เพียงขออีกสักวัน
โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
มติชนรายวัน วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10540
ครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญของการมีความรู้สึกว่ามีชีวิตที่มั่นคงและมีความสุข อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งเมื่อมีสมาชิกตายจากไป คนที่เหลืออยู่ก็รู้สึกผิดว่าตนเองได้ทำอะไรน้อยไปหน่อย หรือได้ทำสิ่งที่ไม่สมควรไว้ก่อนลาลับกัน ถ้าแม้นว่ามี One More Day แล้วก็จะได้แก้ไขความบกพร่องเหล่านั้น
หนังสือชื่อ For One More Day ของ Mitch Albom ที่ออกมาใหม่ทะลวงเข้าไปในใจของคนจำนวนมากถึงกับน้ำตาริน เมื่อย้อนไปคิดว่า......ถ้าแม้นว่ามี One More Day
Mitch Albom เป็นนักเขียนดังมาจากหนังสือชื่อ Tuesdays with Morrie ตีพิมพ์กว่า 4 ล้านเล่ม (มีแปลเป็นไทยแล้ว) ซึ่งเป็นการบันทึกจริงของความรู้สึกนึกคิด ปัญญา คำสอน ฯลฯ จากอาจารย์ของเขาที่กำลังจะตายจากไป การไปพบอาจารย์ในวันอังคารของเขาทำให้โลกได้รับรู้สิ่งที่อยู่ลึกในใจของคนที่บอกว่าพร้อมที่จะตาย และพร้อมที่จะสื่อสิ่งที่เป็นสัจธรรมของโลกให้ศิษย์ได้รับรู้
For One More Day เป็นเรื่องของความรัก ความผิดหวัง การต่อสู้ชีวิตของครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่งในเมืองเล็กๆ ชื่อ Pepperville Beach ผู้เขียนไม่ระบุรัฐเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเหตุการณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นของทุกคน ไม่ใช่ของคนในที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น
ผู้เขียนพยายามเขียนในเชิงว่าเป็นเรื่องจริงที่มีผู้เล่าให้เขาฟังและเขานำมาถ่ายทอด ผู้เล่าคือ Charles Benetto หรือ Chick อดีตนักเบสบอลอาชีพมือดีขนาดเป็นสมาชิกของทีมที่แข่งใน World Series ครั้งหนึ่ง (เทียบได้กับ Superbowl ของอเมริกันฟุตบอลหรือแมทช์ชิงแชมป์ฟุตบอลโลก)
Chick เล่าให้เขาฟังว่า เคยฆ่าตัวตายครั้งหนึ่งโดยการปีนขึ้นไปบนยอดแท็งก์น้ำของเมืองและโดดลงมาแต่ไม่ตาย สาเหตุที่ฆ่าตัวตายก็คือไม่อยากอยู่ในโลก เพราะไม่มีใครรักเขาอีกแล้ว
Chick เล่าว่า เมื่อแม่ซึ่งเป็นสุดที่รักของเขาตาย ชีวิตเขาก็เริ่มเลื่อนลอยทันที เสมือนรากของต้นไม้ถูกถอนขึ้นมา เขาเริ่มดื่มเหล้าจนถูกให้ออกจากงาน เงินก้อนใหญ่ที่สะสมไว้จากการเป็นนักเบสบอลก็หมดไปเพราะถูกหลอกให้ลงทุน ทะเลาะกับภรรยาทุกวันจนลูกสาวที่เขารักมากเบื่อหน่าย ชีวิตลอยไปลอยมากับเหล้าจนวันหนึ่งเขาก็ออกจากบ้านหายไป จากนั้นก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ พอประทังชีวิตแล้วก็กินเหล้าหัวราน้ำให้ลืมชีวิตแสนบัดซบ
สิ่งที่ผลักดันให้เขาฆ่าตัวตายก็คือรูปแต่งงานของลูกสาวที่ส่งมาถึงเขาพร้อมกับโน้ตสั้นๆ เขาเสียใจและอับอายตนเองที่ไม่ดีพอที่ลูกสาวจะเชิญไปร่วมงานแต่งงาน
เมื่อโดดลงมาแล้วแต่ไม่ตาย เขาก็ได้พบแม่ที่ตายไปแล้วเมื่อเดินไปที่บ้านเก่า เขานึกถึงความหลังที่แม่ต้องต่อสู้ชีวิตเพื่อเขาและน้องสาวหลังจากพ่อทิ้งครอบครัวไปโดยไม่บอกกล่าว เมื่อเขาเริ่มเป็นหนุ่ม ซึ่งเป็นความเจ็บซ้ำของเขาอย่างมาก เพราะตลอดเวลาที่พ่อเขาอยู่หรือแม้แต่เมื่อจากไปแล้วเขาก็ยังพยายาม "เป็นลูกพ่อ" เอาใจพ่อเสมอ โดยไม่อ่อนไหวกับความรู้สึกของแม่
