ.ฉะเชิงเทรา วัดจีนประชาสโมสร ท่านนั่งฌานปฏิบัติแบบเดียวกัน อันนี้ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ที่ต่างประเทศก็มีการค้นคว้าเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมา"
เรื่องพระสังขารไม่เน่าของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้ว่าจะมีการพิสูจน์ว่าคนทั่วไปก็สามารถทำได้ และมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ตามความเชื่อของคนไทยแล้ว เมื่อมีข่าวพระสังขารไม่เน่า ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นอภินิหาร
ดังนั้น แม้จะมีคำอธิบายระดับหนึ่งจากคนที่ศึกษาในเรื่องนี้ แต่คำตอบที่แน่นอนชัดเจนนั้นยังไม่มี เรื่องนี้ยังคงต้องการการศึกษาให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และต้องขยายออกไปในวงกว้าง
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 4
เรื่องอิทธิปาฏิหารย์นั้นจะว่ามีประโยชน์ก็มีประโยชน์ แต่จะว่ามีโทษก็มีโทษ เป็นไปตามสัจธรรมเช่นเดียวกันกับสรรพสิ่งที่มีทั้งโทษและประโยชน์
ในความเห็นผมนั้น เห็นด้วยกับพี่พอใจ มาจากดิน ก็กลับไปสู่ดิน
ย้อนรอยความคิดไปสักหน่อยก็จะพบว่า
ในสมัยโบราณที่มนุษย์ยังสร้างองค์ความรู้ได้ไม่มากนัก มนุษย์ยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า อนารยะ ยังมีอวิชชาและโมหะเป็นอันมาก แม้ในปัจจุบันก็ยังมีอยู่เยอะก็จริง แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ถือว่าเบาบางลงเรื่อยๆไปตามวันและเวลา
อิทธิปาฏิหารย์ก็มีประโยชน์กับสังคม ในการโน้มน้าวให้ครองตนอยู่ในแนวทางที่ดี และกำหราบลงโทษสำหรับแนวทางที่ชั่ว ด้วยเชื่อว่า อย่างน้อยๆบัวทั้งสี่เหล่าโดยเฉพาะบัวเหล่าล่างๆแม้ไม่เข้าใจอะไรเลยก็ยังไม่กล้าแหกคอกมากนัก และผู้ที่ยังลังเลใจก็จะได้หันมาเชื่อทางนี้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของความอัศจรรยและปาฏิหารย์
หรืออย่างน้อยก็เอาไว้โอ้อวดกันว่า ศาสดาของฉันนั้นดีกว่าของเธอเยอะ ก็ไม่เห็นหรือว่าสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้น่ะ
์
อันนี้ก็เป็นกุศโลบายที่จะดึงดูดคนในยุคก่อนๆให้หันมาศรัทธาปสาทะตามควรแก่ความรู้ของบัวเหล่าล่างๆ
แต่เมื่อสังคมเรามีความเจริญมากขึ้นๆ กลับกลายเป็นว่า เรื่องปาฏิหารย์นี้ชักจะมีฤทธิ์เดชมากเกินไปและทำท่าว่าแม้ผู้มีปัญญาก็ยังหลงไหลได้ปลื้มไปด้วย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากกุศโลบายไปไม่น้อย
กลายเป็นว่าเรื่องปาฏิหารย์มาบดบังแก่นของธรรมมะไปเสียหมด คนไม่ได้กราบไหว้ไปที่คำสอนหรือจริยวัตรที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สิ่งเร้าลวงมาบดบังสิ่งเร้าจริง ไม่แน่ว่า วันหนึ่งอาจจะนำไปสู่จุดจบของธรรมมะที่ดีๆได้เช่นกัน
พูดเรื่องสิ่งเร้าลวงแล้วนึกถึงการทดลองอย่างหนึ่งที่โ่ด่งดังไปทั่วโลกและให้ข้อสรุปเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างดี
เรื่องมีอยู่ว่า
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งศึกษาพฤติกรรมของสุนัขฝูงหนึ่ง(ไม่ได้ตั้งใจเอามาเปรียบกับคนนะครับ พอดีเขาใช้สุนัขทดลองอ่ะครับ เลยไม่รู้จะยกตัวอย่างเป็นกระต่ายได้อย่างไร) เขาพบว่า เมื่อเอาอาหารไปให้ สุนัขฝูงนี้จะหลั่งน้ำลายออกมา(ด้วยความหิวนั่นเอง)
ต่อมาเขาเพิ่มสิ่งเร้าลวงโดยการสั่นกระดิ่งเสียก่อน แล้วจึงเอาอาหารไปให้ น่าทึ่งว่าเมื่อทำอย่างนี้ไปนานพอสมควร สุนัขกลับปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คราวนี้แค่เขาสั่นกระดิ่ง น้ำลายของสุนัขก็ไหลออกมาเสียแล้ว นี่เป็นอิทธิพลของ สิ่งเร้าลวง ที่ไม่ได้มีแก่นสารอะไรเลยนะครับ
ก็หวังว่าสังคมเราคงไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเร้าลวงจนลืมของจริงกันเสียหมด
อิทธิปาฏิหารย์จะมีจริงหรือไม่มีจริงผมก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ถึงมีจริงก็ไม่ได้อะไรขไนหนาดถึงขั้นต้องยกย่องจนเกินควร สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาตินั้นดีกว่ากันเยอะ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้แต่อย่างไร ท่านบอกว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่ทางไปสู่มรรคผล เผลอๆเป็นศัตรูเสียด้วยซ้ำ
ในความเห็นผมนั้น เห็นด้วยกับพี่พอใจ มาจากดิน ก็กลับไปสู่ดิน
ย้อนรอยความคิดไปสักหน่อยก็จะพบว่า
ในสมัยโบราณที่มนุษย์ยังสร้างองค์ความรู้ได้ไม่มากนัก มนุษย์ยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า อนารยะ ยังมีอวิชชาและโมหะเป็นอันมาก แม้ในปัจจุบันก็ยังมีอยู่เยอะก็จริง แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ถือว่าเบาบางลงเรื่อยๆไปตามวันและเวลา
อิทธิปาฏิหารย์ก็มีประโยชน์กับสังคม ในการโน้มน้าวให้ครองตนอยู่ในแนวทางที่ดี และกำหราบลงโทษสำหรับแนวทางที่ชั่ว ด้วยเชื่อว่า อย่างน้อยๆบัวทั้งสี่เหล่าโดยเฉพาะบัวเหล่าล่างๆแม้ไม่เข้าใจอะไรเลยก็ยังไม่กล้าแหกคอกมากนัก และผู้ที่ยังลังเลใจก็จะได้หันมาเชื่อทางนี้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของความอัศจรรยและปาฏิหารย์
หรืออย่างน้อยก็เอาไว้โอ้อวดกันว่า ศาสดาของฉันนั้นดีกว่าของเธอเยอะ ก็ไม่เห็นหรือว่าสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้น่ะ
์
อันนี้ก็เป็นกุศโลบายที่จะดึงดูดคนในยุคก่อนๆให้หันมาศรัทธาปสาทะตามควรแก่ความรู้ของบัวเหล่าล่างๆ
แต่เมื่อสังคมเรามีความเจริญมากขึ้นๆ กลับกลายเป็นว่า เรื่องปาฏิหารย์นี้ชักจะมีฤทธิ์เดชมากเกินไปและทำท่าว่าแม้ผู้มีปัญญาก็ยังหลงไหลได้ปลื้มไปด้วย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่นอกเหนือจากกุศโลบายไปไม่น้อย
กลายเป็นว่าเรื่องปาฏิหารย์มาบดบังแก่นของธรรมมะไปเสียหมด คนไม่ได้กราบไหว้ไปที่คำสอนหรือจริยวัตรที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สิ่งเร้าลวงมาบดบังสิ่งเร้าจริง ไม่แน่ว่า วันหนึ่งอาจจะนำไปสู่จุดจบของธรรมมะที่ดีๆได้เช่นกัน
พูดเรื่องสิ่งเร้าลวงแล้วนึกถึงการทดลองอย่างหนึ่งที่โ่ด่งดังไปทั่วโลกและให้ข้อสรุปเกี่ยวกับพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตได้อย่างดี
เรื่องมีอยู่ว่า
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งศึกษาพฤติกรรมของสุนัขฝูงหนึ่ง(ไม่ได้ตั้งใจเอามาเปรียบกับคนนะครับ พอดีเขาใช้สุนัขทดลองอ่ะครับ เลยไม่รู้จะยกตัวอย่างเป็นกระต่ายได้อย่างไร) เขาพบว่า เมื่อเอาอาหารไปให้ สุนัขฝูงนี้จะหลั่งน้ำลายออกมา(ด้วยความหิวนั่นเอง)
ต่อมาเขาเพิ่มสิ่งเร้าลวงโดยการสั่นกระดิ่งเสียก่อน แล้วจึงเอาอาหารไปให้ น่าทึ่งว่าเมื่อทำอย่างนี้ไปนานพอสมควร สุนัขกลับปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คราวนี้แค่เขาสั่นกระดิ่ง น้ำลายของสุนัขก็ไหลออกมาเสียแล้ว นี่เป็นอิทธิพลของ สิ่งเร้าลวง ที่ไม่ได้มีแก่นสารอะไรเลยนะครับ
ก็หวังว่าสังคมเราคงไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเร้าลวงจนลืมของจริงกันเสียหมด
อิทธิปาฏิหารย์จะมีจริงหรือไม่มีจริงผมก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ถึงมีจริงก็ไม่ได้อะไรขไนหนาดถึงขั้นต้องยกย่องจนเกินควร สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาตินั้นดีกว่ากันเยอะ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้แต่อย่างไร ท่านบอกว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่ทางไปสู่มรรคผล เผลอๆเป็นศัตรูเสียด้วยซ้ำ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 5
นึกว่าฉีด ฟอร์มาลีน โจรจากไหนก้ไม่เน่า
I do not sleep. I dream.
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 6
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
สมัยอียิป กว่าจะทำมัมมี่ได้ ต้องทำสารพัด ที่จะเก็บมัมมี่ไว้
เมื่องไทยเองเป็นเมืองร้อน
ด้วยเทคโนเลยี่อะไร ที่เรามีจะทำให้พระท่าน ไม่เน่าไม่เปื่อย ผมนึกไม่ออก
และย้อนกลับไปสมัยอดีต
ที่เทคโนเลยี่ ยังไม่เจริญ ก็มีพระผู้ใหญ่ที่ไม่เน่า
ทำให้ประชาชน เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น
โดยรวมถือว่าเป็นเรื่อง ที่ดีมากครับ
ยกตัวอย่างหลวงพ่อฤษี ลิงดำ ท่านป่วยมาก ก่อนมรณภาพ อวัยวะไม่ทำงาน กินอะไรก็ออกหมด
ในร่างกายท่าน มีสารพัดเชื้อโรค
อยากถามคุณหมอทั้งหลาย ว่า เราจะใช้อะไรครับ ทำให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยสารพัดเชื้อโรค เมื่อตายแล้ว ไม่เน่า ค่อยๆ แห้งไป
สมัยอียิป กว่าจะทำมัมมี่ได้ ต้องทำสารพัด ที่จะเก็บมัมมี่ไว้
เมื่องไทยเองเป็นเมืองร้อน
ด้วยเทคโนเลยี่อะไร ที่เรามีจะทำให้พระท่าน ไม่เน่าไม่เปื่อย ผมนึกไม่ออก
และย้อนกลับไปสมัยอดีต
ที่เทคโนเลยี่ ยังไม่เจริญ ก็มีพระผู้ใหญ่ที่ไม่เน่า
ทำให้ประชาชน เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น
โดยรวมถือว่าเป็นเรื่อง ที่ดีมากครับ
ยกตัวอย่างหลวงพ่อฤษี ลิงดำ ท่านป่วยมาก ก่อนมรณภาพ อวัยวะไม่ทำงาน กินอะไรก็ออกหมด
ในร่างกายท่าน มีสารพัดเชื้อโรค
อยากถามคุณหมอทั้งหลาย ว่า เราจะใช้อะไรครับ ทำให้ร่างกายที่เต็มไปด้วยสารพัดเชื้อโรค เมื่อตายแล้ว ไม่เน่า ค่อยๆ แห้งไป
-
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 7
เคยทราบมาว่านักบวชญี่ปุ่นนิกายหนึ่งนิยมละสังขารโดยไม่ให้สังขารเน่าเปื่อยเหมือนกัน ท่านกินเปลือกไม้จำพวกสนชนิดหนึ่งก่อนละสังขาร เพื่อให้น้ำมันสน ซึ่งก็เป็นองค์ประกอบสำคัญของแชลแลก ที่เราทาไม้เข้าไปผสมกับอวัยวะในร่างกาย ทำให้ไม่เน่าเปื่อยครับ
แต่ถ้าเราละโลภ โกรธ หลง แล้วซากกายเนื้ออันนี้จะเหลือไว้ทำไม
อ.ป๋วยบอกว่า ".....ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน และอย่าทำพิธีรีตอง ในงานศพให้วุ่นวายไป....."
แต่ถ้าเราละโลภ โกรธ หลง แล้วซากกายเนื้ออันนี้จะเหลือไว้ทำไม
อ.ป๋วยบอกว่า ".....ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน และอย่าทำพิธีรีตอง ในงานศพให้วุ่นวายไป....."
