สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
น.พ.ประสาน ต่างใจ
คอลัมน์ - ความทรงจำนอกมิติ
18 กุมภาพันธ์ 2550
ชื่อของเรื่องที่จะพูดกันในวันนี้ ได้จากวารสารชื่อ วิทยาศาสตร์ ฉบับที่ 210 เดือน ธันวาคม ปี 1980 เขียนโดยโรเจอร์ ลูอิส ซึ่งจริงๆ แล้วชื่อเรื่องดังกล่าว โรเจอร์ ลูอิส ได้มาจากคำถามของกุมารแพทย์ชื่อ จอห์น ลอร์เบอร์ ที่ถามผู้เข้าประชุมที่โรงพยาบาลเด็ก เขตเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เมื่อช่วงปลายปี 1980 ที่โรเจอร์ ลูอิส ในฐานะนักเขียนด้านวิทยาศาสตร์ของวารสารดังกล่าวได้นั่งฟังอยู่ด้วย เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า คุณหมอจอห์น ลอร์เบอร์ ได้รายงานทางวิชาการต่อที่ประชุมกุมารเวชศาสตร์ที่โรงพยาบาลดังกล่าวถึงงานวิจัยของเขาว่าด้วยการรวบรวมผลของการศึกษาเด็กหัวโต (hydrocephalus) ที่เกิดจากท่อที่ปล่อยน้ำไขสันหลังและน้ำหล่อเลี้ยงสมอง (CSF) ออกจากกะโหลกศีรษะเกิดอุดตันมาตั้งแต่กำเนิดจำนวนกว่า 600 รายที่เขาทำติดต่อมายาวนานถึง 20 ปี สาระสำคัญของงานวิจัยมีอยู่ว่า เด็กหัวโตเหล่านี้ ล้วนมีเนื้อสมองเหลืออยู่น้อย เพราะถูกน้ำไขสันหลัง - ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กโตขึ้นๆ - เบียดจนบางรายสมองที่เหลือบางเหมือนกระดาษแข็ง (ไม่กี่มิลลิเมตร) แต่เด็กหัวโตส่วนมากส่วนหนึ่ง กลับมีความฉลาดปราดเปรื่องเหนือเด็กธรรมดาทั่วไป (คือมี IQ สูงกว่า 100 ขึ้นไป) ดังนั้น คำถามที่จอห์น ลอร์เบอร์ ถามผู้เข้าร่วมประชุมในวันนั้น หรือชื่อของบทความที่โรเจอร์ ลูอิส - ซึ่งก็เรียนจบวิทยาศาสตร์มา - จึงมีความหมาย หรืออย่างน้อย ก็มีค่าชวนให้สงสัย
เรารู้แต่เพียงว่า สมองที่เจริญเติบโตมาอย่างปกติมาตลอด หากเกิดมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นมาในภายหลัง เช่น เส้นเลือดในสมองแตก อุปัทวเหตุที่กระทบกับสมอง หรือสมองฝ่อ สมองเป็นรูพรุน เช่น ในโรควัวบ้า คนไข้เหล่านั้นย่อมมีอาการทางสมองเฉพาะที่จากพยาธิสภาพที่เกิด ณ ที่นั้นๆ ไปจนถึงอาการทั่วไปโดยรวมจากการบวมของสมองที่กดกับกะโหลกศีรษะ - ที่เป็นกระดูกประหนึ่งเป็นกล่องแข็งเช่นกะลามะพร้าว - การกดที่อาจก่อให้คนไข้เกิดโคม่านอนไม่ได้สติ บางทีกลายเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทรา ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบัน - ที่เรียนมาบนหลักการแยกส่วนและเหตุที่ก่อผล - จะบอกว่าอาการทั่วไปทางสมองหรืออาการโคม่าล้วนเกิดจากการบวมของสมอง ซึ่งหากการกระทบกระแทกที่ก่อการเบียดเป็นไปอย่างรุนแรง กระทั่งรบกวนต่อก้านสมอง - ในกรณีโคม่า - ที่ควบคุมศูนย์กลางต่างๆ เพื่อการ "อยู่รอด" ของชีวิต ไม่ว่าอย่างไร - เร็วหรือช้า - คนไข้ก็จะเสียชีวิตไปจากการทำงานล้มเหลวของระบบอื่นๆ ของร่างกาย หรือจากโรคแทรกซ้อนนานัปการ นั่นเป็นเพราะว่าแพทย์ในสมัยก่อน หรือแม้ในยุคปัจจุบันของโรงเรียนแพทย์ส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดในประเทศกำลังพัฒนา ร่ำเรียนมาด้วยหลักการแยกส่วนและเหตุที่ก่อผล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงแต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะคิดว่าสมองคืออวัยวะที่ให้จิตระดับต่างๆ ทั้งหมด โดยเรียนมาว่าการทำงานของสมองทั้งหมด ทั้งเส้นทางระบบประสาท (neural pathway) ทั้งเส้นทางระบบจิตสำนึก (mental pathway ที่ให้ conscious mind) ทั้งเส้นทางของจิตเหนือสำนึก หรือจิตวิญญาณ (spiritual pathway) ล้วนประกอบขึ้นด้วยเซลล์สมองเฉพาะแต่ละกลุ่มเซลล์ ที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของสมอง - ทำหน้าที่ควบคุมและบริหารร่างกายเฉพาะส่วนนั้นๆ รวมทั้งเรื่องของจิตทั้งหมด (หากว่าจิตมีจริง) ไม่ว่าจิตนั้นจะเป็นความรู้สึก ความคิดความจำ อารมณ์หรือ กระบวนการแปลงข้อมูลในรูปต่างๆ ฯลฯ ไปจนถึงธรรมจิตหรือจิตวิญญาณ
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 1
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 2
ราวๆ สองทศวรรษก่อน นักประสาทวิทยาศาสตร์และนักวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตชาวตะวันตกอาจจำแนกออกไปได้เป็นสามกลุ่ม คือ กลุ่มวัตถุเครื่องจักรเครื่องยนต์นิยม (materialist) หนึ่ง กลุ่มหน้าที่นิยม (functionalist) หนึ่ง และกลุ่มทวินิยมหรือเหยียบเรือสองแคม (dualist) อีกหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ไปสัก 50 ปี อาจพูดได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ตะวันตกเกือบทั้งหมดอยู่ในกลุ่มแรก แต่ทุกวันนี้ - เท่าที่ผู้เขียนรู้และติดตามมา - มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ทุกวันนี้อาจพูดได้ว่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของประเทศตะวันตกคงเหลือเพียงสองกลุ่มคือ กลุ่มแข็ง (hard scientist) หรือกลุ่มวัตถุนิยมที่ยังคงเป็นนักประสาทวิทยาศาสตร์ที่เชื่อว่าจิตไม่มีจริง หรือมีก็เป็นเพียงผลผลิตของการทำงานกาย หรือของสมอง (epiphenomenon) กับสอง กลุ่มอ่อน (soft scientist) ที่ทุกวันนี้มักเรียกกันว่า นักวิทยาศาสตร์ทางจิตที่เชื่อว่าจิตมีอยู่จริงและอยู่นอกสมอง - ที่เป็นเหมือนฮาร์ดแวร์หรือมอนิเตอร์ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของซอฟต์แวร์หรืออีกนัยหนึ่งอาจพูดได้ว่าจิตดำรงอยู่เหนือกายกระทั่งอาจจะควบคุมกายด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม กลุ่มแรกก็ยังนำหน้ากลุ่มที่สองในด้านของจำนวนนักวิทยาศาสตร์ แต่นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มที่สองกำลังเร่งไล่กวดตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้รับการสนับสนุนโดยนักฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ทฤษฎี นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยาจำนวนมาก ที่สำคัญนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ มักเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับแนวหน้า ที่นักวิทยาศาสตร์ด้วยกันทั่วไปให้ความเคารพนับถืออย่างค่อนข้างเป็นเอกภาพ
พูดง่ายๆ ข้อมูลที่ยกมาข้างบนชี้บ่งว่า นักวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตกส่วนหนึ่งได้ตั้งคำถามแสดงความสงสัยว่าจริงๆ แล้ว - หากเราไม่พูดถึงการทำงานของระบบประสาทสนองตอบ (neural pathway) ของอวัยวะที่เรียกว่าสมอง ซึ่งส่วนหนึ่ง เกี่ยวข้องกับการ "อยู่รอด" เช่นเดียวกับอวัยวะที่มีหน้าที่สนับสนุนการทำงานด้านของรูปกาย ที่ประกอบขึ้นมาจากสสารวัตถุทั้งหลาย เช่น หัวใจ ปอด ตับ ไตแล้วไซร้ แต่หันมาพูดถึงจิตรู้กับการรู้ (knowing) อันเป็นเรื่องของจิตที่เกี่ยวกับความคิดความจำ มโนทัศน์หรืออุดมคติซึ่งเป็นเรื่องของจิตที่ "รู้ว่าตัวเองคือผู้รู้" (mental pathway) ที่ทำให้มนุษย์ไม่ใช่สัตว์หากมองจากแง่มุมนี้ สมองของมนุษย์เราเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงหรือไม่? นั่นเป็นเรื่องน่าคิดและคงเป็นความหมายของโรเจอร์ ลูอิส ที่ถามมาข้างบน อันเป็นที่มาของบทความของวันนี้ คิดไปแล้ว นี่คือความบกพร่องของธรรมชาติแห่งชีววิวัฒนาการ หากว่าธรรมชาติแยกสมองออกไปเป็นสองอวัยวะให้มนุษย์มีสองหัวแยกจากกันอย่างเด็ดขาด เพียงแต่จัดให้มีการแชร์เฉพาะแต่เวทนาความรู้สึกร่วมกัน เรื่องของจิตศึกษาและวิทยาศาสตร์ทางจิตก็สามารถแยกออกเป็นประสาทศึกษาและประสาทวิทยาศาสตร์ออกจากเรื่องของจิตไร้สำนึกรวมทั้งเรื่องของจิตเหนือสำนึกหรือจิตวิญญาณ (spirituality) ได้ตั้งแต่แรก อย่างไรก็ดี ผู้เขียนคิดว่าที่ชีววิวัฒนาการมีความบกพร่องเช่นนี้โดยให้มนุษย์มีสมองสองส่วนแยกกันไม่เหมือนสัตว์และไม่ใช่สัตว์ในทางกายภาพ ย่อมต้องมีความหมายที่สำคัญยิ่ง
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 3
หันไปมองทางด้านจิตวิทยา (สายอ่อน) แบบที่ไม่ได้อาศัยวิทยาศาสตร์กายภาพแบบที่เรามีเราใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นรากฐานเลย หากแต่อาศัยประสบการณ์ตรงของผู้ปฏิบัติจิตปฏิบัติสมาธิ ข้อมูลที่ผ่านจิตรู้และเป็นไปในทำนองจิตนิยม ที่สุดแล้วแต่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราก็ยิ่งพบว่า สมองของเรา - ในแบบที่เรามีอยู่ - เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจริงๆ ยกตัวอย่าง เรื่องของความสอดคล้องพ้องจองกัน