พ่อเขาบอกตอนเด็กๆ ว่า "ลูกเป็นลูกแม่หรือเป็นลูกพ่อ แต่ไม่สามารถจะเป็นทั้งสองอย่างได้" เขาเลือกพ่อที่บ้าคลั่งเบสบอล เขาทุ่มเทให้เบสบอลเพื่อเอาใจพ่อ เมื่อจบชั้นมัธยมปลายเขาก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่ผู้รักการศึกษาอย่างยิ่งภูมิใจมาก เพราะตัวแม่เองไม่มีโอกาส
เรียนได้ 2 ปีก็แอบพบพ่อโดยไม่ให้แม่รู้ และเชื่อพ่อทิ้งการเรียนเพื่อเล่น เบสบอลอาชีพ แม่เขาเสียใจมากแต่เขาก็ไม่ใส่ใจ เมื่อมาพบแม่ในครั้งนี้จึงได้รู้ว่าแม่ส่งเสียเขาอย่างลำบาก ยอมทิ้งงานช่างเสริมสวยมาเป็นคนรับจ้างทำความสะอาดตามบ้าน เพื่อให้ได้เงินมากกว่า เขาตกใจและร้องไห้เพราะไม่ทราบมาก่อนว่าแม่ยอมเสียสละเพื่อเขาถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ดี วันพิเศษนี้ของเขา ทำให้เขามีความสุขอย่างมาก รู้สึกอบอุ่น ได้กินอาหารที่แม่เคยทำ ได้กอดแม่ ได้ล้อเลียนแม่ ได้พูดกันถึงเรื่องเก่าๆ หลายเรื่องที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ เช่น รู้ว่าเหตุใดพ่อแม่ซึ่งเคยรักกันมากจึงเลิกกัน ได้รู้ว่าแม่รักเขามาก ทุ่มเทชีวิตให้ลูกทั้งสองคนอย่างไม่อับอายใคร ตราบใดที่ทำให้ลูกได้เรียนและมีอนาคต
ที่เขาเสียใจอย่างที่สุดก็คือ เป็นเวลาเกือบ 10 ปีก่อนแม่เขาตายที่เขาแทบไม่ได้พบแม่ มัวแต่หลงระเริงอยู่กับการเป็นดาราเบสบอลเพื่อเอาใจพ่อ แม้แต่คืนวันเกิดแม่ เขาก็ไม่ได้อยู่กินเลี้ยง เพราะพ่อแอบโทร.มาบอกให้ไปเล่นเบสบอลนัดพิเศษกับดาราเก่าๆ เพื่อหาโอกาสมีงานทำที่ดีเกี่ยวกับเบสบอล ซึ่งดีกว่าเป็นเซลส์แมน และในคืนนั้นแม่ก็ล้มลงและจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ
เมื่อได้พบกันครั้งนี้เขาได้มีโอกาสสารภาพกับแม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น แม่ไม่โกรธขึ้ง กลับให้อภัยและเห็นใจเขา ในขณะที่พ่อหายไปจากชีวิตของเขานับแต่คืนนั้นที่ไม่เป็นมรรคเป็นผลใดขึ้นมา
ผู้เขียนบีบหัวใจคนอ่านด้วยการเล่าเรื่องของ Chick ตอนเด็กๆ และตอนโตที่มีแม่แสนดี แต่เขาก็ไม่อินังขังขอบนักและไม่ตระหนักคุณค่าแห่งความรักของแม่ คนที่อ่านจะมองเห็นความหลังของตัวเองเต้นอยู่ในตัวหนังสือถึงแม้สิ่งแวดล้อมจะเป็นฝรั่ง แต่ความหลังเกี่ยวกับครอบครัวนั้นไม่มีสัญชาติ
Chick เล่าถึงชีวิตอันล้มเหลว ตลอดจนการพยายามฆ่าตัวตายให้แม่เขาฟัง แม่เขาก็บอกว่า "Chick เป็นลูกที่ดี แม่เชื่อมั่นว่าลูกจะตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ" แม่เขาเสียใจกับชีวิตครอบครัวของเขาที่ล้มเหลว แม่เขาบอกว่าเมื่อคนแต่งงานกันแล้ว จะต้องรัก 3 สิ่ง คือ รักซึ่งกันและกัน รักลูก และรัก "สถานการณ์แต่งงาน" มิฉะนั้นชีวิตแต่งงานจะอยู่ไม่รอด
ในที่สุดเมื่อสิ้นวัน แม่ก็จากเขาไปจริงๆ แต่สิ่งที่ Chick ได้รับก็คือกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป และความอิ่มเอมจากการได้มี One More Day
Chick กลับมามีชีวิตต่ออีก 6 ปี และก็จากไปจริงๆ ในช่วงเวลาก่อนตายเขากลับมามีสัมพันธ์ที่ดีกับลูกสาวสุดรักของเขา กับภรรยาก็ยังสามารถพูดกันได้ดี Chick ได้บทเรียนว่าเขาจะ "always make things right with those I love"
ถ้าใครที่เคยสูญเสียคนที่รักไปและอยากหมุนเวลากลับเพื่อจะได้มีอีกสักวันที่จะได้มีชีวิตอยู่ด้วยกัน ได้พูดคำขอโทษหรือให้คำอธิบายสักหนึ่งประโยค ได้ทำบางสิ่งที่ไม่ได้ทำ ฯลฯ จะซาบซึ้งกับสิ่งที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้
