[/b]อาเจียนเพื่อชาติ
โดย นิคม ตันเต็มทรัพย์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน
มติชนรายวัน วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10573
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่ไม่เห็นมีผู้ใดบันทึกไว้ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง ตามความทรงจำ เพื่อให้เรื่องที่มีผู้เล่าไปแล้วสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นการสดุดีวีรกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว
เมื่อปลายปี พ.ศ.2539 ผู้เขียนได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน และเดินทางไปรับหน้าที่ตอนต้นปี 2540 ประมาณปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนตรุษจีน พอไปถึงแล้วก็ต้องรอนัดหมายเพื่อเข้ายื่นพระราชสาสน์ตราตั้ง กับประธานาธิบดีจีน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์ต่อไป
ยังไม่ทันที่จะทำความคุ้นเคยกับประเทศจีนได้สักเท่าไร พอถึงเดือนมีนาคม ก็เกิดเหตุการณ์ระทึกขึ้นในประเทศจีน นั่นคือ การถึงแก่อสัญกรรมของท่านเติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำสูงสุดของจีน ซึ่งทำให้เสียดายมาก เพราะหวังไว้ลึกๆ ว่าจะได้เข้าเยี่ยมคารวะท่านผู้นี้สักครั้งหนึ่ง
จำได้ว่าวันนั้นที่สถานเอกอัครราชทูต มีความวุ่นวายเล็กน้อย เพราะมีการตรวจสอบข่าวกันไปมา และสำนักข่าวใหญ่ในประเทศไทย ได้โทรศัพท์ติดต่อสอบถามไปขอให้สถานเอกอัครราชทูตยืนยันข่าวลือที่ว่า ได้เกิดมีการรัฐประหารหรือแย่งชิงอำนาจกันขึ้นแล้วในประเทศจีน
ซึ่งเมื่อตอบกลับมาว่าทุกอย่างดูจะเรียบร้อยดี ไม่มีเหตุการณ์อะไร ผู้ที่สอบถามไปดูจะไม่ใคร่เชื่อนัก โดยบอกไปว่าสำนักข่าวต่างประเทศได้ออกข่าวแล้วว่ามีทหาร และรถถังออกมาเพ่นพ่านแล้วในหลายๆ จุดในกรุงปักกิ่ง
ตอนนั้นพวกไชน่าวอตเชอรส์โดยเฉพาะในประเทศตะวันตกยังไม่เชื่อโดยสนิทใจนักว่า ท่านประธานาธิบดีเจียง เจ๋อ หมิน สามารถกุมอำนาจไว้ได้หมดแล้ว และยังเชื่อว่ามีฝ่ายโน้นฝ่ายนี้จ้องชิงอำนาจกันอยู่ในประเทศจีน
หลังเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านพ้นไปก็ได้เข้ายื่นพระราชสาสน์ตราตั้ง ต่อประธานาธิบดีและปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ
แล้วก็มาเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ในเดือนมิถุนายน 2540 ไม่ทราบว่าใครไปทำอะไรหรือไม่ทำอะไรไว้อย่างไร จู่ๆ เศรษฐกิจฟองสบู่ของไทยก็แตก รัฐบาลไทยโดย ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ส่งคณะผู้แทนพิเศษ (ส่วนตัว) คณะหนึ่ง เดินทางไปปฏิบัติภารกิจลับยังประเทศจีน เพื่อขอความช่วยเหลือ
ผู้เขียนคิดว่าแม้แต่กระทรวงการต่างประเทศ ก็อาจจะไม่ทราบภารกิจของคณะผู้แทนนี้ ฝ่ายจีนได้จัดให้คณะผู้แทนไทย ได้เข้าพบกับ ฯพณฯ พลเอก หลิว หัว ชิง ตามคำขอของฝ่ายไทย เพื่อยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือ ที่พลเอกชวลิต มีไปถึงพลเอก หลิว หัว ชิง ผู้ซึ่งพลเอกชวลิต นับถือเป็น "พี่ใหญ่" อยู่ก่อนแล้ว