ที่คาร์ล จุง - ปรมาจารย์ทางจิตวิทยาสายอ่อน - เป็นผู้บัญญัติขึ้นมา (synchromicity) นั่นคือ ประสบการณ์ตรงของเหตุการณ์ที่เกิดกับผู้หนึ่งผู้ใดที่มาของมันเองอย่างทันทีทันใดในจิตในความคิดคำนึง โดยที่เหตุการณ์ที่ว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง - แบบเหตุที่ก่อผล - กับประสบการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเลย เป็นประหนึ่งความฝัน ความสอดคล้องพ้องจองกันของคาร์ล จุง นั้นมีรูปแบบอยู่สองรูปแบบ คือ หนึ่ง ความสอดคล้องพ้องกันของเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใด - ที่ผู้ใดผู้หนึ่งได้รับเป็นประสบการณ์อย่างทันทีทันใดในเวลาเดียวกันพร้อมๆ กัน - ในสถานที่ที่ต่างกัน กับ สอง ความสอดคล้องพ้องจองกันของเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นที่สถานที่เดียวกัน แต่เกิดคนละเวลากัน บางครั้งอาจเกิดในเวลาที่ห่างกันเป็นปีๆ รูปแบบแรกเกิดกับคาร์ล จุง เอง เมื่อวันหนึ่งช่วงขึ้นรถไฟจากเมืองโบลลิงเยอร์เพื่อเดินทางกลับบ้าน จุงมีหนังสือที่ถือติดมือมาโดยตั้งใจจะอ่านระหว่างการเดินทาง แต่ไม่มีโอกาสได้อ่านเพราะขณะที่ขบวนรถไฟจะออก ช่วงที่รถกระชาก จุงก็ประสบกับประสบการณ์ว่า มีเด็กกำลังจะจมน้ำอยู่ในสระน้ำที่บ้านของจุงเอง และตลอดการเดินทางจุงไม่สามารถสลัดภาพของประสบการณ์ที่ว่า ออกไปจากความคิดได้เลย เมื่อจุงกับมาถึงบ้าน ลูกและหลานๆ ล้วนแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีกันทุกคน ลูกสาวรายงานให้จุงทราบว่า วันนั้น (ในช่วงเวลาที่รถไฟกำลังจะออกพอดี) เอเดรียนหลานชายที่ใกล้ชิดกับจุงที่สุดได้ตกลงไปในสระน้ำที่บ้านและเกือบจมน้ำตาย โชคดีที่มีผู้ใหญ่อยู่ใกล้ๆ ช่วยไว้ทัน ส่วนรูปแบบที่สองเกิดกับแพทย์หญิงชาวอเมริกันที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมิชันนารีที่เมืองวู่ฉังที่ประเทศจีน แพทย์หญิงคนนี้ได้สร้างตึกผู้ป่วยขึ้นมาตึกหนึ่งด้วยสถาปัตยกรรมอเมริกันที่ทำให้เธอภูมิใจและยึดติดกับมันมาก ประหนึ่งตึกผู้ป่วยทรงอเมริกันตึกนั้นคือภาพลักษณ์ของอเมริกันเท่าๆ กับเป็นภาพลักษณ์ของเธอ ประเด็นก็คือในช่วงต่อมาเธอฝันติดต่อกันว่าตึกผู้ป่วยถูกทำลายไปด้วยไฟไหม้ มีผู้ป่วยที่หนีไม่ทันต้องตายเป็นจำนวนมาก ความฝันได้ทำให้เธอเสียใจอย่างยิ่ง เพราะเหตุการณ์เหมือนกับว่าได้ทำลายภาพลักษณ์ของเธอพร้อมๆ กันไปด้วย เธอพยายามลืมก็ลืมไม่ได้ เธอจึงไปปรึกษาจิตแพทย์มีชื่อโด่งดังที่สุดในเวลานั้น ที่นครซูริกที่สวิสเซอร์แลนด์ ชื่อคาร์ล อัลเฟร็ด ไมเออร์ โดยนำภาพของตึกผู้ป่วยไปด้วย กับได้วาดภาพที่ตึกเกิดไฟไหม้ และถูกทำลายตามที่เธอเห็นในฝัน หลายปีต่อมากองทัพญี่ปุ่นก็ได้บุกเข้าประเทศจีน และในวันหนึ่งฝูงบินของญี่ปุ่นก็ได้บินเข้ามาโจมตีเมืองวู่ฉังและได้ทิ้งระเบิดทำลายและระเบิดเพลิงลงมาที่ตึกผู้ป่วยของโรงพยาบาลมิชชั่น ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับตึกผู้ป่วยและคร่าชีวิตของคนไข้ไปหลายคน แพทย์หญิงอเมริกันดังกล่าวได้ส่งภาพของตึกที่ถูกทำลายไปให้หมอไมเออร์ที่ซูริก ภาพถ่ายที่เธอส่งไปให้ตรงกับตำแหน่งของตึกส่วนที่ถูกทำลายที่เธอเคยมอบให้หมอไมเออร์ไว้อย่างพอดิบพอดี
ยิ่งไปกว่าที่เล่ามานั้น ไมเคิล ทัลบอต นักจิตวิทยาและนักเขียนมีชื่อ ผู้เขียนหนังสือขายดีหลายเล่ม (Mysticism and the New Physics; Beyond the Quantum กับ Holographic Universe) เล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดกับเขาเองและเพื่อนบ้าน ที่ไม่น่าเชื่อว่า คืนวันหนึ่ง เขาฝันว่าเขาออกไปเดินในป่าหลังบ้าน เขามองเห็นหนังสือเล่มหนึ่งตกอยู่บนหญ้าใกล้ๆ กับต้นไม้ เขาได้ก้มไปดู ปรากฏว่าเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นของ กี เดอ โมปาซอง วันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้านที่เป็นเด็กสาวได้มาหาและบอกว่าเมื่อเย็นวานเธอได้ไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดแล้วหนังสือเกิดหายไปที่ไหนก็ไม่รู้ เธอบอกต่อไปว่าเธอไม่ได้ไปไหน พอยืมหนังสือได้ก็เดินกลับบ้านเลย โดยเดินลัดป่าที่หลังบ้านของไมเคิล ทัลบอต เธอคิดว่าเธออาจทำหนังสือหล่นไปตอนนั้นก็ได้ ไมเคิล ทัลบอต เลยพาเธอไปที่ป่าและเดินนำเธอไปที่ตำแหน่งที่เขาพบหนังสือในฝัน ปรากฏว่าทั้งสองได้พบหนังสือเล่มนั้นที่ตำแหน่งที่ตรงกับความฝันพอดี หนังสือเล่มนั้นคือหนังสือรวมเรื่องสั้นของกี เดอ โมปาซอง
ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลและด้วยวิทยาศาสตร์กายภาพของการทำงานของสมองที่ให้จิตรู้ตามที่เรารู้ อย่างดีที่เราจะทำได้ - นอกจากจะพูดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ - ก็คือสงสัยว่าคงมีไม่ใครก็ใครที่อำหรือหลอกกันเล่น และเราส่วนมากก็จะลืมหรือไม่เอามาคิดต่อให้รกสมอง ประเด็น คือ หากเป็นเรื่องจริง เราก็คงต้องถามตัวเองว่า ในบางกรณีที่ไม่ใช่เพื่อ "อยู่รอด" สมองมีความจำเป็นจริงๆ หรือไม่ประการใด?
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 6
เห็นว่าคนเล่นหวยในเมืองไทยมีประมาณสามสิบล้านคนเหรอครับ
สมมติว่าเป็นตัวเลขนี้จริง ในสามสิบล้านคนก็ย่อมจะมีสักสิบล้านที่เคยฝันว่างวดต่อไปจะออกตัวโน้นตัวนี้ บางคนก็เห็นชัดๆ บางคนก็เบลอๆ
บางคนที่เห็นเบลอๆแต่มาเล่าต่อว่าเห็นชัดๆก็มี บางคนไม่ฝันก็อาศัยไปขูดต้นไม้หารตัวเลขก็มี
เลขท้ายสองตัวก็มีโอกาสเกิดขึ้นร้อยกลุ่มตัวอย่าง
แต่มีคนฝันถึงหวยเป็นล้านๆคน ผมฟันธงว่าจะต้องมีคนฝันเห็นหวยชัดๆ และซื้อแล้วก็ถูกเป็นจำนวนไม่น้อย
ทีนี้ถ้ามีการเก็บสถิติ เราจะสรุปว่าคนๆนั้นมีพลังจิตล่วงรู้อนาคตได้ไหมครับ
สมมติว่าเป็นตัวเลขนี้จริง ในสามสิบล้านคนก็ย่อมจะมีสักสิบล้านที่เคยฝันว่างวดต่อไปจะออกตัวโน้นตัวนี้ บางคนก็เห็นชัดๆ บางคนก็เบลอๆ
บางคนที่เห็นเบลอๆแต่มาเล่าต่อว่าเห็นชัดๆก็มี บางคนไม่ฝันก็อาศัยไปขูดต้นไม้หารตัวเลขก็มี
เลขท้ายสองตัวก็มีโอกาสเกิดขึ้นร้อยกลุ่มตัวอย่าง
แต่มีคนฝันถึงหวยเป็นล้านๆคน ผมฟันธงว่าจะต้องมีคนฝันเห็นหวยชัดๆ และซื้อแล้วก็ถูกเป็นจำนวนไม่น้อย
ทีนี้ถ้ามีการเก็บสถิติ เราจะสรุปว่าคนๆนั้นมีพลังจิตล่วงรู้อนาคตได้ไหมครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 7
หรือกรณีโรงพยาบาลมิชันนารีที่เมืองวู่ฉัง จะมีไหมครับที่คนอื่นๆก็ฝันเช่นเดียวกันว่าตึกโดนไฟไหม้ แต่ว่าไหม้ไปคนละด้าน ก็เลยไม่เป็นข่าว
หรือคนอื่นอาจจะฝันว่าตึกอื่นๆต่างหากที่โดนไฟไหม้ ก็เลยไม่เป็นข่าวเช่นเดียวกัน
ความฝันเกิดจากจิตใต้สำนึกไม่ยอมหลับไปด้วย ก็จะสร้างภาพขึ้นมาเองตามประสบการณ์ที่ได้รับในแต่ละวัน ประสบการณ์นั้นอาจจะเป็นเรื่องจริงหรืออาจจะจำมาจากหนังจากละครก็ได้
คนทุกคนเมื่อนอนหลับแล้วก็จะฝันกันทุกคนในช่วง (rem sleep) เพียงแต่บางคนอาจจะจำไม่ได้เมื่อตื่นขึ้นมา เราจะจำความฝันได้ประมาณห้านาทีย้อนหลังถ้านับจากช่วง rem เท่านั้น
คนหกพันล้านคนฝันได้หลายหมื่นล้านเรื่องต่อคืน (เพราะคืนหนึ่งเราฝันหลายเรื่องนั่นเอง) ผมว่าเอาแค่คืนเดียวก็ครอบคลุมเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ได้หมดแล้วครับ
หรือคนอื่นอาจจะฝันว่าตึกอื่นๆต่างหากที่โดนไฟไหม้ ก็เลยไม่เป็นข่าวเช่นเดียวกัน
ความฝันเกิดจากจิตใต้สำนึกไม่ยอมหลับไปด้วย ก็จะสร้างภาพขึ้นมาเองตามประสบการณ์ที่ได้รับในแต่ละวัน ประสบการณ์นั้นอาจจะเป็นเรื่องจริงหรืออาจจะจำมาจากหนังจากละครก็ได้
คนทุกคนเมื่อนอนหลับแล้วก็จะฝันกันทุกคนในช่วง (rem sleep) เพียงแต่บางคนอาจจะจำไม่ได้เมื่อตื่นขึ้นมา เราจะจำความฝันได้ประมาณห้านาทีย้อนหลังถ้านับจากช่วง rem เท่านั้น
คนหกพันล้านคนฝันได้หลายหมื่นล้านเรื่องต่อคืน (เพราะคืนหนึ่งเราฝันหลายเรื่องนั่นเอง) ผมว่าเอาแค่คืนเดียวก็ครอบคลุมเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ได้หมดแล้วครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 8
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้นะครับ เพียงแต่ "ขอตรวจสอบ"ก่อนที่จะเชื่อเท่านั้นเอง
และผมก็ตั้งข้อสังเกตุบ่อยๆว่า คนที่เชื่อว่าผีมีจริง มักจะมีประสบการณ์เห็นผีอยู่บ่อยๆ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ผีก็มักไม่ค่อยลดตัวมายุ่งเกี่ยวเสียด้วยสิ เลยไม่เคยเห็นสักที
และผมก็ตั้งข้อสังเกตุบ่อยๆว่า คนที่เชื่อว่าผีมีจริง มักจะมีประสบการณ์เห็นผีอยู่บ่อยๆ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ผีก็มักไม่ค่อยลดตัวมายุ่งเกี่ยวเสียด้วยสิ เลยไม่เคยเห็นสักที
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 9
สมองนั้นเป็นผลงานของธรรมชาติที่ "วิจิตรที่สุดในจักรวาล"สาระสำคัญของงานวิจัยมีอยู่ว่า เด็กหัวโตเหล่านี้ ล้วนมีเนื้อสมองเหลืออยู่น้อย เพราะถูกน้ำไขสันหลัง - ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กโตขึ้นๆ - เบียดจนบางรายสมองที่เหลือบางเหมือนกระดาษแข็ง (ไม่กี่มิลลิเมตร) แต่เด็กหัวโตส่วนมากส่วนหนึ่ง กลับมีความฉลาดปราดเปรื่องเหนือเด็กธรรมดาทั่วไป (คือมี IQ สูงกว่า 100 ขึ้นไป)
เซลสมองเป็นเซลที่มีวิวัฒนาการมากที่สุดในบรรดาทุกๆเซลของมนุษย์
เซลสมองมีความสลับซับซ้อนที่สุด ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างวิจิตรพิสดาร
เซลสมองจึงต้องการกลูโคสและออกซิเจนสูงที่สุดเมื่อเทียบปอนด์ต่อปอนด์
เซลสมองมีระบบป้องกันตัวที่ดีที่สุด เริ่มจากหนังศีรษะที่เหนียวมากกว่าผิวหนังส่วนใดๆ ถัดไปมีกระโหลกศีรษะซึ่งเป็นกระดูกที่แข็งมากกว่ากระดูกชิ้นใดๆในร่างกาย ถัดไปเป็นเยื่อหุ้มสมองอีกหลายชั้น และยังมีระบบไฮโดรลิคซึ่งได้แก่ น้ำไขสันหลัง คอยดูดซับแรงกระแทกอย่างมหัศจรรย์ ทั้งหมดนี้คือที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ลึกลงไปในระดับเซลก็มีเซลอื่นๆคอยปกป้องอีกสารพัด
เซลสมองมีนิวเลียสที่เจริญก้าวหน้าที่สุด ในบรรดานิวเคลียสทุกๆเซลในร่างกาย
และที่สำคัญที่สุดเซลสมอง เป็นเซลที่สามารถปรับตัวเพื่อชดเชยความเสียหายได้มากที่สุด โดยเฉพาะใน "เด็ก"
ในวัยเด็กถ้าแขนขาเราพิการขาดหายไป เราไม่สามารถงอกแขนขาขึ้นใหม่ได้ เพราะเราไม่ใช่จิ้งจก
แต่สมองทำได้ ถ้าในวัยเด็กเราประสบอุบัติเหตุหรือเจอโรคร้ายที่มีความจำเป็นที่จะต้องตัดเนื้อสมองบางส่วนทิ้งไป (บางส่วนนะครับ.บางส่วนนะครับในระดับที่ไม่มากเกินกำลัง ถ้าเยอะก็เอวังตั้งแต่ต้น) สมองที่เหลือสามารถ งอกขึ้นใหม่มาชดเชย ส่วนที่เสียไปอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งถ้าส่วนที่ถูกตัดทิ้งเป็นสมองส่วนหน้า (frontal lobe) ยิ่งง่ายใหญ่ จนคุณแทบไม่รู้ถึงความแตกต่างเลย แต่น้ำว่าเป็นวัยเด็กนะครับ ยิ่งเด็กยิ่งดี ไม่ควรเกิน 4-5 ขวบ เพราะสมองเริ่มหยุดเพิ่มเซลแล้ว
นี่คือ ความมหัศจรรย์ของ "สมอง" หรือ "วิจิตรที่สุดในจักรวาล"
กรณีที่เด็กหัวบาตร สามารถมีระดับ IQ เกิน 100 จึงไม่แปลกเลยถ้า เขาได้รับการรักษาตั้งแต่ต้น และในขณะที่ยังเด็กมากๆอยู่
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 10
มีรุ่นน้องหมอจุฬา ท่านหนึ่ง ชื่อหมอเมี้ยง เอนทรานปี 2527 เห็นจะได้
แกไปราววอร์ด ประมาณ ปี 4 ปี 5
แล้ว ที่โรงพยาบาลจุฬา ห้องรวม มีเตียงคนไข้ รวมกัน ราว 10 เตียง