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 8
เรื่องร่างกายพระอริยะเหล่านั้นหรือมนุษย์ท่านอื่นๆไม่เน่า
ท่านละสังขารไปแล้ว ไม่ได้รับรู้ด้วย
แห้งก็แห้ง เน่าก็เน่า มันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นแหละครับ
เรื่องเหล่านี้ เหนือวิสัยมนุษย์ทั่วไปจะรู้ได้และก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยครับ
ตอนท่านอยู่ท่านก็แค่รักษาสังขารตามอัตภาพเท่านั้นเอง
มีเรื่องอีกเยอะแยะมากมายที่ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้
ผมว่าเรื่องนี้หลังๆทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจพุทธศาสนาแบบผิดๆมากขึ้นด้วยซ้ำ ทำให้เข้าใจเป็นเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ไป ซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลักของศาสนาเลย จะมีสักกี่คนที่เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติตามหนทางที่ท่านปฏิบัติ
อย่างเร็วๆนี้ หลวงพ่อพูล หลวงพ่ออุตมะ ผมเห็นข่าวลูกศิษย์แย่งสังขารท่านแล้ว ได้แต่ปลงครับ ...นี้คงเป็นสาเหตุอย่างนึงที่ท่านพุทธทาสสั่งให้เผาสังขารท่าน
ท่านละสังขารไปแล้ว ไม่ได้รับรู้ด้วย
แห้งก็แห้ง เน่าก็เน่า มันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นแหละครับ
เรื่องเหล่านี้ เหนือวิสัยมนุษย์ทั่วไปจะรู้ได้และก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยครับ
ตอนท่านอยู่ท่านก็แค่รักษาสังขารตามอัตภาพเท่านั้นเอง
มีเรื่องอีกเยอะแยะมากมายที่ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยังพิสูจน์ไม่ได้
ผมว่าเรื่องนี้หลังๆทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจพุทธศาสนาแบบผิดๆมากขึ้นด้วยซ้ำ ทำให้เข้าใจเป็นเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ไป ซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลักของศาสนาเลย จะมีสักกี่คนที่เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติตามหนทางที่ท่านปฏิบัติ
อย่างเร็วๆนี้ หลวงพ่อพูล หลวงพ่ออุตมะ ผมเห็นข่าวลูกศิษย์แย่งสังขารท่านแล้ว ได้แต่ปลงครับ ...นี้คงเป็นสาเหตุอย่างนึงที่ท่านพุทธทาสสั่งให้เผาสังขารท่าน
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 9
สังขารบ่ายคล้อย
อีกหน่อยก็พลบค่ำ
เหลือเพียงความทรงจำ
ย่ำรุ่งมาอีกครา..
อีกหน่อยก็พลบค่ำ
เหลือเพียงความทรงจำ
ย่ำรุ่งมาอีกครา..
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 10
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เรื่องร่างกายพระอริยะเหล่านั้นหรือมนุษย์ท่านอื่นๆไม่เน่า
ท่านละสังขารไปแล้ว ไม่ได้รับรู้ด้วย
แห้งก็แห้ง เน่าก็เน่า มันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นแหละครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 11
ครับJeng เขียน:ผมว่าเราไม่รู้นะ ว่าท่านรับรู้หรือไม่โค้ด: เลือกทั้งหมด
เรื่องร่างกายพระอริยะเหล่านั้นหรือมนุษย์ท่านอื่นๆไม่เน่า ท่านละสังขารไปแล้ว ไม่ได้รับรู้ด้วย แห้งก็แห้ง เน่าก็เน่า มันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นแหละครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
-
- Verified User
- โพสต์: 1250
- ผู้ติดตาม: 0
เรื่อง"พระสังขารไม่เน่าเปื่อย"
โพสต์ที่ 12
ผมก็คิดว่า มันก็คือ เรื่องแปลกอีกเรื่องที่ ยังหาคำอธิบายไม่ได้ ออกแนว "ปา-ติ-หาน"
พระที่รูปไม่เน่าเปื่อย ผมยังยาวออกได้ เล็บยังต้องตัด
หรือว่าถ้านำไปประกอบพิธี เผาแล้ว อัฐฐิหรือกระดูก ท่านยังเป็นลักษณะ แก้วใส เรียก ว่า "พระสารีริกธาตุ" (ถ้าเป็น ของ พระพุทธเจ้า เรียกว่า พระบรมสารีริกธาตุ)
หรือ บริเวณ ศีรษะของท่าน ขดเป็นวงหอยขนาดเล็กหลาย วง (คล้ายรูปปั้นหรือ รูป หล่อ ของพระพุทธรูปบางองค์น่ะครับ)
พระที่รูปไม่เน่าเปื่อย ผมยังยาวออกได้ เล็บยังต้องตัด
หรือว่าถ้านำไปประกอบพิธี เผาแล้ว อัฐฐิหรือกระดูก ท่านยังเป็นลักษณะ แก้วใส เรียก ว่า "พระสารีริกธาตุ" (ถ้าเป็น ของ พระพุทธเจ้า เรียกว่า พระบรมสารีริกธาตุ)
หรือ บริเวณ ศีรษะของท่าน ขดเป็นวงหอยขนาดเล็กหลาย วง (คล้ายรูปปั้นหรือ รูป หล่อ ของพระพุทธรูปบางองค์น่ะครับ)