พลเอก หลิว หัว ชิง ผู้นี้ เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารที่มีกันอยู่ทั้งหมดเพียง 5 ท่าน (คือ ท่านเป็นรองประธานองค์กรสูงสุดที่ควบคุมการทหาร และมีอำนาจในการประกาศสงคราม) และเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ขณะนั้นดูเหมือนท่านจะอายุ 80 กว่าๆ แล้ว ผมขาวโพลน แต่ก็ยังแข็งแรง กระฉับกระเฉง และแฝงไว้ด้วยความเข้มแข็ง ความมีศักดิ์ศรีของนายทหารใหญ่
ขณะที่ คณะผู้แทนไทยมี พลเอกมงคล อัมพรพิสิฎฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะ และประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดังสูงของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ผู้ติดต่อนัดหมาย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 10 คน (หนังสือ "บันทึกลับ 2540" โดยปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ บทที่ 10) และผู้เขียนในฐานะตัวแทนของรัฐบาล ซึ่งเป็นหัวโขน ก็ได้รับเกียรติ ให้ร่วมไปในคณะผู้แทนในการเข้าพบ รองประธานคณะกรรมาธิการทหารจีนในครั้งนี้ด้วย
ในการนี้ ฝ่ายจีนได้ให้การต้อนรับคณะผู้แทนไทยอย่างดียิ่ง โดยจัดเลี้ยงต้อนรับให้ที่ห้องรับรองในกระทรวงกลาโหมจีน
กล่าวโดยสรุป สาระสำคัญของการหารือกันในวันดังกล่าวก็เพื่อกระชับ และยืนยันในความสัมพันธ์ไทย-จีนว่า มีความสัมพันธ์พิเศษลึกซึ้งและยาวนาน มีการติดต่อค้าขาย และช่วยเหลือเกื้อกูลกันฉันญาติมิตรมาแต่อดีตกาล ฝ่ายไทยจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จีนจะช่วยเหลือไทยตามคำขอกู้ยืมเงิน 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ของนายกรัฐมนตรีไทยในครั้งนี้ เพื่อที่ไทยจะได้ไม่ต้องเข้าโครงการของไอเอ็มเอฟ
และเพื่อแสดงความจริงใจต่อกัน จึงต้องมีการชนแก้วหรือกระดกแก้ว "กันเปย" กัน ตามธรรมเนียมตลอดงานเลี้ยง และเหล้าที่ใช้ชนกันก็ต้องเป็นเหล้าชั้นดีมียี่ห้อ ซึ่งผู้ที่คุ้นเคยกับประเทศจีนคงทราบว่า คือ "เมาตาย" ในสำเนียงไทยหรือ "เหมาไต๋" ตามสำเนียงจีนนั่นเอง
ผลของการเจรจากันในวันนั้นก็ออกมาเป็นที่น่ายินดีแก่ฝ่ายไทย กล่าวคือ ฝ่ายจีนตอบตกลงช่วยเหลือไทยตามที่ขอ แต่รายละเอียดขอให้ไปหารือกับธนาคารชาติจีนต่อไปในวันรุ่งขึ้น
หลังจากงานเลี้ยงได้เลิกราตามภาษิตจีนที่ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกราแล้ว ขณะที่คณะผู้แทนไทยกำลังเดินออกจากห้องเลี้ยงรับรองนั้น ผู้แทนไทยท่านหนึ่งก็เริ่มอาเจียนอย่างเมามัน ก็จำไม่ได้แน่นอนแล้วว่ามีท่านอื่นๆ อาเจียนตามด้วยหรือไม่ เพราะเกิดชุลมุนกันขึ้นเล็กน้อย และต่างคนต่างก็ตุปัดตุเป๋กันพอสมควร
ก็จะไม่ให้อาเจียนได้อย่างไรเล่า ในเมื่อตลอดทั้งงานฝ่ายจีนโดยท่านเจ้าภาพคือ พลเอก หลิว หัว ชิง ได้ให้ความเป็นกันเองกับพวกเรา โดยการเชิญ (ซึ่งอยากเรียกว่าคะยั้นคะยอ) ให้พวกเราชนแก้วดื่มเหมาไต๋กับท่านแบบเพียวๆ แก้วแล้วแก้วเล่า และแก้วที่ใช้ก็ไม่ใช่แก้วเหมาไต๋ใบกระจิริดที่ชาวบ้านใช้กัน หากแต่เป็นแก้วไวน์ทรงกลมก้านสั้น ซึ่งต้องเติมเหมาไต๋เต็มเลยครึ่งแก้วก่อนกระดกกันทุกที ในลักษณะที่ว่าหากไม่รักกันจริงก็ไม่ต้อง "กันเปย"