หันเท้าเข้าหากัน หมอเดินไปตรงกลาง
เรื่องที่เกิดขึ้นคือ
มีคนไข้ อาการเบาๆ ไม่หนักมาก นอนอยู่
ส่วนหมอเมี้ยงต้องไปตรวจคนไข้ ฝั่งตรงข้าม ไม่ไกลมากนัก
ซึ่งคนไข้อาการหนัก
อยู่ดีๆ ระหว่างหมอเมี้ยงอ่านประวัติคนไข้อยู่ และก็รู้ว่าแกอาการหนัก
ตัวคนไข้ ก็ทะลึ่งพรวด มานั่ง สั่นๆ แล้วชี้ไปเตียงตรงข้าม
แล้วพูดขึ้นมาว่า คนนั้นไปก่อน แล้วหัวเราะนิดๆ
ซึ่งหมอเมี้ยงก็แปลกใจ
ภายหลังก็เลย แอบเดินไปเตียงตรงข้าม
แล้วดูประวัติก็ไม่เห็นมีอะไร
วันรุ่งขึ้น คนไข้ฝั่งตรงข้าม ตาย
และอีกไม่กี่วันต่อมา คนไข้ ที่เป็นคนชี้มือ ว่าคนนั้นไปก่อน ก็ตายตาม
หมอเมี้ยงบอกว่า ไม่เจอกับตัวเองไม่เชื่อเด็ดขาด
แกไปราววอร์ด ประมาณ ปี 4 ปี 5
แล้ว ที่โรงพยาบาลจุฬา ห้องรวม มีเตียงคนไข้ รวมกัน ราว 10 เตียง
หันเท้าเข้าหากัน หมอเดินไปตรงกลาง
เรื่องที่เกิดขึ้นคือ
มีคนไข้ อาการเบาๆ ไม่หนักมาก นอนอยู่
ส่วนหมอเมี้ยงต้องไปตรวจคนไข้ ฝั่งตรงข้าม ไม่ไกลมากนัก
ซึ่งคนไข้อาการหนัก
อยู่ดีๆ ระหว่างหมอเมี้ยงอ่านประวัติคนไข้อยู่ และก็รู้ว่าแกอาการหนัก
ตัวคนไข้ ก็ทะลึ่งพรวด มานั่ง สั่นๆ แล้วชี้ไปเตียงตรงข้าม
แล้วพูดขึ้นมาว่า คนนั้นไปก่อน แล้วหัวเราะนิดๆ
ซึ่งหมอเมี้ยงก็แปลกใจ
ภายหลังก็เลย แอบเดินไปเตียงตรงข้าม
แล้วดูประวัติก็ไม่เห็นมีอะไร
วันรุ่งขึ้น คนไข้ฝั่งตรงข้าม ตาย
และอีกไม่กี่วันต่อมา คนไข้ ที่เป็นคนชี้มือ ว่าคนนั้นไปก่อน ก็ตายตาม
หมอเมี้ยงบอกว่า ไม่เจอกับตัวเองไม่เชื่อเด็ดขาด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 11
ก็คงมีหลายกรณี ที่ชี้ว่าคนโน้นจะตายก่อน แต่พอถึงคราวกลายเป็นเราเองไปก่อน แต่เรื่องแบบนี้ก็มักจะไม่ดัง เพราะไม่ขลัง ไม่น่าตื่นเต้น ไม่น่าแปลกใจอะไร ฟังแล้วขนไม่ลุก
คนที่เชื่อว่าผีมีจริง มักจะมีประสบการณ์เห็นผีอยู่บ่อยๆ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ผีก็มักไม่ค่อยลดตัวมายุ่งเกี่ยวเสียด้วยสิ เลยไม่เคยเห็นสักที
คนที่เชื่อว่าผีมีจริง มักจะมีประสบการณ์เห็นผีอยู่บ่อยๆ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อ ผีก็มักไม่ค่อยลดตัวมายุ่งเกี่ยวเสียด้วยสิ เลยไม่เคยเห็นสักที
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
สมองของคุณเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ หรือ?
โพสต์ที่ 14
สัปดาห์ก่อน แวะร้านซึทาญ่า เห็นมีซีดีลดราคา
มีแผ่นหนึ่งเป็นสารคดีของ Discovery Channel
"The power of dreams : searching for meaning"
แผ่นละ 29 บาท ซื้อมาแต่ยังไม่ได้ดูเลยคับ
ความสนใจผมเปลี่ยนไปตามวัน..
มีแผ่นหนึ่งเป็นสารคดีของ Discovery Channel
"The power of dreams : searching for meaning"
แผ่นละ 29 บาท ซื้อมาแต่ยังไม่ได้ดูเลยคับ
ความสนใจผมเปลี่ยนไปตามวัน..