เมื่อเรารู้ว่าเราอาจต้องการ One More Day ในอนาคตและมันจะเป็นความปรารถนาที่เป็นจริงได้แต่ในฝัน แล้วทำไมเราไม่ทำอะไรที่ถูกต้องเหมาะสม กับคนที่เรารักที่จะไม่อยู่กับเราไปชั่วกัลปาวสานเสียแต่ในวันนี้เล่า
หน้า 6
เพียงขออีกสักวัน
- bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
เพียงขออีกสักวัน
โพสต์ที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
เพียงขออีกสักวัน
โพสต์ที่ 2
ได้อ่านเล่ม Tuesday with Morrie แล้วครับ
อ่านจบแล้ว รู้สึกเหมือนได้อาจารย์เพิ่มมาอีกคนในชีวิตครับ
เป็นหนังสืออีกเล่ม ที่ปิดปกหลังแล้ว ลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่นาน
เป็นความรู้สึกเดียวกับเล่ม ๆ อื่น ๆ ที่อ่านจบแล้วรู้สึกได้ถึงความมีคุณค่าของหนังสือ
อาจารย์มอร์รี่ ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในแบบของซุปเปอร์ฮีโร่
ที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวเจ็บ แต่เป็นฮีโร่ที่รู้สึกได้ถึงความมีอยู่จริง
รู้เจ็บ รู้อาย รู้ตาย แต่สุดท้ายก็ตระหนักซึ้งและยอมรับถึงความเป็นจริงของชีวิต
อ่านจบแล้ว รู้สึกเหมือนได้อาจารย์เพิ่มมาอีกคนในชีวิตครับ
เป็นหนังสืออีกเล่ม ที่ปิดปกหลังแล้ว ลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่นาน
เป็นความรู้สึกเดียวกับเล่ม ๆ อื่น ๆ ที่อ่านจบแล้วรู้สึกได้ถึงความมีคุณค่าของหนังสือ
อาจารย์มอร์รี่ ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในแบบของซุปเปอร์ฮีโร่
ที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวเจ็บ แต่เป็นฮีโร่ที่รู้สึกได้ถึงความมีอยู่จริง
รู้เจ็บ รู้อาย รู้ตาย แต่สุดท้ายก็ตระหนักซึ้งและยอมรับถึงความเป็นจริงของชีวิต
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
- san
- Verified User
- โพสต์: 1675
- ผู้ติดตาม: 0
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
เพียงขออีกสักวัน
โพสต์ที่ 6
ผมได้มีโอกาสอ่าน Tuesdays with Morrie แล้วเหมือนกัน ชอบมากครับ อาจจะเพราะรู้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ อ่านจบแล้ว ผมค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ Morrie ทาง Internet เป็นการใหญ่Capo เขียน:ได้อ่านเล่ม Tuesday with Morrie แล้วครับ
อ่านจบแล้ว รู้สึกเหมือนได้อาจารย์เพิ่มมาอีกคนในชีวิตครับ
เป็นหนังสืออีกเล่ม ที่ปิดปกหลังแล้ว ลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่นาน
เป็นความรู้สึกเดียวกับเล่ม ๆ อื่น ๆ ที่อ่านจบแล้วรู้สึกได้ถึงความมีคุณค่าของหนังสือ
อาจารย์มอร์รี่ ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในแบบของซุปเปอร์ฮีโร่
ที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวเจ็บ แต่เป็นฮีโร่ที่รู้สึกได้ถึงความมีอยู่จริง
รู้เจ็บ รู้อาย รู้ตาย แต่สุดท้ายก็ตระหนักซึ้งและยอมรับถึงความเป็นจริงของชีวิต
ตอนนี้กำลังเริ่มอ่าน The Five People You Meet in Heaven ซึ่งเขียนโดย Mitch Albom เหมือนกัน แต่เรื่องนี้เป็นนิยายล้วนๆ
Mitch Albom เป็นนักข่าวกีฬา ผมเคยไปค้นข้อมูลดู รู้สึกว่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับ Work Ethic ในส่วนอาชีพนักข่าว อยู่เล็กน้อย
Everything I do, I do it for you.
- Raphin Phraiwal
- Verified User
- โพสต์: 1342
- ผู้ติดตาม: 0
เพียงขออีกสักวัน
โพสต์ที่ 7
ขอบคุณครับ
รักในหลวงครับ