เรียกได้ว่าเป็นการอาเจียนเพื่อชาติจริงๆ ตั้งแต่เคยเห็นมา และยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนการเจรจาหารือกับธนาคารจีนในวันรุ่งขึ้นนั้นเป็น "เรื่องทางเทคนิค" (คำพูดนี้ขอยืมเขามาใช้) ที่หัวโขนอย่างผู้เขียน ไม่จำเป็นต้องเข้าด้วย เพราะได้ทำหน้าที่ทางนโยบายไปแล้ว ซึ่งในตอนนั้นก็ยังแปลกใจไม่หายว่า ทำไมเรื่องจึงออกมากลายเป็นว่า จีนยินดีช่วยเหลือให้ไทยกู้เงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ผ่านทางธนาคารที่ฮ่องกง เพื่อช่วยเหลือในกรอบของไอเอ็มเอฟ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะคณะผู้แทนไทย ไปเจรจาอย่างไร หรือธนาคารชาติจีนมีข้อจำกัดอะไร หรืออย่างไรกันแน่
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรจีนก็ยังเป็นประเทศแรกที่ประกาศช่วยเหลือไทยในวิกฤตการณ์ครั้งกระนั้น ก่อนหน้ามหามิตร เช่น สหรัฐ ซึ่งยึกไปยักมาเสียอีก นอกจากจีนแล้วก็ยังมีประเทศในเอเชียด้วยกัน เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น ที่ประกาศช่วยเหลือไทย
และมาถึงปัจจุบันนี้ปี พ.ศ.2550 ก็ยังเห็นได้ชัดว่า จีนยังคงสนับสนุนรัฐบาลไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างคงเส้นคงวาไม่เสื่อมคลาย จีนเป็นประเทศแรกๆ หากไม่ใช่ประเทศแรก ที่ส่งสาสน์มาแสดงความยินดี กับรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และประกาศไม่แทรกแซงในกิจการภายในของไทย หรือเป็นฐานให้ใครใช้โจมตีรัฐบาล หรือประเทศไทย
จึงพอจะพูดได้ว่าจีนเขาเป็นประเทศที่มีหลักการ และเป็นมวยด้วย นอกจากนี้ยังหวังดีกับประเทศไทย ซึ่งคิดว่าเราควรมั่นใจได้ในเรื่องนี้
มันเป็นความมั่นใจที่รู้สึกได้ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผมประจำการอยู่ที่กรุงปักกิ่ง
อาเจียนเพื่อชาติ
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
อาเจียนเพื่อชาติ
โพสต์ที่ 1
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
อาเจียนเพื่อชาติ
โพสต์ที่ 2
จีนไทยก็พี่น้องกันนีเอง ใช่ใครที่ไหน
มีการเจาะ DNA กลุ่มประชากรเปรียบเทียบทั่วโลก พบว่า DNA คนไทยกะคนจีนใกล้เคียงกันมาก
ย้อนดูประวัติศาสตร์บางตำราก็บอกว่า คนไทก็โยกย้ายมาจากเมืองจีนนะครับ ก่อนหน้าที่จะมารวมตัวกันในสมัยสุโขทัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เสียอีก คนพื้นเมืองจริงๆที่อยู่ตรงนี้มาเป็นพันๆปีน่าจะเป็นขอม
ที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ คนไทยกับฟิลิปปินส์ ที่มีความ"เหมือน" กันอย่างน่าอัศจรรย์ ตรงนี้ยังไม่รู้คำตอบครับว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันมาก่อนหรือเปล่า
มีการเจาะ DNA กลุ่มประชากรเปรียบเทียบทั่วโลก พบว่า DNA คนไทยกะคนจีนใกล้เคียงกันมาก
ย้อนดูประวัติศาสตร์บางตำราก็บอกว่า คนไทก็โยกย้ายมาจากเมืองจีนนะครับ ก่อนหน้าที่จะมารวมตัวกันในสมัยสุโขทัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เสียอีก คนพื้นเมืองจริงๆที่อยู่ตรงนี้มาเป็นพันๆปีน่าจะเป็นขอม
ที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือ คนไทยกับฟิลิปปินส์ ที่มีความ"เหมือน" กันอย่างน่าอัศจรรย์ ตรงนี้ยังไม่รู้คำตอบครับว่ามีบรรพบุรุษร่วมกันมาก่อนหรือเปล่า
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด